วิธีขอพรจากพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตกับองค์พระพุทธรูป เจดีย์องค์พระสถูป หรือสิ่งก่อสร้างฯ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 6 ตุลาคม 2016.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    วิธีขอพรจากพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตกับองค์พระพุทธรูป เจดีย์องค์พระสถูป หรือสิ่งก่อสร้างฯ

    จะเริ่มจากจากจิตบริสุทธิ์ของผู้สร้าง หรือคนสร้างเป็นสำคัญ ถ้าผู้สร้างเป็นระดับพรหม เทพ เทวดา ก็จะมีพลังมากเพราะท่านเป็นผู้มีบุญมากกว่ามนุษย์ เรียกว่ายิ่งผู้สร้างนั้นมีบุญมากเท่าใด พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์นั้นก็จะยิ่งมากตามไปด้วย

    เป็นพระโพธิสัตว์ เป็นพระอรหันต์ เป็นพระอริยสงฆ์ก็จะยิ่งมากขึ้นด้วย ถ้าเป็นผู้มีบุญก็จะยิ่งมากกว่าคนธรรมดา

    พลังที่เพิ่มในส่วนที่สอง เพิ่มขึ้นด้วยจิตบริสุทธิ์ ด้วยบุญบารมีและการไหว้สักการะของคนที่มากราบไหว้ ด้วยจิตที่บริสุทธิ์มารวมกันเป็นจำนวนมาก และปวงพรหมเทพเทวา ท่านลงมาร่วมอนุโมทนาในบุญนั้น และที่สำคัญท่านจะช่วยปกปักรักษาองค์พระพุทธรูป หรือสถานที่ที่บรรจุบุญบารมีนั้นไว้ตามอายุขัยของพรหมเทพเหล่านั้น

    พระพุทธรูปนั้น ถ้าไม่มีการสักการบูชา ก็เป็นเพียงก้อนหิน ก้อนเหล็กธรรมดาเท่านั้น เจดียืถ้าไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ก็เป็นเพียงก้อนอิฐที่ก่อขึ้นมาเท่านั้นเช่นกัน

    พลังที่เพิ่มขึ้นในส่วนที่สาม มาจากมนต์คาถาอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีจารึกไว้ในแต่ละสถานที่ เพราะทุกอักษรนั้นมีพลังอำนาจบุญบารมีบรรจุอยู่ ทุกบทสวดนั้นเป็นสิ่งที่ดี สวดแล้วดี สวดแล้วเป็นมงคล

    ส่วนเรื่องการบนบานที่คนทั่วไปเมื่อไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นการขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย เมื่อสำเร็จแล้วมีการให้สิ่งตอบแทน ถือว่าติดสินบนสิ่งศักดิ์สิทธิ์

    เรื่องนี้ไม่แนะนำให้ทำ แต่แนะนำให้ตั้งจิตปรารถนา (อธิษฐาน) ให้ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ ที่สำคัญเมื่ออธิษฐานแล้วต้องสร้างเหตุให้ตรงกับที่อธิษฐานไว้เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว สิ่งที่อธิษฐานจะสัมฤทธิ์ผลแล้วไม่

    การตั้งจิตอธิษฐานนั้น เหมือนการล๊อคเป้าหมายที่เราอยากได้ อยากเป็น อยากมี ซึ่งเป็นผลและยังไม่เกิด ไม่เพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่พูดถึงปาฏิหาริย์ของการอธิษฐาน เกือยทุกศาสนานั้นมีบันทึกถึงรื่องนี้มากมาย

    สิ่งที่ทำให้เกิดนั้น คือ เหตุ ที่มาจากการทำกรรมดีสม่ำเสมอ มากพอ นานพอจนบุญนั้นเต็ม เมื่อถึงเวลาส่งผลนั้นจะทำให้คนผู้นั้นได้รับในสิ่งที่ตนเองปรารถนา

    ขอให้เข้าใจก่อนว่า การไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ท่านจะช่วยอวยพร ให้พรแก่ผู้ทำกรรมดีเท่านั้น ช่วยดลใจให้ทำกรรมดี เพื่อให้ผลนั้นออกมาเร็วตามที่ใจปรารถนา ไม่ได้สั่งให้กรรมดีนั้นออกผลเร็ว เพราะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีอำนาจพอที่จะไปสั่งกรรมได้

    เพราะกรรมบางกรรมต้องเป็นไปตามเวลา ตามหน้าที่ ตามลำดับ เหมือนกับเราปลูกต้นมะม่วงด้วยเมล็ดพันธุ์ซึ่งต้องใช้เวลาถึง 4- 5 ปีถึงจะได้กินผลมะม่วงที่แสนหวาน ไม่ใช่ปลูกเพียงวันสองวันแล้วมะม่วงมันจะออกลูก

    สิ่งที่สั่งและควบคุมกรรมไว้ก็คือ กฎแห่งกรรม ที่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎ ทำได้ย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว และทั้งกรรมดีและไม่ดีจะส่งผลเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 อย่างประกอบกันทั้งวัตถุที่เกิดกรรม ประโยคหรือความพยายามและเจตนา

    คนที่มีฐานะดี ร่ำรวย ทำอะไรก็สำเร็จทุกประการนั้น เป็นเพราะกรรมดีนั้นส่งผล มีกำลังมากกว่ากรรมไม่ดี เริ่มตั้งแต่กรรมแต่งให้เกิด กรรมสนับสนุนหรืออีกหลายกรรมที่เกี่ยวข้อง แต่คนที่ยากจนทำอะไรไม่สำเร็จทำอะไรก็ติดขัด เป็นเพราะผลแห่งกรรมไม่ดีนั้นส่งผลมากกว่ากรรมดีที่เคยทำ และไม่ยอมสร้างกรรมดีในชาตินี้มาช่วย ต่อให้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วประเทศไทย ทั่วโลกก็จะไม่เกิดผลอะไรเลย

    กรรมดีนั้นจะสร้างบุญบารมีให้ติดตัวไปในทุกชาติ ด้วยการทาน ศีล เจริญภาวนา ที่รวมกันเป็นบุญกิริยาวัตถุ 10 ที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้ การไปไหว้พระ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น เราไปไหว้บูชาพระคุณความดีของพระพุทธเจ้า เป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกและปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์

    สำหรับเครื่องเซ่นไหว้นั้นที่หอบหิ้วกันไปไหว้เพื่อหวังจะให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นพอใจ ในความเป็นจริงแล้วไม่มีประโยชน์อะไรกับท่านเหล่านั้น

    พระพุทธรูป เป็นรูปสมมติที่สร้างขึ้นแทนองค์พระพุทธเจ้า เราเอาข้าว เอาผลไม้ หมูเห็ดเป็ดไก่ไปถวายแล้วรูปสมมติ แล้วพระพุทธรูปที่เป็นปูนเป็นหินนั้น ท่านฉันข้าวได้หรือไม่

    ท่านที่เป็นพุทธศาสนิกชนขอให้เชื่อโดยมีเหตุผลรองรับให้เชื่อ โดยใช้ปัญญาพิจารณา อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมาก ด้วยการลือสืบ ๆ กันมา ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ ฯลฯ

    มีครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้เสมอว่า ไม่จำเป็นต้องถวายข้าวเครื่องเซ่นไหว้พระพุทธรูป แต่ควรบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า ด้วย อามิสบูชา (ดอกไม้ ธูป เทียน ฯลฯ) และจะเป็นการบูชาที่ดีที่สุด ต้องบูชาด้วยการปฏิบัติบูชา คือ บูชาด้วยการปฎิบัติตัวให้ดีให้ถูกธรรมทางกาย วาจาและใจ หมั่นให้ทาน ถือศีล ภาวนารวมทั้งการทำความดีต่างๆโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

    แต่ถ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับพรหม เทพ เทวดาทั้งหลายบางพวกนั้น รวมถึงบริวารทั้งหลาย อาจจะต้องมีเครื่องเซ่นไหว้ตามความเหมาะสม และยิ่งได้ไหว้สักการะท่านเสร็จแล้ว นำไปแจกเป็นทานก็จะยิ่งได้บุญ ในเรื่องนี้ก็ขอให้ใช้สติในการพิจารณา

    มีเคล็ดลับอีกประการหนึ่งคือการ เชื่อมบุญกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นเคล็ดโบราณที่สืบทอดกันมา ขอให้ลองพิจารณาดูกัน

    ‪#‎ธรรมทาน‬ ‪#‎แผ่นพับธรรมทาน‬ ‪#‎สวดมนต์‬ ‪#‎พระพุทธเจ้า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 ตุลาคม 2016

แชร์หน้านี้

Loading...