เรื่องเด่น วิธีตัดกามฉันทะ ..(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 21 พฤศจิกายน 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    1504569724_680-1.jpg


    วันนี้วันพระตรงกับวันเสาร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบเอ็ด(๑๑) ปีมะเส็ง

    ขอให้ทุกท่านมีความสุขในธรรม

    วิธีตัดกามฉันทะ

    ท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย เวลานี้ท่านทั้งหลายได้พากันสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐานแล้ว ก็เป็นวาระที่ท่านทั้งหลายจะเริ่มใช้อารมณ์จิตของท่านให้เป็นประโยชน์ เพื่อตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน
    สำหรับเมื่อวันวานนี้กระผมได้พูดถึงเรื่องของ “นิพพิทาญาณ” ในหมวดของอานาปานุสสติกรรมฐาน ความจริงก็ยังไม่จบ แต่ทว่าจะขอย้อนรอยถอยหลังสักนิดหนึ่ง ว่าการเจริญกรรมฐานที่จะให้ได้ดี ไม่ใช่ว่าเราจะตั้งหน้าตั้งตาทำแต่สมาธิอย่างเดียว หรือว่าจะทำแต่วิปัสสนาญาณอย่างเดียว ถ้าทำแบบนี้ไม่มีผล การที่จะปฏิบัติให้มีผลจริงๆ นั่นก็คือต้องมีอารมณ์สำรวม
    คำว่า “สำรวม” ก็ได้แก่ การระมัดระวัง คือ:-
    ๑. ระวังศีลอย่าให้บกพร่อง
    ๒. ระวังสมาธิอย่าให้เคลื่อน
    ๓. ระวังปัญญาอย่าให้ใช้ไปในด้านของอกุศล
    ถ้าท่านทั้งหลายระวังอยู่อย่างนี้เป็นปกติ ผลแห่งการปฏิบัติไม่เป็นของยาก
    และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิทธิบาท ๔ คือ
    ฉันทะ มีความพอใจในอารมณ์กรรมฐานที่เราจะพึงปฏิบัติ
    วิริยะ มีความขยันหมั่นเพียร รุกไล่กิเลสให้พินาศไป
    จิตตะ สนใจในเรื่องการเจริญกรรมฐานโดยตรง
    วิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณาควบคุมจิต ว่าเวลานี้จิตของเราตกอยู่ในสภาวะอะไร ตกอยู่ในสภาพของกุศลหรือว่าอกุศล
    เป็นอันว่า ถ้าท่านทั้งหลายมีอิทธิบาท ๔ ครบถ้วน การเจริญกรรมฐานเป็นของไม่ยาก และประการต่อไปคือ การเข้าใจฟัง ฟังแล้วคิด คิดแล้วทดลองในการปฏิบัติ การทดลองในการปฏิบัติต้องเป็นการทดลองอย่างจริงจัง ไม่ใช่การทำเล่น ถ้าหากท่านทั้งหลายทำได้อย่างนี้เป็นปกติ ก็เป็นอันว่าการเจริญกรรมฐานเป็นเรื่องเล็ก ไม่ใช่เรื่องใหญ่
    ต่อนี้ไปก็จะขอเตือนบรรดาท่านพระโยคาวจรทั้งหลาย ว่าการเจริญกรรมฐานที่ดีจริงๆ เราต้องมีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ อย่าใช้อารมณ์ที่เป็นอกุศลภายนอก กาย วาจา ใหอยู่ในธรรม อย่าทำกาย วาจา เข้าไปถึงด้านของอกุศล นั่นแสดงว่าจิตมันเลว ถ้าจิตดีกายวาจามันก็ดี ถ้าจิตเลวกายวาจามันก็เลว เราเกิดมาเวลานี้เราต้องการความดี หรือว่าต้องการความเลว
    ถ้าเราต้องการความดีก็พยายามทรงความดีไว้ เอาจิตใจคุมไว้ในด้านของความดี วิธีปฏิบัติพระกรรมฐานให้ใช้อารมณ์พิจารณากับอารมณ์ทรงตัวสลับกันไป
    วันนี้จะพูดถึง “สังขารุเปกขาญาณ” วิธีทรงตัวก็คือควบคุมอารมณ์ใจให้เป็นสมาธิ ตามที่ท่านปรารถนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หมวดนี้เป็นหมวดของอานาปานุสสติกรรมฐาน แล้วก็อานาปานุสสติกรรมฐานนี่ ท่านจะทำกรรมฐานหมวดใดก็ตาม จะต้องใช้อานาปานุสสติกรรมฐานขึ้นต้นไว้เสมอ
    ถ้าหากว่าท่านทิ้งอานาปานุสสติกรรมฐานเมื่อไร นั่นหมายความว่ากรรมฐานของท่านจะสลายตัว คือศีลก็ไม่ทรงตัว ศีลที่ทรงตัวเขาเรียกว่า “สีลานุสสติกรรมฐาน” สมาธิก็ไม่ทรงตัว สมาธิทรงตัวเขาเรียกว่า “จิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน” วิปัสสนาญาณมันก็ไม่เกิด
    นี่เราจะต้องควบคุมอารมณ์สมาธิ วิธีการคุมอารมณ์สมาธิ ก็มีถึง ๒ แบบ
    แบบที่ ๑ คือการทรงอารมณ์จิตให้หยุด คำว่า “หยุด” หมายความว่า ใช้คำภาวนา หรือว่ากำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไว้เป็นปกติ โดยไม่คำนึงถึงอารมณ์อื่นใด อย่างนี้เรียกว่า ทรงให้หยุด และสมาธิในด้านของการหยุด คือจิตมันหยุดคิดเรื่องอื่น คิดเฉพาะกิจที่เราจะพึงกระทำ คือคิดถึงคำภาวนา คิดถึงลมหายใจเข้าออกโดยเฉพาะคำว่าหยุดนี้ ไม่ใช่หยุดเลย หยุดอารมณ์อื่นคือทรงอารมณ์ไว้โดยเฉพาะ นี่เป็นแบบหนึ่ง
    มีอีกแบบหนึ่งก็ใช้ในการพิจารณา ในด้านกรรมฐานที่จะพึงมีสำหรับการภาวนา หรือว่าด้านวิปัสสนาญาณ คือพิจารณานะครับ ไม่ใช่ภาวนา พิจารณาใคร่ครวญหาเหตุหาผลเพื่อการละ เมื่อการพิจารณามันเฟื่องเกินไปจิตจะฟู จะออกนอกลู่นอกทาง ก็ทิ้งการพิจารณาเสีย หันเข้ามาจับอารมณ์หยุด คืออานาปานุสสติควบกับคำภาวนาว่าอย่างไรก็ได้ตามใจท่าน จนกระทั่งจิตทรงอารมณ์ตัวดีแล้ว ก็มีความเยือกเย็นดีคลายอารมณ์มาใช้พิจารณา ถ้าทำสลับกันไปสลับกันมาอย่างนี้ ความเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เป็นของไม่ยาก อย่าลืมว่าทุกท่านต้องมีอิทธิบาท ๔ ครบถ้วน
    วันนี้ขอย้อนรอยถอยหลังไปหานิพพิทาญาณสักนิดหนึ่ง ความจริงวิปัสสนาญาณนี้มี ๙ แต่ผมนำมาพูดกับพวกท่านเพียง ๒ ก็เพราะว่าเห็นว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นไม่หนัก แล้วก็มีความสำคัญน้อย ความสำคัญใหญ่ในด้านการปฏิบัติเราก็จับนิพพิทาญาณให้ได้
    วันนี้พูดกันถึงว่า สกิทาคามีมรรคในด้านของกามฉันทะ เราหาทางตัดกามคุณโดยอารมณ์ที่เห็นว่า รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ เป็นของดี เรามาพิจารณากันดูว่า มันดีจริงๆ หรือว่ามันเลว สิ่งที่ปรารถนานั่นคืออะไร สิ่งที่เราปรารถนาจริงๆ คือ ความผ่องใสของรูป เสียง กลิ่น หอม รส และสัมผัส รูปสวยเราชอบ เสียงเพราะเสียงที่ไพเราะเป็นประโยชน์จับใจเราชอบ กลิ่นหอมเราชอบ รสอร่อยเราชอบ สัมผัสเป็นที่ถูกใจเราชอบ
    แต่ว่าสิ่งที่เราชอบนั้นมันทรงตัวหรือเปล่า มันจะทรงตัวสวยสดงดงามอยู่ตามนั้น มันจะหอมหวลยวนใจอยู่ตามนั้น มันจะมีรสอร่อย ในการสัมผัสอยู่ตามนั้น มันมีไหม มีอะไรบ้างในการทรงตัวแบบนี้
    ในที่สุดเราก็มองเห็นว่ามันไม่มี ไม่มีอะไรทรงตัวเป็นปกติ มันก็มีการเคลื่อนไปเพื่อสลายตัว รูปสวยเดี๋ยวก็เศร้าหมอง เสียงเพราะผ่านไป เสียงของบุคคลคนเดียวกัน เดี๋ยวก็เพราะเดี๋ยวก็ไม่เพราะ เวลาเขารักเขาชอบใจเสียงมันก็เพราะ เวลาเขาโกรธหรือเขาเกลียดเสียงมันก็ไม่เพราะ กลิ่นก็เช่นเดียวกัน มันจะหอมตลอดกาลตลอดสมัยไหม มันก็หอมไม่ได้ หอมผ่านจมูกไปแล้วก็หายไป ดีไม่ดีเก็บไว้นานๆ กลายเป็นกลิ่นเหม็น รสที่สัมผัสปลายลิ้นกับกลางลิ้น พอถึงโคนลิ้นมันก็หายไป
    การสัมผัสระหว่างเพศ เราปรารถนากันมากว่ามันเป็นสุข แต่ดูคนที่เขามีคู่ครองเขาสร้างสุขหรือเขาสร้างทุกข์ ความเป็นอิสระของเราไม่มี ถ้าเรามีคู่ครองเพราะว่าจะต้องมีความห่วงใยในคู่ครองเป็นปกติ ถ้ามีลูกหลานเหลนขึ้นมาเป็นอย่างไร และสภาพของบุคคลที่เป็นคู่ครองของเรา เขาจะสาวเขาจะหนุ่มสวยสดงดงามตลอดเวลาหรือเปล่า อย่าลืมมองดูคนแก่บ้าง คนที่แก่น่ะเขาหนุ่มเขาสาวกันมาแล้วทั้งนั้น แต่ในที่สุดเมื่อสภาพความแก่เกิดขึ้น มันมีสภาวะเป็นยังไง นั่งมองโลกนี้ว่ามันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ การมีคู่ครองเป็นสุขหรือเป็นทุกข์นึกเอาเอง เพราะว่าทุกคนมีปัญญา ว่ากันโดยนัยแล้วไม่มีอะไรทรงตัว มันมีสภาพนำมาซึ่งความทุกข์ แล้วมันก็น่ารักน่าปรารถนาหรือว่าน่าเบื่อ ใช้ปัญญาพิจารณาดูให้ดี
    เป็นอันว่า เบื่อ! ท่านจะเบื่อหรือไม่เบื่อแต่ผมเบื่อ ผมถือว่าผมเบื่อแล้ว แล้วก็เบื่อถึงที่สุดของจิต ไม่เคยคิดไม่เคยปรารถนา เพราะว่าเห็นคนก็เหมือนเห็นซากศพ เห็นวัตถุที่มีอาการผ่องใสก็สลดใจ ว่ามันผ่องใสไม่นาน เพราะว่าเห็นมันมามาก ผ่านชีวิตมาหลายสิบปี มีความเข้าใจดีในเรื่องนี้
    นี่สำหรับท่านจะเบื่อหรือไม่เบื่อ เมื่อนิพพิทาญาณเกิดขึ้น ก็มีหลายคนอยากจะตาย หากว่าท่านจะถามผมว่าอยากตายไหม เวลานั้นมันอยากตายจริงๆ เห็นคนเลว เบื่อ! เห็นสัตว์เลว เบื่อ! เห็นวัตถุธาตุทั้งหลาย เบื่อ! เห็นบริวารเลวก็สะอิดสะเอียน เห็นเพื่อนเลวก็รังเกียจ รวมความว่าเราหาคนดีกันไม่ได้
    คำว่าหาคนดีกันไม่ได้ บางทีเขามีนิสัยดี มีจริยาดี มีจิตซื่อตรง แต่ว่าร่างกายของเขามันไม่ดี ร่างกายของเขามันเดินเข้าไปหาความผุความพัง เดี๋ยวก็เป็นโรคอย่างนั้น เดี๋ยวก็มีอาการอย่างนี้ ความแปรปรวนมันเกิดเลยพบความไม่ดีก็เลยเบื่อ บริษัทบริวารก็เหมือนกัน ทุกคนเขาอาจจะเป็นคนดี แต่เขาเป็นที่พึ่งของเราไม่ได้จริงจัง ไม่ได้ตลอดกาลตลอดสมัย
    เพราะว่าเขาต้องตกอยู่ในสภาพของ อนิจจัง หาความเที่ยงไม่ได้ ทุกขัง ความทุกข์มันยุ่งกับเขา อนัตตา ในที่สุดเขาก็ตาย เป็นอันว่าที่พึ่งของเราจะพึ่งใครก็ตาม เขาก็แก่ลงไปทุกวัน เขาก็ป่วยทุกวัน เขาก็ตายทุกวัน เป็นอันว่าเราก็จำจะต้องเบื่อ เพราะว่าสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เรารัก มันมีสภาพเป็นอย่างนั้น เขาเองเขาก็ไม่อยากจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่ากฎธรรมดามันบังคับ
    ในเมื่อความเบื่อเกิดขึ้นมากๆ ก็อยากจะตาย ในสมัยพระพุทธเจ้า พระจ้างปริพาชกฆ่าเสียหลายสิบองค์ให้ฆ่าตัวเอง แล้วก็ให้บริขารเป็นเครื่องรางวัล
    ฉะนั้น องค์สมเด็จพระพิชิตมารจึงได้ทรงแนะนำว่า “ท่านทั้งหลายเมื่อพิจารณาแยกกายออกเป็นชิ้นเป็นส่วนแล้ว จงรวมเข้าไว้ก่อน”
    คำว่า “รวมเข้าไว้ก่อน” ก็หมายความว่า อย่าเพิ่งทิ้งมัน ถ้าถึงเวลามันพังของมันเอง ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา นั่นก็คือใช้ “สังขารุเปกขาญาณ”
    ถ้าเป็นญาณในโลกียฌาน เราเรียกว่า “อุเบกขา” แปลว่า วางเฉยในอารมณ์ แต่ว่าในด้านวิปัสสนาเรียกว่า “สังขารุเปกขาญาณ” คือใช้ปัญญารู้ตามความจริง แล้วก็มีความวางเฉยในเรื่องของขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ของเรา ขันธ์ ๕ ของเขาเราก็เฉยหมด เฉยเพราะอะไร เพราะว่ามันจะพังก็ช่างมัน มันไม่พังก็ช่างมัน มันจะหนุ่มก็ช่างมัน มันจะสาวก็ช่างมัน มันจะป่วยก็ช่างมัน มันจะแก่ก็ช่างมัน มันจะตายก็ช่างมัน ทำไมจึงช่าง ก็เพราะธรรมดาเขาเป็นอย่างนั้น ทำจิตของเราให้สบาย ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ถือว่าธรรมดามันเป็นอย่างนั้น เราไม่มีทางจะเลี่ยง อาการมันเกิดขึ้นจิตเราไม่วุ่นวาย จะเกิดอย่างไรก็ช่าง ถือว่าขันธ์ ๕ อันนี้ไม่ช้าก็พัง พังเมื่อไรเราไปนิพพานเมื่อนั้น
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราก็หันเข้ามาถึงเรื่อง กามฉันทะ ในสกิทาคามิมรรคหรือสกิทาคามิผล เรายังตัดกันไม่ได้เด็ดขาดในเรื่องกามฉันทะ หรือโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ แต่ก็บรรเทาลงไปมากคล้ายๆ กับจะได้อนาคามิผล
    ทีนี้วิธีที่เราจะระงับมันได้จริงๆ อย่าลืมว่าต้องใช้ กายคตานุสสติกรรมฐาน และ อสุภกรรมฐาน ประจำใจไว้เสมอ ให้มีความรู้สึกทรงตัว เรื่องความรักในเพศหยุดที หรือว่าหยุดกันเสียที เพราะเรื่องนี้เป็นปัจจัยของความทุกข์ สิ่งที่เรารักมันสกปรกตามที่พูดมาแล้ว อย่ายํ้าให้มากเลย ในเมื่อมันสกปรกโสโครกอย่างนั้น จะเอาอะไรมาดี
    แล้วก็นำ มรณานุสสติกรรมฐาน เข้ามาว่า คนที่เรารักนี่ไม่ช้าก็ตาย ตายแล้วมันน่ารักตรงไหน เป็นอันว่าคนที่เรารักก็คือ เรารักส้วมเคลื่อนที่นั่นเอง มันเต็มไปด้วยความสกปรก เต็มไปด้วยความโสโครก และในที่สุดก็ต้องมาเป็นผีตาย และร่างกายของเราก็เป็นอย่างนั้น ในเมื่อเรากับท่าน เรากับเขามีสภาพเหมือนกัน ต่างคนต่างสกปรก ต่างคนต่างไม่ทรงตัว ต่างคนต่างตาย จะมานั่งรำพึงรำพันเรื่องความรักมันด้วยประโยชน์อะไร ใจก็วางเฉย จะมายังไงก็ช่าง เห็นคนทำจิตให้มีสภาพเหมือนเห็นศพ เห็นผิวพรรณก็ดูภายใน แม้แต่ผิวพรรณเขาก็สกปรก มันไม่ได้สะอาด
    ทีนี้สภาวะของจิตมีความเบื่อหน่าย เบื่อหน่ายนี่มันท้อแท้ใจ เราก็ทำใจวางเฉยในสังขารุเปกขาญาณ ว่าสภาพความสกปรกอย่างนี้ สภาพความวุ่นวายเพราะความรักอย่างนี้ มันไม่มีสำหรับเราแล้ว เราจะไปยุ่งอะไร ใครจะมาใครจะไปยังไง เราก็เฉย อันดับแรกอย่าลืมว่า มึงมากูมุด
    คำว่า “มึงมากูมุด มึงหยุดกูแหย่ มึงแย่กูตี มึงหนีกูตาม”
    มึงมากูมุด นั่นหมายความว่า ถ้าเห็นสภาวะที่เราจะพึงรักด้วยกามฉันทะ เราก็มุดเข้าไปหาอสุภกรรมฐานกับกายคตานุสสติ แล้วจับ สักกายทิฏฐิ เห็นว่าร่างกายมันไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร มันเป็นธาตุ ๔ ที่ตัณหาสร้างขึ้นให้เป็นเรือนร่างชั่วคราว ใจมีอารมณ์สบาย เมื่อจิตมีอารมณ์สบายใจมันก็เฉย อารมณ์มันเบา อย่าลืมนะครับ อารมณ์ของสมถะที่เป็นฌาน มันก็มีสภาพคล้ายความเป็นอรหันต์เหมือนกัน แต่อารมณ์หนัก แนบแน่น หนักหน่วง แต่อารมณ์ตัดจริงๆ มีอารมณ์เบา มีความสบายๆ เฉยๆ เหมือนกับไม่มีอะไรมาถ่วงใจ ใจเบา ใจสบาย ความรักในระหว่างเพศมันไม่มี อาการอย่างนี้ชื่อว่า สังขารุเปกขาญาณ โดยเฉพาะกามฉันทะที่เราจะพึงตัด
    แต่อย่าลืมว่าอารมณ์ของพระสกิทาคามี ยังตัดกามฉันทะไม่ได้เด็ดขาด แต่ทว่าก็สามารถที่จะระงับอารมณ์ไว้ได้มาก นานๆ จะมีอารมณ์เกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง ในเรื่องของการมีความรู้สึกในกามารมณ์
    นี่เป็นอันว่าเราเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณ อารมณ์ใจสบาย สบายในตอนนี้เรียกว่าเบาลงไปมาก ความรู้สึกในระหว่างเพศมันจะมีขึ้นมาบ้าง สำหรับพระสกิทาคามี แต่ว่ามีแล้วมันถอยหลังเร็ว ถอยไปไหน มันหลบเข้าไปหาอสุภสัญญา อย่าลืมนะครับ อันนี้ต้องทำกันให้ชิน ไม่ว่าเห็นหรือไม่เห็นมีความรู้สึกเท่ากัน
    ถ้าอารมณ์รักเกิดขึ้นมาเมื่อไร ก็ผลักให้มันล้มลงไปเมื่อนั้น ใจเราผมอยากจะพูดว่า คำว่า “มึงมากูมุด” เราควรจะพูดใหม่ว่า กูมุดตั้งแต่มึงยังไม่มา มุดตรงไหน มุดเข้าไปอยู่ในอสุภสัญญาคืออสุภกรรมฐาน กับกายคตานุสสติ จิตจับอารมณ์ให้ทรงตัวไว้ นั่งนึก นอนนึก จิตพิจารณาอยู่ว่าใครหนอในโลกนี้ ที่จะมีร่างกายสะอาด ร่างกายของบุคคลใดที่เป็นปัจจัยของความสุข มันไม่เป็นปัจจัยของความทุกข์
    สมมุติว่าเราจะมีคู่ครองสักคน ปกติในยามเช้าตื่นขึ้นมา เราเข้าห้องนํ้าห้องส้วม ไม่เข้าไม่ได้ เสร็จแล้วล้างปากล้างหน้า ต่อมาก็รับประทานอาหาร ทำกิจการงานทุกอย่างกว่าจะหมดวัน เมื่อสิ้นวันสิ้นเวลาแล้วเราก็ไปนอนพัก สิ้นงานตื่นมาก็ทำงานใหม่ ทีนี้เราจะหาคู่ครองสักคนที่ได้มาครองและงานทุกอย่างไม่ต้องทำ หน้าไม่ต้องล้าง ปากไม่ต้องล้าง ข้าวไม่ต้องกิน มันสะอาดผ่องใส มันอิ่มอยู่ตลอดเวลา
    และมีคู่ครองแล้วเราจะต้องไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าหาได้อย่างนี้แล้วก็ควรจะหา ถ้าบังเอิญหาไม่ได้อย่างนี้ เราก็มุดอยู่ในอสุภสัญญากับกายคตานุสสติกรรมฐาน บวกกับสักกายทิฏฐิ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ของเขา ไม่ช้ามันก็พัง
    เราติดอยู่ในร่างกาย ในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ ก็ชื่อว่าเราติดอยู่ในทุกข์ เราก็หาความสุขไม่ได้ จนกระทั่งมีอารมณ์ใจเย็น เย็นสบาย ไม่วิตกไม่กังวลเรื่องความรักในระหว่างเพศ ไม่วิตกไม่กังวลในเมื่อพบรูปสวย เราก็เห็นว่ามันไม่สวย ฟังเสียงไพเราะเราเห็นว่ามันเป็นอนัตตามันหายไป กระทบกลิ่นหอมหวลยวนใจ เราก็ถือว่ากลิ่นก็หายไปด้วยอำนาจของลม หรือหากว่าจะมีการสัมผัส เราก็ถือว่านี่เรากระทบซากของผี
    และจิตใจของเรายิ้มอยู่เสมอว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้จัดเป็นมาร ที่เรียกว่า “กิเลสมาร” จนกระทั่งจิตใจของบรรดาท่านทั้งหลายนานๆ จะมีอารมณ์ราคะเกิดขึ้นสักครั้งหนึ่ง เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วมีความรู้สึกตัว จิตบอกว่านี่มึงมาอีกแล้วรึ เจ้าภัยใหญ่ เจ้าตัวร้ายมาอีกแล้วรึ จิตมีความรู้สึกอย่างนี้ ในที่สุดอารมณ์ก็สิ้นไป เมื่อความรักในเพศหรือความรักในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเกิดขึ้นเมื่อใด อารมณ์ใจคือปัญญาโผล่ขึ้นมาตัดทันทีทันใด อย่างนี้เราเรียกกันว่า…”สกิทาคามีผล”
    ในด้านของราคะจริต จิตที่มีความรักสวยรักงาม แต่ยังนะครับ ยัง! ยังไม่เต็มสกิทาคามีดี เพราะเรามาเริ่มตัดแต่เพียงราคะ แต่ก็อย่าลืมว่าถ้าเราจะตัดกิเลสตัวใดตัวหนึ่งที่มันเป็นตัวนำ ในราคะก็ดี ในโลภะก็ดี ในโทสะก็ดี ในโมหะก็ดี ถ้าตัวใดตัวหนึ่งมันพังลงไปแล้ว อีกทุกตัวมันก็พลอยพังไปด้วย เพราะมันไม่สามารถช่วยกันพยุงได้ รากเหง้าของกิเลสทั้งหลาย องค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่ามีอยู่ ๓ คือ ราคะ โทสะ โมหะ หรือว่า โลภะ โทสะ โมหะ มันเป็นโต๊ะสามขา ในเมื่อมันหักไปเสีย ๑ ขา อีก ๒ ขา ก็ไม่สามารถจะยันได้ฉันใด
    นี่รากเหง้าของกิเลสทั้ง ๓ ประการนี่ก็เช่นเดียวกัน หากท่านทั้งหลายทำลายราคะ เฉพาะตัวนี้ให้พินาศไป จนกระทั่งกำลังใจทรงเป็นอุเบกขาญาณ ไม่หวั่นไหวในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส อย่างนี้ธรรมะขององค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์ ระวังให้ดีนะครับ บางทีท่านไม่อยู่แค่พระสกิทาคามี และบางทีท่านอาจไม่อยู่ในเขตพระอนาคามี ดีไม่ดีปุบปับเป็นอรหันต์ทันที
    เอาละ สำหรับวันนี้มองดูเวลาก็หมดแล้ว ขอบรรดาสาวกของสมเด็จพระประทีปแก้ว จงพากันตั้งกายให้ตรง ดำรงจิตให้มั่น กำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก ใช้คำภาวนาและพิจารณาตามที่ท่านเห็นสมควรแก่เวลา เมื่อชอบใจอย่างไหนก็ทำอย่างนั้น ชอบใจอิริยาบถอย่างไหนทำอย่างนั้น เรื่องอิริยาบถนี่บอกกันมาเป็นปกติว่าจะนั่งก็ได้ จะยืนก็ได้ จะเดินก็ได้ แล้วก็ยังมีหลายรายไม่มีความเข้าใจ เป็นที่น่าเสียดาย
    เอาละ เวลาหมดแล้วสำหรับวันนี้ก็ขอยุติไว้เพียงแค่นี้ สวัสดี*

    ภาพจากคุณสุพัฒน์
    โพสต์โดย achaya



    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
  2. นรวร มั่นมโนธรรม

    นรวร มั่นมโนธรรม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +113
  3. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,397
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628

แชร์หน้านี้

Loading...