วิธีป้องกันและรักษาไข้หวัดนก

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย เกษม, 27 ธันวาคม 2004.

  1. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ทางเลือกของสุขภาพ
    วิธีป้องกันและรักษาโรคไข้หวัดนก
    องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

    เจ้าอาวาสวัดดอยเกิ้ง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
    ศูนย์ฝึกอบรมสวนบูรณรักษ์ธรรม ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 50180 (053-861267)



    องค์ความรู้ของพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรคและสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกายล้วนมีพื้นฐานมาจากอุบายวิปัสสนาทั้งสิ้น พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ประยุกต์วิธีการของการเจริญสติและการหมุนธรรมจักรให้เป็นการกระตุ้นเซลล์เพื่อสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย, การระบายของเสีย และการจัดเรียงโมเลกุลใหม่

    เมื่อประมาณปลายปี พ.ศ.2534 จนถึงปีพ.ศ.2542 เป็นช่วงเวลาที่โรคเอดส์ได้แพร่ระบาดอย่างรุนแรง วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์กำลังถึงทางตัน ไม่มียารักษาโรคเอดส์ให้หายขาดได้ พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

    จึงได้มีโอกาสเข้ามาช่วยเหลือสังคมด้วยการนำหลักคำสอนของพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ วัดดอยเกิ้งจึงเป็นวัดที่สังคมรับรู้กันดีว่าเป็นวัดที่สอนวิธีบำบัดให้แก่ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV หลังจากนั้นกองควบคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้ให้เงินช่วยเหลือแก่วัดดอยเกิ้งเป็นเวลา 8 ปี ผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ได้เรียนรู้การใช้พลังจิตของตนเองเพื่อสร้างภูมิต้านทานของร่างกายให้เป็นปกติหรือเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตอยู่ได้อย่างคนปกติ ไม่เสียชีวิตด้วยเชื้อไวรัส HIV

    ปัจจุบันนี้มนุษย์กำลังตื่นกลัวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส H5N1 หรือที่เรียกกันว่า
     
  2. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    การปรับเปลี่ยนการใช้พลังพีระมิด และพลังกระแสลมปราณ

    การปรับเปลี่ยนและเพิ่มเติมองค์ความรู้ในครั้งนี้มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นลูกศิษย์ ผู้ฝึก ผู้ป่วย จำเป็นต้องปรับเปลี่ยน และรับความรู้ใหม่เพิ่มเติมจึงจะได้รับประโยชน์จากพลังพีระมิดเหมือนเดิม

    การเปลี่ยนแปลงของพลังงานได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรงหลายครั้งด้วยกัน เช่น

    13 พ.ค. 2547
    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้เดินทางถึงประเทศอียิปต์ และเชื่อมโยงการทำงานของพลังงานระหว่างสฟิงซ์-มหาพีระมิด-ดวงดาว และมหาอาณาจักรแอตแลนตีส

    13 มิ.ย. 2547
    พลังกระแสลมปราณที่ดาวโลกเคยได้รับอย่างพอเพียงจากดวงอาทิตย์ลดน้อยลงไปจนแทบจะไม่มีเลยเนื่องจากสภาพที่เลวร้ายของบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวันๆ


    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ใช้พลังจิตดึงพลังกระแสลมปราณมาจากดวงอาทิตย์ และนำพลังงานเก็บพักไว้ก่อน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ช่วยทำให้พลังงานกระแสลมปราณบริสุทธิ์ ปราศจากมลภาวะของชั้นบรรยากาศ แล้วจึงใช้พลังจิตเชื่อมโยงพลังกระแสลมปราณเข้าสู่วัตถุ-อุปกรณ์ของท่าน เช่น พีระมิด และ สฟิงซ์


    พลังกระแสลมปราณเป็นพลังงานที่มีประโยชน์และสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อร่างกายมนุษย์ซึ่งมนุษย์จะขาดมิได้เลย เช่น เป็นภูมิคุ้มกันร่างกายตามธรรมชาติ, เป็นพลังงานช่วยระบายของเสียออกจากร่างกายตามธรรมชาติ, เป็นพลังงานหล่อเลี้ยงหลอดเลือดไม่ให้ตีบหรือตัน

    22 มิ.ย. 2547
    พีระมิดทุกก้อนที่พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ผลิตขึ้นเพื่อใช้เป็นอุปกรณ์ของการฝึกจิตและทางเลือกของสุขภาพ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงคือให้ใช้สว่านเจาะเป็นรูที่ ด้านหนึ่งด้านใดของรูปทรงสามเหลี่ยมเพื่อให้พระอาจารย์ใช้พลังจิตเชื่อมโยงกระแสลมปราณเข้าสู่ก้อนพีระมิด ทำให้พีระมิดมีพลังในการดูดของเสีย และลดความเจ็บปวดได้เหมือนดังเดิม


    สำหรับสนามพลังพีระมิดที่ประกอบด้วยพีระมิดทั้ง 11 ก้อน ซึ่งในขณะนี้ (มิถุนายน 2547 เป็นต้นไป) ให้จัดวางโดยวางยอดแหลมตั้งขึ้นทุกก้อน (D) และก้อนที่ต้องใช้สว่านเจาะให้เป็นรูเพื่อเชื่อมโยงหรือนำกระแสลมปราณเข้าคือก้อนล่าง และก้อนกลางของแกนพลังงานเพียง 2 ก้อน เท่านั้น (ก้อนแกนกลางที่วางอยู่ก้อนบนสุดและก้อนบริวารอีก 8 ก้อน ไม่ต้องเจาะ)


    เมื่อเจาะแล้วให้นำไปวางคืนที่แกนพลังงานดังเดิม โดยวางด้านสามเหลี่ยมที่เจาะเป็นรูไปทางทิศตะวันออกเท่านั้น


    ก้อนพีระมิดอื่นๆ ที่ใช้สำหรับกำไว้ในมือ หรือกำไล สร้อยข้อมือ หรือ จี้ ให้ใช้สว่านเจาะเป็นรูเช่นกัน (การใช้พีระมิดวิธีนี้ ไม่ต้องสัมพันธ์กับทิศแต่อย่างใด


    พระอาจารย์รัตน์ รตนณาโณ จะส่งพลังจิตนึกไปถึงพีระมิดของท่านทุกก้อนที่เจาะเป็นรูปเรียบร้อยแล้วเพื่อเชื่อมโยงพลังกระแสลมปราณให้โดยอัตโนมัติไม่ว่าพีระมิดเหล่านั้นจะอยู่ที่ไหนก็ตาม




    วิธีเจาะพีระมิด
    1. เลือกด้านสามเหลี่ยมด้านใดด้านหนึ่งของก้อนพีระมิด และใช้สว่านเจาะเป็นรู ดังตัวอย่างในภาพ

    2. เจาะให้ลึกตรงเข้าไปข้างในประมาณถึงกึ่งกลางเพื่อให้ของเสีย หรือความเจ็บความปวดได้ระบายออกทางยอดแหลมของก้อนพีระมิดพอดี (ห้ามเจาะทะลุ)



    การใช้พลังกระแสลมปราณจากสฟิงซ์ (SPHINX)

    เนื่องจากในปัจจุบันนี้มนุษย์เราได้รับกระแสลมปราณจากธรรมชาติในปริมาณที่น้อยมากจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ดังนั้นสฟิงซ์ (SPHINX) จึงถูกนำมาใช้เป็นอุปกรณ์เสริมที่พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ใช้พลังจิตบรรจุพลังของกระแสลมปราณเข้าไว้เป็นจำนวนมหาศาล และนำไปใช้เป็นประโยชน์ในการสร้างภูมิต้านทานและช่วยรักษาโรคทุกโรคด้วยตนเอง เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต เบาหวาน ความดันโลหิตสูง-ต่ำ หัวใจ ไต มะเร็ง เอดส์ โรคทางเดินหายใจทุกชนิด ฯลฯ

    การใช้พลังกระแสลมปราณจากสฟิงซ์ 2 ตัว (องค์)

    การจัดวาง
    วางสฟิงซ์ทั้ง 2 ตัว(องค์) ให้อยู่ในแนวทิศตะวันตกและทิศตะวันออก โดยหันใบหน้าของสฟิงซ์ไปทางทิศตะวันตกทั้งคู่ และผู้ฝึก ผู้ป่วย นั่งอยู่ระหว่างกลางและหันหน้าไปทางทิศตะวันตกด้วยเช่นกัน (สำหรับผู้ป่วยหนักให้นอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก)



    วิธีปฏิบัติ

    1. ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย นั่ง(นอน) หันหน้าไปทางทิศตะวันตก และสฟิงซ์สำหรับทิศตะวันตกและตะวันออก หันใบหน้าไปทางทิศตะวันตก

    2. ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย ส่งความรู้สึก นึกไปถึงใบหน้าของสฟิงซ์ที่วางอยู่ข้างหน้าและข้างหลังของตนเอง พลังกระแสลมปราณจากสฟิงซ์ทั้งคู่จะไหลเข้าหากันโดยอัตโนมัติทำให้ร่างกายของผู้ป่วย ผู้ฝึก ถูกดึงไป-มา หน้า-หลัง

    3. ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย ทำตัวอ่อนๆ คล้อยตามแรงดึงแรงผลักที่เกิดขึ้น (ไม่สร้างความรู้สึกต้าน) พลังกระแสลมปราณจากสฟิงซ์จะเข้าไปช่วยรักษาและฟื้นฟูเซลล์ที่บกพร่องมีอาการเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย

    4. ผู้ฝึก ผู้ป่วย จะมีความรู้สึกว่าความเจ็บปวดได้ทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ให้มีความอดทน เสมหะ น้ำลาย หนองหรือเลือดเสีย จะถูกขับออกมาจากร่างกายอย่างต่อเนื่อง ให้บ้วนทิ้ง (รวมทั้งอาการหาว เรอ ปัสสาวะ อุจจาระ) พีระมิดที่วางอยู่ด้านหลังของสฟิงซ์จะทำหน้าที่ดันระบายของเสียทิ้งออกไปจากร่างกาย

    5. ถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วย อยากให้อาการเจ็บป่วยที่มีอยู่หายเร็วยิ่งขึ้น ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย ใช้พลังจิตของตนเองเพียงเล็กน้อยทำงานร่วมกับพลังงานกระแสลมปราณจากสฟิงซ์ โดยการนึกให้พลังกระแสลมปราณเคลื่อนที่ขึ้น-ลง เป็นการถูขึ้นและถูลงเป็นจังหวะๆ (เหมือนกับการถูของเส้นแสง) ช่วยให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

    6. ในช่วงเวลาปกติ เช่น พักผ่อน หรือทำกิจการงานหรือนอนหลับในเวลากลางคืน ผู้ฝึก ผู้ป่วย ไม่จำเป็นต้องบังคับหรือกำหนดให้ตนเองหันหน้าไปทางทิศตะวันตกตลอดเวลา ให้ปฏิบัติตนตามปกติ เพียงแต่ให้จัดวางสฟิงซ์ไว้ให้สุดมุมห้อง หรือเตียง โดยหันใบหน้าสฟิงซ์ไปทางทิศตะวันตกทั้ง 2 ตัว (องค์) ผู้ฝึก ผู้ป่วย จะได้พลังรักษาจากพลังกระแสลมปราณตลอด 24 ชั่วโมง

    a. วิธีการฝึกปฏิบัติ ข้อ 1-6 อาจจะมีผลทำให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย มีความรู้สึกเหมือนกับว่านอนหลับไม่อิ่ม หรือหลับไม่สนิท ซึ่งมีสาเหตุเนื่องมาจากพลังกระแสลมปราณจากสฟิงซ์จะให้พลังรักษาตลอดเวลาทำให้เซลล์ในร่างกายได้รับการกระตุ้น และฟื้นฟูตลอดระยะเวลาที่นั่ง-นอนอยู่ภายในรัศมีของสฟิงซ์ 2 ตัว (องค์) ซึ่งถ้าผู้ฝึก ผู้ป่วยสังเกตตนเองจะพบว่าถึงแม้จะรู้สึกว่านอนหลับไม่ลึก หลับไม่สนิท แต่จะไม่รู้สึกเพลีย

    b. โดยหลักธรรมชาติเมื่อเซลล์ได้รับการกระตุ้นฟื้นฟูอยู่ตลอดเวลาจะช่วยเพิ่มความเป็นหนุ่มสาวให้แก่ร่างกาย

    c. เมื่อใดก็ตามที่ร่างกายดูดซับพลังกระแสลมปราณจากสฟิงซ์ไว้อย่างเพียงพอแล้ว กระแสลมปราณจะถูกตัดโดยอัตโนมัติ

    7. สำหรับผู้ฝึกบางท่าน เมื่อได้รับพลังกระแสลมปราณเข้าสู่ร่างกายอย่างพอเพียง และรู้สึกว่าร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงดีแล้ว ให้ผู้ฝึก เปลี่ยนทิศของการนั่ง โดยนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และปรับสฟิงซ์ให้หันหน้าตามไปทางทิศตะวันออกด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นการปรับสมดุลของพลังงานภายในร่างกาย



    8. ผู้ฝึก ผู้ป่วย สามารถวางสฟิงซ์โดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออกทั้ง 2 ตัว (องค์) เพื่อให้ได้ประโยชน์ ตามรายละเอียดในข้อ 6 นั้น แต่จะมีสิ่งที่แตกต่างกันบ้าง คือ จำนวนของพลังกระแสลมปราณที่ได้รับจากสฟิงซ์ ที่จัดวางให้หันหน้าไปทางทิศตะวันออกจะมีน้อยกว่า จึงทำให้หลับลึก หลับสนิท เพราะเซลล์ในร่างกายได้รับการกระตุ้นที่น้อยกว่าด้วยเช่นกัน (ฉะนั้นการวางสฟิงซ์วิธีนี้ อาจจะไม่เหมาะกับผู้ป่วยหนัก ที่ต้องการพลังของการรักษามากกว่า)

    การใช้สฟิงซ์ 1 ตัว (องค์) ร่วมกับพลังจิต
    การจัดวาง
    ผู้ฝึก ผู้ป่วย นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันตก และสฟิงซ์วางไว้ด้านหน้าของผู้ฝึก ผู้ป่วยและหันใบหน้าไปทางทิศตะวันตกด้วยเช่นกัน



    วิธีปฏิบัติ

    1. ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย นึกไปถึงใบหน้าของสฟิงซ์เพื่อนึกดึงพลังกระแสลมปราณจากสฟิงซ์เข้าสู่ร่างกาย

    2. นึกให้พลังกระแสลมปราณทำการรักษาส่วนที่บกพร่องโดยการถูขึ้น-ถูลง เหมือนกับการถูของเส้นแสง หรือนึกให้พลังกระแสลมปราณเข้าไปกระตุ้น กระทุ้ง ตามจุดลมปราณทั้ง 12 จุดทั่วร่างกาย

    3. เมื่อทำการรักษาหรือสิ้นสุดการฝึกปฏิบัติในแต่ละครั้ง ผู้ฝึก ผู้ป่วย สามารถเลือกทำได้ 2 วิธี

    a. จบการฝึกปฏิบัติในทิศตะวันตก

    b. เปลี่ยนทิศของการนั่งโดยนั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และปรับสฟิงซ์วางไว้ด้านหน้าผู้ฝึก และหันหน้าไปทางทิศตะวันออกด้วยเช่นกัน เพื่อช่วยปรับสมดุลของพลังงาน และดูดระบายของเสีย

    ข้อควรจำ
    1. เมื่อใดก็ตามที่ใช้พลังจากสฟิงซ์ทั้ง 2 ตัว(องค์) นั่นหมายความว่า ผู้ฝึก ผู้ป่วย ได้รับพลังกระแสลมปราณช่วยในการสร้างภูมิต้านทานหรือรักษาร่างกายอย่างพอเพียง (จะใช้พลังจิตเข้าร่วมด้วยหรือไม่ ท่านสามารถเลือกเองได้)

    2. ถ้าใช้สฟิงซ์ 2 ตัว (องค์) จะต้องวางสฟิงซ์หันใบหน้าตามไปในทิศทางเดียวกัน เช่น วางหันหน้าไปทางทิศตะวันตกทั้งคู่ หรือหันไปทางทิศตะวันออกทั้งคู่

    คัดลอกมาจากhttp://www.geocities.com/healthmeditation/
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,710
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ข่าวดี....พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ จะมาสอนวิธีรักษาไข้หวัดนกที่อาคาร K.U.HONE มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เขตบางเขน กทม. ในวันที่ 30 ม.ค.48 เป็นเวลา 1 วัน

    สอบถามรายละเอียด-สมัครเข้ารับการอบรมได้ที่ คุณจีรพันธุ์ ประศาสน์วุฒิ 0-2538-2341 ค่าลงทะเบียนพร้อมอาหาร 1 วัน 800.-บาท สอนโดยพระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...