วิสัยการปรารถนา และการปฏิบัติ เพื่อพุทธภูมิ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย มหาหินทร์, 21 ตุลาคม 2005.

  1. พุทธางกูร

    พุทธางกูร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    14
    ค่าพลัง:
    +34
    ขอสั่งสมบารมีแห่งพระโพธิญาณเพื่อรื้อคนขนสัตว์เข้าสู่นิพพานทั้งหมดทั้งสิ้น<!-- google_ad_section_end -->
     
  2. thanatos 123

    thanatos 123 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +10
    ขอให้ทุกท่านสำเร็จสมความปราถนาครับ
     
  3. จิตสีฟ้า

    จิตสีฟ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +192
    ต่อให้ตาบอดเเล้วต้องงมเม็ดทรายสีฟ้าในมหาสมุทรก็ยอม


    :cool:เป็นข้อมูลที่ดีมากเลยครับ
     
  4. ttt2010

    ttt2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,754
    ค่าพลัง:
    +904
    อนุโมทนาสาธุ
    บุญนี้ ขอยกให้กับเจ้าของกระทู้ด้วยเทอญ...

    ttt2010 ศิษย์พระอาจารย์บุญยง อภิลาโส ภิกขุ
    _____________________________________________________
    แนะนำกระทู้
    มิจฉาชีพกับรถที่จอดบนทางด่วน ทางยกระดับ และทางกลับรถ
    เมื่อรู้ว่า...ดวงชะตาขาด
    คติธรรมนำทางชีวิต ตามแนวคิดของศิษย์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เปิดดวง พิธีกรรมแก้ดวงชะตา (สำนักสงฆ์พรหมรังศรี)
    16 ตุลาคม 2554 กฐินสามัคคีปฐมฤกษ์เบิกชัย ที่พักสงฆ์พรหมรังศรี
    ป้องกันภัยน้ำท่วมเมื่อถูกธรรมชาติลงโทษ ตัวอย่างนครอินทร์&ราชพฤกษ์
    แก๊งกลุ่มเด็กอุแว้ อุแว้...ซิ่ง...(แก้เครียดน้ำท่วม)
    ท่องเที่ยวนครนายก เมืองเจ้าพ่อขุนด่าน
    ท่องวัดและศาสนสถานที่สำนักสงฆ์พรหมรังศรี
    การเบิกโอนบุญ อนุโมทนาบุญ และวิธีปฏิบัติ
    แจกฟรี (ไฟล์ PDF) หนังสือหลวงตามหาบัว ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่า ชาติสุดท้าย
    ขอเชิญร่วมบูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถวัดดอนพัฒนาราม พระนครศรีอยุธยา
    ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างศูนย์วิปัสสนาศิริธรรม(นายาง)ต.นายาง อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี
    แรงศรัทธาพุทธศาสนาในบอร์ดพลังจิต
    วันอาสาฬหบูชา วันนี้เลือกเวียนเทียนที่พุทธมณฑลดีกว่า<!-- google_ad_section_end -->
     
  5. เอ คอร์

    เอ คอร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +30
    สาธุผมขออนุโมทนาด้วยครับ ผมไม่ญาณสมาบัติทำเลวก็เยอะ แต่ส่วนลึกในใจผมปรารถนาพุทธภูมิซึ่งผมเองก็ไม่เคยฝันหรือเห็นนิมิตรที่อัศจรรย์เลยแตเวลาผมสวดมนตร์หรือไปทำบุญผมก็จะอธิษฐานตั้งความปารถนาพุทธภูมิเสมอแม้แต่ตอนไปขึ้นเขาคิชกูฏผมไปถึงผ้าแดงและเขียนว่าขอสร้างบารมี999อสงไขยแสนมหากัปป์สำหรับปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าขอได้โปรดช่วยชี้แนะผมด้วยที่มันนึกอยากเพราะนั่งกรรมฐานระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าและความสามรถของพระองค์และผมอยากรื้อขนสรรพสัตว์ ขอแนวทางด้วยครับ และต้องได้สมาบัติไหมครับสาธุอนุโมทนาบุญด้วยครับหากว่าธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้าและความปราถนานี้ไม่ใช่สิ่งชั่วช้าลามกสำหรับผมท่ามกลางความวิตกและทุกข์เรื่อยมาและอยากช่วยพ่อกับแม่รวมทั้งคนอื่นๆขอให้ความปรารถนาของผมจงเป็นจริงด้วยอย่าได้ล้มเหลวเลยจงได้เป็นในอีก999อสงไขยแสนมหากัปป์ด้วยเถิด
     
  6. เอ คอร์

    เอ คอร์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +30
    ผมผิดหวังมาเกือบทั้งชีวิตอธิษฐานอะไรไม่เคยได้ไม่ประสบผลเผลอๆได้ผลตรงกันข้ามคราวนี้ผมกัดฟันตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาพุทธภูมิอย่างเดียวแล้วทำบุญอะไรก็ขอจะเป็นพระพุทธเจ้าอย่างเดียวแล้วไม่ขออย่างอื่นอีก
     
  7. Dongky

    Dongky Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +84
    ตอนแรก ผมเข้าใจว่า...

    อสงไขยกับเศษอีก100000มหากัปนั้นคือ

    การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าเราคือ4อสงไขยปี กับ 100000 มหากัป

    แต่คราวนี้ รู้แล้วว่า คือ...4อสงไขยมหากัปและเศษอีก100000มหากัป



    ยาวมากเลยนะนี่ . . . แต่ไม่ว่าจะยาวนานเพียงไร
    ทุกคน เกิดมามากกว่านี้อีก
    ถ้าเอาเวลาที่กล่าวข้างต้น มา เทียบกับเวลาที่เราได้เวียนว่ายอยู่ในสงสาร
    มันช่างน้อยยิ่งนัก

    แต่ผมเคยอ่านหนังสือเจอนะครับว่า...ไม่ใช่แค่4อสงไขยกับเศษ100000มหากัปเท่านั้น
    เพราะเวลานี้คือการบำเพ็ญด้วยกาย วาจา และใจ
    ส่วนก่อนหน้านั้น...บำเพ็ญทางใจ(อธิษฐานจิต)เป็นเวลา 9 อสงไขยมหากัป
    ทางวาจา เป็นเวลา 7 อสงไขยแสนมหากัป
    และ ทางกาย วาจา ใจ อีก 4 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป
    รวมทั้งสิ้น.....20อสงไขยกับเศษแสนมหากัป อันนี้คือ พระปัญญาพุทธเจ้า

    อธิษฐาน 18อสงไขย วาจา 14 อสงไขย และ กาย วาจา ใจ 8อสงไขยกับเศษ100000มหากัป รวมทั้งสิ้น 40 อสงไขยกับเศษ100000มหากัป อันนี้คือ พระสัทธาพุทธเจ้า


    ส่วน อธิษฐาน 36 อสงไขย วาจา 28 อสงไขย และ กาย วาจา ใจ 16 อสงไขยกับเศษ100000มหากัป รวมทั้งสิ้น 80 อสงไขยกับเศษ100000มหากัป อันนี้คือ พระวิริยะพุทธเจ้า


    ดูสิครับ เวลาการบำเพ็ญเพื่อพุทธภูมิ ยาวนานแค่ไหน....

    .......แต่ท่านที่จะปรารถนาพุทธภูมินั้น อย่าเพิ่งท้อครับ
    ให้ท่านลองคิดดูสิว่า...พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก กี่พระองค์แล้ว (มากจนนับไม่ได้เลยใช่ไหม)
    แล้วลองคิดอีกทีว่า...การเวียนว่าย ตายเกิดของเรานี้ยาวนานมากแค่ไหน(มากเหมือนกันใช่ไหม)
    เพราะฉะนั้น...การเวียนว่ายตายเกิดของเรานั้นมากมายเหลือเกิน เมื่อเทียบกับเวลาที่จะบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิ...


    สำหรับท่านที่ปรารถนาพระนิพพานไวไว ก็จงเห็นภัยในวัฏฏสงสาร นั้นเถิด...
     
  8. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +2,161
    เกณฑ์ผู้ปรารถนาพุทธภูมิต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วครับ เพียงแต่ว่าจะตกอยู่ในฐานะแบบนั้นเพราะอะไร ถ้าเพราะตัวเองทำให้ล่มจมอันนี้ไม่ใช่เพราะความเป็นพุทธภูมิครับ ถ้าไม่ใช่เหตุภายนอกที่ซ้ำให้เราแย่ ก็คือเราทำแย่เอง แต่เราทำแย่เองไม่ใช่ในด้าวความชั่วครับ โดยเฉพาะในเรื่องการช่วยเหลือผู้อื่นนี่ถ้าจะว่ากันตามปกติ จะให้จะช่วยจนตัวเองแย่หนักเป็นเรื่องปกติไปเลย แต่ไม่ใช่ไม่ดูคนรับนะครับ เพียงแต่คนที่ขอให้ช่วยมันมีมากมายทุกสถานที่ทุกเวลาเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนเรื่องการปฎิบัติจริงๆ เขาไม่ดูที่การแสดงภายนอกครับ เทวดาพรหมเขาก็ไม่ได้ดูแค่มาทำตัวเคร่งครัดศีลธรรม หรือทำสมาธิเก่ง ทรงอภิญญา เรื่องพวกนี้เป็นเพียงโอกาสที่จะทำให้เรียนรู้ได้ดีขึ้นแค่นั้น แต่ไม่ได้หมายความว่าพุทธภูมิคนๆ นั้นจะเป็นคนดีจริงๆ นะครับ มีอยู่มากมายที่พุทธภูมิบารมีใกล้เต็มแต่อภิญญาก็ไม่ได้ รวยก็ไม่รวย แต่เพราะเจตนาในการเกิดคนละวิสัยคนละกาละกัน เราเห็นแค่นั้นก็จะด่วนตัดสินไม่ได้ ทั้งหมดคุณค่าที่แท้จริงอยู่ที่น้ำใจที่อยู่ในหัวใจของเหล่าพุทธภูมิล้วนๆ ครับ ว่าสิ่งที่ท่านกำลังคิดและกระทำลงไป ทำไปเพื่อประโยชน์ใคร และแน่นอนถ้าของแท้ ไม่มีคำว่าเพื่อตัวเองแน่ ถึงแม้เราจะยังไม่อาจจะเข้าใจในการกระทำของท่านเหล่านั้น

    ก็ลองพิจารณาดูดีๆ นะครับ ว่าการปรารถนาพุทธภูมิของเรา โดยเนื้อแท้จริงๆ เกิดจากอะไร ถ้าดูดีๆ แล้วมันไม่ได้เกิดจากความรักความเมตตา กรุณาสงสารคนอื่นจริงๆ ก็อย่าปรารถนาเลยครับ ยังไงก็ไม่มีทางสำเร็จ แต่ถึงจะไม่สำเร็จความดีที่ทำไว้ก็มีคุณอยู่ เพียงแต่จะลำบากมากกว่าเดิมไปใยในเมื่อปรารถนาพระนิพพานตรงๆ ก็เร็วกว่าดีกว่าตั้งเยอะ ไม่ได้ให้ลานะครับ เพียงแต่ต้องมั่นตรวจจิตของตัวเองประจำ ถ้าสรุปชัวร์แล้วก็ลุยให้สำเร็จความตั้งใจสักอย่างครับ ในการเกิดชาตินี้จะได้ไม่เสียเปล่า เรื่องทำบุญ ทรงสมาธิ ถือเป็นเรื่องปกติ ไม่นับเข้าเป็นเกณฑ์การแสวงหาความรู้ครับ คือต้องมีเป็นปกติ ส่วนชาตินี้จะทำอะไรก็ตั้งเป้าหมายไว้ครับ ชาตินี้จะได้ไม่เสียเวลา
     
  9. dooperty

    dooperty Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2011
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +65
    คนที่เข้มแข็งด้วยใจตน
    ย่อมเรียนรู้ความแจ้งแห่งพระนิพพาน1
    และความปราถนาต่อพุทธภูมิ1

    ได้รับความรู้ ....
    ครอบครัวมดแก้ว ขอร่วมอนุโมทนา ด้วยครับ
     
  10. โอม ศักติ

    โอม ศักติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +116
    อนุโมทนาสาธุ

    ข้าพเจ้าขอร่วมอนุโมทนาบุญในการสร้างบารมีของท่านทั้งหลายด้วยความเคารพ
     
  11. touchtunder

    touchtunder เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    44
    ค่าพลัง:
    +144
    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ...สาธุครับ...

    อิมินา ปุญญะ กัมเมนะ พุทโธ โหมิ อะนาคะเต กาเล...ด้วยผลบุญนี้ขอให้ข้าพเจ้านายทัศไนย เต็มแสนสุข...จงได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพฺธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาล เพื่อสามารถช่วยเหลือสัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย ใน ๓ ภพ ๓๑ ภูมินี้ ให้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพคราวละมากๆ ตามรอยพระพุทธบาทขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ตั้งแต่สมเด็จพ่อองค์ปฐมจนถึงสมเด็จพ่อองค์ปัจจุบันด้วยเทอญ...สาธุ สาธุ สาธุ
     
  12. choksila58

    choksila58 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    631
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,059
    .. กตัญญู มีเมตา ใจกว้างขวาง..
     
  13. jamesnuke

    jamesnuke เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +224
    ขออนุญาตครับ คำว่า “ธิกะ” ควรเปลี่ยนเป็น "อธิกะ" แปลว่า อันยวดยิ่ง เช่น ปัญญาธิกะ สัทธาธิกะ และ วิริยาธิกะ
    ผิด ถูกขออภัยด้วย....
     
  14. o_NangKaew_o

    o_NangKaew_o Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    26
    ค่าพลัง:
    +58
    ขออนุโมทนาบุญในทุกเนื้อความ ทุกกำลังใจ ทุกตัวอักษร ที่ท่านได้พิมพ์ให้กับทุกคนได้อ่านด้วยนะค่ะ
    แม้แต่ดิฉันเอง ยังได้กำลังใจมากขึ้นทีเดียว
    กำลังใจของนางแก้วนั้น จะต้องมากพอและมีสติระลึกพร้อมเสมอว่า


    วันใดที่พระโพธิสัตย์ต้องยกหรือสละชีวิตของเราแล้วไซร์
    เพื่อให้โพธิญาณของท่านเต็มกำลังจงบอกตัวเองพร้อมยิ้มและภูมิใจเถิดว่า
    เรานั้นได้ทำหน้าที่ของนางแก้วได้สมบูรณ์อย่างดีแล้ว


    หากกำลังใจของคู่บารมีคือนางแก้วลดลงแล้วไซร์
    งานที่ยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตย์อาจจะล่าช้าหรือสำเร็จได้ยากเช่นกัน
    ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่ปารถนาพุทธภูมิด้วยนะค่ะ



    (rose)(rose)(rose)(rose)(rose)(rose)​
     
  15. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    Hey man โพส # 86, 87 และ 88

    อังคาร โพสที่ 96

    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ มหาหิน
    และที่สำคัญที่สุด ก็คือ ระยะที่ใช้นับรวมให้ครบ กัป ครบอสงไขย นั้น นับเฉพาะที่เสวยชาติเป็นมนุษย์ หรือสัตว์ (มีขันธ์ 5)เท่านั้น
    บ้างชาติ ไปตกนรก ไปเสวยสุขเป็นเทวดา เป็นพรหม กี่กัป กี่อสงไขย ก็ตาม ไม่นำเอามานับรวมไว้ด้วย
    ก็ลองคิดดูว่า กว่าจะสะสมให้ครบ ๑ กัป.... ๑๐๐,๐๐๐ กัป.... ๑ อสงไขยกัป จะต้องเกิดกันกี่ครั้ง....
    แล้ว ๒๐ อสงไขย, ๔๐ อสงไขย, ๘๐ อสงไขย ต้องเกิดกี่ครั้ง ....

    ชัดเจนมากครับ
    แต่ผมมีความเห็นขัดแย้งเรื่องการนับเวลาเป็นอสงไขยของ มหาหิน ครับ ที่ว่านับเฉพาะชาติที่เกิดเป็นมนุษย์
    เริ่มกันที่วิธีการนับเวลาก่อน คือ หากเวลาไม่นานมากนัก เราก็นับกันเป็นจำนวนสังขยา ๑ ๒ ๓ ..... ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงอสงไขยปี ก็คือจำนวนปีเท่ากับ ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัว เกินไปจากนี้ก็ไม่นับกันแล้วครับ เลิกนับ เพราะนับไม่ไหว
    ดังนั้นคำว่าอสงไขยปี ในแง่ของจำนวนสังขยา จึงเท่ากับ ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัวที่ว่า
    แต่ถ้าเกินกว่านั้น ก็ยังเรียกว่าอสงไขยปีอีกเหมือนกัน แต่กลายเป็นจำนวนปีที่ไม่แน่นอน เพียงแต่อุปมาให้รู้ว่ามันนานมากจริงๆ

    ทีนี้คำว่าอสงไขยกัปหนึ่ง ในแง่ของจำนวนสังขยา ก็หมายถึงจำนวนกัปเท่ากับ ๑ ตามด้วย ๐ อีก ๑๔๐ ตัวครับ แต่ในความหมายของระยะเวลาการบำเพ็ญพุทธการกธรรมของพระโพธิสัตว์ อสงไขยกัป หมายถึงจำนวนกัปที่มากมายจนนับไม่ถ้วนครับเป็นแบบการอุปมาครับ

    การนับอสงไขยกัปที่พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีนั้น ก่อนอื่นต้องย้อนกลับไปที่ลักษณะของกัปก่อนครับว่ามีอยู่ ๒ แบบ คือ
    ๑.สุญญกัป คือ กัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเลย
    ๒. อสุญญกัป คือ กัปที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติอย่างน้อย ๑ องค์ (สูงสุด ๕ องค์)
    และลักษณะของอสงไขยกัปก็เป็นเช่นเดียวกัน คือ
    ๑.สุญญอสงไขย คือ อสงไขยที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเลย
    ๒. อสุญญกัป คือ อสงไขยที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ

    สุญญอสงไขย คือ อสงไขยที่ประกอบด้วยกัปจำนวนมากจนนับไม่ได้มาต่อกัน คั่นหัวท้ายด้วยอสุญญกัป
    ส่วน อสุญญอสงไขย คือ อสงไขยที่ประกอบด้วยกัปจำนวนมากจนนับไม่ได้มาต่อกัน คั่นหัวท้ายด้วยสุญญกัป

    ยกตัวอย่างครับ
    ย้อนหลังไปก่อนที่พระโพธิสัตว์จะได้รับลัทยาเทศน์ เป็นอสุญญอสงไขยครับ เมื่อสิ้นสุดอสุญญอสงไขยนั้นแล้ว ก็มีอสุญญกัปหนึ่งมาคั่นอยู่ เรียกว่า สารมัณฑกัป มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๔ พระองค์ คือ พระตัณหังกร พระเมธังกร พระสรณังกร และพระปัจฉิมทีปังกร ผู้พยากรณ์ท่านสุเมธดาบสโพธิสัตว์นั่นแหละครับ
    สิ้นสารมัณฆกัปนั้นแล้ว ก็เข้าสู่สุญญอสงไขย คือ บังเกิดกัป เกิด ดับ หมุนเวียนไป ๑ ๒ ๓ ..... จนนับไม่ถ้วน นับไม่ไหว นานแสนนาน แล้วจึงมีอสุญญกัปหนึ่งมาแทรก เรียกว่า สารกัป มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๑ องค์ คือพระโกณฑัญญะ
    ช่วงเวลาจากสารมัณกัปจนถึงสารกัปที่ยกตัวอย่างมานี้แหละครับ เรียกว่า อสงไขยกัปหนึ่ง


    อังคาร โพสที่ 97

    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ Hey man
    ขอย้ำครับว่าเท่าที่ทราบมานั้นหมายถึง 10 พระองค์ใน 1 กัปครับ
    ขอขอบคุณ ท่าน generationxxx ด้วยครับ

    พระพุทธเจ้าในกัปหนึ่งมีจำนวนสูงสุด คือ ๕ พระองค์เท่านั้นครับ

    กัป หรือ มหากัป มี ๒ ลักษณะ คือ ถ้าเป็นกัปที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ เรียกว่า อสุญญกัป แต่ถ้าเป็นกัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเลยจะเรียกว่า สุญญกัป
    อสุญญกัปแต่ละกัปนั้นยังมีลักษณะไม่เหมือนกันจึงมีชื่อเรียกต่างกัน ๕ อย่าง โดยมีจำนวนพระพุทธเจ้าที่มาอุบัติเป็นคุณสมบัติประการหนึ่งของกัป คือ
    ๑. สารกัป กัปที่เป็นแก่นสาร มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๑ องค์
    ๒. มัณฑกัป กัปที่ผ่องใส มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๒ องค์
    (ยกเว้นกัปที่ “พระปทุมุตระพุทธเจ้า” มาอุบัติเพียงพระองค์เดียว ก็เรียกว่ามัณฑกัป)
    ๓. วรกัป กัปที่ประเสริฐ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๓ องค์
    ๔. สารมัณฑกัป กัปที่เป็นแก่นสารและผ่องใส มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๔ องค์
    ๕. ภัททกัป กัปที่เจริญ มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ องค์
    จำนวนพระพุทธเจ้าที่มาอุบัติในกัปหนึ่ง ๕ พระองค์นั้นถือว่ามากที่สุด ไม่มีกัปใดที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติมากกว่านี้อีกแล้ว
    ในภัททกัปปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเพียงแค่ ๕ พระองค์เท่านั้น เวลานี้ก็ผ่านมา ๔ พระองค์แล้ว หลังจากสิ้นสุดอันตรกัปนี้แล้ว ขึ้นอันตรกัปหน้า ก็เป็นเวลาของพระศรีอาริยเมตไตรยครับ (จากนั้นในคัมภีร์พุทธวงศ์กล่าวไว้ว่าจะตามมาด้วยสุญญอสงไขยครับ คนแก่คนเฒ่าถึงได้บอกว่า ยังไงๆ ก็ขอให้เกิดทันยุคพระศรีอาริย์ เพราะถ้าพลาดงวดนี้ก็อีกยาวไกลเลยครับ)


    ....................................................................................................................................................

    ขออภัยที่ไม่ได้เข้านี้อยู่นาน..

    มันเป็น "หัวข้อธรรม" ที่เข้าถึง เข้าใจ ได้ยาก
    พึงใช้ปัญญาญาณ ของแต่ละท่าน ตามบุญ บารมี ของใคร ของเขา
    ไม่ได้บอกว่า จะต้องเชื่อ ตามความเข้าใจของผม

    องค์หลวงพ่อฯ ได้กล่าวไว้ (ในทำนอง) ว่า..
    ได้กราบทูลถาม สมเด็จองค์ปฐม (พระพุทธเจ้าพระองค์แรก)
    ว่า พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญบารมี มาตั้งแต่ เมื่อใด อย่างไร..

    ได้รับคำตอบ ว่า..
    สมเด็จองค์ปฐม เริ่มบำเพ็ญบารมี
    โดยไม่มีครู อาจารย์ ที่จะสอนเรื่อง พุทธภูมิ มาก่อนเลย
    การบำเพ็ญบารมี จึงต้องใช้เวลานานมา นานถึง(ปรมัตถ์) 40 อสงไขย
    (ถ้ารวมบารมีต้น บารมีกลาง ปรมัตถ์ ก็ต้อง 200 อสงไขย)

    หลังจากนั้น พระโพธิสัตว์ ก็มีแบบบำเพ็ญสืบต่อ ๆ กันมา
    มี ธิกะในการบำเพ็ญบารมี 3 ธิกะ คือ
    ปัญญาธิกะ (ปรมัตถบารมี 4 อสงไขย / ต้น 7 กลาง 9 ปรมัตถ์ 4 รวม 20 อสงไขย)
    ศรัทธาธิกะ (ปรมัตถบารมี 8 อสงไขย / ต้น 14 กลาง 18 ปรมัตถ์ 8 รวม 40 อสงไขย)
    วิริยาธิกะ (ปรมัตถบารมี 16 อสงไขย / ต้น 28 กลาง 36 ปรมัตถ์ 16 รวม 80 อสงไขย)

    สมเด็จองค์ปฐม ท่านฯ บรลุพระโพธิญาน เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อ....
    ท่านฯ บอกว่า ให้ ตั้งต้น ด้วยเลข 5 แล้วเติม 0 จำนวน 50 ตัว
    หน่วยเป็น อสงไข

    ลองเขียนดู ก็จะได้ ดังนี้....
    500,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000 อสงไขย

    1 กัป นับจำนวน ปี ไม่ได้
    1 อสงไขย นับจำนวน กัป ได้ยาก

    500,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000 อสงไขย

    จะมีกี่ "กัป"

    ในแต่ละ "กัป" ถัดมาจากที่สมเด็จองค์ปฐมบรรลุพระโพธิญาน
    จะมีพระโพธิสัตว์ มาบรรลุพระโพธิญาน ตาม สมเด็จองค์ปฐม ต่อ ๆ กันมา

    บางกัป มี พระพุทธเจ้า เพียง 1 พระองค์
    บางกัป มี พระพุทธเจ้า เพียง 2 พระองค์
    บางกัป มี พระพุทธเจ้า เพียง 3 พระองค์
    บางกัป มี พระพุทธเจ้า เพียง 4 พระองค์
    บางกัป มี พระพุทธเจ้า เพียง 5 พระองค์
    บางกัป ไม่มี พระพุทธเจ้า เลย เรียกว่า สุญญกัป

    ถ้าเฉลี่ยแบบว่าเดา ๆ เอาว่า ขอเฉลี่ย มี พระพุทธเจ้า แค่ กัปละ 1 พระองค์
    1 อสงไขย ยังนับกัป ได้ยาก
    เพียงแค่ 1 อสงไขย ที่นับจำนวนกัปได้ยาก จะมีพระพุทธเจ้าบรรลุ กี่พระองค์

    แล้ว..
    500,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000,000 อสงไขย

    จะมีกี่ "กัป" และ
    ที่ผ่านมาจะมี สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรรลุแล้ว กี่พระองค์

    อันนี้ เครื่องคิดเลข ก็คงไม่พอที่จะคำนวณได้


    .....................................................................................................................................................

    เรื่อง จำนวนพระพุทธเจ้ามาบรรลุ กี่พระองค์ ในกัปนี้

    ตามตำรา ท่านก็ว่าไว้ชัดเจนแล้ว ว่า 5 พระองค์ (ผม ก็ได้อ่าน ตำรา มาแล้วบ้าง)

    แต่เนื่องด้วย ตำรา ไม่เสมอด้วย ปัญญาญาณ..
    กระผมฯ ไม่มีฌานบารมี ไม่เจริญด้วยญาณวิสัย ไม่มีความรู้จริงด้วยปัญญาญาณ มีแต่สัญญา
    สัญญา คือ ความจำ อ่านหนังสือ อ่านตำรา ฟังเขาเล่ามา แล้ว จำได้


    เรื่องที่สาธยายนี้ เพียงได้สดับ รับฟัง มาจาก องค์หลวงพ่อฯ
    (องค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน ท่านมีญานวิสัยเพียงใด เราก็ต้องศึกษากันเอง
    รู้กันเพียงว่า ท่านฯ ละสังขารแล้ว ขันธ์ 5 แล้ว ร่างกายท่านฯ ไม่เสื่อมสลาย
    ถ้าท่านฯ พูดโกหก ร่างกายท่านฯ จะเข้าสู่คุณธรรมพิเศษนี้ ได้หรือไม่....)


    (กราบขอขมาต่อองค์หลวงพ่อฯ ไม่ได้กล่าวเพื่อเป็นการตีเสมอ
    แล้ว ตัวของเราล่ะครับ เมื่อตายแล้วจะ กายไม่เน่า เราจะทำได้ไหม?)


    องค์หลวงพ่อฯ ท่านกล่าวไว้ในทำนอง ว่า....

    กัปนี้ เป็นกัปพิเศษ ไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่อดีต..
    จะมีพระพุทธเจ้ามาบรรลุถึง 10 พระองค์ คือ..
    พระพุทธกกุกสันโธ
    พระโกนาคมโน
    พระพุทธกัสสโป
    พระพุทธโคตโม
    และมี พระศรีอาริยะเมตตไตรย์ มาเป็นองค์ ปิดครึ่งกัป

    จะมี สมเด็จพระราโม เป็นองค์เปิดครึ่งกัปหลัง
    และมีสมเด็จพระเลไลยกะ เป็นองค์ที่ 10 ปิดกัปนี้

    ใครเกิดมาชาตินี้ ถือว่า โชคดีอย่างยิ่ง
    และก็ ซวย อย่างมหันต์

    โชคดี อย่างยิ่ง
    เพราะว่า.. เพียงทำบุญ ก่อบารมี สามารถเข้าถึง สวรรค์ พรหม
    ได้เป็นเทวดา นางฟ้า พระพรหม ก็ตาม.. มีโอกาสที่จะได้รับฟังธรรม
    จะได้พบพระพุทธเจ้าในกัปนี้ อีก 6 พระองค์ (เวลาบนสวรรค์นานกว่าโลกมนุษย์)
    เทวดา นางฟ้า พระพรหม มีความเป็นทิพย์ (ถ้าไม่มิจฉาทิฐิ)
    ก็จะสามารถเข้าถึงซึ่ง พระนิพพาน ได้ไม่ยาก

    ซวย อย่างมหันต์
    ถ้าประมาท พลาดพลั้ง ต๋อม ลงนรกไป เสียแล้ว ก็จะเสียเวลาไปมาก
    เพราะว่า.. เวลาในนรก ยาวนานกว่าโลกมนุษย์มาก


    ขุมนรก ที่เร็วที่สุด (หากจำไม่ผิด) ชื่อ สัญชีพนรก (โทษ 500 ปีนรก)
    ขุมนี้ โทษแค่กระจุ๋ม กระจิ๋ม.. ดื่มสุรา แต่ผ่านขุมนี้ ก็ต้องไปฝ่าขุมอื่น ๆ อีก


    สัญชีพนรก นี่.. เร็วที่สุดใน นรก..
    9,000,000 ปีมนุษย์ เท่ากับ 1 วัน ในนรกขุมนี้
    ขุมอื่น ๆ ยิ่งยาวเป็น 2 เท่า 4 เท่า 8 เท่า ทวีคูณ ขุมอเวจี 1 กัปนรก
    เรียกว่า นานมา ยากที่จะสามารถคำนวณ เป็นตัวเลขของ ปีมนุษย์


    โอกาสที่จะขึ้นมาเกิดเป็น คน ได้อีก พระพุทธเจ้าท่าน ทรงตรัสรู้ ผ่านไป
    หลายพัน เป็นหมื่น พระองค์ อย่างนี้ ซวยจริง


    ความเชื่อ ความศรัทธา เป็นเรื่องของส่วนตนเอง
    ไม่ได้บอกยืนยัน ว่า จะต้องเชื่อตามนี้ นะครับ..


    ......................................................................................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2013
  16. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    เกิดอีก ก็ทุกข์อีก
    เกิดอีก ก็แก่อีก
    เกิดอีก ก็เจ็บอีก
    เกิดอีก ก็ป่วยอีก
    เกิดอีก ก็ตายอีก
    เกิดอีก ก็ต้องขุ่นเคืองอีก
    เกิดอีก ก็ต้องกระทบกับสิ่งไม่พึงใจอีก

    การมีขันธ์ 5 ในโลก เป็นทุกข์ น่าเบื่อที่สุด
    เราจะไปมุ่งหวังว่า จะเกิด เพื่อแก่ เจ็บ ป่วย ตาย กันอีกทำไม..

    องค์หลวงพ่อฯ ท่านแนะนำ ชักชวนให้ลูกศิษย์ไปพระนิพพานเสมอ ๆ
    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศิษย์ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ตาม ๆ ท่าน ตาม ๆ กันมา

    ท่านฯ กล่าวไว้ ในทำนองว่า..
    "พุทธภูมิ ที่อยู่บารมีต้น บารมีกลาง ยังมี นรก เป็นที่ไป เป็นปกติ
    พุทธภูมิ ก็ไปพระนิพพาน.. สาวกภูมิ ก็ไปพระนิพพาน.. มีความสุขเหมือนกัน
    พวกเรา "ลา" พุทธภูมิ เพื่อไปพระนิพพานกันดีกว่า..
    แต่ สำหรับพวกที่มีความมุ่งมั่น ก็ต้องปล่อยเขาไป.."

    บรรทัดสุดท้าย นี้ ท่านฯ เตือนสติ ว่า
    สาวกภูมิ ที่ปรารถนาพระนิพพานในชาติปัจจุบัน
    ก็พึงทำเรื่อง ทำกิจของตนเอง ให้พ้นทุกข์ เพื่อพระนิพพาน เท่านั้น..
    ไม่พึง ไปยุ่งกับวิสัยของพุทธภูมิ ซึ่งมีวิสัย การบำเพ็ญบารมี มาสืบเนื่องยาวนาน
    สาวกภูมิ จะไม่เข้าใจในกำลังใจของพุทธภูมิได้ทั้งหมด ในห้วงเวลา บารมี ที่บำเพ็ญเพียรมา

    พระอรหันต์ ที่ท่านฯทราบวิสัย ท่านยังยกให้พุทธภูมินั่งหน้า เดินนำหน้าท่านเสมอ..
    เพราะท่านฯ ทราบว่า พุทธภูมิ นั้น ต้องปฏิบัติ ต้องบำเพ็ญ อย่างยาวนาน
    แม้แต่ ท่านที่เพียงเพิ่งเริ่มคิดปรารถนาพุทธภูมิ ท่านฯก็ให้การยอมรับ

    องค์หลวงพ่อฯ เล่าให้ฟังในทำนองว่า..
    สมัยพุทธกาล พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาน นำคณะไปฟังเทศน์ จากพระพุทธเจ้า
    ในคณะมี สามเณร อยู่ด้วยรูปหนึ่ง.. ในระหว่างเดินทางกลับ สามเณรที่เดินตามหลัง
    คิดขึ้นมาว่า "เป็นพระพุทธเจ้านี้ดี ร่างกายสวย ฉัพพรรณรังสีสว่างงาม เป็นเลิศในไตรโลก
    จึงมีความปรารถนา มีความคิด ว่า เราอยากเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง"

    พระอรหันต์ฯ(ท่านทราบวาระจิต) ก็หยุด แล้วเรียกให้สามเณร มาเดินนำหน้า

    เมือ่สามเณรเดิน ๆ ไป ก็คิดว่า พระพุทธเจ้าท่านสวย ท่านเลิศ ก็จริง
    แต่ต้องบำเพ็ญบารมียาวนานมาก ต้องฝ่าทะเลทุกข์มาก
    ไม่เอาดีกว่า เป็นสาวกดีกว่า ไม่ต้องบำเพ็ญบารมีให้ยาวนาน

    สามเณรคิดดังนั้น พระอรหันต์(หัวหน้า) ก็บอกว่า เณร มาเดินข้างหลัง

    เดิน ๆ ไปสามเณร ก็คิดอยากเป็นพระพุทธเจ้าอีก พระฯ ก็บอกให้มาเดินนำหน้า
    เดี๋ยวก็คิดไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้าอีก พระฯ ก็บอกว่า เณร ให้มาเดินตามหลัง

    เป็นอย่างนี้ หลายเที่ยว.. สามเณร ก็ชักสงสัย.. เดี๋ยวให้เดินนำหน้า เดี๋ยวให้เดินตามหลัง
    ก็เลยสอบถามพระฯ ว่า ทำไม เดี๋ยวให้ผมเดินหน้า เดี๋ยวให้เดินตามหลัง ครับ

    พระฯ ก็บอกว่า ตอนที่ให้เดินนำหน้า เณรคิดอะไรล่ะ
    เณร ก็คิด และตอบว่า คิดจะเป็นพระพทธเจ้า ครับ

    พระฯ ถามว่า แล้วที่ให้เดินตามหลัง ล่ะ คิดอะไร
    เณร ก็ตอบว่า ไม่อยากเป็นพระพุทธเจ้า เพราะต้องทุกข์ ต้องบำเพ็ญบารมียาวนาน

    พระฯ ก็อธิบายเพิ่มว่า นั่นแหละ.. การปรารถนาพุทธภูมิ เป็นสิ่งเลิศ จึงให้เดินนำหน้า
    การปรารถนาสาวกภูมิ ก็ต้องเดินตามหลังท่านฯ (เพราะว่า ท่านฯ บรรลุแล้ว)


    .....................................................................................................................................................

    องค์หลวงพ่อฯ กล่าวไว้อีก ในทำนองว่า..
    พุทธภูมิ ก็ดี.. สาวกภูมิก็ตาม ต้องมีความรัก ในพระนิพพาน ด้วยกันทั้งนั้น

    สาวกภูมิ ต้องเร่งรัดบำเพ็ญเพียร เพื่อให้ ตนเอง ได้เข้าถึงพระนิพพานให้ได้

    พุทธภูมิ ก็ปรารถนาพระนิพพาน แต่ตั้งใจ มุ่งมั่น ว่า จะเผื่อถึงหมู่สัตว์ทั้งหลายด้วย
    คำว่า พระนิพพานเพื่อตนเองเพียงลำพัง นั้น ไม่มีสำหรับเรา

    ดังนั้น องค์หลวงพ่อฯ จึงเตือนสติไว้ให้พวกเราใช้ปัญญาพิจารณาตนเองเสมอ ๆ


    .....................................................................................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มกราคม 2013
  17. นพณัฐ

    นพณัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +4,499
    ขออนุโมทนาในธรรมทานด้วยนะครับ เป็นประโยชน์อันควรยิ่งแล้ว สาธุ...ครับ
     
  18. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ มหาหินทร์
    ความตั้งใจมั่นในการบำเพ็ญซึ่งบารมีของพระโพธิสัตว์ ผู้ยอมสละได้แม้ชีวิตตน และสิ่งอันเสมอด้วยชีวิต คือบุตร และภรรยา


    ขออนุโมทนาบุญในทุกเนื้อความ ทุกกำลังใจ ทุกตัวอักษร ที่ท่านได้พิมพ์ให้กับทุกคนได้อ่านด้วยนะค่ะ
    แม้แต่ดิฉันเอง ยังได้กำลังใจมากขึ้นทีเดียว
    กำลังใจของนางแก้วนั้น จะต้องมากพอและมีสติระลึกพร้อมเสมอว่า


    วันใดที่พระโพธิสัตย์ต้องยกหรือสละชีวิตของเราแล้วไซร์
    เพื่อให้โพธิญาณของท่านเต็มกำลังจงบอกตัวเองพร้อมยิ้มและภูมิใจเถิดว่า
    เรานั้นได้ทำหน้าที่ของนางแก้วได้สมบูรณ์อย่างดีแล้ว


    หากกำลังใจของคู่บารมีคือนางแก้วลดลงแล้วไซร์
    งานที่ยิ่งใหญ่ของพระโพธิสัตย์อาจจะล่าช้าหรือสำเร็จได้ยากเช่นกัน
    ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่ปารถนาพุทธภูมิด้วยนะค่ะ


    ..............................................................................................................................

    ขอน้อมโมทนาในกำลังใจ กำลังจิต อันยอดยิ่ง....

    ในทุกตำแหน่ง..
    ของการตั้งความปรารถนา ในฐานะต่าง ๆ อันเนื่องกับวิสัยเพื่อพุทธภูมิ
    ทุกตำแหน่ง ทุกฐานะ ที่ตั้งความปรารถนา นั้น ก็ต้องผ่านห้วงเวลา บารมี
    คือ บารมีต้น กลาง(อุปปะ) ปรมัตถ์ ที่ต้องบำเพ็ญของใคร ของเขา

    ในห้วงเวลาที่ปรารถนา ตั้งแต่ บารมีต้น นั้น
    ส่วนใหญ่ ก็ต้องพบ ต้องเห็น กับบุคคลต้นแบบ ที่ตนเองปรารถนากันเก่อน
    แล้ว เห็นว่า ผู้ที่เลิศในตำแหน่งนั้น ๆ มีความเป็นเอก มีความประเสริฐอันยอด
    มีความประทับจิตใจตนเอง อย่างยิ่งยวด

    มีความคิดว่า เราต้องเป็นอย่าง บุคคลต้นแบบที่ประทับใจ นั้น ให้ได้
    จึงเป็นการ เริ่มต้น ตั้งความปรารถนา ในตำแหน่งที่ประทับใจจิต นั้น ๆ

    เมื่อได้ทำบุญ บำเพ็ญทาน ไว้ดีแล้ว....

    คำอธิษฐาน บารมีต้น
    ส่วนใหญ่ ก็จะมีลักษณะ ตั้งต้น.. ที่ว่า..
    "ข้าพเจ้า ขอตั้งจิตอธิษฐาน บุญ บารมี ที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว และ ณ เบื้องหน้า
    ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่ง.. (ตามตำแหน่งของตนเองที่มีความประทับใจจิต)
    ได้บรรลุถึง.. (ตำแหน่งของตนเองที่มีความปรารถนา)
    ของพระพุทธเจ้า พระองค์ใด พระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาล ด้วยเทอญ....

    คำอธิษฐาน การเอ่ยวาจา ตั้งความปรารถนา ของ วิสัยบารมีกลาง(อุปบารมี)
    เมื่อผ่านห้วงเวลาแห่งบารมีต้นแล้ว เข้าถึงบารมีกลาง
    ก็จะเอ่ยวาจา ตั้งความปรารถนาอย่างแท้จริง เข้มข้นมากยิ่งขึ้น
    ด้วยการ อธิษฐานในใจ และ เอ่ยวาจา ตั้งความปรารถนาอย่างไม่หวั่นเกรง

    เมื่อผ่านห้วงเวลาแห่งบารมีต้นแล้ว ผ่านบารมีกลาง เข้าเขตปรมัตถบารมี
    จะอธิษฐานในใจ เอ่ยวาจา ตั้งความปรารถนา เป็นสาธารณะ(ใครจะรู้ ก็ช่าง)
    และ ยิ่งบำเพ็ญปฏิบัติ อย่างยอด อย่างยิ่ง ๆ ขึ้นไป ด้วยชีวิต พร้อมจิตใจ
    เรียกว่า ยอมมอบกาย ถวายชีวิต โดยธรรม เพื่อให้เข้าถึงซึ่งความปรารถนา

    จุดสังเกตว่า เราอยู่ เราเข้าถึงบารมีไหน (ต้น กลาง ปรมัต์) ก็ให้ดูจิตตนเอง

    ว่า.. เราปรารถนาในใจ (ยังเหนียมจิต.. ใจ ยังกล้วคนอื่นจะรู้) นี่.. บารมีต้น
    พอถึง บารมีกลาง.. มีกำลังใจพอ ที่จะเอ่ยวาจา ตั้งความปรารถนาอย่างเต็มใจ
    เมื่อเข้าเขตปรมัถบารมี ทั้งอธิษฐาน ทั้งเอ่ยวาจา และปฏิบัติ นั้น ทำด้วยชีวิต

    บารมีต้น และบารมีกลาง
    ยังไม่ชัดเจน ในเรื่องของ "คณะ" ยังไม่รู้ ยังไม่ฟันธง ว่า จะอยู่กับคณะไหน

    พอถึงเขตปรมัตถ์ ก็จะมีความเชื่อมั่น มุ่งมั่น ว่า "คณะนี้ คนนี้"
    ความจริงก็ย่อมเคยพบ เคยทำบุญร่วมกันมาในบารมีต้น และกลาง
    แต่ มา ชี้ชัด มั่นใจ มุ่งมั่น ตรงปรมัตถบารมี

    ทั้งคำอธิษฐานบารมี การเอ่ยวาจา และการปฏิบัติร่วมกัน
    มีความชัดเจนว่า.. จะ ระบุชื่อบุคคล ที่ปรารถนาร่วมคณะ ได้อย่างชัดเจน

    บางคน ตั้งความปรารถนา เพื่อพระโพธิญาณ
    เกิดเป็นชาย สลับเป็นหญิง หลายภพ หลายชาติ..
    แต่มาพบกับใครสักคน แล้วประทับใจจิต ก็มาแปรความปรารถนา เป็น
    พระอัครสาวกบ้าง ตำแหน่งอื่น ๆ บ้าง อย่างนี้ ก็มี..(ยังไม่ปรมัถต์)

    องค์หลวงพ่อฯ เคยเล่าไว้ ในทำนองว่า..
    หลวงปู่ ครูบาธรรมชัย วัดทุ่งหลวง แม่แตง เชียงใหม่
    ตั้งความปรารถนา เพื่อพระโพธิญาณ มายาวนาน แต่ได้มาพบกับ..
    พระศรีอาริยเมตไตรย์ (ในห้วงบำเพ็ญบารมี) ก็ตั้งความปรารถนาว่า..
    ขอได้บรรลุถึง ซึ่ง พระอัครสาวกของพระศรีอาริยะเมตไตร์ย
    (แต่ไม่ทราบว่า ท่านฯ จะเป็นอัครสาวกฝ่ายซ้าย หรือ ขวา)

    ซึ่งก็ต้องบำเพ็ญบารมีด้วยชีวิต ร่วมกันตามบุญ ตามกรรม อีกยาวนาน
    เกิดเมื่อไร ก็พบกัน เกิดเมื่อไร ก็บำเพ็ญบารมีร่วมกันอีก
    หรือ แม้ว่า เกิดมาไม่ได้พบกัน ก็ตามที
    แต่ทว่า เมื่อความปรารถนา เข้าถึงเขตปรมัถต์ ย่อมจะไม่แปรเปลี่ยนไป

    กระทั่ง หัวหน้าคณะฯ ได้บรรลุพระโพธิญาณ
    ตำแหน่งผู้เป็นเลิศ นั้น ๆ ก็จะสำเร็จ และเข้าถึง พระนิพพาน
    ตาม ๆ กันไป ทั้งคณะฯ


    ...................................................................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มกราคม 2013
  19. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    21-10-2005, 08:44 AM จากโพส #48 (หน้าที่ 3)
    Attawat_Rx

    อึ้ง.........
    ซึ้ง.......
    พูดไม่ออกครับ โมทนานักๆครับ ประทับใจ 3 บทตวามนี้มากเป็นพิเศษครับ


    อ้างอิง:
    และที่สำคัญที่สุด ก็คือ ระยะที่ใช้นับรวมให้ครบ กัป ครบอสงไขย นั้น
    นับเฉพาะที่เสวยชาติเป็นมนุษย์ หรือสัตว์ (มีขันธ์ 5) เท่านั้น


    อ้างอิง:
    1. เรื่องเวลา ให้ลืมไปได้เลย มันไม่มีความหมาย ตราบเท่าที่เรามีความสุขที่ได้เดินบนเส้นทางนี้(ที่เราปฏิบัติอยู่) หากไม่มีความสุข วันหนึ่งเราก็จะเลิกไปเอง

    อ้างอิง:
    5. ท่านจะต้องทำความรู้จักกับความทุกข์ ต้องรู้ว่าคนอื่นเขาทุกข์กันเรื่องอะไร ทำไมเขาถึงได้ทุกข์อย่างนั้น เราต้องเข้าใจเขาให้ได้ และก็ต้องรู้จักความสุข ว่าอะไรคือความสุข เพื่อที่จะได้แนะนำคนอื่นได้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเป็นสุข ทำอย่างไรจึงจะออกจากความทุกข์นั้นได้

    6. ท่านจะต้องรู้จักรักษากำลังใจคนอื่น ไม่ว่าท่านจะต้องกล้ำกลืน ฝืนทนอย่างไรก็ตาม.... ต้องอดทน และยิ้มได้เสมอ(ขันติ และโสรัจจะ) เพื่อรักษากำลังใจของคนอื่นให้เป็นสุข....

    7. ท่านต้องยืนอยู่บนความปรารถนาของท่านโดยไม่อิงใคร ไม่เช่นนั้น ความเป็นพุทธภูมิของท่านจะไม่ยืนยาว

    ..................................................................................................................................

    ลองตรอง ลองใคร่ครวญ พิจารณาให้ดีเถิด....
    คำสอนของท่านผู้มีคุณทั้งหลาย สืบ ๆ กันมา..

    การปรารถนาของตัวตนของเรา ทุกผู้คน....
    เราปรารถนาสิ่งใด ก็ย่อมต้องเพียรหาวิธีการเพื่อให้ได้ในสิ่งนั้น ๆ

    และ การเพียรพยายามนั้นเอง จะสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนา ได้เมื่อไร

    เราปรารถนา ฐานะใด ไม่ว่าจะเป็นสาวกภูมิ พุทธภูมิ อัครสาวก นางแก้ว และอื่น ๆ
    ฐานะตำแหน่งที่เราปรารถนา ต่าง ๆ นั้น.. จะมีความสำเร็จได้เมื่อไร

    ท่านผู้มีคุณ ท่านฯ ได้สอบถามในลักษณะ ชี้แจง ว่า....
    กาล ที่จะสำเร็จ ก็มีไม่เกิน 3 กาล คือ อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต

    หากถามว่า..
    ฐานะตำแหน่งที่เราปรารถนา ต่าง ๆ นั้น.. จะมีความสำเร็จได้เมื่อไร

    พวกเรา ก็น่าที่จะตอบว่า อนาคต.. เพราะว่า..

    1. อดีต ผ่านไปแล้ว.. เราก็ยังไม่สำเร็จ
    2. ปัจจุบัน เรายังเข้าไม่ถึง ในจุด นั้น ๆ ที่เราปรารถนา
    3. อนาคต เราก็ยังไม่ทันตาย ก็ยังไม่รู้ว่าะเกิดมาสร้างความเพียรกันต่อ เพียงใด
    และจะสำเร็จเมื่อไร ก็น่าที่จะขึ้นอยู่กับอนาคต.. ใช่ไหม..

    จริง ๆ แล้ว ท่านฯ ผู้มีพระคุณ แจงว่า..
    ความสำเร็จของเรา ไม่ว่าจะปรารถนา ฐานตำแหน่งใด ๆ ก็ตาม
    ความสำเร็จ ต่าง ๆ ในทุกตำแหน่ง สำเร็จได้ใน กาลปัจจุบันนี้เอง

    เราปรารถนาสาวกภูิ ก็ย่อมต้องเร่งปฏิบัติตน ใคร่ครวญทุกข์ พิจารณากาย
    เพียรละวางความทุกข์ ความสุขใด ๆ ในโลก เพื่อพระนิพพาน

    เราปรารถนาพุทธภูมิ ก็ย่อมต้องเพียร ปฏิบัติในวิธีแห่งความเมตตา
    สงเคราะห์ชาวโลก และมวลหมู่สัตว์ ให้มีวิธีทางที่จะพ้นจากทุกข์..
    เพื่อเข้าสู่กระแส และเข้าถึงพระนิพพานในที่สุด....

    เราคิดสิ่งใด ปรารถนาสิ่งใด ก็ปฏิบัติเพื่อสิ่งนั้น ๆ
    ใครที่ไหนเล่า จะเข้าใจเรา เท่าตัวของเราเอง (ยกเว้นท่านผู้ทรงธรรมญาน)

    หากเราเบื่อในสิ่งที่ปรารถนา นั้น ๆ เราก็ย่อมจะรู้ และไม่บำเพ็ญต่อไปเอง

    หากเรามีความเข้มขลัง พลังก็จะเกิดเสริมส่ง ให้เรายิ่งเพียรปฏิบัติ....
    ดุจดังว่า.. เราจะสามารถเข้าถึงใน ฐานตำแหน่ง ที่เราปรารถนา.. ในวันรุ่งขึ้น.

    ปฏิบัติตน ในทาน ศีล ภาวนา เมตตา อย่างเข้มข้น ทุกวัน ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
    จิตจะมีสภาพจำ ในทาน ศีล ภาวนา พิจารณาทุกข์ วางจิตในกาย ละสุขใด ๆ ในโลก..

    ดุจดังว่า.. เราจะสามารถเข้าถึง พระนิพพาน ที่เราปรารถนา.. ในวันรุ่งขึ้น.
    พระนิพพาน ก็ไม่ไกลจากเราอีกแล้ว

    สาธุ..
    สาธุ..
    สาธุ....

    จิตจะมีสภาพจำ ในทาน ศีล ภาวนา มีความเป็น มหาเมตตา เอื้อการุณ ตั้งจิตสงเคราะห์
    ความเพียร การปฏิบัติ นานนัเนื่อผ่านบารมีต้น บารมีกลาง เข้าสู่เขตปรมัตถบารมี อย่างนี้
    ความรักในพระโพธิญาน ก็จะเข้มข้น มุ่งมั่น ยิ่งเพียรยิ่งขึ้น ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ

    สำเร็จถึง จุดมุ่งหมาย ก็ต้องเข้าสู่คำพยากรณ์ ของสมเด็จพระประทีปแก้วสัมมาสัมพุทธเจ้า
    เป็น นิยตโพธิสัตว์เจ้า..
    จะมีความรู้สึก ว่า.. เราจะสามารถเข้าถึง พระโพธิญาน ที่เราปรารถนา.. ในวันรุ่งขึ้น.
    อย่างนี้ สำเร็จ แน่นอน..

    สาธุ..
    สาธุ..
    สาธุ....


    ......................................................................................................................................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มกราคม 2013
  20. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    ครั้งสมัย องค์หลวงพ่อฯ ฝากศิษย์ไปกราบ หลวงปู่ดู่ฯ

    ...............................................................................................................................

    (หลวงปู่ดู่ ท่านเทศน์สอนคณะศิษย์วัดท่าซุง ที่ได้มโนมยิทธิ
    ซึ่งได้เดินทางไปกราบหลวงปู่ดู่ ตามแนะนำหลวงพ่อฤาษีฯ)

    หลวงปู่ดู่: .....เอ้า คณะนี้มาจากไหน
    (แล้วหลวงปู่ ท่านก็เงียบ)

    ...อ๋อเด็กฝาก

    คณะมโนมยิทธิ: ...หลวงพ่อ(ฤาษี)
    ท่านให้มากราบเจ้าค่ะหลวงปู่รู้จักไหมเจ้าคะ

    หลวงปู่ดู่: ...รู้จัก

    คณะมโนมยิทธิ: ....หลวงปู่่เจ้าคะ ดิฉันฝึกมโนขึ้นไปกราบพระข้างบนดีไหมเจ้าคะ?

    หลวงปู่ดู่: .....การไปกราบพระ พบพระนั้นเป็นของดีให้หมั่นรักษาองค์พระ(ภาพพระ)เข้าไว้
    พระท่านจะสอนท่านจะบอกวิธีการปฏิบัติ
    เราก็นำมาประพฤติปฏิบัติตามด้วยความตั้งใจ เคร่งครัด
    แต่ถ้าพบพระแล้ว ท่านสอนแล้ว ไม่นำมาประพฤติปฏิบัติ
    หรือปฏิบัติจนพบพระแล้วไม่สามารถทำให้อารมณ์ชั่วทั้ง ๓ คือโลภ โกรธ หลง มันเบาบางหลง
    อย่างนี้ยังใช้ไม่ได้ ถือว่าปฏิบัติผิดทางคนที่มัวแต่เอาสิ่งที่ตนเองได้ (ญาณ)

    ไปดูนั้นดูนี่ ทำนายทายทักไม่นานอุปทานก็เข้าแทนที่
    ทีนี้แทนที่มันจะไปสุคติภูมิมันก็ไปอบายภูมิแทน
    เหตุจากการแอบอ้าง คำสอนของพระเพราะอารมณ์อุปาทานนั้นเอง

    จงระวังไว้ท่านมหาวีระ ท่านมีบารมีสูง
    มีข้างบนเป็นกำลังหนุน เป็นอาจารย์ใหญ่สอนคนได้จำนวนมาก

    ข้าขอโมทนา พวกแกเกิดมาพบพระอรหันต์ที่มีบารมีสูง อย่าให้เสียทีที่ได้พบ
    เอาสิ่งที่ตนปฏิบัติบัติได้(ญาณ)มาอบรมตนเอง

    อย่าเที่ยวไปทำนายทายทักชาวบ้าน
    ข้ออันนั้นเห็นจะไม่ใช่จุดประสงค์
    แม้ลูกศิษย์ อยู่ใกล้ข้าแท้ ๆ ยังเฝือได้

    แล้วถ้าพวกแกยังประมาท ระวังนรกจะกินหัวเอา....

    คณะมโนมยิทธิ: ...เราจะรู้ได้ยังไงเจ้าคะ
    ว่าเวลาเราขึ้นไปกราบนั้น เราเห็นจริงๆ

    หลวงปู่ดู่: ....แกลองใช้อารมณ์นั้น(ญาณ) ตรวจสิ่งที่มองไม่เห็นแต่สิ่งนั้นยังมีอยู่สิ
    เช่น แกลองตรวจดูว่าในกระเป๋าของเพื่อนที่มาด้วยกันมีเงินอยู่เท่าไหร่
    ถ้าแกตอบถูก อารมณ์ที่แกขึ้นไปกราบพระ แกก็เห็นจริง
    แต่ถ้าแกตอบไม่ถูก พระที่แกเห็นก็ไม่จริง...

    คณะมโนมยิทธิ: ....เราถามเทวดาเลยได้ไหมเจ้าค่ะ

    หลวงปู่ดู่: ....เอ้า เงินในกระเป๋านี้มันเป็นของหยาบแกยังมองไม่เห็นเลย
    นับประสาอะไรกับเทวดาแกจะไปมองเห็นล่ะ กายเทวดาละเอียดกว่ากันเยอะ

    คณะมโนมยิทธิ: ...ต้องตรวจอารมณ์เช่นนี้ก่อนใช่ไหมค่ะ

    หลวงปู่ดู่: ... ใช่ ข้าก็ให้ลูกศิษย์ตรวจอารมณ์อย่างนี้ก่อน
    แล้วค่อยขึ้นไปกราบพระ ถ้าตรวจแล้วไม่ตรงก็ต้องหัดวางอารมณ์ใหม่ ไม่นานก็ตรง
    คราวต่อไป ไม่ต้องกำหนด เขาจะรู้เลยว่าอะไรซ่อนอยู่ตรงไหน .....

    (หลวงปู่่เงียบสักพัก..แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า)
    พระมหาวีระยังสอนให้แกหัดทำเวลาตอนเช้ามืด
    ให้ลองตรวจว่าเช้าวันนี้จะมีใครมาหาไหม เขาจะมาทำอะไรใส่เสื้อสีอะไร ใช่ไหมล่ะ

    คณะมโนมยิทธิ: ....หลวงปู่รู้ได้ยังไงเจ้าคะ

    หลวงปู่ดู่: ...ก็พระมหาวีระบอกข้า อยู่ข้างๆนี่แหละ
    บอกว่า..พวกแกมันลิงทะโมน ต้องจับไปมัด เฆี่ยนแล้วสอน
    (เสียงหลวงปู่หัวเราะ แล้วพูดว่า) ต่อไปให้รีบตั้งใจปฏิบัติอย่าสนใจคนอื่น
    สนใจจิตตัวเองให้มากๆ รักษาจิตตนเองให้ดีรักษาองค์พระ(ภาพพระ)ไว้อย่าให้หาย
    ชำระใจให้ปราศจากความโลภ โกรธ หลง มันก็ถึงเองแหละนิพพาน

    ไม่ใช่ปากก็บอกจะไปนิพพาน แต่ไม่ชำระโลภ โกรธหลงให้ขาดไป
    อธิษฐาน ยังไง มันก็ไม่ถึงนะแก นิพพาน เข้าไม่ได้ด้วยการอธิษฐาน

    แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติ ซึ่งจุดสำคัญคือการละอารมณ์ โลภ โกรธ หลง
    ละได้เมื่อไหร่ถึงทันที ละไม่ได้มันจะถึงแค่หัวตะพาน....

    คณะมโนมยิทธิ: ...สาธุเจ้าค่ะ หลวงปู่่

    หลวงปู่ดู่: ...(ให้พร)......


    ที่มา:
    www.watthummuangna.com

    ..................................................................................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...