วิเคราะห์กระทู้เตือนภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 16 พฤษภาคม 2011.

  1. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    วิเคราะห์กระทู้เตือนภัยพิบัติ

    1. ไม่ว่าจะมีเหตุผลใดใดก็ตาม และถึงแม้จะมีเหตุผลอันสมควรหรือไม่
    แต่ความเป็นจริงก็คือ ที่ผ่านมานั้นคำเตือนภัยนั้นมีความผิดพลาดหรือคลาดเคลื่อนมากกว่าความถูกต้อง
    ข้อเท็จจริงพิสูจน์ให้เห็นว่ามีส่วนน้อยที่เตือนล่วงหน้าได้ถูกต้อง
    ยิ่งหากระบุวัน-เวลาแล้วยังไม่มีหลักฐานที่บันทึกชัดเจนว่าเคยบอกเตือนไว้อย่างถูกต้องเลย

    2. ความจริงคือภัยพิบัติเกิดขึ้นเป็นระยะ ยิ่งในยุคปัจจุบันมีแนวโน้มว่าภัยพิบัติจะรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
    จึงไม่ควรมองข้ามคำเตือน
    ต่าง ๆ ควรพิจารณาถึงการเตรียมพร้อมมากกว่า ความแม่นยำ
    อย่างไรก็ตามภัยพิบัติซึ่งได้ขึ้นเกิดแล้ว ที่ผ่านมานั้นส่วนใหญ่ มักไม่มีคำเตือนใดใดระบุวันเวลาที่ชัดเจน

    3. การเตรียมพร้อม เช่น เตรียมเสบียงและอุปกรณ์ต่างนั้น ๆ
    ในต่างประเทศที่ประชาชนมีการศึกษา ประเทศที่เจริญแล้วต่างก็เตือนและสอนกัน
    เพราะต่างประเทศนั้นมีภัยต่าง ๆ อยู่เสมอ
    ในปัจจุบันข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เช่น ธรณีวิทยา อุตุนิยมวิทยาต่างก็ยืนยันว่าประเทศไทยเราก็มีโอกาสเกิดภัยพิบัติ
    เช่น แผ่นดินไหว แผ่นดินยุบตัว อุทกภัย สึนามิ น้ำท่วมฉับพลันแทบไม่ต่างจากประเทศอื่นเลย
    อุปกรณ์และเสบียงที่เตรียมไว้จึงไม่ถือว่าเป็นสิ่งเกินความจำเป็น

    4. การกล่าวว่าภัยพิบัติรูปแบบต่าง ๆ ที่ดูเหลือเชื่อนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยนั้น อาจเป็นการด่วนสรุป
    เพราะความเป็นจริงที่เห็นอยู่มักพบว่า มีภัยอย่างนี้ ภัยอย่างนั้นเกิดขึ้นอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปีบ้าง 50 ปีบ้าง 70 ปีบ้าง
    อายุของวัฒนธรรมและวิทยาการของมนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้
    เมื่อเทียบกับอายุของโลกแล้วน้อยเกินไปที่จะด่วนสรุปว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นไม่เคยเกิดมาก่อนหรือเป็นไปไม่ได้

    5. ผู้ที่แจ้งเตือนจะได้รับคำปรามาสเสมอ และมีผู้ไม่เชื่อมากกว่าผู้เชื่อ
    ผู้มีจิตอาสาแจ้งเตือนภัยนั้น เมตตาธรรมและอุเบกขาธรรมมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน

    6. หากเราเชื่อในกฏแห่งกรรมแล้วเราอาจไม่จำเป็นต้องถามก็ได้ว่า ถ้าเตือนภัยแล้วไม่เกิดจะรับผิดชอบอย่างไร
    การรับผลของกรรมนั้นไม่จำเป็นต้องให้ใครทวงถาม ทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว
    ตนเองย่อมรู้แก่ใจตนว่าหลอกลวงหรือไม่หลอกลวง

    7. เหตุการณ์ปะทะคารมของระหว่างผู้ที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนคำเตือนเรื่องภัยพิบัตินั้น มักไม่ได้มาจากเนื้อหาข้อมูล
    แต่มักเริ่มจากฝ่ายหนึ่งใช้ถ้อยคำเชิงดูหมิ่นต่ออีกฝ่าย หรือดูหมิ่นแหล่งที่มาของข้อมูลของอีกฝ่าย
    ซึ่งอาจเป็นบุคคลที่ชื่นชม หรือเป็นครูบาอาจารย์ที่ฝ่ายตนเคารพนับถือ
    การถูกผู้อื่นปรามาสจาบจ้วงตนเอง หรือคนที่ตนชื่นชม คนที่ตนเคารพย่อมเป็นเหตุให้มีีโทสะ
    ผู้มีมารยาทและความดีในใจย่อมละเว้นการกระทำนั้นเพราะเป็นการเบียดเบียนกันทางวาจา
    ถึงแม้ว่าแต่ละฝ่ายอาจเป็นผู้มีธรรมมะ แต่ส่วนมากยังอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น โสดาปฏิมรรคและโสดาปฏิผล
    การมีสติระงับโทสะย่อมเป็นเรื่องยากพอสมควร ส่วนท่านที่เป็นผู้เตือนนั้นมักเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม
    เช่น พระสงฆ์และผู้ปฏิบัติธรรมเคร่งครัด ซึ่งท่านเหล่านี้ไม่ออกมาปะทะคารมกับใคร
    ผู้ที่ปรามาสผู้เตือน ต้องระวังว่าจะเป็นการปรามาสพระสงฆ์และผู้ปฏิบัติธรรมไปโดยปริยาย ระวังเข้าถึงซึ่งทุคคติ

    8. การไม่ด่วนเชื่อ การไม่เชื่อ การคัดค้านโดยธรรม และการปรามาส
    สิ่งเหล่านี้มีความแตกต่างกันโดยมโนกรรมและวจีกรรม
    คือเจตนาความคิดและการแสดงออก เช่น การเลือกใช้ถ้อยคำและเหตุผลประกอบ

    9. ความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินนั้นที่ผ่านมาและที่อาจจะเกิดในอนาคตนั้นส่วนใหญ่มาจากภัยพิบัติ
    มีเพียงส่วนน้อยที่เกิดจากคำเตือนเรื่องภัยพิบัติ

    10. คำเตือนเรื่องภัยพิบัติส่วนใหญ่มาจากกลุ่มผู้ประพฤติปฏิบัติธรรม
    หากได้ไปกราบพระปฏิบัติและสนทนาธรรมแล้วไม่ได้ระแคะระคายเรื่องภัยพิบัติเลยนั้นนับว่าเป็นเรื่องแปลก

    11. คำเตือนเรื่องภัยพิบัติจากนักวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะภัยพิบัติใหญ่ ๆ นั้นมีน้อย
    หากคำเตือนจะมาจากนักวิทยาศาสตร์ก็มักพบว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ปฏิบัติธรรม
    เช่น ดร.เทพพนม ดร.อาจอง ดร.ก้องภพ ท่านเหล่านี้ยังได้ร่วมงานหรือได้รับการยอมรับจากนาซ่าอีกด้วย
    คนเหล่านี้มีการศึกษาและต้นทุนทางสังคม ส่วนพระท่านก็มีต้นทุนในทางความดี ท่านเหล่านี้ย่อมพยายามรักษาสิ่งเหล่านั้นไว้
    การออกมาเตือนนั้นก็ไม่เห็นว่ามีผลประโยชน์แอบแฝงใด ๆ
    การให้ความเชื่อถือในแง่ตัวบุคคลจึงไม่น่าต่ำกว่า 40 - 50 %
    หรืออย่างน้อยท่านเหล่านี้ก็น่าเชื่อถือมากกว่าบางคนที่แม้แต่ชื่อที่ใช้ก็ยังเป็นนามแฝง

    12. ผู้ที่คัดค้านคำเตือนอย่างหนักแน่นนั้น มักไม่เคยได้รับคำเตือนจากพระสงฆ์โดยตรงด้วยตนเองเลย
    อาจเป็นคนที่ไม่ค่อยมีเวลาไปสนทนาธรรมกับพระที่ปฏิบัติชอบโดยเฉพาะพระกรรมฐาน

    13. การหวังดีที่จะให้บางคนเปลี่ยนทิฐิความเชื่อนั้น
    แทบไม่มีความเป็นไปได้เลย แม้พระพุทธเจ้ายังตรัสว่าบัวนั้นมี 4 เหล่า
    หากลืมพิจารณาเรื่องนี้ก็อาจจะต้องเสียเวลา เสียใจ และเสียความดีในตนที่สร้างมา
    เพราะทุกครั้งที่เราคิดหวังว่าจะกำจัดโมหะความหลงผิดของผู้อื่น หวังให้เขาได้ฉลาดขึ้น
    แต่กลับมีโทสะเกิดขึ้นในใจเรานั้น เราอาจไม่ได้คนที่ฉลาดเพิ่มขึ้นเลย
    และหากไม่ระวังเรายังอาจสูญเสียคนที่ฉลาดไปอีกหนึ่งคนด้วย คนนั้นคือตัวเราเอง

    14. การมีโทสะโดยขาดสติ ไม่รู้ว่าตนเองมีโทสะ คือ โมหะหรือความหลง
    การที่ห้ามไม่ให้มีโทสะนั้นเป็นเรื่องยากในระดับโสดาบัน
    แต่การมีสติเห็นว่าตนเองกำลังมีโทสะนั้นนับว่าเป็นความดีในเบื้องต้น เป็นการกำจัดโมหะในเบื้องต้น

    15. อย่าเสียเวลา เสียใจ เสียความดี ควรแนะนำผู้ที่ไม่รู้และยอมรับว่าตนเองไม่รู้และต้องการที่จะรู้
    อย่าเสียเวลากับผู้ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้และไม่ต้องการที่จะรู้

    16. มารยาทนั้นเป็นความดีเบื้องต้นที่จำเป็นต้องมีในที่สาธารณะ
    บางกระทู้เตือนภัยนั้น มีผู้ที่เข้าไปใช้ถ้อยคำที่ขัดกับ คลิกที่นี่...สารคดี 2011 : 100 วันแห่งความหายนะ

    คลิกที่นี่...สติและการตัดสินใจแก้ปัญหาในยามเกิดภัยพิบัติ

    [/COLOR]คลิกที่นี่...การเตรียม 'ใจ' รับภัยพิบัติ (ในวัฏฏะอันน่าสงสาร)

    คลิกที่นี่...ทำไมผู้รอดจากภัยพิบัติจึงเรียกว่าเป็นผู้มีความดี

    คลิกที่นี่...ปากกาตรวจสอบกระแสไฟฟ้ารั่วในบริเวณที่น้ำท่วม[/B]


    คลิกที่นี่...มาม่าเกลี้ยง น้ำดื่มขาด มีเงินก็ซื้อไม่ได้ยามเกิดภัยพิบัติ

    คลิกที่นี่...ภัยพิบัติกับคนดีชื่อ 'ตัน' และพระโสดาบันชื่อ 'อนาถบิณฑิกะ'

    คลิกที่นี่...รอดพ้นภัยพิบัติ "เร่งลัดบรรลุโสดาบัน" หลักสูตร 30 ชั่วโมง


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2011
  2. ZZ

    ZZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    5,375
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +34,652
    ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆครับ

    อ่านแล้วรู้สึกดีมากๆ...ดังเช่นกัลยาญมิตรพึ่งปฏิบัติต่อกัน

    ขอบคุณครับ


    .
     
  3. ตั้มศรีวิชัย

    ตั้มศรีวิชัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    597
    ค่าพลัง:
    +1,847
    เห็นด้วยครับ ผมเองยังคิดๆเลยว่าสงสัยผมจะติดตามเรื่องภัยพิบัติมากไปเปล่าหนอ ปกติจะไม่เคยฝันเลยเกี่ยวกับภัยพิบัติ เมื่อคืนก่อนรุ่ง ฝันเห็นชัดมาก แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ปกติเวลาฝันร้ายตื่นมาจะเหนื่อยมากเพราะตกใจ

    แต่รอบนี้ดีใจครับ ที่มีสติแม้ในความฝัน อย่างน้อยถ้าตายขณะฝันคงไม่ไปอบายภูมิ มองในแง่ดี การได้ติดตามทำให้ได้ฝึกจิตและสมาธิไปในตัว

    ถ้าผมเคยพิมพ์หรือแสดงความคิดเห็นแล้วทำให้ใครไม่สบายใจ ไม่เห็นด้วย อย่าถือโทษโกรธกันเลยนะครับ โปรดอโหสิกรรม ให้ผมด้วย
    ดับแล้วดิ่ง แล้วเราจะไปทางไหนดีเอ่ย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤษภาคม 2011
  4. ARUNN

    ARUNN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    230
    ค่าพลัง:
    +296
    วิเคราะห์ได้ดีมากๆ อย่างที่คิดเลย :cool:
     
  5. pleแบม

    pleแบม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    602
    ค่าพลัง:
    +1,427
    เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ พึ่งระวังใจตนเอง ถือว่าบางครั้งบางกระทู้มาทดสอบเราว่าเราจะผ่านไหมค่ะ
     
  6. ญาจา

    ญาจา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +111
    เห็นด้วยอย่างยิ่งครับเหมือนใจคิดเลยครับ ขอบคุณครับ



    โลกนั้นไม่เที่ยงแปรปรวน ธรรมชาติต่างก็แปรปรวน แต่ความตายเป็นของเที่ยง สิ่งที่สำคัญคือการเตรียมพร้อมอย่างไม่ประมาท ความดี ความมีสติ และที่สุดแห่งธรรมคือ พระนิพพาน
     
  7. chang938

    chang938 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    469
    ค่าพลัง:
    +451
    ตั้งกระทู้โดนใจจริงๆครับ วิเคราะห์แยกแยะได้ดีครับ นับถือ นับถือ
     
  8. sug552

    sug552 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    563
    ค่าพลัง:
    +250
    ขอบคุณครับที่ช่วยเตือนสติ เป็นประโยชน์กับคนที่กำลังขาดสติอย่างมาก
     
  9. namiria

    namiria สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2011
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +5
    กด like ล้านครั้งค่ะ คนเรามักจะไม่ค่อยยอมรับความคิดต่างของผู้อื่นเท่าไหร่ ถ้าทุกคนเปิดใจกว้างแล้วยอมรับฟังผู้อื่นและใช้วาจาที่ดีมีมารยาทต่อกันก้อจะไม่เกิดการแตกแยกแต่จะกลายเป็นมีหลายความคิดร่วมกันช่วยกันคิดหาสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนา

    เท่าที่มองดูสังคมและรอบกายเราจะพบว่าตอนนี้สังคมไทยขาดสิ่งเหล่านี้มากจึงเป็นการเปิดช่องทางให้เกิดความแตกแยกเหมือนทุกวันนี้ซึ่งในที่สุดก็จะนำพากันไปสู่หายนะก่อนเกิดภัยพิบัติเสียอีก ยิ่งหากเกิดภัยพิบัติจริงๆก้อไม่อยากจะคิดเลยว่าบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร เพราะคิดแล้วจะอยากอยู่ในกลุ่มตายมากกว่ารอดตายเสียอีก
     
  10. นานา23

    นานา23 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +8
    ชัดเจน ตรงไปตรงมา เป็นตัวแทนอีกหลายคนที่อยาก
    จะพูดข้อความเหล่านี้:cool:
     
  11. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,483
    ค่าพลัง:
    +4,160
    เห็นด้วยร้อยเปอร์เซนต์เต็มครับ
    ขอบคุณสำหรับข้อเขียนดี ๆ แบบนี้
     
  12. พุทธิวัฒน์

    พุทธิวัฒน์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +18
    ภัยพิบัติเกิดขึ้นเมื่อเราประมาท ขอให้พวกเราทุกคนอยู่ในความไม่ประมาทตลอดกาลนานด้วยเถิด สาธุ
     
  13. mrganit

    mrganit สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2
    ค่าพลัง:
    +3
    ปกติไม่ค่อยโพสมากนัก แต่ข้อความนี้อ่านแล้วสะท้อนถึงวุฒิภาวะ และการเป็นแบบอย่างของผู้มีอารยะในการสื่อสารเช่นนี้

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. bjeed

    bjeed เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +155
    ขอบคุณค่ะ สำหรับข้อความสร้างสรร
    สาธุ สาธุ สาธุ

     
  15. mali1163

    mali1163 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    235
    ค่าพลัง:
    +349
    สาธุ..เห็นด้วยครับ

    ๑. อปฺปมาโท อมตํปทํ.- ความไม่ประมาท เป็นทางไม่ตาย.
    ๒. อปฺปมาทญฺจ เมธาวี ธนํ เสฏ€ํว รกฺขติ.-
    ป ราชญ์ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้ เหมือนทรัพย์ประเสริฐสุด.

    ๓. อปฺปมาทํ ปสํสนฺติ.- บัณฑิตย่อมสรรเสริญความไม่ประมาท.

    ๔. อปฺปมาเท ปโมทนฺติ. - บัณฑิตย่อมบันเทิงในความไม่ประมาท.

    ๕. อปฺปมตฺตา น มียนฺติ. - ผู้ไม่ประมาท ย่อมไม่ตาย.

    ๕. อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต ปปฺโปติ วิปุลํ สุขํ.- ผู้ไม่ประมาทพินิจอยู่ ย่อมถึงสุขอันไพบูลย์.

    ๖. อปฺปมตฺโต อุโภ อตฺเถ อธิคฺคณหาติ ปณฺฑิโต.- บัณฑิตผู้ไม่ประมาท ย่อมได้รับประโยชน์ทั้งสอง.

    ๗ . อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ.- ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม.

    ๘ . อปฺปมาทรตา โหถ.- ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ยินดีในความไม่ประมาท.



    <HR>
     
  16. raphiphan

    raphiphan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    511
    ค่าพลัง:
    +425
    โมทนา สาธุ ครับ เสียดายปุ่มอนุโมทนาไม่มีซะแล้ว
     
  17. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    แกแพ้ข้าแล้ว ข้าด่าแก แกไม่ด่าตอบนี่หว่า

    จาก หนังสือ พรหมวิหาร ๔
    คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    เราเกิดมาเป็นคน เกิดมาเพื่อพบกับคำนินทา ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า
    นัตถิ โลเก อนินทิโต

    คนที่ไม่ถูกนินทาเลย ไม่มีในโลก คนที่บุญใหญ่ ถูกนินทาใหญ่ คนที่มีบุญเล็ก ถูกนินทาเล็ก
    อย่างพระพุทธเจ้า เขาไม่นินทานะ เขาด่าต่อหน้าเลยนะ
    โดนหนักกว่าเรามาก นั่นแหละท่านผู้มีบุญใหญ่ ด่าแหลก เห็นไหมล่ะ ... ?
    เรื่องนี้ไม่ เกี่ยวกับบุญกุศล ชาตินี้ชาติหน้าอะไรหรอก มันเป็นกฏธรรมดา
    เราเกิดมาแล้วถูกนินทาแน่ ก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปนะ อีกประการหนึ่ง ขอให้คิดว่าคนที่นินทาคนก็ดี คนด่าคนก็ดี เป็นลักษณะของคนบ้า
    เราก็ไม่ถือคนบ้า ไม่ว่าคนเมาก็หมดเรื่อง ให้เขาบ้าเพียงฝ่ายเดียว

    อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตอบพราหมณ์ พระพุทธเจ้าท่านกำลังเทศน์อยู่ พราหมณ์โมโหที่ลูกศิษย์ของแกสรรเสริญพระพุทธเจ้า
    แกรู้ก็ไปชี้หน้าด่า พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เลยปล่อยให้แกเทศน์แทน
    ตามพระบาลีท่านบอกว่า ด่าแบบทาสกรรมกรด่ากัน
    ด่าไปด่ามาแกเหนื่อยแกก็หยุดแล้วชี้หน้า

    " พระสมณโคดม แกแพ้ข้าแล้ว "

    พระพุทธเจ้าถามว่า " ตถาคตแพ้เธอตรงไหนเล่า ... ? " ท่านพูดเรียบๆ นะ

    พราหมณ์ตอบว่า " ข้าด่าแก แกไม่ด่าตอบนี่หว่า "

    พระพุทธเจ้าทรงตอบว่า
    " พราหมณ์ ตถาคตมีความรู้สึกว่า ถ้าใครโกรธตถาคตมา ตถาคตโกรธตอบ ตถาคตเลวกว่าคนนั้นนะ "


    โดนน็อคเลย อีตานั่นนั่งทรุดเลย ยกมือไหว้ กล่าวว่า

    " วาจาของท่านเป็นสุภาษิต เหมือนกับหงายของที่คว่ำมารับน้ำค้าง "

    ท่านก็เลยขอบวช บวชแล้วได้เป็นอรหันต์
    แบบนี้ถึง ๔ คนด้วยกัน ไม่ทราบว่าทำบุญอะไร ด่าพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์
    อย่าไปเอาเข้านะ นี่เพิ่งได้แค่ ๔ คน แต่อย่าไปว่าท่านนะ ท่านเป็นอรหันต์ไปนิพพานหมดแล้ว
    ไอ้นี่แหละการนินทาเราหลบไม่ได้ ต้องถือว่า ตามคติของพระพุทธเจ้าตรัสกับพระสงฆ์

    ระหว่างพระองค์เดินไปกับพระสงฆ์ เมืองนาลันทา กับ กรุงราชคฤห์ ต่อกัน ที่พราหมณ์นำคณะตามไป
    ท่านลุงนินทาพระพุทธเจ้า หลานสรรเสริญพระพุทธเจ้า ตอนเช้าไปบิณฑบาต ชาวบ้านเขาก็เล่าให้ฟัง
    พระกลับมาฉันข้าวแล้วก็ไป เฝ้าพระพุทธเจ้า และเล่าให้พระพุทธเจ้าฟัง พระพุทธเจ้าก็บอกว่า

    " พวกเธอทั้งหลาย จงอย่าสนใจในวาจาทั้งสอง คือนินทาและสรรเสริญ
    ถ้าเราดีเขานินทาว่าเลว เราก็ไม่เลวไปตามเขาพูด
    ถ้าเราเลวเขาสรรเสริญว่าดี เราก็ไม่ได้ดีไปตามคำเขาพูด เราจะดีหรือเลวอยู่ที่การประพฤติและปฏิบัติเท่านั้น
    "


    พูดสั้น ๆ เท่านี้พระพวกนั้น ได้บรรลุมรรคผล นี่ต้องถือตามคตินี้นะ ถ้าไปคิดว่าเกิดมาชาตินี้ถูกนินทาแล้วกลุ้มใจตายลงนรกแน่
    หลวงพ่อถูกด่าทุกวัน บางทีป่วยแล้วยังได้ยินเสียงด่า เราก็นอนฟังสบาย เราไม่เหนื่อย คนด่าเหนื่อย โอ ... หนักมาก
    ฉันเจอมาเยอะ คนโชคดีเหมือนกัน เป็นลูกพระพุทธเจ้านี่ แต่เขายังด่าไกล ๆ แต่พระพุทธเจ้า ท่านด่าใกล้ ๆ พระพุทธเจ้าถูกด่ากราดเลยนะ


    จากหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๐๑ หน้า ๑๔๓ (ข้อคิดจากธรรมะ)​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2011
  18. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ไม่โกรธตอบผู้ที่โกรธก่อน ชื่อว่าบำเพ็ญประโยชน์แก่คน ๒ ฝ่าย

    ข้อความบางส่วนจาก....กระแสโลก กระแสธรรม

    โดย...นาวาเอก(พิเศษ) วุฒิ อ่อนสมกิจ
    พิมพ์ลงใน นิตยสาร “ธรรมจักษุ”
    ปีที่ 88 ฉบับที่ 5 เดือน กุมภาพันธ์ 2547



    อักโกสสูตร (สูตรว่าด้วยการด่า)
    มีพราหมณ์ในตระกูล "ภารัทวาชะ" อีกคนหนึ่ง
    พราหมณ์ผู้นี้มีนิสัยหยาบกระด้าง ไม่ชอบหน้าใครก็จะใช้คำด่าอย่างหยาบ
    สามารถเรียงคำด่าได้ตามสูตรการด่า ๑๐ ข้ออย่างครบถ้วน
    จึงได้สมญาว่า อักโกสภารัทวาชพราหมณ์
    แปลว่า พราหมณ์ภารัทวาชะผู้ชำนาญในการด่า

    เมื่อพราหมณ์ด่า
    พระพุทธเจ้าจนจุใจแล้ว
    พระพุทธเจ้าได้ตรัสเป็นเชิงสนทนากับพราหมณ์ด้วยพระอาการปกติ

    "ดูก่อนพราหมณ์ ตถาคตขอถามความบางอย่าง
    ท่านเห็นอย่างไรจงตอบอย่างนั้น
    ที่บ้านท่านเคยมีมิตรอำมาตย์ญาติสายโลหิตมาเยี่ยมถึงเรือนบ้างไหม"

    "เคยมีเป็นบางครั้งบางคราว ท่านพระโคดม"

    "เมื่อมีแขกมาเยี่ยมเช่นนั้น ท่านเคยจัดของเคี้ยวของบริโภค
    หรือน้ำดื่มมาต้อนรับแขกของท่านบ้างหรือไม่?"

    "เคยบ้างในบางครั้ง ท่านพระโคดม"

    "ดูก่อนพราหมณ์! ก็ถ้ามิตย์อำมาตย์และญาติสายโลหิต
    ผู้เป็นแขกเหล่านั้นไม่รับของเคี้ยว ของบริโภค
    และเครื่องดื่มที่ท่านยกมาต้อนรับ แล้วลากลับไป ของนั้นจะตกเป็นของใคร"

    "พระโคดมผู้เจริญ! ก็ถ้ามิตรอำมาตย์ญาติสานโลหิตผู้เป็นแขกเหล่านั้นไม่รับ
    ของเหล่านั้นก็ตกเป็นของข้าพเจ้า ผู้เป็นเจ้าของบ้านเหมือนเดิม"

    "พราหมณ์! ข้อนี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านด่าเราผู้ไม่ด่าตอบ
    ท่านโกรธเราผู้ไม่โกรธตอบ ท่านเคียดแค้นเราผู้ไม่เคียดแค้นตอบ
    เมื่อเราไม่รับเรื่องมีคำด่าเป็นต้นของท่านๆนั้น
    เรื่องมีคำด่าเป็นต้นนั้นก็ตกเป็นของท่านผู้เดียว"
    และทรงย้ำว่า "ดูก่อนพราหมณ์ เรื่องมีคำด่าเป็นต้นนั้นเป็นของท่านผู้เดียว"


    พราหมณ์ผู้ได้สมญาว่านักด่า ฟังพระพุทธเจ้าตรัสย้ำหลายครั้งว่า
    "เรื่องมีคำด่าเป็นต้น ตกเป็นของท่านผู้เดียวๆ"
    เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าทรงโกรธ ทั้งเกิดความกลัวว่า
    ที่ทรงย้ำเช่นนั้นอาจเป็นคำสาปแบบฤาษีที่เล่าลือกันมา
    จึงหมดทิฏฐิ มานะ แล้วกราบทูลว่า

    "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เป็นที่รู้กันในหมู่บริษัทจนกระทั่งพระราชาว่า
    พระสมณโคดมเป็นพระอรหันต์ เมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดพระโคดมจึงยังโกรธอยู่เล่า"


    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "คนที่ฝึกตนมาดี มีชีวิตอย่างเรียบง่ายหลุดพ้นจากกิเลสเพราะรู้ชอบ
    สงบระงับ มีจิตใจตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว จะเอาความโกรธมาแต่ไหน

    คนที่ไม่โกรธตอบต่อคนที่โกรธตนก่อน ได้ชื่อว่าผู้ชนะสงครามที่พึงชนะได้โดยยาก
    ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธ ตั้งสติระงับความโกรธของตนได้
    ผู้นั้นชื่อว่าทำประโยชน์ให้แก่คน ๒ ฝ่ายคือแก่ตนเองและคนที่โกรธตน
    แต่ผู้ไม่ฉลาดในเรื่องคุณธรรม ย่อมปรามาสบุคคลนั้นว่า เป็นคนโง่ฉะนั้น"



    เราท่านมีความเห็นพื้นฐาน
    มีความสำนึกตรงกันว่า คนด่าก่อนเป็นคนเลว เพราะเป็นฝ่ายก่อเรื่อง

    คนด่าตอบถึงจะเลวบ้างก็ยังดีกว่าคนด่าก่อน
    และได้รับความเห็นใจจากสังคม เพราะเป็นการป้องกันตัว
    แม้หลักกฎหมายก็ระบุไว้อย่างนั้น และไม่เอาโทษแก่ผู้ทำเพื่อป้องกันตัว

    แต่พระพุทะวจนะในพระสูตรนี้ตรงข้าม
    ตรัสว่า คนโกรธตอบเลวกว่าคนที่โกรธก่อน
    ขันติเป็นคุณธรรมในหมวดธรรมที่ทำให้งามคู่กับโสรัจจะ ความสงบเสงี่ยม
    แปลว่าพระพุทธองค์สอนในแง่ให้มองตัวเองเป็นหลักคนอื่นดีชั่วอย่างไรไม่ต้องคำนึง

    และยังตรัสต่อไปว่า คนที่ไม่โกรธตอบบุคคลผู้โกรธก่อนได้ชื่อว่า
    ผู้ชนะสงครามที่ชนะได้โดยยาก คำว่าสงครามในพระพุทธวจนะนี้
    หมายถึงสงครามคือการสู้รบกับกิเลสสายโทสะ มีโกธะ ความโกรธ อุปนาหะ
    ความผูกโกรธเป็นต้น ซึ่งเป็นสงครามภายในที่บุคคลจะพึงเอาชนะได้โดยยาก
    เพราะผู้เอาชนะกิเลสสายนี้ได้จะไม่มีการโต้ตอบเชิงเอาชนะกับคนเลวอยู่แล้ว


    คนที่เอาชนะความโกรธได้
    ไม่โกรธตอบผู้ที่โกรธก่อน ชื่อว่าบำเพ็ญประโยชน์แก่คน ๒ ฝ่าย
    คือตนเองและคนที่โกรธตน

    เพราะไม่ต้องสูญเสียทั้ง ๒ ฝ่าย
    แต่ผู้ไม่ฉลาดเรื่องคุณธรรมกลับปรามาสผู้นั้นว่า คนโง่
    หรือคนขี้แพ้ซึ่งความก็แจ้งอยู่แล้ว

    ที่มา...มูลนิธิมหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์

    คัดลอกจาก
    กระแสโลก กระแสธรรม : อาหารสมอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2011
  19. paitoon01

    paitoon01 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,483
    ค่าพลัง:
    +4,160

    ขออนุโมทนาครับ
    ธรรมะที่นำมาลงนี้คงจะช่วยตือนสติได้หลาย ๆ คนรวมทั้งตัวผมเองด้วย
     
  20. อนิจฺจํ

    อนิจฺจํ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,374
    ค่าพลัง:
    +2,949
    ผมสังเกตุนานแล้ว การเตือนภัยพิบัติหากระบุวันเวลา หรือห้วงเวลาที่ชัดเจน มันจะไม่ค่อยเกิด แต่ไม่ค่อยแปลกใจหรอก เพราะภัยพิบัติ จะเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายบุคคล
    อย่างกรณีที่บุคคลโดนทำนายทายทักว่าจะมีเคราะห์ จะประสบเหตุร้ายต่าง ๆ กรณีคนที่โดนทักประมาท เห็นเป็นเรื่องเหลวไหล งมงาย ไม่ทำอะไร จึงประสบตามที่ทำนายก็มีให้เห็นมาก ส่วนคนที่ไม่ประมาท ทำบุญถวายสังฆทาน เซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ฯลฯ แล้วรอดพ้น ไม่เจอภัยอะไรก็มีมากเช่นกัน
    ทีนี้กรณีเตือนภัยพิบัติ แล้วผู้ร่วมชะตากรรมมีมากมาย คนบุญบารมีมากก็เยอะ คนบาปหนาก็มาก คนเชื่อแล้วหาทางแก้ไขเร่งทำบุญภาวนาก็มาก ผมจึงเชื่อว่าเหล่านี้จะเป็นเหตุปัจจัยให้ภัยพิบัติเลื่อน หรือ ทุเลาลงได้จริง
     

แชร์หน้านี้

Loading...