สงสัยเรื่องพระอนาคามี ครับ ใครเชี่ยวชาญช่วยตอบทีครับ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย bankzar, 21 มิถุนายน 2013.

  1. rstuwp

    rstuwp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +20
    พูดถึงคำคุณ◎สุริunร์ นี่จริงเลยนะ
    เคยไปค่ายของโรงเรียน บังคับไปธรรมมะ(ฮ่ะๆ ใช้คำว่าบังคับเพราะเข้าให้ไปทุกคน)
    เขาดีมีให้แปลด้วย น่าแปลกใจดี
    คำสอนบางอัน เป็นเรื่องที่แปลกๆ (บางคนอาจจะไม่รู้ว่ามีด้วยซ้ำหรือไม่คิดว่ามันจะเป็นบทๆขนาดนั้น เช่น ผมตอนนั้นเป็นต้น)
    เห็นเป็นคาถายาวเหยียด แปลออกมาว่า
    มนุษย์เราประกอบไปด้วย ม้าม ตับ เครื่องใน เส้นประสาท (อะไรก็ว่าไป)
    ถูกผิดทางวิทยาศาสตร์ก็ช่างมันเถอะ (อย่างน้อยก็ถูกกว่าไม่รู้อะไรเลยนะ รู้สึกว่าค่อนข้างตรงตอนนั้น)
    ผมล่ะงงเลย อย่าถามผมนะว่าบทอะไร ฮ่ะๆ
    นี่ถ้าพวกพระทรงฤทธิ์วัดไหนเอาไปเป็นฤทธิ์คาถา คนที่รู้คงขำ
    แต่อย่างน้อยพระส่วนมากคงได้รับการสอนความหมายด้วยอยู่แล้ว คงไม่พลาดจัด

    ผมเห็นด้วยเลยว่าใช้คำควรมี อย่างน้อยก็ดูน่าเชื่อถือ ดึงดูดคนกลุ่มนึงได้ แต่เราต้องรู้ความหมาย เหมือนที่ผมยกข้างต้น บางอันถ้าเราไปหาความหมายหัวข้อก่อน แทบจะไม่เข้าใจผิดเลย เช่น อนาคามี คือ ไม่เกิดแล้ว อะไรแบบนี้ แต่คนไทยจะยึดบาลีเพียวๆ เป็นหลักมากไป (ตอนหลังที่มีช่วงนึงเขารณรงค์ว่าให้เด็กสวดต้องแปลด้วยหรือเฉพาะแปลอย่างเดียว)
     
  2. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    บางที่ก็สวดแล้วแปลคำต่อคำประโยคต่อประโยค เช่น ที่ สวนโมกข์ (จะว่าไปสวนโมกข์นี่เป็นที่แรกๆเลย ที่สวดแล้วแปลด้วย เพราะท่านพุทธทาสเห็นว่าควรเข้าใจในความหมายจะได้ประเทืองปัญญา)
    บางที่ก็สวดแบบไม่แปลครับ
     
  3. apiraks

    apiraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +508
    เข้ามาแย้งเรื่องของผู้ที่กล่าวว่าพระอริยเจ้าชั้นอนาคามีนั้น
    สามารถปรารถนาพุทธภูมิเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ได้อีก

    พญามารคงกลัวท่านจะหวั่นไหวกับสัจธรรมของพระพุทธเจ้า จึงรีบเข้ามากล่าวว่า

    "ลูกเอ๋ย อันความเป็นพระอริยะ นั้นมีแปดจำพวก ประกอบด้วยสี่จำพวกแรกตั้งแต่พระโสดาบัน สกิทา อนาคมี อรหันต์เป็นพระอริยะฝ่ายมรรควิธี
    ส่วนอีกสี่จำพวก เป็นพระโสดาบัน สกิทา อนาคมี อรหันต์เป็นพระอริยะฝ่ายปฏิเวธหรือผละวิธี
    อาตมาขอกล่าวว่า ความเป็นอริยะบุคคลนั้น มิได้เกี่ยวข้องกับความเป็นหรือจำกัดด้วยเงื่อนไขอะไรหรอก ความเป็นพระอริยะนั้นไม่เกี่ยวด้วยว่า มนุษย์ผู้นั้น จะเป็น ราชา ยาจก พราหม์ หรือนักบวช หรือโพธิสัตว์ แต่ความเป็นพระอริยะนั้น อาศัยเหตุที่เธอคือมนุษย์ผู้นั้น มีการสั่งสมบารมี ทานศีลภาวนามาดีแล้ว มีจิตดำรงอยู่ด้วยพระสัทธรรมเสมอแล้ว ยิ่งจิตพระอรหันต์แล้วนั้น ดูแค่เพียงว่า ท่านได้ตัดละสังโยชน์ได้หมดสิ้นบริสุทธิ์แล้ว ท่านมีดวงตาบรรลุธรรมแล้ว เป็นผู้เจริญแล้วด้วยอริยะมรรคองค์8 เป็นผู้ห่างไกลกิเลสแล้ว นั้นแหละจึงกล่าวได้ว่าท่านจัดเป็นพระอริยะประเภทพระอรหันตอริยะบุคคล"


    เป็นได้ขนาดนี้ อริยะบุคคล มีแปดจำพวก!!!!

    พระอริยเจ้าทั้งสี่ระดับนั้นถือเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าครับ
    เหตุเพราะเลือกที่จะรู้ตามในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสรู้ไว้
    จึงไม่สามารถหักเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าได้อีก หากไม่เคยศึกษา
    พระไตรปิฏกควรหาเวลาศึกษาไว้บ้างนะครับ เกิดชาติหน้า
    ไม่รู้จะได้มีโอกาสได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าอีกหรือไม่
    ชาตินี้พอมีเวลาควรศึกษาเป็นเสบียงไว้ครับ เมื่ีอทำความดี
    ทานพร้อมศีลพร้อมการปฏิบัติภาวนาก็จะสำเร็จได้วันหนึ่งครับ

    หากอยากรู้ความจริงว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ถูกต้องหรือไม่
    ครั้งต่อไปลองดูตามนี้นะครับ

    "หากผู้ที่อยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าเป็นครูบาอาจารย์จริง ขอให้ข้าพเจ้ายกเท้าไม่ขึ้น
    หากผู้ที่อยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าไม่ใช่ครูบาอาจารย์แล้วไซร้
    ขอให้เท้าข้าพเจ้าสามารถถีบมันผู้นั้นได้ด้วยเถิด"

    อธิษฐานจิตด้วยสมาธิขั้นสูงของท่านก็จะสามารถรู้ผลได้ครับ หากอยากตาสว่างก็ลองทำดู
    ข้อความนี้เจตนาให้ผู้อ่านเข้าใจในหลักธรรมตามพระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนไว้ หากไม่ถูกใจ
    ท่านผู้ใด ผมขออโหสิกรรมไว้ด้วยนะครับ

    ขอเจริญในธรรมทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2013
  4. apiraks

    apiraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +508
    พระอริยะเจ้าที่โดดเด่นเป็นเลิศในทางต่างๆก็ยังพอมีครับในยุคนี้
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    หากพระอนาคามีที่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์ เป็นเพียงคนธรรมดา ส่วนหนึ่งบรรลุธรรมมากพอประมาณแล้ว ตัดละกามราคะได้หมด ละ สังโยชน์ได้มากแล้ว แต่ในจิตมีความปราถนายังไม่อยากไปนิพพาน แต่ปราถนาจะสงเคราะห์ สหายธรรมและผู้มีพระคุณ พระอนาคามีผู้นั้น จึงกลับมาเกิดได้อีกหรือไม่ เพื่อสงเคราะห์

    จิตทั้งหลายมีสัญญาสังขาระปรุงแต่ง หากถูกปรุงแต่งอย่างไรก็ย่อมไปอย่างนั้น เพราะมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดแล้วอย่างนั้น จึงเข้าใจว่า หากมีเหตุปัจจัยมากพอก็ย่อมทำให้พระอนาคามีส่วนนี้ย่อมมาเกิดเป็นมนุษย์อีกได้

    ปัญญามีเช่นนี้จึงกล่าวอย่างนี้ แต่ส่วนที่กล่าวนี้เป็นเพียงส่วนน้อยปลีกย่อย เท่านั้น เพราะ ส่วนใหญ่แล้วย่อมเป็นไปตามที่พระพุทธองค์กล่าวไว้แล้วคือจักไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ครับ

    ขออธิบายไว้แบบนี้ จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ท่านจะพิจารณาครับ ให้ใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง เป็นหลักสำคัญครับ ส่วนคำสอนก็น้อมนำมาพิจารณาตามครับ สาธุ
     
  6. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    คุณ tjs คุณจะบอกว่าตนเป็นพระอนาคามีมาเกิดเพื่อสงเคราะห์ ก็บอกมาตรงๆเหอะ

    ส่วนประเด็นพระโพธิสัตว์ จะเป็นอนาคามีได้หรือไม่ ร้อยละ99
    คนเวบนี้เขาต้องเชื่อคำสอนของพระ ที่ไม่ได้มาหมกหมุ่นเล่นเนต ปฏิบัติศาสนกิจ
    ซึ่งคำวิสัชนา มีความน่าเชื่อถือกว่าตามธรรมวินัย มากกว่าที่จะเชื่อคุณ
    น่าจะพิจารณาตนได้แล้ว ว่ามั้ยคุณ apiraks

    http://palungjit.org/threads/พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหม.504667/
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    บุคคลผู้ที่ยังกล่าวติเตียนผู้อื่นอยู่ด้วยจิต ท่านย่อมรู้ในกิเลสเครื่องปรุงแต่งด้วยเหตุบางประการ พึงพิจารณาในจิตโดยแท้เพื่อชำระจิตของตน ว่าธรรมใดๆทั้งหลาย รู้แล้วเข้าใจแล้ว เห็นแล้ว แต่ทำไมไม่ชำระให้ขาวสะอาดโดยรอบ

    จิตเราชำระดีแล้ว แม้คำตำหนิติชมหรือสรรเสริญนินทาใดๆเราปล่อยวางแล้วด้วยมีสติและปัญญาเพราะเราปฏิบัติมามากพอแล้ว จึงรู้ทันอารมณ์จิตของตนแล้ว รักษาไว้ดีแล้วจึงกล่าวเช่นนี้

    แม้เราจะรู้ในจิตของเราว่า จิตเราจะดีกว่าเขาเพราะปฏิบัติมาดีกว่ามากกว่า แต่เราก็จะมีสติปัญญาเสมอว่า เราจะไม่มีความคิดเช่นนั้น เพราะเราจะละวางในสุขทุกข์ดีชั่ว แค่มีสติรู้ว่า ในชีวิตที่เหลือด้วยวิบากกรรมด้วยภาระหน้าที่ จะต้องกระทำความดีอะไรสืบเนื่องต่อไปก็เท่านั้น หรือที่เรียกว่า แยกรูปและนามออกจากจิต สักแต่ว่ารู้สักแต่ว่าทำภาระ สักแต่ว่าปฏิบัติ ก็เท่านั้น ส่วนผู้อื่นเขาเป็นอย่างไรก็อยู่ที่จิตเขา มีเพียงความปราถนาดีต่อเขา สงเคราะห์เขาให้มีสติและปัญญายิ่งๆขึ้นไป ก็เท่านั้นก็วางลงเท่านั้น เพราะไม่ได้ยึดติดอะไร แม้ธรรมและปัญญความรู้ที่เรามีก็เช่นกัน เราก็วางลงแล้วเช่นกัน


    ขอให้ท่านทั้งหลาย นอกเหนือจากการนำความรู้นำพระธรรมมาแสดงแล้ว สิ่งที่สำคัญยิ่งคือ ท่านได้นำเอาพระธรรมเหล่านั้น เป็นเครื่องชำระจิตของท่านหรือยัง จิตของท่านได้เข้าถึงพระสัทธรรมเหล่านั้นบ้างหรือยัง ขอให้ท่านจงเร่งความเพียรทางจิตเถิดครับ เพราะนี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ครับ สาธุ
     
  8. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหม ?

    ถาม : ปัจจุบันนี้พระอริยเจ้าท่านมีอยู่เท่าไรคะ ?

    ตอบ : เสียเวลาไปคิด ทำตัวเองให้เป็นพระอริยเจ้าถึงจะดีที่สุด เพราะว่าท่านจะมีเท่าไร หรือท่านจะเป็นพระอริยเจ้าระดับไหน ก็เหมือนกับสมบัติมหาเศรษฐี เราดูไป เรารู้ไปก็ยังเป็นของท่านอยู่ดี สำคัญที่เราต้องหาสมบัติของเราเองให้ได้

    ถาม : พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหมคะ ?

    ตอบ : ไม่ได้จ้ะ ถ้าพระโพธิสัตว์ไม่ได้ละการปรารถนาพุทธภูมิ จะเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ แต่พระโพธิสัตว์ท่านสามารถปฏิบัติจนกำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้าได้ ดังนั้น..พระโพธิสัตว์บางท่าน ถ้าไปขอคำสอนท่าน ท่านจะสอนลักษณะเดียวกับพระอริยเจ้า แต่จะไม่สอนเกินกำลังใจของตน

    อาตมาเคยกราบขอให้ หลวงปู่อ่ำ วัดโสมนัส ที่ หลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านบอกว่า เป็นช้างปาลิไลยกะมาเกิด ขอให้ท่านพูดถึงอารมณ์พระอริยะเจ้า ท่านบอกว่า “ฌานโลกีย์อย่างคุณอย่างผม พูดไปก็ผิดเสียเปล่าๆ” อาตมากราบเรียนว่า “แค่กราบขอความรู้ไว้เป็นแนวทางการปฏิบัติเท่านั้น ถ้าหากว่ากระผมทำถึง จะได้รู้ว่าตนเองเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าจริงหรือไม่ ?”

    ท่านถึงได้แสดงให้ แต่ว่าท่านจะพูดวนอยู่แค่สังโยชน์ ๕ ก็แปลว่ากำลังใจของท่านเทียบเท่าพระอนาคามี ฉะนั้น...พระอริยเจ้าจะไม่มีในพระโพธิสัตว์ ถ้ายังไม่ละความปรารถนาในพระโพธิญาณ เพราะภาระที่ตนเองตั้งใจไว้ จะทำให้จิตไม่ยอมตัดละเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ต่อให้กำลังใจเทียบเท่าพระอริยเจ้า ก็ไม่สามารถจะเป็นพระอริยเจ้าได้

    ถาม : พระโพธิสัตว์ตัดลาจากพุทธภูมิก็เข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าได้ ?

    ตอบ : ได้..และการปฏิบัติจะเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าเร็วกว่าบุคคลทั่วไป เพราะกำลังของท่านสูงมากแล้ว

    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๖

    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=3713&page=8

    ทีมาในเว็บพลังจิต : พระโพธิสัตว์เป็นพระอริยเจ้าได้ไหม ? - PaLungJit.org


    ------------------------------------------------------------


    ขอกราบอาราธนาธรรมของหลวงพ่อเล็กมาเผยแพร่ค่ะ
    เนื่องจากตนเองยังมีความเลวอยู่มาก...จึงไม่สามารถสอนใครได้
    และเห็นว่าถกเถียงเรื่องนี้กันมานาน และมิได้มีข้อสรุปใด ๆ


    หากมีใครโต้แย้งก็คงต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของกฎแห่งกรรมไปนะคะ
    เรา ๆ ท่าน ๆ ก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การบิดเบือนพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
    มีโทษหนักหนาสาหัสเพียงใด....


    เมื่อถกเถียงกันจิตใจก็ขุ่นมัว รักษากายวาจาไว้ให้สะอาด โปร่งสบายและบริสุทธิ์ดีกว่าค่ะ
    สำหรับผู้ที่โดนบททดสอบอยู่ที่ขอให้สอบผ่านนะคะ
    บทสุดท้าย ใครจะผิดหรือถูกก็คงไปเจอกันที่สำนักพระยายมราช
    (หรือไม่แน่ถ้าโทษหนัก คงไม่มีคนมารับไปไต่สวน)
    ขอให้เจริญในธรรมกันทุก ๆ ท่านค่ะ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    อนุโมทนาครับ
    บุคคลผู้ปฏิบัติธรรม ย่อมต้องมีสติและปล่อยวาง ในความนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลาย พึงสักแต่ว่ารู้ ละ วาง พยายามรักษาจิตของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ครับ

    เมื่อรู้อะไรใดๆจึงให้วาง รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง ปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์สอน อย่าไปยึดติดในสิ่งที่รู้ รู้แล้ววาง ฝึกแบบนี้ให้มากๆครับ สาธุครับ
     
  10. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    tjs คุณทำกรรมอะไรมาเนี่ยะ ไม่รับฟังคนอื่นๆเลย ไม่มีใครที่เหยียบหัวผู้อื่นเพื่อยกตนให้สูงหรอกน่า

    เข้าใจคำว่า ติเพื่อก่อ หรือป่าว ดูอย่างคุณMiss Brown อุตส่าห์ยกบทความถามตอบธรรมะ มาให้อ่านพิจารณา

    แต่ดูท่านแล้ว ดูเหมือน พูดในสิ่งที่อยากจะพูดเท่านั้น รู้แล้ววางๆ สักแต่ว่าๆ นี่คุณเป็นพระอรหันต์แล้วหรือ เกินภูมิไปหรือป่าว

    พระอริยเจ้าท่านหนึ่งนะ ตามประวัติท่านกินหมากอยู่เป็นประจำ พอมีคนไปทักว่าไม่เหมาะ ท่านรับฟังแล้วท่านก็ไม่กินอีกเลย แล้วดูเราสิ

    ลองย้อนกลับ ขึ้นไปอ่านบทความ ที่เพื่อนสมาชิกดังกล่าว นำมาโพสสิ ทำตัวอักษรสีเห็นชัดเจน

    แต่ถ้าจะให้ชัดๆหน่อย น่าจะใส่สีอักษรตรงประโยคนี้ด้วย
    "การบิดเบือนพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
    มีโทษหนักหนาสาหัสเพียงใด...."


    ก่อนที่จะวาง พิจารณาบ้างหรือยัง แต่นี่รู้แล้ววางผลั๊วะเลย อย่างกับตนเป็นพระอรหันต์ ใครมาอ่านเขาก็รู้ว่านี่ภูมิรู้ของพระอรหันต์

    โดยบอกว่าตน(#127) "มีจิตชำระดีแล้ว ละวางในสุขทุกข์ดีชั่ว
    เพราะไม่ได้ยึดติดอะไร แม้ธรรมและปัญญาความรู้ที่เรามีก็เช่นกัน เราก็วางลงแล้วเช่นกัน"

    เนี่ยะ...อย่างกะพระอรหันต์ ใช่หรือไม่ ?

    ฉะนั้น...พระอริยเจ้าจะไม่มีในพระโพธิสัตว์

    ซึ่งไม่ใช่บททดสอบ แต่เป็นบทความ(#128)ที่คุณต้องพิจารณา ว่าสิ่งที่ตนรู้แล้ววางนั้น มันใช่อยู่หรือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2013
  11. Miss Brown

    Miss Brown เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,779
    ค่าพลัง:
    +19,376
    น่าสนใจค่ะ ขอความรู้คุณ tjs เพิ่มเติม
    กรณีรู้แล้วาง...เมื่อรู้แล้วให้วางนั้นเป็นอย่างไรบ้างคะ?
    คุณมีแนวทางปฏิบัติอย่างไรบ้าง?
    ยกตัวอย่างเช่นสิ่งที่เรายกมาความเห็นที่แล้วก็ได้ค่ะ เรารู้แล้วควรวางอย่างไร?
    ขอขอบพระคุณที่ชี้แนะค่ะ
     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    บุคคลผู้กล่าวว่าบิดเบือน อาศัยเหตุจากอะไร เป็นที่ความหมายหรือข้อความที่บิดเบือนหรือทั้งสองอย่างหรือเป็นเพราะส่วนใดส่วนหนึ่ง

    เราขอกล่าวว่า พระธรรมของพระพุทธเจ้า มีมากมายก็จริงที่พระองค์ตรัสสอนไว้ เพื่อให้นำไปปฏิบัติ เพื่อความเข้าถึงและรู้แจ้งในพระสัทธรรม

    แต่เมื่อปฏิบัติธรรมมามากมายแล้วย่อมเกิดปัญญาตกผลึกแล้ว เข้าใจรู้แจ้งโดยแท้จริงแล้ว ย่อมเข้าใจว่า ควรกล่าวอย่างไร เพราะทุกอย่างล้วนเกิดแต่เหตปัจจัยทั้งสิ้น

    หากการกล่าวสอนเหล่านั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการ ละบาบ ทำความดี ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็ย่อมกล่าวได้ว่า เป็นไปตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้

    ที่สุดคือการชำระจิตให้ขาวสะอาดบริสุทธิ์ ข้อนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะต้องอาศัย สีละ สมาธิ และปัญญาเป็นเครื่องช่วย

    พระพุทธองค์สอนให้เอาอย่างพระสารีบุตร พึงมีปัญญาศรัทธา จงนำไปปฏิบัติให้รู้เห็นจริงก่อนแล้วจึงค่อยเชื่อ เมื่อปฏิบัติจนรู้แจ้งแล้ว สุดท้ายก็ปล่อยวางในปัญญาความรู้เหล่านั้น

    ขอบคุณที่ทุกท่านหวังดีกับกระผมและเมตตาต่อกระผม ทำให้กระผมเกิดปัญญาและละปล่อยวางในมานะแห่งตนได้มากยิ่งขึ้นครับ

    สุดท้ายนี้ด้วยผลบุญนี้ จงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายจงได้รับผลเช่นเดียวกับที่กระผมได้รับเช่นกันทุกประการครับ สาธุ
     
  13. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200

    เดี๋ยวๆ ช้าก่อน tjs คุณจะมาเกิดปัญญา ลดมานะ อะไรอีกล่ะคร้าบบ

    ก็ไหนคุณบอกว่า
    "มีจิตชำระดีแล้ว ละวางในสุขทุกข์ดีชั่ว
    เพราะไม่ได้ยึดติดอะไร แม้ธรรมและปัญญาความรู้ที่เรามีก็เช่นกัน เราก็วางลงแล้วเช่นกัน"


    เบรคล้อไหม้เลยอย่างนี้ ทำให้ยูเทริ์นกลับไปอีก ไม่งงกับสิ่งที่โพสออกมาบ้างหรือ

    ไม่เอ๊ะใจบ้างหรือ ทั้งที่คุณเขียนป้ายไปปักไว้ บอกคนทั้งหลายว่า รู้แล้ววางๆ สักแต่ว่าๆ

    [​IMG]

    กุปปธรรม - ผู้มีธรรมที่ยังกำเริบได้(วิขัมภนวิมุตติ) คือ ผู้ที่ได้สมาบัติแล้วแต่เสื่อมได้
    อกุปปธรรม - ผู้มีธรรมที่ไม่กำเริบ(สมุจเฉทวิมุตติ) คือ ผู้ที่เมื่อได้สมาบัติแล้ว สมาบัตินั้นจะไม่เสื่อมไปเลยได้แก่พระอริยบุคคลทั้งหมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2013
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    =============

    สมาบัติของอริยะบุคคล แม้ไม่เสื่อมก็จริงอยู่ แต่หากยังยึดมั่นว่าไม่เสื่อม นั่นคือจิตท่านนั่นแหละที่เสื่อม ที่เสื่อมเพราะว่าไปยึดมั่นว่ามันไม่เสื่อมนั่นเอง อย่างที่เคยบอกไปว่า แม้เรารู้แล้วว่าไม่เสื่อม ก็จงทำใจให้ปกติและปล่อยวาง เพราะมันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น

    อันมานะแห่งตน ชนิดอย่างละเอียดไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่ดีไม่ร้าย แต่ฝังลึกอยู่ภายใน แสดงตัวตนนึกคิดปรุงแต่งจิตได้เสมอตามโอกาส แม้กระนั้นก็ยังไม่สามารถทำลายให้หมดสิ้นไปในคราวเดียว อาศัยมีสติปัญญาเป็นเครื่องตรวจตราและทำลายสิ้น อาจต้องใช้เวลา และความเพียร เพราะเราเป็นผู้ไม่ประมาทในกิเลสทั้งหลายและไม่ลำพองว่าตนคือผู้บริสุทธิ์ แล้ว อาศัยแค่สติปัญญาและความเพียร ทำๆไปก็เท่านั้นครับ สาธุ
     
  15. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ============
    รับหรือไม่รับพร ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะเป็นเรื่องจิตของท่านไม่เกี่ยวกับของผม ของผมสนใจแค่ว่า จิตผมปราถนาดี เป็นจิตที่มีเมตตาไม่มีประมาณก็เท่านั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องจิตดวงนี้ไม่เกี่ยวกับจิตดวงอื่นๆ เมื่อให้ไปแล้วใครจับรับไม่รับก็ไม่ได้ยึดมั่นเพราะเป็นเรื่องจิตดวงอื่นๆครับ

    จำไว้นะลูก ใครจะด่าจะว่าเรา จงรับฟังนะ อย่าไปโกรธเคืองเขา เพราะนั้นคือโอกาสที่ดี ที่เราจะได้พิสูจน์กำลังความสะอาดของจิตเรา
    ให้รับฟัง แล้วพิจารณาและหากเป็นจริงให้แก้ไข หากไม่จริงก็ให้ปล่อยวางลงไปก็เท่านั้น

    จงคิดในแง่ที่ดีว่า เขาด่าเราตำหนิเราเพราะเขาปราถนาดีให้เราได้ดี แต่ถ้าเขาด่าเราเพราะเขาใช้ความโกรธ มานะทิฏฐิ หรือเพราะอัตตาของเขา อันนั้นก็เป็นบาบกรรมของเขา เราไม่ต้องเอามาคิด ความไม่ดีของผู้อื่นไม่ต้องเอามาคิดหรือไม่ต้องดึงมันเข้ามาอยู่ในจิต

    ไม่ว่าเราจะคุยกับใครจะทำอะไร ให้ดูที่จิตเราตลอด สติต้องตามรู้ดูอยู่กับจิตตน เท่านั้น สติจะรู้ทันอยู่กับจิต ก็ต้องรู้จักรสำรวมระวังอินทรีย์ของตน ฝึกสติให้ระลึกรู้เป็นปกติทุกอิริยาบท แม้กายเคลื่อนไหวใดๆก็มีสติระลึกรู้ แม้กายสงบนิ่ง วาจาสงบนิ่งก็มีสติระลึกรู้ แม้จิตเคลื่อนไหวก็มีสติระลึกรู้ทัน แม้จิตสงบนิ่งก็มีสติระลึกรู้ทัน ให้รู้ทันตามสติปัญญา รู้ละปล่อยวาง ใดๆที่กระทบจิตแล้วเพราะมีสติระลึกรู้ทันแล้ว จิตก็ปล่อยวาง เมื่อทำปกติแล้ว ความนึกคิดปรุงแต่งทั้งหลาย เวทนาทั้งหลาย สัญญาทั้งหลาย สังขาระวิญญาณทั้งหลาย ล้วนไม่สามารถชักนำปรุงแต่งให้จิตไหลไปตามได้ จิตจึงอาศัยอยู่ด้วยสติปัญญา รู้วาง รู้วางปล่อยวาง ว่างเป็นที่สุดนั้นเองครับ

    ขอบคุณในข้อแนะนำทั้งหลายครับ ไม่ต้องถามท่านครูอาจารย์ท่านหรอกเพราะความจริงกระผมทราบคำตอบเหล่านั้นดีมากพอแล้วและไม่ได้ยึดติดในสิ่งเหล่านั้นแล้ว ก็เท่านั้นครับ

    หัวใจดวงนี้มีเพียงจิตเมตตา ร่วมกันสร้างความดีทางจิตฝึกฝนอบรมจิตให้ดีงามเท่านั้น ไม่ต้องการอะไรใดๆทั้งสิ้น เพราะไม่รู้จะอยากได้อะไรไปทำไมเพราะมันล้วนเป็นทุกข์ทั้งสิ้นครับ เมื่อรู้ว่าทุกข์ อันความอยากและไม่อยากอะไรใดๆ ก็ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ใจ จะไปยึดมั่นยึดติดทั้งสิ้นครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2013
  16. จรัล

    จรัล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    295
    ค่าพลัง:
    +405
    กระผมได้เฝ้าติดตามคุณ tis นี้มาสักระยะหนึ่งได้รู้ได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างเกี่ยวกับความคิดของคุณ Tis นี้ กระผมคิดว่าคุณ Tis คงจะสับสนอะไรสักอย่างหรืออาจจะหลาย ๆ อย่าง คุณ Tis ครับผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิหรือพระโพธิสัตว์ระหว่างที่บำเพ็ญบารมีนั้นท่านไม่มีทางที่จะบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้หรอกครับ คุณ Tis เป็นคนฉลาดหากศีกษาให้ละเอียดและถูกต้องก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ พระอริยะบุคคลแม้แค่พระโสดาบันที่บารมีอ่อนที่สุดท่านก็ยังมีกำหนดแน่นอนแล้วว่าจะเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติเท่านั้น ส่วนพระอนาคามีนั้นท่านบอกอยู่แล้วว่าเป็นผู้ที่จะไม่กลับมาอีกและท่านจะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้วไม่ว่าจะในกรณีใด ฉนั้นจึงไม่ต้องไปพูดไปบอกอะไรใครให้ใครเขาสับสนอีกหรอกครับโดยเฉพาะผู้ที่ยังใหม่อยู่ คุณ Tis ครับคุณเป็นคนฉลาดหากคุณจะได้ศึกษาอะไรให้มันมากกว่านี้และปรับเปลี่ยนแนวความคิดบางอย่างของคุณใหม่ให้ถูกต้องตามความเป็นจริง คุณเองนั้นก็อาจจะถือเอาเป็นแบบอย่างในการปฎิบัติธรรมได้เป็นอย่างดีอีกคนหนึ่ง ศึกษาให้ละเอียดแล้วปรับเปลี่ยนความเห็นใหม่ให้มันถูกต้องตามความเป็นจริงเถอะครับคุณ TIS
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ===============

    ขอบคุณครับ สำหรับเรื่องนี้และหลายๆเรื่อง กระผมได้วางลงแล้วครับ ไม่ได้ยึดติดอะไรอีกแล้วนานพอสมควรแล้ว ใครจะเป็นอะไรไม่ได้สนใจอะไรอีกแล้วครับ มันเป็นเรื่องที่เราไม่ควรเข้าไปยึดติดอะไร แค่รู้แล้วว่าวิถีมันเป็นอย่างไร ก็แค่นั้น ก็วางลงอย่างนั้น

    หากมีคนมาถามผมว่า มันเป็นอย่างไร ก็จะตอบไปว่า เธอจะไปสนใจทำไมว่ามันจะเป็นอย่างไร เธอควรสนใจว่า ทำอย่างไรให้จิตเธอสะอาดบริสุทธิ์ดีกว่า ทำอย่างไรให้เธอชำระกิเลสให้หมดสิ้นไปดีกว่า ความเป็นโน่นนี่นั่น มันไม่มีหรอกเราอย่าไปคิดว่ามันมี ทุกอย่างมันปรุงแต่งและถูกคิดค้น ถูกสร้างถูกเรียก ขึ้นมาอย่างนั้น เป็นธรรมดาของมัน เธอจะไปสนใจในสิ่งที่เป็นเปลือกนอกกันทำไม ทำไมเธอไม่มุ่งเน้นที่จิตภายในของเธอ แต่ถ้าเธอติดขัดตรงนั้น ก็ยินดีชี้ทางแก้ไขให้ สุดท้ายเราตั้งใจสร้างความดีสร้างบารมีเต็มที่แล้ว กิเลสมันหมดก็ไปนิพพาน หากมันยังไม่หมดก็อยู่ที่อารมณ์ที่จิตทรงรักษาไว้ในขณะดับจิต จิตทรงสภาวะใดย่อมเคลื่อนไปสู่ภพภูมิเหล่านั้น มีแรงบุญและบาบเป็นเครื่องหนุนส่ง ชีวิตมันก็มีความตายเป็นแน่แท้ที่สุดก็เท่านั้นครับ

    กระผมจะกล่าวในสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน และบางเรื่องอาจจะเป็นส่วนปลีกย่อย ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า เป็นส่วนที่ไม่ค่อยมีใครเข้าไปค้นพบความรู้เหล่านั้น ก็มาบอกกล่าวก็เท่านั้น และสิ่งสำคัญ คำกล่าวของกระผม ต้องไม่ผิดไปจาก หลักธรรม และพระวินัย เป็นไปเพื่อการสร้างความดี ละบาบ ไม่ทำชั่ว และต้องชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ห่างไกลกิเลสห่างไกลทุกข์ครับ

    และในเวลานี้ก็รู้ดีว่าด้วยวุฒิภาวะและคุณวุฒิ และเป็นแค่ฆารวาสธรรมดา จึงไม่มีน้ำหนักอะไรมาสนับสนุน มีเพียงเหตุและผลที่อธิบายให้เห็นให้เหตุปัจจัย ที่ก่อให้เกิดผลอย่างนั้นๆก็เท่านั้น

    ถ้าการกล่าวเหล่านั้นนอกเหนือจากที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ แต่เนื้อแท้แก่นธรรมที่กล่าวนั้น เป็นสิ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ ธรรมเหล่านั้นก็ควรนำมาโยนิโสมนสิการ พิจารณาทบทวนเพื่อให้เกิดปัญญาในธรรมได้ไม่มากก็น้อย
    เพราะจิตดวงนี้มีศรัทธาปัญญาและมีจิตใจที่กว้างไม่มีประมาณที่จะเปิดรับทุกสรรพสิ่ง ทั้งดีและไม่ดี เช่นมหานที จะดีหรือไม่ดีที่ทิ้งคว้างเติมเต็มใส่ลงไป มหานทีมีแต่รับไว้ไม่เคยสะทกสะท้านอะไร นั่นเองครับ

    สุดท้ายทุกท่านที่เข้ามาใช้ประโยชน์ในกระทู้ธรรมทั้งหลาย พึงแยกแยะให้ได้ อ่านแล้วต้องสรุปใจความให้ได้ ด้วยปัญญาตามหลักของพระพุทธเจ้าคือ ทุกอย่างเกิดได้เพราะมีเหตุปัจจัย ประกอบ ผลจึงเกิดขึ้นอย่างนี้นั่นเอง

    หรือการคิดอย่างปัจจุบัน อย่างที่เราทำระบบISO หรือระบบอื่นๆ ทั้งของฝรั่งหรือญี่ปุ่นเพราะเราต้องการผลอย่างนี้ เราก็พยายามไปหาวิธีการทำเหตุปัจจัยให้เกิดขึ้นอย่างนี้ให้ได้นั่นเองครับ
    ความจริงสิ่งที่คนฝรั่งคิดหรือคนญี่ปุ่นคิด พระพุทธเจ้าท่านบอกแนวทางไว้หมดแล้ว แต่เราไม่รู้จักคิดและเอามาประยุกต์ใช้ให้ถูกต้องนั่นเองครับ

    กระผมขออนุโมทนาทุกครั้ง ทุกท่าน และทุกความดีงาม ทุกความรู้ ทุกพระสัทธรรม ล้วนก่อให้เกิดปัญญาแก่ผู้อ่านได้เสมอครับ เพราะสุดท้ายเราท่านทั้งหลายต่างก็มีที่หมายเดียวกันคือ ผู้หลุดพ้นนั่นเองครับ

    ด้วยความยินดีในธรรมทั้งปวงครับ สาธุ
     
  18. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    เขาไม่ยึดติดอะไรนานแล้วครับ ดูเหอะ ว่างๆ ว่างๆ มีแต่น้ำ [​IMG]

    คุณ tjs เพื่อนๆเขาหวังดี กลัวจะหลงไปปัดน้ำทะเล เอาน่ะสิ [​IMG]

    ที่สำคัญคุณกล่าวไว้ว่า(#138) "สิ่งสำคัญ คำกล่าวของกระผม ต้องไม่ผิดไปจาก หลักธรรม และพระวินัย"

    แต่ทำไมคุณยังไม่รู้ตัวเน้อ แปลก ทั้งที่เพื่อนสมาชิกแย้งในสิ่งที่คุณกล่าวมา ว่าผิด ในหลายๆสิ่ง

    คุณเองกลับตะพึดตะพือ ในสิ่งตนเองอยากพูดเท่านั้น

    อย่างเช่น คำกล่าวนี้ในกระทู้ http://palungjit.org/threads/เมื่อพยามัจจุราช-มาทวง-ขอชีวิตของข้าพเจ้า.498011/page-10#post8126858
    บอกไว้ว่า "เพื่อจะได้ไปเกิดยังที่ๆดียิ่งกว่า มีที่สุดคือพระนิพพาน"

    นิพพานเป็นแดนเกิดอยู่หรือ หากคนที่ศึกษาปฏิบัติธรรมมามากพอ เรียนรู้ในสัจธรรม
    จะไม่กล่าวออกมาอย่างนี้แน่นอน เขาจับผิดคุณได้เลย

    จะไปเกิดได้อย่างไร เพราะ "นิพพานัง ปรมัง สูญญัง" สูญสิ้นแล้วจากกิเลส สูญจากกิเลสนะ
    แล้วอะไรจะเป็นเชื้อพาให้ไปเกิดได้อีกล่ะ
    นิพพานคือดับ ดับแล้วซึ่งกิเลส ไม่มีไม่เป็นแดนเกิดอีกแล้ว

    ผิดเพี้ยนไหม ประกาศซะก้องอย่างนั้น

    <IMG src='http://palungjit.org/customavatars/avatar316899_66.gif' width=50>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2013
  19. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,648
    ค่าพลัง:
    +20,320
    ถ้าเราอดทนกับสิ่งที่ไม่ควรอดทนได้ นั่นเพราะคุณผ่านการฝึกจิต

    ถ้าเราไม่ต้องอดทนกับสิ่งที่ควรหรือไม่ควรอดทน เพราะเรามีสติปัญญาและรู้ละปล่อยวางในสิ่งเหล่านั้นที่เป็นเครื่องกระทบประดุจไฟกิเลสที่กำลังโหมกระหน่ำ เหล่านั้นได้ สำเร็จแล้ว ก็แสดงว่าเราได้สอบผ่านแล้ว อันไฟกิเลสทั้งหลายจากภายนอกย่อมไม่สามารถทำอันตรายจิตเราได้อีก มันก็มีเท่านั้นครับ ก็วางลงไปแล้วอย่างนั้นของจิตครับ


    และมักจะดูอารมณ์ของจิตเสมอว่า เวลามันได้ได้ตามที่มันนึกปรุงแต่งหรือไม่ได้ดั่งใจมัน จิตมันเป็นอย่างไร ตรงนี้ขออธิบายว่า ก็ในเมื่อมันไม่ยึดมั่นไม่ไหลตามเครื่องปรุงแต่งหรือไฟกิเลสที่มากระทบ จิตมันว่างอยู่ของมันอย่างนั้นเพราะวางลงแล้ว มันก็ไม่มีอะไร ก็แค่วางว่างอยู่แบบนั้นธรรมดาของมันครับ สาธุ
     
  20. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    ภูมิจิตของพระอนาคามี

    สงสัยเรื่องพระอนาคามี ครับ ใครเชี่ยวชาญช่วยตอบทีครับ

    เคยศึกษา แล้วจำได้ขึ้นใจว่า พระอนาคามี เป็นอริยบุคคล ชั้น ที่ 3 ซึ่งจะไม่เกิดในกามาวจร อีกแล้ว ไม่ใช่แต่มนุษย์ แม้แต่ สวรรค์ 6 ชั้นก็ไม่เกิดแต่จะเข้าพรหมชั้น สุทธาวาส เพื่อบำเพ็ญต่อ จนนิพพาน

    +++ พระอนาคามี เป็นจิตที่ อยู่ในระหว่าง การเร่งความเพียรในระดับอุกฤษ หากเป็นมนุษย์ก็อยู่ในระหว่าง เป็น-ตาย ไม่กำหนด เป็นการต่อสู้ระหว่าง สติ VS สภาวะบดบัง (จิต - เจโต + ธรรมารมณ์) ภาษาที่ใช้ในการอธิบายนี้ จะเป็นภาษาในหมวด มหาสติปัฏฐาน 4 (จิตตานุปัสสนา - ธรรมานุปัสสนา) หากต้องการความเข้าใจโดยภาพรวม ให้มองที่ อสังขตธรรม VS สังขตธรรม หรือ วิชชา VS อวิชชา หรือเพื่อความเรียบง่าย ก็เป็นเรื่องของ Static VS Dynamic ทางจิต

    +++ การเร่งความเพียรในขั้นตอนนี้ เป็นความละเอียดในระดับ กิริยาจิต และ กำเหนิดของจิต ในระดับต้น (ระดับรูป) (ตัวดู VS จิต) หากในระดับปลาย จะเป็นความละเอียดในระดับ กำเหนิดของ ธรรมารมณ์และอวิชชา (ระดับนาม) (สภาวะรู้ VS ตัวดู) ดังนั้น การเร่งความเพียรในขั้นตอนนี้ จะไม่มีการหลงลงไปใน รูปราคะ (รูปจิต) และ อรูปราคะ (นามจิต) แต่อย่างใดทั้งสิ้น ส่วนความฟุ้งซ่านไม่สงบรวมทั้งความรำคาญต่าง ๆ นั้น ไม่ใช่ความฟุ้งซ่านอย่างที่ทุกคนเข้าใจ แต่มันเป็นอาการที่ ผุดขึ้น ตลบขึ้น หรือ การเกิดขึ้นของจิต ที่ขั้นตอนการเร่งความเพียรของพระอนาคามี ไม่ต้องการ และอยู่ในระดับ วิตก-วิจารณ์ ตรงนี้คือขั้นที่หยาบที่สุดของ พระอนาคามี

    +++ จิตของพระอนาคามี เป็น พรหมจริยา โดยสมบูรณ์ (พ้นแล้วจาก อพรหมจริยา เวรมณี) เป็น จริยาวัตรของ อริยะพรหม พ้นแล้วจาก กามาวจรภูมิ ทั้งมวล และไม่มีเวลามาใส่ใจกับปรากฏการณ์อย่างอื่น และไม่ใส่ใจกับ กามาวจรขันธ์ จิตของพระอนาคามีจะมุ่งทางเดียวเท่านั้น และทั้งหมดเป็นการเดินจิตให้พ้นจาก การเสพขันธ์ทั้งมวล

    +++ ขณะจิตใดที่ จิตของพระอนาคามี (พรหม) จบกิจ ณ ขณะจิตนั้น ก็จะพ้นจาก สังขตะธรรม ไปเลยตรง ๆ โดยไม่มีสภาวะขันธ์อื่น ๆ มารองรับต่อไปอีก (ยกเว้นพระอนาคามีในร่างมนุษย์) และจะกลายเป็นสภาวะของ อสังขตธรรม ไปในขณะจิตนั้น ๆ

    แต่พอ มีข่าวดังๆ ตามที่ทราบก็เลยลองหาประวัติดู เห็นมีคนเคลมว่า หลวงปู่เณรคำเป็นพระอนาคามีมาเกิด

    +++ ผู้ที่เคลมนั้น เป็นผู้ไม่รู้

    ก็เลยสงสัยว่า
    1. กรณีพระอนาคามี นี่ ผมเข้าใจผิดหรือไม่ หรือพระอนาคามี สามารถมาเกิดเป็นมนุษย์ได้จริงๆ

    +++ ด้วยระบบการทำงานของจิตในระดับอุกฤษ ระหว่าง วิชชา VS อวิชชา ในสภาวะของอริยะพรหม ที่ต้องการ พ้นจากการเสพขันธ์ทั้งมวล ย่อมปฏิเสธขันธ์ทั้งหมด ในทุกขณะจิต ตรงนี้เป็นสภาวะธรรมของ พระอนาคามีพรหม ดังนั้น ความเข้าใจว่า พระอนาคามีพรหม ลงมาเกิดเป็นมนุษษย์อีก ย่อมเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

    2. เคยมี case แบบนี้ มาก่อนหรือไม่ครับ ที่พระอนาคามีไม่เข้าชั้นพรหม

    +++ จิตของพระอนาคามี เป็น พรหมจริยา โดยสมบูรณ์ กล่าวได้ว่า เป็น อริยะพรหม โดยสมบูรณ์นั่นเอง แล้วยังจะมี case ไหนที่ยังสามารถกล่าวได้ว่า ความเป็นพรหมโดยสมบูรณ์นั้น ไม่เข้าชั้นพรหม ฟังแล้วแปลก ๆ นะครับ

    ปล. เอาว่า คุยกันเฉพาะ เรื่อง พระอนาคามี นะครับ สงสัยแค่เรื่องนี้ ส่วนเรื่องหลวงปู่เณรคำนี่ เก็บไว้พิจรณากันเอาเองดีกว่าครับ

    +++ ปล. การเร่งความเพียรในระดับอุกฤษนี้ มีปรากฏอยู่มากในพระป่าสายหลวงปู่มั่น หากต้องการทราบเรื่องสภาวะของ จิตในระดับอุกฤษ ให้ลองสืบถามจากพระป่าทั้งหลายดู โดยเฉพาะ ให้ลองค้นหาและสืบถามจาก "ผู้ที่สามารถเร่งมหาสติ จน มหาสติทั้งยวง ลงไปอยู่ และ ยึดครอง ฌานสมาบัติได้อย่างสมบูรณ์" ดูนะครับ แล้วความสงสัยในเรื่องของ "ภูมิจิตของพระอนาคามี" จะหมดไปเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...