สงเคราะห์+แก้ไข ด้วยกรรมดีในปัจจุบัน จากละเอียดสู่หยาบ+จากหยาบสู่ละเอียด

ในวัฏฏะสงสารนี้ ไม่ว่าแยกย่อย จำแนกชื่อหลากหลายพิศดารแค่ไหน
ก็ต้องรวมอยู่ในรูปและนาม

รูป ประกอบด้วยดิน น้ำ ไฟ ลม
ตั้งแต่สิ่งหยาบๆที่เห็นได้ รับรู้ได้ ด้วยการสัมผัสทางอายตนะห้าคือกายผัสสะ หู ตา จมูก ลิ้น
นาม คือ จิต ธาตุรู้ และลักษณาการต่างๆที่สัมผัสได้ด้วยใจ


ผู้มีปัญญา และมีกำลัง +++สามารถแก้ไข ช่วยเหลือ ฯลฯ ด้วยการกระทำจากส่วนละเอียด คือ การกระทำทางนาม การกระทำทางภพละเอียด เพื่อส่งผลสู่รูปธรรมหยาบ

และขณะเดียวกัน ก็สามารถกระทำจากส่วนหยาบด้วยกาย วาจา ให้ส่งผลไปสู่ส่วนละเอียด


เมื่อสองอย่างสนับสนุนส่งเสริมกันได้มาก ก็จะส่งผลสำเร็จได้มาก


จะดีหรือร้าย ให้คุณหรือโทษ ต่อชีวิตอื่นๆมากน้อยเพียงใด

ก็ขึ้นกับ "ผลกรรมโดยรวม ที่ทุกชีวิต ร่วมกันกระทำ" นั้นเอง เป็นพลังงานสำคัญ


ดังนั้น--------จงส่งเสริม การทำดี ด้วยอาการสามคือ กาย วาจา ใจ ให้มากไว้ในหมู่ชน


จึงจะมีแรงมากพอที่จะสร้าง หรือ แก้ไข ให้ทุกอย่าง เป็นคุณต่อสรรพชีวิต ได้ง่าย

ผ่่อน หนัก เป็น เบา ได้ง่าย


ผ่อนชำระ หนี้กรรม ได้สบายขึ้น



แล้ว สันติ จะคงอยู่ได้มากขึ้น

 

เสียงสวดพระปริตร นำโดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ฯ





".. กรรมที่เกิดแก่ส่วนรวม คือเกิดแก่บ้านเมืองแก่ประเทศชาติ
ตามเหตุผลแล้วต้องเป็นกรรมของส่วนรวมของประเทศชาติ

ซึ่งมีเราทุกคนรวมอยู่เป็นหนึ่งแน่นอน



ยอมรับว่า ความร้อนของบ้านเมืองเรา
ซึ่งต้องเกิดแต่กรรมไม่ดีไม่งามแน่นอน

เราต้องเป็นหนึ่งในผู้ก่อกรรม
อันยังให้ความเดือดร้อนนั้นเกิด


ถ้าทุกคนหรือมากคน ยอมคิดได้เช่นนี้

...แล้วยอมแก้ไขด้วยการพยายามทำกุศลกรรม

คือทำดี ลดละการทำอกุศล คือทำไม่ดี
ให้เต็มสติปัญญาความสามารถ

ย่อมยังให้เกิดผลดีได้ มากคนคิดได้ มากคนทำดี
มากคนลดละเลี่ยงหลีกการทำความชั่ว การทำบาปอกุศล

ย่อมยังให้เกิดผลดีได้มากเป็นธรรมดา แก่ประเทศชาติ
ทำเหตุดีมาก ผลดีย่อมมาก แน่นอน .."

พระนิพนธ์ แสงส่องใจ
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


<object width="420" height="315"><param name="movie" value="//www.youtube.com/v/O8jwW5HEVWw?hl=th_TH&amp;version=3&amp;rel=0"></param><param name="allowFullScreen" value="true"></param><param name="allowscriptaccess" value="always"></param><embed src="//www.youtube.com/v/O8jwW5HEVWw?&autoplay=&hl=th_TH&amp;version=3&amp;rel=0" type="application/x-shockwave-flash" width="420" height="315" allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></embed></object>

 

การมีสติ-ปัญญา รู้ทันกิเลสภายในใจตน

และ การมีสติ-ปัญญา รู้ทันเล่ห์เหลี่ยม ของชีวิตอื่นที่จะพาตน
ไปก่ออกุศลกรรม( แม้เค้าไม่ได้ตั้งใจ)

และรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของเค้า ที่จะพาตน ไปสู่ห่วงโซ่แห่งการ
ก่ออกุศลกรรม ที่จะได้รับวิบากอกุศลอันยากจะจบสิ้น เพราะเป็นกรรมที่ก่อกับชนหมู่มาก
จึงให้ผลบาปทับทวีมายังผู้ก่อ ผู้ร่วมก่อ ต้นทบต้น ดอกทับดอก และต้นทับดอก เบ่งบานไปเรื่อยๆ


เมื่อรู้ทันแล้ว พึงใช้ความฉลาดหลีกเลี่ยงพาตนให้พ้นทางตกต่ำ

แม้สร้างสมกุศลความดีมามาก แต่ตราบใดยังไม่ได้มรรคผล หรือได้รับพุทธพยากรณ์ ย่อมสามารถทำอกุศลกรรมหนักที่บั่นทอนบุญบารมีตนให้ตกต่ำลงได้


ถ้าไม่ได้สร้างใหม่ให้งอกงาม ก็ต้อง คงความดีไว้ ให้มั่นคง ไม่ตกไปสู่ที่ชั่ว


ไม่เป็นฐานกำลังให้อกุศลธรรม

 

เหตุเกิด ผลเกิด

เหตุดับ ผลดับ


การไม่มองแค่สิ่งที่เห็นปัจจุบัน แต่สามารถย้อนกลับไปถึงเหตุในเหตุ และต้นๆเหตุได้
สามารถทำอะไรได้อีกมาก

ผู้จะช่วย ท่านดับเหตุขัดขวางความสำเร็จภายในตัวท่านเองก่อน คือ
ดับนิวรณ์ และกิเลสหยาบๆเครื่องกั้นสติปัญญาอันลึกซึ้ง

และอาศัยสติปัญญาอันลึกซึ้ง สร้างเหตุใหม่ รวบรวมเหตุใหม่ เข้าแก้ไขสถานการณ์ได้

เมื่อคนเดียวยังทำไม่ไหว ก็สมควรร่วมกันทำ

เริ่มต้นด้วยการ หยุดอารมณ์หยาบๆที่เกิดจากนิวรณ์ธรรมเครื่องกั้นความดีเฉพาะตน

ตั้งจิตอธิษฐานความดี รวมเป็นหนึ่ง
ยิ่งมาก ยิ่งทรงกำลัง

แม้ไม่สามารถกระทำได้ดั่งอดีตกาล เฉกเช่นพระพุทธองค์เพียงพระองค์เดียว ที่ห้ามทัพพระญาติเข้าห่ำหั่นกัน

แต่ คุณความดีที่ทุกท่านร่วมทำกันมา เมื่อรวมกัน
เมื่อ ชักชวนกัน ให้ทำดีเพิ่ม
ย่อม จะทรงพลังไม่ใช่น้อย


แม้หยุดเหตุนั้น ยังไม่ได้
ก็สามารถชลอ และลดความรุนแรงได้

แต่ต้องเร่งรีบทำ และรวมกำลังความดีให้มากที่สุด

 

เหล่าผู้เข้าถึงธรรมฝ่ายกุศล จำนวนมาก ทั้งที่ยังเป็นโลกียะบางส่วนหรือเข้าเขตโลกุตตระ

ย่อมสามารถรวบรวมกำลังกุศล คุณงามความดีทั้งหลายเข้ามาเป็นหนึ่ง

แล้วนำมาเป็นเหตุใหม่ ดั่งน้ำที่เข้าเจือจาง ละลายความสกปรกมืดดำ

เสมือนสิ่งที่มาช่วยเบนแรงกระทบ ของ วิบากกรรมดำ ให้มีผลรุนแรงน้อยลง



แต่ถ้าหาก ..........คนจำนวนมาก ไม่ได้ทำกุศลธรรมความดีไว้เพียงพอ

ท่านเหล่านั้น จะช่วยเหลือได้ลำบากมากมาก หรือ ช่วยไม่ได้
เพราะ วัตถุดิบสำคัญ คือ บุญกุศลของคนส่วนรวมที่สร้างใหม่ มีน้อยเต็มที

 

"วิธีชนะที่จะไม่ต้องเบียดเบียนใคร เป็นความดีชั้นตรี ถ้าเป็นการชนะชนิดที่เกื้อกูลเขาทำให้เขากลับเป็นคนดี ก็นับว่าเป็นความดีชั้นโท ส่วนความดีชั้นเอกก็คือ “ความดีที่ชนะความชั่วของตนเอง”

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก









....เมื่อชนะ สงครามภายใน หรือชนะตนได้ เป็นชัยชนะเอกแล้ว การทำความดีชั้นตรี ชั้นโท
ก็จะสามารถ ทำได้ง่ายขึ้น มากขึ้น

 

ในศูนย์กลางกายที่สุดละเอียด ของแต่ละกาย

ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ ฯลฯ
จะมีกายภาคผู้เลี่้ยง(จักรพรรดิ) ซ้อนอยู่ มีหน้าที่ หล่อเลี้ยงแต่ละกาย







การค้นพบด้วยการปฏิบัติ เป็นเครื่องยืนยันว่า

มีธรรมที่ให้ผลแกสัตว์โลกสามฝ่ายจริง

คือ กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพยากฤตธรรมา




จักรพรรดิ ประจำแต่ละกายของสัตว์โลก จะเก็บเหตุที่เป็นกรรมของสัตว์โลก
แล้วส่งผลกรรมกลับมายังสัตว์โลกเป็นวิบาก

โดยจักรพรรดิ มีทั้งหยาบและละเอียดๆๆๆๆๆๆไปเรื่อยๆ

มีตั้งแต่ จักรพรรดิประจำกาย แต่ละสัตว์โลก
ไปจนถึงประจำภพ ตั้งแต่ภพเล็กๆ ไปจนถึงภพใหญ่ขึ้นๆ


การที่อาณาเขต ประเทศใดๆ มีเหตุดี ไม่มีภัย เพราะจักรพรรดิฝ่ายกุสลาธรรมา
เก็บเหตุดีของสัตว์โลกได้มาก จึงประมวลผลส่งวิบากดีกลับมายังสัตว์โลกได้มาก


....นี้ คือเหตุผลสำคัญ ที่ต้องส่งเสริมให้ชีวิตทั้งหลาย ทำแต่กรรมดี จึงจะช่วยแก้ไข ผ่อนหนักเป็นเบา ในเรื่องภัยหลายอย่างได้ จากส่วนละเอียดมายังโลกหยาบ

 

"คำขอโทษเป็นของสำคัญมากนะ ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
จะเป็นไฟเผาคนอยู่ในคนนั้นก็ตาม
พอคนนี้ไปขอโทษยกมือไหว้
เท่านั้นแหละ น้ำดับไฟนี้พรึบลงทันทีเลย สงบ
ของเล่นเมื่อไหร่ นี่แหละธรรม"





หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน

 

สร้างเหตุจากหยาบสู่ละเอียด คือ อาศัยกาย วาจา ใจ ของกายที่หยาบกว่า ตั้งแต่กายมนุษย์ กระทำกรรมดี แล้วจักรพรรดิฝ่ายกุศลาธรรมมาภายใน จะเก็บรวบรวมเหตุนั้นเพื่อส่งผลวิบากดีกลับมาสู่ผู้กระทำ


แก้ไขจากละเอียดสู่หยาบ คือ ผู้ที่สามารถเข้าถึงกายภายใน และธรรมภายใน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กายหลัก18กาย จนถึงพระธรรมกาย ที่วิชาแก่กล้าระดับหนึ่ง จะสามารถ
รวบรวมประมวลผลของกรรมดี ของส่วนปัจเจกบุคคล ไปจนถึงหมู่คน( จะมากน้อยแค่ไหน
แล้วแต่การฝึกฝนและธรรมที่เข้าถึง) ผ่านธาตุธรรมตั้งแต่สุดละเอียดจากพระนิพพาน ผ่านสู่ภพสาม เพื่อช่วยเหลือสรรพชีวิตได้



--------------------------



นอกจากกลุ่มปฏิบัติสายวัดปากน้ำแล้ว

ยังพบว่า มีสายพระโพธิสัตว์ที่สามารถทำได้คล้ายคลึงกัน เช่น สายหลวงปู่ดู่ (วิชาพระจักรพรรดิ ) สายหลวงพ่อฤาษีพระราชพรหมญาณ วัดท่าซุง เป็นต้น


....เพียงแต่ รายละเอียดการปฏิบัติจะต่างกัน และเรียกสภาวะธรรมบางอย่างต่างกันออกไป

-------------------------------

ละชั่ว ละบาปอกุศล

ทำดี ทำกุศลให้ถึงพร้อม

ทำจิตใจให้บริสุทธิ์


--โอวาทปาติโมกข์--


----------------------



.......การนิ่งเฉยด้วยอาการภายนอก

แต่ใจ ตั้งมั่น เต็มเปี่ยม แผ่ออกด้วยกระแสเมตตา คือ การกระทำกรรมดี ที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมาก .....

 

วิธีทรงอารมณ์ฌานให้ได้เร็วๆ พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดท่าซุง

<iframe width="420" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/4aBnrAre9Ys?rel=0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

 

จากคำสอนของหลวงตาม้า( พระวรงคต วัดถ้ำเมืองนะ ) ตามแนวการปฎิบัติของหลวงปู่ดู่ที่ท่านได้อบรมสั่งสอนชี้แนะหลวงตาม้าท่านไว้


เราฝึกนามเพื่อควบคุมรูป และ อาศัยรูปเพื่อทำความเจริญให้แก่นามได้

รูปกายอันประกาบด้วยธาตุสี่นีี้เป็นของหยาบ เราอาศัยรูปนี้ทำความดี ก็จะเกิดกรรมสามที่ส่งผลโดยตรงคือกายวาจาใจ ทำกรรมที่ดียิ่งๆขึ้นคือเจริญภาวนา ก็เป็นการแก้ไขจากตัวเราเองจากหยาบ(รูป) ไปสู่ละเอียด ( จิต-นามธรรม-กายละเอียด )

และในทางกลับกัน เราก็ทำที่จิตที่ใจ คือเจริญภาวนา ก็จะเกิดกำลังควบคุมธาตุ และสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ตามกรรมที่ทำในปัจจุบัน นี่คือ จากละเอียดไปสู่หยาบ ( จากนามไปสู่กาย )


รวมสติสัมปชัญญะไว้ที่กายและใจ ในปัจจุบัน

นี่คือ กุญแจและประตูสำคัญ

 

การน้อมนำกำลัง(บารมี) ของมหาโพธิสัตว์ที่เที่ยงต่อการตรัสรู้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ คือ ศาสตร์ที่สามารถเกื้อกูลสัตว์โลกและมีประโยชน์มากในการสร้างบารมี ( เช่น หลวงปู่ดู่ท่านได้ถ่ายทอดไว้กับเหล่าศิษย์หลายท่านตามวาสนาบารมีและความเหมาะสม )

เพราะบารมีท่านยังไม่รวมและการะจายอยุ่ในภพสาม ในโลกนี้แทบทุกตารางนิ้ว

ผู้มีปัญญา และอริยทรัพย์ ย่อมใช้เวลาขณะครองธาตุขันธ์ในแต่ละชาติสร้างบารมีได้เต็มที่