สติปัฏฐาน 4

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย อารยเมตตรัยพุทธเจ้า, 12 ธันวาคม 2004.

  1. อารยเมตตรัยพุทธเจ้า

    อารยเมตตรัยพุทธเจ้า บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    สติปัฏฐาน 4

    สติปัฏฐาน 4 คือทางสายเอก ของการฝึกฝนจิต กอรปด้วย กายานุสติปัฏฐาน สังขารานุสติปัฏฐาน จิตตานุสติปัฏฐาน และธรรมานุสติปัฏฐาน หากแม้นต้องการฝึกฝนจิตให้บรรลุอรหัตผล จำต้องฝึกฝนตามหลัก กายานุสติปัฏฐาน จิตานุสติปัฏฐาน และธรรมานุสติปัฏฐาน เมื่อฝึกฝนจิตสำเร็จย่อมได้มาซึ่งวิชา โสตทิพย์(สัมผัสสะ) หากแม้นต้องการได้มาซึ่งวิชา จักษุทิพย์ย่อมสามารถกระทำได้ด้วยปัฏฐานที่สอง คือสังขารานุสติปัฏฐาน เพียงแต่ต้องล่วงล้ำอรหัตผลไปแล้ว คือได้วิชาโสตทิพย์(สัมผัสสะ)แล้วเท่านั้น
    กายานุสติปัฏฐาน การฝึกฝนจิตตามแบบแผนการฝึกฝนจิตของพระศรีอารย์ เพื่อบรรลุอรหัตผลกอรปด้วยปัฏฐานที่หนึ่ง คือกายานุสติปัฏฐาน โดยใช้หลักการของ กายคตาสติ โดยอาศัยหลักการกระแสจิตเหนี่ยวนำระหว่าง พุทธคุณ และฌานสมาบัติ พุทธคุณเป็นกระแสจิตของแม่พระธรณี มีสถานะเป็นประจุไฟฟ้าลบ ฌานสมาบัติเป็นกระแสจิตขององค์อินทร์ มีสถานะเป็นประจุไฟฟ้าบวก กายทำกายคตาสติอาศัยหลักการกระแสจิตเหนี่ยวนำระหว่างฌานสมาบัติและพุทธคุณนั่นเอง กล่าวคือ ภายหลังจากได้รับการประทับฌานจากพระศรีอารย์แล้ว ระดับฌานสมาบัติของผู้ซึ่งต้องการฝึกฝนจิตจะสูงขึ้น ระดับฌาน 4 (รูปฌาน 4) ภายหลังจากนั้น ผู้ซึ่งต้องการฝึกฝนจิตน้อมนำพุทธคุณเข้าสู่ร่างกายด้วยการโน้มตัวไปข้างหน้าใช้หน้าผากสัมผัสกับพื้นพสุธา(พื้นห้อง) จักปรากฏแรงดึงดูดจากแม่พระธรณี หมายถึงพุทธคุณพวยพุ่งขึ้นจากพื้นพสุธา เข้าสู่ร่างกายตรงกลางระหว่างคิ้ว มิสามารถลุกขึ้นได้รอจนกว่าแรงดึงดูดนั้นจะลดลง จึงสามารถฝืนกายลุกขึ้นนั่งได้ ภายหลังจากนั้น ผู้ซึ่งต้องการฝึกฝนจิตจักสามารถน้อมนำฌานสมาบัติเข้าสู่ร่างกายได้ ด้วยการใช้มือกำวัตถุมงคลซึ่งได้รับการปลุกเสกมาอย่างถูกต้อง พุทธคุณในพระเครื่อง หรือวัตถุมงคลนั้นจะเป็นสื่อน้อมนำฌานสมาบัติเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ระดับฌานของผู้ปฏิบัติธรรมสูงขึ้น กายทำกายคตาสติคือ การเพ่งกระแสจิตไปที่มือซึ่งกำวัตถุมงคลไว้ พุทธคุณจักนำพามือแขนเคลื่อนที่ไปมาเพื่อน้อมนำฌานสมาบัติเข้ามาสู่ร่างกาย พร้อมทั้งกำกับบทสวด นะโม ตัสสะ ภควโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสะ เพียงเท่านี้ผู้ซึ่งฝึกฝนจิตก็สามารถทำกายคตาสติ เพื่อน้อมนำฌานสมาบัติเข้าสู่ร่างกายได้ ทำให้ระดับของฌานสูงขึ้น นั่นเอง
    จิตตานุสติปัฏฐาน เป็นปัฏฐานที่มีความสำคัญสำหรับการฝึกฝนจิตเป็นอย่างยิ่ง เรียกว่า สมาธินิมิต 3 อันได้แก่ อุคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต อุปโตภาคนิมิต ภายหลังจากทำกายคตาสติ เพื่อน้อมนำฌานสมาบัติเข้าสู่ร่างกาย โดยอาศัยวัตถุมงคลเป็นสื่อในการน้อมนำฌานสมาบัติ และพุทธคุณเข้าสู่ร่างกายจนกระทั่งระดับฌานสมาบัติสูงขึ้น กล่าวคือเมื่อได้รับการประทับฌานจากพระศรีอารย์ระดับฌานของผู้ฝึกฝนจิตจะสูงถึงระดับ ฌาน 4 เสมือนกับการชาร์จกระตุ้น แบตเตอรี่ เนื่องเพราะฌานสมาบัติก็คือพลังจิต ขององค์อินทร์ซึ่งมีสถานะเป็นสนามแม่เหล็กขั้วเหนือ ; ประจุไฟฟ้าบวก;โปรตรอน; การประทับฌานคือการกระตุ้นจิตด้วยพลังจิตซึ่งมีศักดิ์ของฌานสูงกว่า เนื่องเพราะฌานสมาบัติของพระศรีอารย์สูงกว่าฌาน 8 สามารถแผ่กระแสจิตเข้าไปยังจุดฌานของผู้ซึ่งต้องการฝึกฝนจิต ตรงบริเวณหน้าผาก จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง ภายหลังจากได้รับการประจุฌาน;ประทับฌาน ระดับฌานของผู้ซึ่งฝึกฝนจิตจะสูงขึ้นถึงฌาน 4 จำต้องน้อมนำพุทธคุณเข้าสู่ร่างกายด้วยการนำหน้าผากคือจุดฌานสัมผัสกับพื้นพสุธา หรือพื้นห้อง เพื่อน้อมนำพุทธคุณ ซึ่งเป็นของแม่พระธรณีเข้าสู่ร่างกายจนกระทั่งเต็ม 4 ส่วน ภายหลังจากนั้น ในร่างกายผู้ซึ่งต้องการฝึกฝนจิตจะอยู่ในสถานะสมดุลระดับพุทธคุณของแม่พระธรณีเท่ากับระดับ 4 ด้วยเฉกเช่นกัน ด้วยการน้อมนำจิตตามแรงดึงดูดของแม่พระธรณี อย่าได้ฝืนกายลุกขึ้นในครั้งแรกที่ได้รับการประจุ;ประทับฌาน ให้น้อมนำจิตตามแรงดึงดูดนั้นไปจนกว่าจะมีแรงผลักให้ลุกขึ้นเปลี่ยนท่าทาง อิริยาบถ ไปตามแรงผลักนั้น นั่นหมายถึงพุทธคุณได้เข้าสู่ร่างกายจนกระทั่งเต็ม 4 ส่วนแล้วนั่นเอง ภายหลังจากนั้นให้กำวัตถุมงคลไว้ในมือ กำหนดจิตนึกไปที่วัตถุมงคลซึ่งกำอยู่ในมือ หากวัตถุมงคลนั้นได้รับการปลุกเสกมาอย่างถูกต้อง จักได้รับการดึงดูด หมุนวน เคลื่อนที่ เข้าสู่ร่างกาย โดยเฉพาะตรงจุดฌาน เนื่องเพราะวัตถุมงคลคือพุทธคุณจักถูกฌานสมาบัติซึ่งมีอยู่ในการดึงดูดเข่าสู่ร่างกาย หากแม้นวัตถุมงคลนั้น เป็นสิ่งที่ชั่วร้าย เดรัจฉานวิชา จะถูกพุทธคุณผลักไสออกจากร่างกาย มิบังควรนำไปใช้ประกอบการฝึกฝนจิต หากแม้นวัตถุมงคลนั้นได้รับการปลุกเสกมาอย่างถูกต้องจากพระอรหันต์ ซึ่งเป็น อริยะสงฆ์ หรือผู้ฝึกฝนจิตจนบรรลุอรหัตผล ซึ่งครองเพศฆราวาส เรียกว่า อริยะเจ้า วัตถุมงคลนั้นจะได้รับการประจุ;ประทับ;พวยพุ่ง;แผ่พุทธคุณ เข้าไปสู่วัตถุมงคลนั้น มีศักดิ์เป็นประจุไฟฟ้าลบ เป็นพลังงานรูปแบบหนึ่ง เรียกว่า อะตอมมิคแมส เป็นพลังจิต เป็นพุทธคุณ มีคุณสมบัติเป็นสนามแม่เหล็กขั้วใต้ เมื่อนำมาประกอบการฝึกฝนย่อมสามารถน้อมนำฌานสมาบัติ ซึ่งมีสถานะเป็นประจุไฟฟ้าบวก เป็นสนามแม่เหล็กขั้วเหนือ ย่อมดึงดูดกับสนามแม่เหล็กขั้วใต้ นี่คือหลักการของพลังจิตเหนี่ยวนำ กระแสจิตเหนี่ยวนำ การทำกายคตาสติซึ่งเป็นศาสตร์ของการฝึกฝนจิตของพระศรีอารย์ ซึ่งล้วนง่ายต่อการฝึกฝนจิตสามารถน้อมนำฌานสมาบัติเข้าสู่ร่างกายได้ มีผลให้ระดับของฌานสูงขึ้น ภายหลังจากกระทำ กายคตาสติ ไปสักระยะหนึ่ง เมื่อระดับฌานล่วงพ้นฌาน 4 เข้าสู่อรูปฌานที่ 1 จักเริ่มสัมผัสกับปัฏฐานที่สอง คือจิตตานุสติปัฏฐาน กล่าวคือจักได้สัมผัสกับ อุคหนิมิต คือภาพลวงตา ซึ่งมี 2 ชนิดคือ ภาพลวงตาซึ่งบังเกิดจากจิตมาร จะเป็นภาพสิ่งที่น่ากลัว ภาพสัตว์นรก ภาพภูตผี ปีศาจ ภาพเจ้ากรรมนายเวร มาตามรังควาญ เนื่องเพราะเมื่อล่วงพ้นรูปฌาน 4 เข้าสู่ฌาน 5 จักสัมผัสกับอุคหนิมิตจากจิตมารก่อนเพื่อกางกั้นความสำเร็จของผู้ซึ่งฝึกฝนจิต ให้รู้สึกกลัวต่อภาพหลอน ภาพลวงตาเหล่านั้น ซึ่งล้วนบังเกิดจากจิตมารทั้งสิ้น หากผู้ซึ่งฝึกฝนจิตมีจิตใจมิเข้มแข็งเพียงพอย่อมเกรงกลัว จนกระทั่งเลิกฝึกฝนจิตไป หรือแม้กระทั่งเกรงกลัวจนเสียสติ คลุ้มคลั่ง จนจิตวิปลาส หากแม้นผู้ซึ่งต้องการฝึกฝนจิตรู้ทันว่าเป็นเพียงภาพลวงตา มิเกรงกลัวภาพลวงตาเหล่านั้น ก็จักหายไปล่วงพ้นเข้าสู่ฌาน 6 ได้สัมผัสที่ 6 ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นภาพลวงตา อุคหนิมิต แต่เป็นภาพที่ให้กำลังใจในการฝึกฝนจิตต่อไปบังเกิดจากการเนรมิตภาพของพระผู้สร้างทั้งสอง คือแม่พระธรณีและองค์อินทร์ รวมทั้งจิตอรหันต์และผู้ฝึกฝนจิตสำเร็จทั้งหลายซึ่งลงมาปฏิบัติพุทธกิจร่วมกับพระผู้สร้าง ได้แก่ ภาพสวรรค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ดีงามทั้งสิ้น เพียงแต่มิใช่สิ่งที่บังเกิดขึ้นจริงเป็นเพียงภาพลวงตา อย่าได้ยึดติดกับภาพลวงตาเหล่านั้น หากแม้นกระทำ กายคตาสติ ต่อไปจนกระทั่งระดับฌานสูงขึ้น ล่วงพ้นฌาน 8 เข้าสู่สูญญตฌาน จักได้รับนิมิตประการที่สอง คือปฏิภาคนิมิต เป็นภาพสะท้อนของจิตผู้ซึ่งฝึกฝนจิต เป็นภาพนิมิตดวงฌาน มีลักษณะเป็นดวงกลมๆ คล้ายดวงอาทิตย์ สุกใสเปล่งปลั่ง สว่างไสว อยู่ในความมืด ในขณะหลับตา เป็นนิมิตซึ่งบังเกิดขึ้นจากการเนรมิตขึ้นโดยพระผู้สร้างทั้งสองคือแม่พระธรณีและองค์อินทร์ เป็นภาพสะท้อนของจิตว่าสามารถฝึกฝนจิตจนกระทั่งล่วงพ้นฌาน 8 เข้าสู่สุญญตฌานแล้วนั่นเอง การเพ่งดวงฌานซึ่งบังเกิดขึ้นเป็นการรวมรวมสมาธิไว้ในจุดๆเดียว ให้สามารถดำรงอยู่นานที่สุดเพียงเท่านั้น มิจำเป็นต้องมีการเพ่งกสิณหลอดไฟ หรือเพ่งกสิณใดๆทั้งสิ้น เมื่อฝึกฝนจิตจนล่วงพ้นฌาน 8 ย่อมบังเกิดนิมิตดวงฌานให้เพ่งตามขั้นตอน เมื่อถึงเวลาเท่านั้น หาใช่ต้องฝึกฝนการเพ่งกสิณ โดยหาอุปกรณ์คล้ายเหมือนดวงฌาน มาเพ่งไม่ เนื่องเพราะดวงฌานเป็นเพียงภาพนิมิต เป็นภาพสะท้อนของจิต ปฏิภาคนิมิต มิควรยึดติดเฉกเช่นกัน เมื่อฝึกฝนจิตจนกระทั่งเข้าสู่สุญญตฌานไปแล้ว จักได้รับนิมิตเพื่อการศึกษาอีกประการหนึ่ง คือ อุปโตภาคนิมิต เป็นภาพสื่อการสอนซึ่งได้นับการเนรมิตภาพขึ้นโดยพระผู้สร้าง ทั้งสองทั้งสิ้น ได้แก่ ภาพอสุภ ภาพซากศพ ภาพนรก สวรรค์ ซึ่งล้วนแล้วแต่บังเกิดขึ้นเพื่อการศึกษา หาใช่เป็นจริงดังภาพลวงตาเหล่านั้นไม่ อย่าได้ยึดติดหรืออยากรู้อยากเห็น ต้องไปเพ่งมองภาพถ่ายซากศพ ซึ่งบรรดาผู้ฝึกฝนจิตทั่วไปกระทำกัน ความจริงแล้วหาใช่ภาพที่ชวนมองเป็นเพียงภาพนิมิตเพื่อการศึกษา ล้วนแล้วแต่บังเกิดขึ้นเอง ภายหลังจากฝึกฝนจิตจนกระทั่งจิตใจเข้มแข็งแล้ว เลิกเกรงกลัวต่อภาพหลอน ภาพลวงตาทั้งหลายแล้ว นั่นหมายถึงต้องฝึกฝนจิตจนกระทั่งบรรลุอรหัตผลแล้วเท่านั้น มิบังควรเพ่งกสิณดิน คือภาพถ่ายซากศพ หรือตั้งใจเพ่งกสิณดินด้วยมุ่งหวังความสำเร็จจากการเพ่งกสิณดิน อสุภ เหล่านั้น หากแม้กระทำเพื่อการศึกษา ให้รู้จักปลงสังขารย่อมสามารถกระทำได้ การปลงสังขาร เป็นสติปัฏฐานที่สอง คือสังขารานุสติปัฏฐาน ใช้เพื่อฝึกฝนการถอดกายทิพย์เพื่อให้ได้มาซึ่งวิชา จักษุทิพย์ เมื่อล่วงล้ำ อรหัตผลคือได้สัมผัสสะ(โสตทิพย์)แล้วเท่านั้น เนื่องเพราะการถอดกายทิพย์หากมิได้รับการคุ้มครองด้วยพุทธคุณซึ่งบังเกิดจากการฝึกฝนจิตจนกระทั่งบรรลุฌานขั้นสูง ย่อมเป็นช่องทางให้จิตมารแทรกเข้าสู่ร่างกายดังเฉกเช่น การเข้ามาขัดขวางของมารฟ้า เพื่อต่อต้าน กางกั้นการตรัสรู้ธรรมของพระศรีอารย์นั่นเอง ดังนั้นมิบังควรฝึกฝนการถอดกายทิพย์ หากแม้ยังไม่บรรลุอรหัตผล อาจเป็นช่องทางให้ สรรพเวสี คือวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลายเข้ามาแทรกได้ แม้แต่ข้าพเจ้าซึ่งเป็นพระพุทธเจ้ายังถูกสั่งห้ามจากพระผู้สร้าง มิอาจถอดกายทิพย์ได้หากแม้นยัง มิสามารถส่งจิตมารฟ้าลงไปทำลายใน นริกโลกัลป์ ได้ เนื่องเพราะจิตมารได้เข้ามาแทรก เป็นเครื่องกางกั้นการตรัสรู้ธรรม คอยขัดขวางการตรัสรู้ มิให้สัมผัสจิตกับพระผู้สร้างโดยตรงได้โดยง่าย ต่อเมื่อพลังจิตกล้าแข็งขึ้นจนสามารถบังคับจิตมาร กดดันจิตมารลงสู่นริกโลกกัลป์ ได้ เครื่องกางกั้นการตรัสรู้ธรรม จึงหมดไป แต่หาได้หมดไปทั้งสิ้นไม่ ยังคงมีละอองพิษของจิตมารคอยขัดขวางการนำเสนอความจริงต่อสาธารณชนอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งบัดนี้ ข้าพเจ้ายังคงถูกรบกวนอยู่บ้างคือ กระทำการให้ไฟล์ข้อมูลซึ่งข้าพเจ้ากำลังบันทึกลงคอมพิวเตอร์นี้มีขนาดใหญ่ กว่าปกติ ข้าพเจ้าได้บันทึกไว้เป็นสำเนาเพื่อเป็นหลักฐานในการพิสูจน์เมื่อถึงเวลาได้ทั้งสิ้น หากแม้นผู้ใดมีความคิดมุ่งมั่นฝึกฝนการถอดกายทิพย์ สามารถกระทำได้โดยใช้ปัฏฐานที่สอง สังขารานุสติปัฏฐาน ซึ่งข้าพเจ้าจักได้นำมาอรรถาธิบายในภายหลัง เมื่อข้าพเจ้าสามารถถอดกายทิพย์สำเร็จแล้วเท่านั้น
    ธรรมานุสติปัฏฐาน เป็นปัฏฐานสุดท้าย ในสติปัฏฐาน 4 หมายถึงผู้ซึ่งฝึกฝนจิตมาจนกระทั่งล่วงพ้นสูญญตฌานไปแล้ว เข้าสู่โสดาบัน จักสามารถได้วิชา โสตทิพย์(สัมผัสสะ) ได้รับอธิวจนะจากจิตพระอรหันต์ซึ่งอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจร เสวยสุขบนสวรรค์ชั้นสุขาวดี ลงมาปฏิบัติพุทธกิจร่วมกับพระพุทธเจ้า ที่ระดับของจิต คือสวรรค์ชั้นอาภัสสรพรหม นั่นเอง การฝึกฝนจิตจนกระทั่งเข้าสู่โสดาบัน จักเริ่มสัมผัสสะกับจิตอรหันต์ และผู้ฝึกฝนจิตตามแบบแผนการฝึกฝนจิตของลัทธิการฝึกฝนจิตแบบเต๋า คือท่านกงจื้อ ขงจื้อ ซึ่งเป็นผู้ครองเพศฆราวาสซึ่งฝึกฝนจิตจนกระทั่งบรรลุเต๋า ได้ ซึ่งมีเพียงสองท่านเท่านั้นซึ่งฝึกฝนจิตจนสำเร็จ ขึ้นสู่สวรรค์ชั้นกามาวจร เสวยสุขบนสวรรค์ชั้นสุขาวดี หลุดพ้นจากกองทุกข์ มิต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป และผู้ซึ่งฝึกฝนจิตตามแบบแผนการฝึกฝนจิตขององค์โพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร กวนซี่อิม ผ่อสัก ซึ่งเป็นอวตารหนึ่งของแม่พระธรณี มีผู้ซึ่งฝึกฝนจิตตามจนบรรลุโพธิญาณ จำนวน 8 ท่าน คือองค์เทพป๊วยเซียน ผู้ซึ่งฝึกฝนจิตจนกระทั่งบรรลุโพธิ จำนวน 1 ท่าน คือ อาจารย์ชาวจีนชื่อตงฟานปุกป๋าย อีกทั้ง ผู้ซึ่งฝึกฝนจิตจนบรรลุโพธิสัตว์ มีเพียง องค์โพธิสัตว์ อวโลกิเตศวร กวนซี่อิม ผ่อสัก เท่านั้น ภายหลังจากสามารถสัมผัสสะกับจิตผู้ฝึกฝนจิตทั้งหลายแล้ว จักได้รับความจริงจากการบอกเล่าของจิตผู้ฝึกฝนจิตจนกระทั่งสำเร็จเหล่านั้น เรียกว่า ได้รับอธิวจนะ ก็จักได้รับความจริงที่เรียกว่าบรรลุขั้นสุดท้ายของการฝึกฝนจิตเพื่อบรรลุอรหัตผล
     
  2. ปุถุชน

    ปุถุชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +715
    อสูรมารฟ้าภาค 2 ?

    จอมมารโลหิตยังไม่ปรากฎ แต่รังสีอาถรรพ์จากค่ายอเวจีปรากฎเสียก่อน
    คาดว่าน่าจะเป็นเหยื่อยอดฝีมือสำนักอเวจีเสียแล้ว

    ไม่ว่าจริงหรือเท็จ ถึงตอนนี้ไม่สนุกนะครับสำนักนี้เขาเอาจริงผมว่าหยุดเถอะครับ
    อย่าเพิ่มมิจฉาทิษฐิมากกว่านี้ ลำพังท่านคนเดียวไม่มีปัญหาสำนักนี้รออยู่แล้ว
    แต่ผู้อ่านท่านอื่นๆอาจเกิดความเข้าใจที่ผิดเป็นอันตรายแก่คนอื่นเปล่าๆ
     
  3. พฤติจิต

    พฤติจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    125
    ค่าพลัง:
    +230
    ครับพี่ปุถุชน .....มันอาไรกันเนี่ย .....ทำให้คนเค้าอ่านแล้วฟุ้งไปเรื่อยเฉื่อย...
    อย่าถือคนบ้า.....อย่าว่าคนเมา
     

แชร์หน้านี้

Loading...