สติ สัมปยุตกับอะไรได้มั่ง

สติ แปลเป็นไทย คือระลึกได้

ทีนี้ คนทั่วไป ก่อนพระพุทธเจ้าจะมาสอน

คนทั่วไปนั้น มีสติหรือไม่
สตินั้น เป็น สติ ที่เรียกว่า
โสภณเจตสิก 13 หรือเปล่า

หากคนทั่วไปนั้น ไม่มีสติ
แล้ว ทำไม

บ้างเป็นเหตุ ให้ได้ไปสรรค์
บ้างเป็นเหตุให้ไปทุคติ


และ สติยังสามารถ เกิดร่วม กับ กุศล อกุศล และปัญญา ด้วยหรือไม่

เชิญครับ^^

 

ผมศึกษาปริยัติมาน้อยก็เลยไม่ค่อยเข้าใจ
แต่ผมใช้สติสัมปยุตกับพุทโธครับช่วงแรก
ต่อมารู้จักผู้รู้ผมก็เลยใช้สติสัมปยุตกับพุทโธกับผู้รู้พร้อมกันทั้งสาม
สุดท้ายสติ ผู้รู้ กับพุทโธ รวมเป็นอันเดียวกัน
ผมเลยไม่ทราบว่าจะเอาอะไรสัมปยุตกับอะไรครับ
ไม่รู้อะไรเป็นกุศล อกุศล ปัญญา
ช่วยชี้แนะด้วยครับ

 

คุณพี่ลอง อ่านอภิธรรมบ้างก็ได้นะ
จะได้คุยกันในภาษาได้มั่ง

ขอไปหาไข่พะโล้ กินก่อน เดี๋ยวมาครับ ^^

เดี๋ยวคุณชายมู่หยง คงจะมา

 

อืม....................... ^_^

 

เชิญได้เลยนะคั๊ฟ

ว่าแต่ว่า วันมะรืนนี้ มีเลขอะไรนูนๆสูงมามั่งละคั๊ฟเน่

 

สัมปยุต ความหมายมันคืออะไรหรอคับ

 

เอามาให้อ่านเพิ่มเติมครับ




<CENTER><TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=644 border=0><TBODY><TR><TD width=644 colSpan=2><HR color=#ebebeb noShade SIZE=1>

</TD></TR><TR><TD width=560>

อิทํ สุขํ อิมาย ปีติยา สหคตํ โหติ สหชาตํ สํสฏฺฐ สมฺปยุตฺตํ
(สุขนี้ สหรคตแล้ว เกิดร่วมกัน เกิดพร้อมกัน สัมปยุตกันด้วยปีตินี้) ​

สังสัฏฐ ศัพท์ในที่ แม้นี้ ประสงค์เอาในความหมาย ว่า
เกิดพร้อมกัน (สหชาตะ)
ก็ในอรรถเหล่านั้น ​

ธรรมที่สหรคต ชื่อว่า
ไม่เกิดพร้อมกัน
ไม่เกี่ยวข้องกัน
ไม่สัมปยุตกัน ย่อมไม่มี ​

แต่ว่า ​

ธรรมที่เกิดพร้อมกัน
เกี่ยวข้องกัน
สัมปยุตกัน มีบ้าง ไม่มีบ้าง. ​

จริงอยู่
เมื่อรูปธรรมกับอรูปธรรมเกิดพร้อมกัน ​

รูปย่อมเกิดพร้อมกับอรูป แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน
ไม่สัมปยุตกัน ​

อรูปก็เหมือนกันเกิดพร้อมกับรูปแต่ไม่เกี่ยวข้องกัน
ไม่สัมปยุตกัน
และ
รูปเกิดพร้อมกับรูปก็ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่สัมปยุตกัน. ​

ส่วนอรูปโดยแน่นอนทีเดียวเกิดพร้อมกัน
เกี่ยวข้องกัน สัมปยุตกันกับอรูปทีเดียว ​

เพราะฉะนั้น
ทรงหมายเอาการเกิดพร้อมกันนั้น
จึงตรัสคำว่า โสมนสฺสสหคตํ ดังนี้. ​

อธิบายคำว่าญาณสัมปยุต​

บทว่า ?าณสมฺปยุตฺตํ แปลว่า สัมปยุตด้วยญาณ
อธิบายว่า
ประกอบด้วยอาการมีการเกิดพร้อมกันเป็นต้นเสมอกัน.
ก็คำใดที่ควรกล่าวในญาณสัมปยุตนี้
คำนั้นข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้ว ในเวทนาติกะ
ในการพรรณนาบทมาติกานั่นแหละ ​

เพราะฉะนั้น ​

บัณฑิตพึงทราบว่า ​

ญาณนั้นสัมปยุตด้วยลักษณะนี้ คือ
เกิดพร้อมกัน (เอกุปฺปาทา)
ดับพร้อมกัน (เอกนิโรธา)
มีวัตถุเดียวกัน (เอกวตฺถุกา)
มีอารมณ์เดียวกัน (เอการมฺมณา).
ส่วนนิทเทส (การชี้แจง) โดยอุกฤษฏ์มีดังนี้ ​

ก็ในอรูป แม้เว้นความมีวัตถุเป็นอันเดียวกันก็ได้
สัมปโยคะ ถามว่า ด้วยคำมีเท่านี้ ท่านกล่าวไว้อย่างไร ?​

</PRE></TD><TD vAlign=top width=100>หน้าที่ 240

​

</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER><!--</p><table width='90 %' border=0 cellpadding=0><tr><td>อิทํ สุขํ อิมาย ปีติยา สหคตํ โหติ สหชาตํ สํสฏฺ€ํ สมฺปยุตฺตํ(สุขนี้ สหรคตแล้ว เกิดร่วมกัน เกิดพร้อมกัน สัมปยุตกันด้วยปีตินี้) สังสัฏฐศัพท์ในที่แม้นี้ ประสงค์เอาในความหมายว่า เกิดพร้อมกัน (สหชาตะ)ก็ในอรรถเหล่านั้น ธรรมที่สหรคต ชื่อว่า ไม่เกิดพร้อมกัน ไม่เกี่ยวข้องกันไม่สัมปยุตกัน ย่อมไม่มี แต่ว่า ธรรมที่เกิดพร้อมกัน เกี่ยวข้องกัน สัมปยุตกัน มีบ้าง ไม่มีบ้าง. จริงอยู่ เมื่อรูปธรรมกับอรูปธรรมเกิดพร้อมกัน รูปย่อมเกิดพร้อมกับอรูป แต่ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่สัมปยุตกัน อรูปก็เหมือนกันเกิดพร้อมกับรูปแต่ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่สัมปยุตกัน และรูปเกิดพร้อมกับรูปก็ไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่สัมปยุตกัน. ส่วนอรูปโดยแน่นอนทีเดียวเกิดพร้อมกันเกี่ยวข้องกัน สัมปยุตกันกับอรูปทีเดียว เพราะฉะนั้น ทรงหมายเอาการเกิดพร้อมกันนั้น จึงตรัสคำว่า โสมนสฺสสหคตํ ดังนี้. อธิบายคำว่าญาณสัมปยุต​

บทว่า ?าณสมฺปยุตฺตํ แปลว่า สัมปยุตด้วยญาณ อธิบายว่าประกอบด้วยอาการมีการเกิดพร้อมกันเป็นต้นเสมอกัน. ก็คำใดที่ควรกล่าวในญาณสัมปยุตนี้ คำนั้นข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้ว ในเวทนาติกะในการพรรณนาบทมาติกานั่นแหละ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ญาณนั้นสัมปยุตด้วยลักษณะนี้ คือ เกิดพร้อมกัน (เอกุปฺปาทา) ดับพร้อมกัน (เอกนิโรธา)มีวัตถุเดียวกัน (เอกวตฺถุกา) มีอารมณ์เดียวกัน (เอการมฺมณา). ส่วนนิทเทส (การชี้แจง) โดยอุกฤษฏ์มีดังนี้ ก็ในอรูป แม้เว้นความมีวัตถุเป็นอันเดียวกัน ก็ได้สัมปโยคะ ถามว่า ด้วยคำมีเท่านี้ ท่านกล่าวไว้อย่างไร ?[คำวิจารณ์][โหวต] </td></tr><tr><td></td></tr><tr><td></td></tr></table>​

<hr noshade color="#CCCCCC" align="right" width="60%" size="1"> --><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER><TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#111111 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=644 border=0><TBODY><TR><TD width=644 colSpan=2><HR color=#ebebeb noShade SIZE=1></TD></TR><TR><TD width=560>

ตอบว่า ท่านกล่าว มหาจิต ที่สหรคตด้วยโสมนัสในกามาจรทั้งหลาย
ที่เป็นติเหตุกญาณสัมปยุต เป็นอสังขาริก.
จริงอยู่
ทรงถือเอากุศลจิตที่เป็นไปในภูมิ ๔
ด้วย คำถามที่มิได้กำหนดแน่นอนว่า

ธรรมเป็นกุศล เป็นไฉน ดังนี้
ด้วยพระบาลีว่า กามาวจรํกุสลํ จิตฺตํ อุปฺปนฺนํ โหติ
(กามาวจรกุศลจิตเกิดขึ้นแล้ว) ดังนี้
ทรงเว้นกุศลจิตเป็นไปในภูมิ ๓ ทรงถือเอากามาวจรกุศลจิต ๘ ดวงเท่านั้น.

พระบาลีว่าโสมนสฺสสหคตํ ดังนี้
ทรงเว้นอุเบกขาสหรคต ๔ อย่าง จากกามาวจรกุศลจิต นั้นนั่นแหละ
แล้วทรงถือเอาเฉพาะโสมนัสสสหคตจิตเฉพาะ ๔ อย่าง

ด้วยพระบาลีว่า ? ญาณสมฺปยุตฺตํ ดังนี้
ทรงเว้นจิตที่เป็นญาณวิปปยุต ๒ ดวงจากจิตที่เป็นโสมนัสสสหคตนั้นนั่นแหละ
แล้วทรงถือเอาเฉพาะจิตที่เป็นญาณสัมปยุต ๒ ดวงเท่านั้น.

ส่วนความที่จิตเป็นอสังขาริกมิได้ทรงถือเอา
เพราะความที่จิตเป็นอสังขาริกนั้นมิได้ตรัสไว้
แม้มิได้ทรงถือเอาความที่จิตเป็นอสัง-ขาริกแม้ก็จริง

ถึงอย่างนั้น

เพราะพระบาลีว่า สสงฺขาเรน ข้างหน้าแม้จะมิได้ตรัสว่า อสงฺขาเรน ไว้ในที่นี้
บัณฑิตก็พึงทราบความที่จิตเป็นอสังขาริก
เพราะได้ทรงกำหนดเพื่อแสดงมหาจิตนี้ตั้งแต่ต้นทีเดียว
จึงทรงเริ่มเทศนานี้ดังนี้ ในข้อนี้ พึงทราบว่า
ท่านทำความสันนิษฐานไว้อย่างนี้.


</PRE>

​

</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>เครดิต ͸Ժ

 

ขอบคุณครับ

 

จะรู้ไปทำไม

 

...จะรู้ไว้แต่งบ้าน...

 

คุยมาเลยครับผมจะค่อย ๆ ศึกษาตามไป

 

มาสังเกตุการณ์

ช่วยดูแลวิทยุเสียงธรรมดีกว่า ว่าแต่เขาดูแลกันยังไงหว่า ^^

 

โอย คุณพี่
จะให้คุยอะไรหว่า

คุณพี่เล่น รวมกันเป็นหนึ่งแล้ว จิตหนึ่งแล้วนี่ นิพพานเลยหรือค๊าฟพี่หนึ่ง

ผมยังไม่เคยเป็นหนึ่งเลย จะให้คุยละไรหว่า คุยบ่ถูก

 

ถ้าไม่สะดวกก็ไม่เป็นไรครับ

 

คุณชายฯ มาหงายภาชนะเหรอจ๊ะ

 

รู้เรื่องสติ เอาไว้แต่งบ้าน เหรอ อืมม งั้นค่อยๆศึกษาไปนะ ไม่ต้องรีบร้อนมาก

 

ผมถือฤกษ์สะดวกครับ

มีอะไรคุยกับผมได้ รับรอง ฟู ฟู ดูน่ากิน

 

เห็นคำถามอภิธรรม

ก็รอ อิดเต็งไต้ซือแปะแปะมาตอบ เพราะดูจะตอบได้ตรงชัดกว่า

ไอ้เรามันตัวสำรอง :'(