สภาพและประเภทของนรก (นิรยภูมิ)

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย Sonny, 10 กรกฎาคม 2006.

  1. Sonny

    Sonny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2006
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +156
    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#cc0000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffcc99 border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ebebeb>
    -ประเภทนรก-


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นิรยภูมิ หรือโลกนรกนี้ เป็นโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ล้วนๆ เป็นโลกที่ปราศจากความสุขโดยสิ้นเชิง สัตว์ผู้ไปเกิด อยู่ในโลกนรกนี้ ไม่มีความสุขแต่สักนิดหนึ่งเลย เพราะฉะนั้น โลกนี้จึงได้ชื่อว่า นิรยภูมิ = โลกที่ไม่มี ความสุขสบาย

    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#cc0000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffcc99 border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ebebeb>
    -มหานรก ๘ ขุม-


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    (เทวทูตสูตร อุปริปัณณาสก์ มัชฌิมนิกาย ข้อ ๕๒๑ หน้า ๓๔๐ บาลีฉบับสยามรัฐ

    นิรยภูมิ หรือโลกนรกประเภทใหญ่ที่สุด เรียกว่า มหานรก มีอยู่ทั้งหมด ๘ ขุม ด้วยกัน ตั้งซ้อนเรียงกันอยู่เป็นชั้นๆ ไป ห่างกันแต่ละชั้นประมาณ ๑๕๐๐๐ โยชน์ ดังนี้

    ๑. สัญชีวมหานรก สัญชีวนรก = นรกที่ไม่มีวันตาย คนใจบาปหยาบช้าลามก ตายไปตกนรกขุมนี้แล้ว เขาก็จะเป็นคล้ายๆ กับว่ามีตัวตน เป็น "กายสิทธิ์" คือไม่มีวันที่จะต้องตายกันเลย แม้ว่า จะได้รับการลงโทษอย่างสาหัสจนทนไม่ไหว ขาดใจตายไป ถึงกระนั้น ก็ต้องกลับมีชีวิตชีวากลับเป็นขึ้นมา รับทุกข์โทษ ต่อไปอีก เป็นๆ ตายๆ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในสัญชีวนรกนี้ มีประมาณ ๕๐๐ ปีนรก! ซึ่งเทียบกันกับเวลาของ มนุษยโลกเราดังนี้ คือ ๙ ล้านปีของมนุษยโลก เท่ากับ วันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา

    ๒. กาฬสุตตมหานรก เหล่าสัตว์ ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ เขาย่อมถูกลงโทษ โดยนายนิรยบาลเอาด้ายดำมาตีเป็นเส้นเข้าตาม ร่างกาย แล้วก็เอาเลื่อยมาเลื่อย บางทีก็เอาขวานมาผ่า หรือเอามีดนรกมาเฉือนกรีด ตามเส้นด้ายดำที่ตีไว้ ไม่ให้ผิดรอยได้ ฉะนั้น นรกขุมนี้ จึงมีชื่อว่า กาฬสุตต- มหานรก = นรกที่ลงโทษตามเส้นด้ายดำ ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในกาฬสุตตนรกนี้ ประมาณ ๑๐๐๐ ปี ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ ๓๖ ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา

    ๓. สังฆาฏมหานรก เหล่าสัตว์ ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์โทษ โดยลูกภูเขาเหล็กนรกบดขยี้ร่างกาย ให้ได้รับทุกขเวทนา อยู่ตลอดเวลา ไม่มีเวลาสร่างว่างเว้น ฉะนั้น นรกขุมนี้ จึงมีชื่อว่า สังฆาฏมหานรก = นรกที่บดขยี้ร่างกายสัตว์ เหล่าสัตว์ในสังฆาฏมหานรกนี้ มีร่างกายวิกลวิการ ต่างๆ กัน และมีรูปร่างแปลกพิลึก เช่น บางตนมีหัวเป็น ควาย มีตัวเป็นคน บางตัวมีหัวเป็นหมา หมู เป็ด ไก่ แต่มีตัวเป็นคน เป็นต้น มีความวิปริตแห่งกายสุดที่จัก พรรณนาให้ถูกต้องหมดสิ้นได้ ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในสังฆาฏนรกนี้ มีประมาณ ๒๐๐๐ ปี ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้คือ ๑๔๕ ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา

    ๔. โรรุวมหานรก เหล่าสัตว์ ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์โทษอย่าง แสนสาหัส ต้องร้องครวญครางอยู่ตลอดเวลา ในนรกขุมนี้ จะได้ยินแต่เสียงร้องครวญครางอย่างน่าสมเพชเวทนา เป็นยิ่งนัก ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า โรรุวมหานรก = นรก ที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญคราง ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในโรรุวนรกนี้ มีประมาณ ๔๐๐๐ ปีนรก ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกเราดังนี้ คือ ๒๓๔ ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของนรกขุมนี้

    ๕. มหาโรรุวมหานรก เหล่าสัตว์ ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมถูกลงโทษโดยวิธี อันแสนจะทรมาณเป็นอย่างยิ่ง ทำให้ต้องร้องโอดโอย ครวญครางเสียงดังกระหึ่มมากมายยิ่งนัก เสียงร้อง ครวญครางมากกว่ามหานรกขุมที่ ๔ ที่กล่าวมาแล้ว มากกว่ามาก ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงชื่อว่า มหาโรรุวนรก = นรกที่เต็มไปด้วยเสียงร้องครวญครางมากมาย นรกขุมนี้ มีชื่ออีกอย่างว่า ชาลโรรุวนรก = นรกที่เต็มไป ด้วยเสียงร้องครวญครางเพราะเปลวไฟ ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในมหาโรรุวนรกนี้ มีประมาณ ๘๐๐๐ ปีนรก ซึ่งเทียบกับเวลาของมนุษยโลกดังนี้ คือ ๙๒๑๖ ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่งกับคืนหนึ่งของเขา

    ๖. ตาปนมหานรก เหล่าสัตว์ ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์โทษ โดยวิธีการถูกย่างให้ได้รับความเร่าร้อน และนรกขุมนี้ ก็มีความเร่าร้อนเป็นอย่างยิ่ง ฉะนั้น นรกขุมนี้จึงชื่อว่า ตาปนนรก = นรกที่ทำสัตว์ให้เร่าร้อน ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในตาปนนรกนี้ มีประมาณ ๑๖๐๐๐ ปีนรก ซึ่งมีการเทียบกับเวลาของมนุษยโลก เราดังนี้ คือ ๑๘๔๒๑๒ ล้านปี จึงเป็นวันหนึ่งกับ คืนหนึ่งของเขา

    ๗. มหาตาปนมหานรก เหล่าสัตว์ ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์อันเกิด จากความร้อนแรงแห่งไฟนรกเป็นที่สุด ได้รับทุกข์เพราะ ความเร่าร้อนเหลือประมาณ ไม่มีความร้อนในที่ไหน จักเปรียบปานกับความร้อนในนรกขุมนี้ ฉะนั้น นรกขุมนี้ จึงชื่อว่า มหาตาปนนรก = นรกที่เต็มไปด้วยความ เร่าร้อนอย่างมากมายเหลือประมาณ ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในมหาตาปนมหานรกนี้ มีประมาณ ครึ่งอันตรกัป ซึ่งนับเป็นเวลาที่นานไม่ใช่น้อยเลย

    ๘. อเวจีมหานรก เหล่าสัตว์ที่อุบัติเกิดในนรกขุมนี้ ย่อมได้รับทุกข์โทษ อย่างหนักที่สุด เพราะระหว่างแห่งเปลวไฟและความทุกข์ ไม่มีว่างแม้แต่สักนิดเลย ในนรกนี้ไม่มีการหยุดพักแม้แต่ สักชั่วระยะเวลาหนึ่ง สัตว์นรกต้องได้รับความทุกข์อย่าง หนักอยู่เสมอตลอดเวลา ไม่ใช่บางคราก็หนักบางคราก็ เบาเหมือนนรกขุมอื่นๆ เพราะฉะนั้น นรกขุมนี้จึงมีชื่อว่า อเวจีนรก = นรกที่ปราศจากคลื่น คือความบางเบาแห่ง ความทุกข์ ก็เกณฑ์อายุของสัตว์ในอเวจีมหานรกนี้ มีประมาณ ๑ อันตรกัป ซึ่งนับเป็นระยะเวลาที่ยาวนานกว่าบรรดา มหานรกทั้งหมด

    ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย มหานรกซึ่งเป็นนรกขุมใหญ่ มีอยู่ทั้งหมดด้วยกัน ๘ ขุมดังกล่าวมานี่แล ก็บรรดา มหานรกทั้ง ๘ นี้ หาได้ตั้งอยู่ในพื้นที่ระดับเดียวกันไม่ ความจริงอยู่ห่างไกลกันมาก จะเรียกว่าขุมหนึ่งๆ เป็น โลกๆ หนึ่งก็เห็นจะได้


    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#cc0000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffcc99 border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ebebeb>
    นรกบริวาร ๑๖ ขุม


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    มหานรกแต่ละขอมุนอกจะมี ขุมใหญ่ ซึ่งคล้ายกับเป็นเมืองใหญ่เป็นประธานแล้ว ยังมีขุมเล็กเป็นบริวารล้อมรอบอีก ๔ ทิศ ทิศละ ๔ ขุม รวมทั้งหมดเป็น ๑๖ ขุมด้วยกัน นรกที่เป็นบริวารนี้ มีชื่อเรียกว่าอุสสุทนรก

    -อุสสุทนรก-

    อุสสุทนรก นี้ ล้อมรอบเป็นบริวารมหานรกทั้ง ๘ มหานรกๆ ละ ๑๖ ขุม เพราะฉะนั้น อุสสุทนรกนี้ จึงมีอยู่รวมด้วยกันทั้งหมดมากถึง ๑๒๘ ขุม คือ ๑. ล้อมรอบสัญชีวมหานรก ๑๖ ขุม ๒. ล้อมรอบกาฬสุตตมหานรก ๑๖ ขุม ๓. ล้อมรอบสังฆาฏมหานรก ๑๖ ขุม ๔. ล้อมรอบโรรุวมหานรก ๑๖ ขุม ๕. ล้อมรอบมหาโรรุวมหานรก ๑๖ ขุม ๖. ล้อมรอบตามปนมหานรก ๑๖ ขุม ๗. ล้อมรอบมหาตาปนมหานรก ๑๖ ขุม ๘. ล้อมรอบอเวจีมหานรก ๑๖ ขุม จึงรวมเป็นอุสสุทนรกทั้งสิ้น ๑๒๘ ขุม

    เฉพาะในที่นี้ จักขอกล่าวถึงอุสสุทนรกเพียง ๔ ขุม ซึ่งล้อมรอบเป็นบริวารในทิศบูรพาของมหานรกขุมที่ ๑ คือ สัญชีวมหานรกเท่านั้น เพราะอุสสุทนรกในทิศอื่นๆ ก็ดีและที่ล้อมรอบเป็นบริวาร ในมหานรกขุมอื่นๆ ก็ดี ก็มีชื่อเหมือนๆ กัน จะต่างกันก็แต่เพียงโทษหนักเบา เท่านั้น อุสสุทนรกทั้ง ๔ ที่ล้อมรอบเป็นบริวารมหานรก หรือนรกขุมใหญ่ซึ่งจะกล่าวถึงในที่นี้ มีชื่อตามลำดับ ดังต่อไปนี้

    ๑. คูถนรก ครั้นพ้นทุกข์โทษจากมหานรกขุมใหญ่แล้ว หากเศษบาป กรรมยังไม่สิ้น สัตว์นรกทั้งหลายก็เคลื่อนออกไปรับทุกข์ โทษอยู่ในนรกบริวารที่ใกล้ชิดมหานรกอันดับที่ ๑ นี้ อันเต็มไปด้วยหมู่หนอนเป็นอันมาก คอยแทะกัดกินเนื้อ สัตว์นรกอย่างเอร็ดอร่อย

    ๒. กุกกุฬนรก ครั้นพ้น จากกำแพงแห่งคูถนรกแล้ว หากเศษบาปกรรม ยังไม่สิ้น สัตว์นรกทั้งหลายก็ต้องเคลื่อนออกไปรับทุกข์ โทษ ในอุสสุทนรกอันดับที่ ๒ นี้ อันเต็มไปด้วยเถ้ารึงซึ่งรุ่มร้อนสำหรับเผาสัตว์นรกทั้งหลาย ให้ได้รับความทุกขเวทนาอันแรงกล้า

    ๓. อสิปัตตนรก ครั้งพ้น จากกำแพงแห่งกุกกุฬนรกแล้ว ก็ถึงบริเวณ อุสสุทนรกอันดับที่ ๓ นี้ ที่ต้นมะม่วงนรกใบดกครึ้ม ครั้นถูกลมกรรมพัดมาอย่างแรงใบก็กลายเป็นหอก เป็นดาบอันคมกล้าหลุดร่วงลงมาถูกกายเป็นแผล เหวอะหวะ บางทีก็กายขาดเป็นท่อนๆ ฯลฯ

    ๔. เวตรณีนรก ครั้นพ้น จากกำแพงอสิปัตตนรกแล้ว ก็ถึงบิรเวณ อุสสุทนรกอันดับที่ ๔ นี้ อันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วย น้ำเค็มน้ำแสบตั้งอยู่ชั่วกัป มีเครือหวายหนามเหล็ก ล้อมอยู่โดยรอบเป็นขอบขัณฑ์ ในท่ามกลางนั้นปรากฏ เป็นดอกปทุมหลากหลาย เมื่อสัตว์นรกได้เห็นเข้า ก็เข้าใจว่าเป็นแม่น้ำอันเย็นสนิทน่าอาบ น่าดื่มนัก ก็รีบกระโจนลงไป เครือหวายเหล็กก็บาดร่างกาย ทำให้เป็นแผลในน้ำเค็ม

    ท่านผู้มีปัญญาทั้งหลาย อุสสุทนรกทั้ง ๔ นี้ ตั้งอยู่เรียง ลำดับกันไป ในทิศบูรพาเบื้องหน้าแห่งสัญชีวมหานรก แม้ในทิศอื่นอีก ๓ ทิศ คือ ทิศหลัง ทิศเบื้องขวา ทิศ เบื้องซ้าย ก็มีอุสสุทนรกทั้ง ๔ นี้ ตั้งอยู่เรียงลำดับไป เช่นเดียวกัน รวมอุสสุทนรกทั้ง ๔ ทิศที่ล้อมรอบสัญชีวนรก จึงเป็น ๑๖ ขุมพอดี ก็มหานรกมี ๘ ขุม แต่ละขุม มีอุสสุทนรกนี้ ล้อมรอบเป็นบริวารขุมละ ๑๖ จึงรวมเป็น อุสสุทนรกทั้งหมด ๑๒๘ ขุม


    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#cc0000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffcc99 border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ebebeb>
    -ยมโลกนรก-


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    สัตว์นรก ทั้งหลาย เมื่อได้เสวยทุกข์โทษในมหานรกและ อุสสุทนรกดังกล่าวมาแล้ว หากกรรมยังไม่สิ้น ก็จำต้อง ไปเสวยกรรมในนรกอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเรียกว่า ยมโลกนรก ก็ยมโลกนรกนี้ ตั้งอยู่ในสถานที่ต่อจาก อุสสุทนรกไป เป็นนรกบริวารของมหานรกทั้ง ๘ มหานรกแต่ละขุมนั้น มียมโลกนรกล้อมเป็นบริวาร อยู่ทิศเบื้องหน้า ๑๐ ขุม ทิศเบื้องหลัง ๑๐ ขุม ทิศขวา ๑๐ ขุม ทิศซ้าย ๑๐ ขุม รวมทั้ง ๔ ทิศ ก็เป็น ๔๐ ขุมพอดี

    มหานรกมีอยู่ ๘ ขุม ขุมหนึ่งๆ มียมโลกนรกล้อมรอบ เป็นบริวารชั้นนอก ๔๐ ขุม จึงรวมเป็นยมโลกนรก ทั้งหมด ๓๔๐ ขุม

    ในที่นี้จะขอกล่าวแต่เพียงยมโลกนรก ๑๐ ขุม ซี่งตั้งอยู่ ล้อมรอบเป็นบริวารแห่งสัญชีวมหานรก เพียงทิศเดียว เท่านั้น เพราะว่ายมโลกนรกในทิศอื่นๆ ก็ดี และยมโลก นรกที่ล้อมเป็นบริวารมหานรกอื่นๆ ก็ดี ก็มีชื่อและมี อาการเสวยทุกข์โทษเหมือนๆ กัน จะแตกต่างกันอยู่บ้าง ก็เพียงแต่ว่ามีการเสวยทุกข์โทษหนักเบา ตามชั้นแห่ง มหานรกนั้นๆ เท่านั้น ฉะนั้น เมื่อทราบและเข้าใจได้ เพียง ๑๐ ขุมในทิศเดียว ก็เป็นอันทราบยมโลกนรก ในทิศอื่นและในชั้นอื่นทั้งหมด เพราะมีชื่อและมีลักษณะ เหมือนกัน

    ก็ยมโลกนรกทั้ง ๑๐ ขุมที่จะกล่าวในที่นี้ มีชื่อตามลำดับดังนี้

    ๑. โลหกุมภีนรก มีหม้อเหล็กขนาดใหญ่เท่าภูเขา เต็มไปด้วยน้ำแสบ น้ำร้อนเดือดพล่านอยู่ตลอดเวลา ตั้งอยู่บนเตาไฟนรก นายนิรยบาลร่างกายใหญ่โต จับสัตว์ผู้พลัดมาอยู่ที่นี่ ที่ข้อเท้าเอาหัวคว่ำลง แล้วหย่อนทิ้งลงไปเสียงดังซ่าใหญ่ ฯลฯ ทำอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายคาบ นับเป็นหมื่นๆ ปี กรรมที่นำมาให้เสวยทุกข์โทษในนรกขุมนี้ได้แก่ปาณาติบาต คือทำการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เช่นจับเอาสัตว์เป็นๆ มาใส่ลง ในหม้อน้ำร้อนให้ตายแล้วเอามากินเป็นอาหาร หรือมิฉะนั้น ก็ทำกรรมชั่วหยาบอื่นๆ ควรจะเสวยทุกข์ในมหานรกแล้ว แต่ภายหลังกลับสำนึกตน พยายามประกอบกองการกุศล บาปกรรมที่ติดอยู่ในจิตค่อยคลายลง จึงต้องได้รับโทษ เพียงตกมาในขุมนี้

    ๒. สิมพลีนรก ปรากฏเป็นป่าเต็มไปด้วยต้นงิ้วนรกทั้งหลาย ต้นงิ้วแต่ละ ต้น มีหนามเหล็กคมเป็นกรด ยาวประมาณ ๑๖ องคุลี ลุกเป็นเปลวไฟอยู่เสมอเป็นนิตย์ไม่มีวันที่จะดับไปเลย แม้สักชั่วระยะเวลาหนึ่ง ขุมนี้เต็มไปด้วยสัตว์นรกหญิง และสัตว์นรกชาย ที่ต้องมาเกิดในสิมพลีนรกนี้ ก็เพราะว่าเมื่อเขาเป็นมนุษย์ ได้ประพฤติล่วงกาเมสุมิจฉาจาร คือคบชู้ผิดศีลธรรม ประเพณี

    ๓. อสินขะนรก เหล่าสัตว์ที่อยู่ในนรกขุมนี้ มีรูปร่างพิกล เล็บมือเล็บเท้า ของตนซึ่งแหลมยาว กลับกลายเป็นอาวุธ เป็นหอก เป็นดาบ เป็นจอบ เป็นเสียมอันคมกล้า เสวยทุกขเวทนา ประหนึ่งเป็นบ้าวิกลจริต บ้างนั่ง บ้างยืน เอาเล็บมือถาก ตะกุยเนื้อหนังของตนกินเป็นภักษาหาร เป็นอยู่อย่างนี้ ตลอดกาลนาน สัตว์นรกเหล่านี้ เมื่อครั้งเขาเป็นมนุษย์มีใจเป็นคนพาล กระทำอทินนาทาน ชอบลักเล็กขโมยน้อย ลักขโมยของ ในสถานที่สาธารณะ ของที่เขาถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือลักขโมยของใช้เช่นเสื้อผ้า อาหาร เป็นต้น

    ๔. ตามโพทกะนรก ในนรกขุมนี้ มีหม้อเหล็กต้มน้ำทองแดงอยู่มากมาย มีน้ำทองแดงกำลังเดือดพลุ่งอยู่เสมอ พร้อมกับมี ก้อนกรวดก้อนหินปะปนอยู่ด้วยในหม้อเหล็กทุกๆ หม้อ นายนิรยบาลจับสัตว์บาปให้นอนหงาย เหนือแผ่นเหล็ก อันรุ่งเรืองด้วยเปลวไฟ แล้วเอาน้ำทองแดงพร้อมทั้ง ก้อนกรวดก้อนหิน ซึ่งกำลังเดือดพล่านในหม้อนรกนั้น กรอกเข้าไปในปาก ฯลฯ การที่สัตว์ต้องมาเสวยทุกขโทษอันน่ากลัวเห็นปานนี้ ก็เพราะในชาติก่อนเขาเป็นคนใจอ่อนมัวเมาประมาท ดื่มกินซึ่งสุราเมรัย แสดงอาการคล้ายคนบ้าวิกลจริต เป็นนิจศีล

    ๕. อโยคุฬะนรก ในนรกขุมนี้ เต็มไปด้วยก้อนเหล็กแดงเกลื่อนกลาดไปหมด ลุกเป็นไฟอยู่ทั้งนั้น เหล่าสัตว์นรกทั้งหลาย ล้วนมีแต่ ความหิวโหยทั้งสิ้น ครั้นเห็นก้อนเหล็กแดงก็ดีเนื้อดีใจ เพราะอกุศลบันดาลให้สัตว์นรกเหล่านั้นตาลาย เห็นก้อน เหล็กแดงกลายเป็นโภชนาหารไป จึงรีบวิ่งเข้าไปยื้อแย่ง กันกิน ฯลฯ การที่เขาจะมาเป็นสัตว์นรกที่นี่ ก็เพราะว่าในชาติก่อน เขาเหล่านั้นมีโลภเจตนาหนาแน่น แสดงตนว่าเป็นคน ใจบุญใจกุศล เที่ยวป่าวร้องเรี่ยไรเอาทรัพย์ของเขา มาว่า จะทำการกุศลสาธารณประโยชน์ ครั้นได้ทรัพย์ มาแล้วก็ยักยอกใช้สอยตามสะดวกสบายของตน การกุศลก็ทำบ้าง ไม่ทำบ้างตามที่อ้างไว้ บ้างทีก็ไม่ ทำเลย หลอกลวงคนอื่นได้ด้วยเล่ห์ นึกว่าตนเป็น คนฉลาด

    ๖. ปิสสกปัพพตะนรก ในนรกขุมนี้ มีภูเขานรกใหญ่ตั้งอยู่ทั้ง ๔ ทิศ เป็นภูเขา เคลื่อนที่ได้ไม่หยุดหย่อน กลิ้งบดสัตว์นรกทั้งหลายให้ บี้แบนกระดูกแตกป่นละเอียด ถึงแก่ความตายแล้วก็ กลับเป็นขึ้นมาใหม่ ให้ได้รับความทุกข์ทรมาณอยู่ อย่างนี้ ตลอดเวลาไม่ว่างเว้น ที่ต้องมาทนทุกขเวทนาอยู่ในนรกขุมนี้ ก็เพราะในชาติ ก่อน สัตว์นรกทั้งหลายเหล่านั้น เคยเป็นนายบ้าน เป็น นายอำเภอ เป็นเจ้าบ้านผ่านเมือง แต่ประพฤติตนเป็น คนอันธพาล กดขี่ข่มเหงราษฎร ทำให้ประชาชนพลเมือง เดือดร้อน เช่น ทุบตีเขา เอาทรัพย์เขามาให้เกิดพิกัดอัตรา ที่กฏหมายกำหนด ไม่มีความกรุณาแก่คนทั้งหลาย

    ๗. ธุสะนรก สัตว์ที่มาเกิดในนรกขุมนี้ ล้วนแต่มีความหิวกระหายน้ำ ทั้งสิ้น วิ่งวุ่นกระเสือกกระสนไปทั่วทั้งนรก ครานั้น ก็ ปรากฏมีสระเต็มไปด้วยน้ำใสเย็นสะอาด สัตว์นรก ทั้งหลายเห็นเข้า ต่างก็ดีเนื้อดีใจ วิ่งมาถึงแล้วกระโดด ลงเพื่อจะกินจะอาบ แต่ครั้นได้กินดื่มเข้าไป ด้วยอำนาจ กรรมบันดาล พอน้ำนั้นตกถึงท้องก็กลายเป็นแกลบเป็น ข้าวลีบลุกเป็นเปลวไฟ แล้วไหม้ไส้ใหญ่น้อย ตับปอด เครื่องในอวัยวะเหล่านั้นก็ไหลออกมาทางทวารเบื้องล่าง ให้ได้รับความเจ็บปวด เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส ที่ต้องมาเสวยทุกข์โทษในนรกขุมนี้ ก็เพราะว่าในชาติก่อน ครั้งที่เป็นมนุษย์เขาเป็นคนคดโกง ไม่มีความซื่อสัตย์ เป็นพานิชย์พ่อค้า แม่ค้า มีโลภเจตนาหนาแน่นในดวงจิต เอาของชั่วปนของดี เอาของแท้ปนของเทียม แล้วหลอก ขายผู้อื่น ได้ทรัพย์มาโดยมิชอบ เช่นนี้เป็นต้น

    ๘. สีตโลสิตะนรก ในนรกขุมนี้ มีน้ำเย็นยะเยือกยิ่งกว่าความเย็นทั้งหลาย เมื่อสัตว์นรกทั้งหลายตกลงไปก็ต้องตายด้วยความเย็น ด้วยอำนาจอกุศลกรรม ก็ทำให้กลับเป็นขึ้นมาอีก ฯลฯ ที่ต้องมาเสวยทุกข์โทษในนรกขุมนี้ ก็เพราะในชาติก่อน เมื่อครั้งที่เขายังเป็นมนุษย์ เป็นผู้มีจิตใจไม่บริสุทธิ์ เป็นคนใจบาปหยาบช้า ไม่มีเมตตากรุณาในสันดาน เป็นคนใจพาลประกอบอกุศลกรรม เช่น จับสัตว์เป็นๆ โยนลงไปในบ่อในเหว ในสระน้ำ หรือมัดสัตว์ทิ้งน้ำ ให้จมน้ำตาย ทำเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ให้ได้รับความ ทุกข์และตายเพราะน้ำ เช่นนี้เป็นต้น

    ๙. สุนขะนรก ในนรกขุมนี้ เต็มไปด้วยสุนัขนรกทั้งหลาย มีอยู่มากมาย หลายฝูง แต่เมื่อจะจำแนกสุนัขหรือหมานรกเหล่านั้น ก็มีอยู่ ๕ จำพวกคือ หมานรกดำ หมานรกขาว หมานรก เหลือง หมานรกแดง หมานรกด่าง บรรดาหมานรกทั้งห้าจำพวกนี้ มีรูปร่างใหญ่โตและดู น่าเกรงกลัวเป็นนักหนา ส่งเสียงเห่าหอน เหมือนดังฟ้า ลั่นฟ้าร้องก้องทั่วนรกไปหมด คนบาปที่มาอุบัติเกิด ในนรกขุมนี้ ย่อมถูกหมานรกไล่ขบกัดอยู่ตลอดเวลา

    ๑๐. ยันตปาสาณะนรก ยมโลกนรก ขุมที่ ๑๐ ซึ่งเป็นขุมสุดท้าย ในนรกขุมนี้ ปรากฏว่ามีภูเขา ๒ ภูเขา แต่เป็นภูเขานรกแปลก ประหลาด คือ เป็นภูเขายนต์หันกระทบกันเสมอเป็น จังหวะไป ไม่ขาดระยะ พอสัตว์มาเกิดในนรกนี้แล้ว นายนิรยบาลผู้มีร่างกายกำยำล่ำสันใหญ่โต ก็จับ ศีรษะสัตว์นรกทั้งหลายโยนใส่เข้าไปในระหว่าง ภูเขายนต์ทั้ง ๒ การที่ต้องมาเกิดเป็นสัตว์นรกทนทุกข์อยู่ ณ ที่นี้ ก็เพราะเหตุว่าในชาติก่อนเขาเป็นมนุษย์หญิงชาย ผู้มีใจบาปหยาบช้าตีด่าคู่ครองของคนด้วยความโกรธ เช่นเป็นสามีเมื่อโกรธภรรยาแห่งตนขึ้นมา ก็ฆ่าตีเตะถีบ ประหัตประหารเอาด้วยกำลังชาย หรือไม่เช่นนั้น ตนเป็นภรรยา เมื่อโกรธขึ้นมาก็ด่าว่าสามี คว้าไม้ คว้ามีดไล่ตีไล่ฟัน แล้วก็เหหันประพฤตินอกใจ ไปคบชู้ คบหาเป็นสามีภรรยาของคนอื่นตามใจชอบ

    ท่านทั้งหลาย นรกที่กล่าวมานี้ คือ ยมโลกนรก ทั้ง ๑๐ ขุม ก็ยมโลกนรกทั้ง ๑๐ ขุมนี้ ตั้งอยู่ในลำดับ ถัดกันไป ต่อจากอุสสุทนรกทั้ง ๔ ในทิศบูรพาเบื้องหน้า แห่งสัญชีวนรก แม้ในทิศอื่นๆ อีก ๓ ทิศ คือ ทิศหลัง ทิศซ้ายทิศขวา ก็มียมโลกนรกนี้ปรากฏตั้งอยู่ต่อจาก อุสสุทนรกที่กล่าวแล้วทิศละ ๑๐ ขุมเช่นกัน และมีชื่อ กับทั้งมีลักษณะอย่างเดียวกัน จึงเป็นอันว่าใน สัญชีวมหานรกนี้ มียมโลกนรกล้อมรอบเป็นบริวาร ชั้นนอก ๔๐ ขุม นอกจากนี้ ยมโลกนรก ยังมีอยู่ใน มหานรกขุมอื่นอีกขุม ขุมละ ๔๐ ฉะนั้น จึงรวมทั้งหมด เป็นยมโลกนรก ๑๒๐ ขุมพอดี


    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#cc0000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffcc99 border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ebebeb>
    -โลกันตนรก-


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    โลกันตนรก นี้ เป็นนรกขุมพิเศษ เป็นนรกขุมใหญ่ แปลกประหลาดกว่าบรรดานรกทั้งหลาย เพราะอยู่ นอกจักรวาล สถานที่ตั้งของนรกขุมนี้ อยู่ในระหว่าง โลกจักรวาล ๓ โลก ก็เหมือนกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอก เอามาตั้งชิดติดกันเข้า ก็จะเกิดมีช่องว่างขึ้นในตอนกลาง จักรวาลต่างๆ ก็ตั้งชิดติดกันเช่นกับดอกปทุมชาติ ๓ ดอกนั้น บริเวณตรงช่องว่างนั่นเอง เป็นสถานที่ตั้ง แห่งโลกันตนรก ซึ่งแปลว่านรกที่อยู่สุดโลกจักรวาล

    ก็ในโลกันตนรกนั้น มีความมืดมนยิ่งนัก แสงดาว แสงเดือนและแสงตะวันส่องไปไม่ถึง เป็นสถานที่มืดมน อนธการ สามารถห้ามเสียงซึ่งความบังเกิดขึ้นแห่ง จักษุวิญญาณเปรียบปานดังคนหลับตาในคราวเดือนดับ ข้างแรมฉะนั้น การที่มีสภาพมืดมนมากเช่นนี้ ก็เพราะ อยู่นอกจักรวาลพ้นจากโลกสวรรค์โลกมนุษย์ ออกไปนั่นเอง

    สัตว์ที่ไปอุบัติเกิดในโลกันตนรกนี้ มีร่างกายใหญ่โตยิ่งนัก มีเล็บมือเล็บเท้ายาวนักหนา ต้องใช้เล็บมือเล็บเท้าเกาะ อยู่ตามชายเชิงจักรวาลห้อยโหนโยนตัวอยู่ชั่วนิรันดร์ เปรียบปานเหมือนเช่นกับค้างคาว ห้อยหัวอยู่บนกิ่งไม้ ฉะนั้น ครั้นได้ประสบการณ์ทรมานอย่างแสนสาหัส เช่นนี้ เขาก็ได้แต่รำพึงอยู่ในใจว่า "ทำไม ตูจึงมาอยู่ที่นี่ ชะรอยที่นี่ จะมีแต่ตูผู้เดียว ดอกกระมัง"

    ที่เขารำพึงออกมาเช่นนี้ ก็เพราะว่าสถานที่นั้นมันเป็น สถานที่มืดแสนมืด มองไม่เห็นเพื่อนสัตว์โลกันตนรก ด้วยกัน หรือมองไม่เห็นอะไรเลยนั่นเอง ตลอดเวลานาน เหล่าสัตว์นรกเหล่านั้นไม่ต้องทำอะไร มีแต่จะห้อยโหน โยนตัวเปะปะไป ด้วยความหิวโหยอย่างเหลือประมาณ ครั้นปีนป่ายตะกายไปถูกต้องมือของกันและกันเข้าแล้ว ก็สำคัญว่าพบปะอาหารจึงต่างก็ดีเนื้อดีใจ มีกิริยา ขวนขวายคว้าฉวยจับกุมกัน ต่างคนต่างก็จะตะครุบ กันกินเป็นอาหาร เมื่อต่างก็ปล้ำฟัดกัดกันอยู่อย่างนี้ ในไม่ช้าก็เผลอปล่อยมือที่เกาะอยู่ เลยพากันพลัดตก ลงไปข้างล่าง

    สถานที่เบื้องล่าง ซึ่งเขาพลัดตกลงมานั้น มันไม่ใช่ พื้นที่ธรรมดา โดยที่แท้เป็นทะเลน้ำกรดอันเย็นยะเยือก ซึ่งมีความเย็นอย่างร้ายกาจนัก ครั้นเขากอดคอพากันพลัด ตกลงมา พอถึงพื้นน้ำแล้ว บัดเดี๋ยวใจ ตัวตนร่างกาย ของเขาก็เปื่อยพังแหลกลงสิ้นไม่มีชิ้นดีเพราะฤทธิ์ น้ำกรดอันเยือกเย็นกัดเอา ให้เหลวแหลกละลาย ประดุจดังก้อนอุจจาระซึ่งตกลงไปในน้ำฉะนั้น เขาก็ถึงแต่ความสิ้นใจตายไปในบัดใจนั้นเอง แล้วก็กลับเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาเหมือนเก่า ให้รู้สึกหนาวเย็นเป็นกำลัง จึงรีบตะเกียกตะกาย ปีนป่ายขึ้นมาเกาะเชิงเขาจักรวาลด้วยความลำบาก ยากเย็น แล้วก็ห้อยโหนโยนตัวแสวงหาอาหาร ด้วยความหิวโหยต่อไปอีกตามเดิม ฯลฯ เฝ้าเวียนตายเวียนเกิด ด้วยความทุกข์ทรมาน อยู่อย่างนี้ ไม่มีวันสิ้นสุดชั่วพุทธันดรหนึ่ง จึงจะพ้นทุกข์โทษจากโลกันตนรกนี้

    มีเรื่องที่ควรทราบ ซึ่งจะกล่าวแทรกไว้ในที่นี้ ก็คือว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแห่งเรา ท่านทั้งหลาย ได้ทรงมีพระมหากรุณาโปรด ประทานพระพุทธฎีกาไว้ว่า "รูปปติ โข ภิกขเว" เป็นอาทิ ซึ่งแปลเป็นใจความว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย! ที่ชื่อว่า รูป เพราะอรรถว่าเป็นสิ่ง ที่จะต้องสลายไป เพราะความเย็นบ้าง เพราะความ ร้อนบ้าง" ดังนี้เป็นต้น

    จึงมีปัญหาว่า ที่ว่ารูปต้องสลายไป เพราะความเย็น นั้นคืออย่างไรกัน? ก็รูปของสัตว์ที่เกิดในโลกันตนรก นี่เอง ที่จะต้องแตกสลายฉิบหายไปเพราะความเย็น ฯลฯ

    สัตว์ทั้งหลายได้ก่อกรรมทำเข็ญอะไรไว้เล่า จึงต้อง มาตกอยู่ในโลกันตนรกนี้? สัตว์ทั้งหลายได้เคย ประกอบกรรมร้ายกาจหยาบช้าลามกนัก คือ ประทุษร้ายทรมานบิดามารดา เพราะปราศจาก กตัญญูกตเวที หรือเป็นมิจฉาทิฏฐิบุคคล ไม่เชื่อ บุญบาป ไม่เชื่อนรกสวรรค์แล้วประกอบการ อันเป็นบาปอยู่เป็นนิตย์ อีกประการหนึ่ง ได้ประกอบ กรรมชั่วยิ่งนัก เช่นประทุษร้ายท่านผู้ทรงศีลทรงธรรม หรือกระทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเป็นประจำ ทุกวัน อำนาจกุศลอันหนักเหล่านั้น จึงชักนำให้ ลงมาเกิดในโลกันตนรกนี้ ซึ่งมีปกติมืออยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อมีองค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จมาอุบัติตรัสในโลก จึงจะมีโอกาสปรากฏเป็น แสงสว่างขึ้นแวบหนึ่งประมาณชั่วฟ้าแลบ หรือชั่วระยะ มาตรว่าลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น นี่แหละคือสภาพ แห่งโลกันตนรก

    <TABLE style="BORDER-COLLAPSE: collapse" borderColor=#cc0000 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffcc99 border=2><TBODY><TR><TD bgColor=#ebebeb>
    -จำนวนนรก-


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เพื่อให้จำกันง่ายๆ บรรดานรกทั้งหมดที่กล่าวมา มีอยู่ทั้งหมด ๔๕๗ ขุม คือ
    ๑. มหานรก ๘ ขุม
    ๒. อุสสุทนรก ๑๒๘ ขุม
    ๓. ยมโลกนรก ๓๒๐ ขุม
    ๔. โลกันตนรก ๑ ขุม

    จบ "นิรยภูมิ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 10 กรกฎาคม 2006

แชร์หน้านี้

Loading...