สมมุติถ้าคุณบรรลุธรรมขั้นต้นหรือสำเร็จอภิญญาช่วยคนได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 2 กันยายน 2017.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    มีปัญหามาถามท่านทั้งหลาย ปัจจุบันข้าพเจ้าก้อเพียงผู้สนใจธรรมะ แต่มีความสงสัยอยากถามท่านทั้งหลาย

    ถ้าท่านทั้งหลายมีความสามารถทางธรรม เช่น มีอภิญญาช่วยคนได้ หรือ ตัดสังโยชน์ขั้นต้นได้แล้ว ในเพศฆราวาส แต่ท่านทั้งหลายไม่ได้ประสบความสำเร็จทางโลก เช่น ร่ำรวย หน้าที่การงานใหญ่โต คือเป็นแค่เฟืองเล็กๆตำแหน่งเล็กๆ

    ท่านทั้งหลายจะรับมือกับสถานการณ์ที่มีคนมาเกทับถึงความสำเร็จทางโลกของคนอื่นอย่างไร ครั้นจะพูดออกไปว่ากูสำเร็จทางธรรมนะ ก้อทำไม่ได้ ท่านจะมีวิธีวางใจอย่างไรต่อเหตุการณ์ข้างต้น

    ขอให้ทุกท่านพบพระนิพพานในเร็ววัน
     
  2. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    จขกท.รู้จักคนอยู่คนนึง เป็นคนมีองค์ เค้าทำงานร่วมกับสังคมคนเยอะๆไม่ได้ ต้องทำธุรกิจส่วนตัว เพราะเค้าเคยบอกว่านิสัยและลักษณะของเค้าไม่สามารถปรับตัวเข้ากับคนหมู่มากได้

    ท่านคิดว่าการทำงานร่วมกับคน่หมู่มากไม่ได้นั้นเกี่ยวข้องกับการมีองค์หรือไม่ เค้ายังไม่สามารถมีคู่ได้อีกด้วย ซึ่งเค้าเคยมีคู่แล้ว แต่อยู่กันไม่ได้
     
  3. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    งานทางธรรมไม่เหมือนงานทางโลก ที่ต้องโด่งดังมีชื่อเสียงคนยอมรับร่ำรวย งานทางธรรมทำเพื่อปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น แล้วท่านทั้งหลายจะวางใจต่อกระแสโลกอย่างไร ที่นับถือคนที่เปลือกนอก
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ขอพูดแบบภาพรวมๆนะครับ

    เนื้อแท้ของการปฏิบัติธรรมนั้น

    เราปฏิบัติเพื่อให้จิต มันปล่อยวาง

    ปล่อยวางในที่นี้ หมายถึงปล่อยวาง

    ความยึดมั่นถือมันที่มีอยู่ในใจ......

    และอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างแยบยล

    การที่เราจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างแยบยลนั้น

    เราก็ต้องมาดูที่ใจตัวเราเองเป็นหลัก

    อย่าเผลอไปเพ่ง ไปยึดสิ่งต่างๆที่มีอยู่แล้วภายนอก

    จนดึงเข้ามาเป็นตัวเราเองอย่างไม่รู้ตัวครับ


    ยกตัวอย่าง เช่น เกลือปกติมีรสเค็ม

    การปล่อยวางใจเรา ไม่ใช่ว่าใจเราปล่อยวาง

    แล้วไปเห็นว่า เกลือมันมีรสชาติจืดนะครับ

    ตัวใจเราต้องไปแค่รู้ว่า มันเค็มแต่เราไม่ได้

    ไปยึดไปดึงมันเข้ามา


    เพราะเกลือมันจะจืดได้อย่างไร เพราะธรรมชาติของ

    เกลือมันก็ยังเค็มของมันอยู่

    แต่ใจเราต่างๆหากที่รู้ว่า

    เกลือมันเค็มนะ เกลือมันเป็นอย่างนี้นะ...


    แต่เราปฏิบัติมาซึ่งไม่เกี่ยวว่า ปฏิบัติแล้ว

    จะต้องมีความสามารถหรือไม่มี เพราะพวกเรื่อง

    ความสามารถอะไรก็ตามที่เกิดระหว่างทางในการปฏิบัติ

    แท้จริงแล้ว มันเป็นแค่เรื่องกระโหลกกะลา

    ที่มักดึงเข้ามา ให้บุคคลผู้นั้น กลายเป็นคน

    ที่ไปยึดติด ในลาภ ในยศ ในสุข ในสรรเสริญ

    จากตัว โทสะ โมหะ โลภะ ที่อยู่ในจิตตนไปดึง

    พวก ลาภ ยศ สุข สรรเสริญเหล่านี้เข้ามา

    ซึ่งมันไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นในทางพุทธศาสนา

    ยกเว้นว่า เมื่อเกิดมี เกิดขึ้นจริงแล้ว....

    นำสิ่งต่างๆเหล่านี้ ไป ทำอะไรก็ตามฯลฯ ในทางที่ไปหนุน

    ให้จิตมัน คลาย โลภะ โทสธ โมหะ ที่จะไม่ไปดึง

    ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เข้ามาอย่างนี้

    ถึงจะถือว่าอยู่เส้นทางแห่งการหลุดพ้นได้.....




    ดังนั้นที่ปฏิบัติมา เพื่อให้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมันตรงนี้

    เพื่อไม่ไปยึดในรสชาติ

    ความเค็มของเกลือตรงๆนี้

    ไม่ไปบ่นว่าทำไมมันเกลือมันถึงเค็ม เราไม่ชอบเพราะมันเค็ม

    ไม่ไปปรุงแต่งต่อว่า ทำอย่างไรเพื่อให้เกลือมันจืด แบบที่เราชอบ

    ไม่ไปปรุงต่อว่า เกลือนี้มันน่าจะรู้จักปรับรสชาติ

    ให้มันจืดลง ให้มันหวาน หรือไปคาดหวังว่า

    เกลือมันจะมีรสชาติ ในแบบที่เราชอบ.....

    เราถึงจะอยู่ร่วมกับเกลือที่เค็มได้

    นี่คือ สิ่งที่นักปฏิบัติ บารมีไม่มากพอ ปัญญาไม่มากพอ

    ที่จะเข้าใจธรรมชาติของเกลือ

    ยังไม่เข้าใจกัน แล้วแทนที่จะมาปรับปรุงแก้ไข

    นิสัยตนเองให้มันดีขึ้น แล้วก็กลับไปมัวแต่เพ่งโทษภายนอก

    คอยแต่ไปสังเกตุว่า ทำไมเกลือในขวดไม่สะอาดอย่างนี้

    ทำไมเกลือในนาสีถึงปนน้ำตาลอย่างนี้

    ทำไมคนนี้ถึงชอบเกลือในขวดที่ไม่สะอาดตัวนี้

    ทำไมคนนี้ถึงใช้เกลือที่มีสีปนนำ้ตาลตัวนี้

    ที่เล่ามา เป็นนิสัย ที่ทำให้การปฏิบัติของเรา

    ไม่ก้าวหน้า เพราะมัวแต่ไปเพ่งโทษภายนอก

    จนลืมมาปรับปรุงและแก้ไขที่ตัวใจเราเอง...


    ไหนก็พูดแล้ว ก็พูดถึงเรื่องมีองค์หน่อยแล้วกัน

    มนุษย์เกิดมาทุกข์คน มีองค์เทพเทวดาประจำตัว

    ด้วยกันทุกคนนั้นหละครับ ไม่มีใครไม่มีหลอกครับ....

    จะเป็นอดีต พ่อ แม่ พี่น้อง ครูบาร์ อาจารย์ ญาติ เทพ

    เทวดา พรหม

    พระโพธิฯ พระพุทธฯ พระสงฆ์ทั้งหลาย ฯลฯ

    ก็สามารถอยู่ใน ฐานนะ ที่เรียกว่า องค์เทพเทวดาประจำตัว

    เราได้หมดนั่นหละครับ มันขึ้นอยู่กับจิตใจ ณ เวลานั้น

    ว่ามีสภาพจิตใจเหมาะสมกับระดับใดเท่านั้นเองครับ


    ไอ้มุขที่ชอบทักคนว่า มีองค์ห๋า เห๋ว กระโหลกกะลา

    แล้วก็ชอบบอกว่า ท่านเป็นคนพิเศษ ระดับโน้นนี่นั้น

    ทำให้บุคคลนั้นหลงตัวเองไปวันๆ พอทำให้คนนั้น

    มีความสามารถขึ้นมาได้ แบบไม่ต้องฝึก ห๋า เห๋ว อะไรเลย

    ซึ่งมันก็สามารถมีได้ ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกับในดวงจิต

    ที่เค้าได้จากการฝึกมาเอง ปฏิบัติมาเอง อยู่ในแนวทาง

    ที่เป็นไป เพื่อลด ละ คลายกิเลส หรือบางท่าน

    ได้จากการที่ผุดขึ้นมาจากจิตที่คลายตัวเองนั้น


    จะเป็นแค่ระดับ ความสามารถกระดอแมว แต่จะโม้ประมาณ

    ช้างสาร ทั้งหลายแหล่อะไรเนี่ย

    เป็นมุข ของพวกที่อยู่ภายใต้การควบคุมจากภายนอก

    ต่างๆ มักใช้พูดเพื่อที่ จะหาที่สถิตย์ของจิต เพื่อทำงานสร้าง

    บุญสร้างบารมี โดยผ่านบุคคลที่ถูกหลอกว่ามีองค์ทั้งหลาย

    นั่นหละครับ มุขที่ชอบใช้ บอกว่า คุณเป็นระดับโน้นนี่นั้นมาเกิด

    คุณเป็นคนสำคัญโน้นนั่นนี่ ใช้ความรักให้นึกอดีตที่เจ็บปวด

    ทรมาณ ประมาณ หนังช่อง ๓ บวก ช่อง ๗ ยกกำลัง ๘๐

    พอจิตใจเศร้าหมอง พลังงานภายนอกก็แอบมาแทรก

    กลายเป็นผู้มีความสามารถพิเศษระดับกระดอแมวได้ทันที

    แบบไม่ต้องฝึก สติ ฝึกสมาธิ และเดินปัญญามาก่อนได้เลย

    อย่างนี้ มันมี และมีที่ดีและไม่ดี แต่มันไม่ใช่

    พุทธศาสนานะครับ



    แล้วเป็นไง กลับกลายเป็นอะไร แล้ว เกิดอะไรขึ้นมา

    กลายเป็นบุคคลที่สร้างปัญหาให้ตัวเองในการอยู่ร่วมกับสังคม

    ไม่ว่ากลับคนใกล้ชิด เพื่อร่วมงาน ตลอดสังคมรอบๆกาย

    กลายเป็นบุคคลที่พยายามสร้างให้ตนเองดูเป็นผู้วิเศษ

    (เพราะที่หลอก มันแหย่ว่า ตนไม่ใช่คนธรรมดาอยู่ร่วม

    กับคนอื่นๆไม่ได้. ประมาณว่าไอ้ที่แหย่ มันแอบขำฟันร่วงอยู่)

    กลายเป็นบุคคลที่พยายามบอกให้ชาวโลกรู้ว่า ตนมีพลังพิเศษ

    กลายเป็นคน ที่ติดในเรื่อง การอยากได้รับการยอมรับ

    ทางสังคม หรือพูดง่ายๆว่า ยึดติดการได้รับการสรรเสริญ


    หนักไปหนักมา ทำโน้นทำนี้ หารายได้เพื่อตนเองเป็นหลัก

    กลายเป็นติดในลาภเพื่อมาสนองกิเลส

    ในทางด้านความสุขทางกายของตน

    กลายเป็นติดสุข และหนักไปหนักมา มีหน้าม้า

    มีบ้านหลังโต มีรถโก้หรู เพื่อให้ดูมีบารมี กลายเป็น

    คนเจ้ายศเจ้าอย่าง..ติดในยศ

    รวมเรียกว่า กลายเป็น ยึดทั้งลาภ ยศ สุข สรรเสริญ

    อย่างไม่รู้ตัวเอง


    เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่า ถ้ามีแต่ดวงจิต

    มันสร้างบุญ สร้างบารมีเองไม่ได้

    เพราะพอไม่มีกายเนื้อแล้ว เคยมีแค่ไหนก็แค่นั้นครับ


    ปล.ถ้าสังเกตุดู เริ่มต้นเหมือนไม่มีอะไรและ

    คล้ายๆว่าจะดูดี และเข้าถึงได้ง่ายๆในตอนเริ่มต้น

    แต่ท้ายสุด มันจะสร้างให้ดวงจิตนั้นๆ

    เรียกว่า ยึดแทบทุกอย่าง ที่ศาสนาพุทธ

    เราสอน ให้ค่อยๆละ ค่อยๆวาง และไม่ยึดติดทั้งนั้นหละครับ


    เล่าให้ฟังเฉยๆ...ถ้าเข้าใจได้บ้าง จะได้ไม่เผลอ

    ออกนอกทางไปไกล ถ้าสะกิดใจได้ ก็รีบกลับมา

    เข้าสู่เส้นทางซะ ทุกคนมันไม่มีใครดีทั้งหมด

    และมีใครเลวทั้งหมดหรอก เพราะทั้งดีและไม่ดี

    มันก็เป็นเพียงกระบวนการอุปโลกน์ทางโลกอย่างหนึ่ง

    ที่เมื่อจะไปถึงปลายทาง มันก็ทิ้งด้วยกันทั้งหมด

    เพียงแต่ว่า ถ้ารู้ว่าอะไรดีไม่ดีแล้ว

    ก็ปรับปรุงซะ แก้ไขที่ตัวเราเองนี่หละ

    แล้วก็อย่าไปยึดมั่นถือมัน และก็รู้จักปล่อยวางมันซะครับ

    จบ....
     
  5. Mdef

    Mdef เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2017
    โพสต์:
    1,366
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,868
    เรื่องการพูด เกทับ ผมเคยอยู่นะครับ แบบไม่รู้ตัวด้วยว่ากำลัง เกทับ อยู่
    เป็นการ เกทับ ภายในใจ แล้วไม่ใช่ เกทับ กับฆราวาสด้วย แต่ดันไป เกทับ ในใจกับพระธุดงค์
    โดยที่ผมนั้นคิดภายในใจ เพราะความสำคัญตนผิดว่ามีสัมภาระน้อยกว่าท่าน

    เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนนั้นผมกำลังขับรถอยู่ที่จังหวัดหนึ่ง ระหว่างทางผมเห็นพระธุดงค์
    กำลังเดินอยู่ข้างทาง ผมนี้มีภาระน้อยกว่าท่านเพราะเราขับรถหนิไม่ได้เหนื่อยอะไรมาก
    ทางร่างกาย การที่เราจะแวะรับท่านเพื่อเบาสัมภาระที่พระธุดงค์ท่านกำลังแบกเดินอยู่
    น่าจะเป็นบุญกุศลแก่เราหละคราวนี้ ก็เลยจอดลดข้างหน้าทางที่ท่านจะเดินผ่านเลย

    ผม - หลวงพี่จะไปไหนครับ เดี๋ยวผมจะไปส่ง

    พระธุดงค์ - หลวงพี่จะเดินไปทางข้างหน้านี้หละ แล้วเดี๋ยวจะแวะปักกลดในป่าข้างหน้าเอา

    ผม - ผมก็ไปทางข้างหน้านี้เหมือนกัน ขึ้นรถมาเลยครับ

    พระธุดงค์ - ไม่เป็นไรทางข้างหน้านี้เองเดี๋ยวก็ถึง แต่ช้วยเอานี้ไปแทนละกันระหว่างหลวงพี่
    เดินมา มีญาติโยมเอาของมาถวายแบกน้ำมาหนักเลย ช้วยเอาน้ำนี้ไปละกันนะ

    ผม - ก็รับน้ำมา ได้น้ำเปล่ากับสปอนเซอร์

    หากนำมาพิจารณา ในคำสอนของหลวงพี่องค์นี้ บ้านหลวงพี่นี้มีแค่กลดอยู่หนึ่งอัน
    หากมองเผินๆแบบคนไม่รู้จัก พุทธศาสนา ก็คงนึกว่าถือร่มมากันฝนละมั้งนะ
    ในขณะที่ผมนี้มีบ้านติดพ่วงอยู่ในใจที่เป็นของหนักแม้แต่จะแบกขึ้นรถมาก็ทำไม่ได้
    ในขณะที่หลวงพี่องค์นี้นี่เป็นผู้มีปัญญา แม้แต่น้ำที่ได้มาระหว่างทางก็เลือกที่จะ เสียสละ
    เพราะมองเห็นว่าเป็น ภาระ ที่ทำให้หนัก

    อันนี้มันเป็นลักษณะ ของคนเขลาเบาปัญญา ที่สำคัญตนผิด ว่าการที่มีภาระทางร่างกายน้อย
    จะสามารถเบาแรงผู้ที่มีภาระทางร่างกายมากได้ ซึ่งมันเป็นการมองอยู่แค่เปลือก
    แม้ตัวผมเองนั้นแบกมาทั้งเปลือกทั้งกระพี้อยู่แต่ก็ยังไม่รู้ตัว

    แล้วยัง เสร่อ มีหน้ามาคิดในใจได้อีกว่า
    เราเป็นผู้มีสัมภาระน้อยกว่าท่านคงจะช้วยแบกภาระท่านได้

    ในขณะที่ผู้มีปัญญา จะไม่ได้มองภาระอยู่แต่เพียงแค่ว่า ร่างกายเรานั้นถืออะไรอยู่เพียงแค่นั้น
    แต่จะมองถึงสัมภาระที่ติดพ่วงมากับใจด้วย ว่ามีอะไรติดพ่วงมา เพื่อลดสัมภาระนั้นๆ
    เพื่อทำของหนักให้กลายเป็นของเบา ไม่ใช่การทำของหนักให้หนักยิ่งๆขึ้นไปอีก
     
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ต้องพิจารณาจาก พระพุทธองค์ จึงจะชัดเจน

    พระพุทธองค์ทรงจาริกบิณฑบาตร เพื่อประกอบ
    สัมมาอาชีพ

    คนข่มพระพุทธองค์ด้วย ทรัพย์ หน้าที่ อิทธฤทธิ์
    สารพัด แล้วพระพุทธทรงตอบโต้ ด้วยอะไร

    ทำฤทธ์ให้ดู เพื่อพิสูจน์จิตที่สิ้นกิเลส มีไหม

    หลีกหนีไปจากนิคมนั้น ไปหาที่เขาพร้อมเปน
    พยาน กราบกรานยอมรับ สัททาไหม

    .....
    .....

    พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ ถ้าจะต้อง
    ตาย เพราะชาวบ้านเขาข่ม ก่น บริภาท ก้ไม่
    ต้องย้ายไปที่อื่น ให้ตาย ณ ชนบทนั้นๆ นั่นแหละ

    ทั้งนี้ทั้งนั้น

    พระพุทธองค์ ทรงต้องการเปิดโอกาส ให้คน
    ได้ปล่อยจิต กล้าที่จะออกหน้าทำกุสล ไม่สิ้น
    สัททาในมนุษย์แม้นเปนเพียง ภิกขาจาร(ผู้เร่ร่อนขออาหาร)

    เมื่อผู้ใดปล่อยจิต กล้าพอที่จะ ทำกริยาบุญวัตถุ
    ที่ถูกต้องเพียงเล็กน้อย คนๆนั้นจะ รู้คุณค่าใน
    การ สดับธรรม ด้วยถ้อยคำธรรมดาๆ และเกิด
    อนุสาสนียปาฏิหารย์ ขึ้น

    ซึ่งมันจะจบ ตอบโจทย์ได้ว่า

    ทำไมการ เร่ร่อนขออาหาร ไร้บ้านเรือน สินทรัพย์

    จึงเปน สัมมาอาชีพ ที่ไม่เดือดร้อน
    เพราะการสะดุ้ง(จิตเคลื่อนเสวยอารมณ์)
    ภายหลัง

    ปล. งานฆารวาส หากมองในมุม เปนผู้ขออาหาร
    โดยทำหน้าที่อันปราศจากกิเลส ก้จะเหนได้ว่า
    ไม่ต่างจาก พระที่ขออาหารแล้วแสดงธรรม
    เทศนาตอบแทน ผู้ใหทาน หรือผู้ให้ค่าจ้าง
    เงินเดือน จะพึงใจใน ศีล ในปัญญา ในการ
    ละวางประโยชน์ตัว เอาประโยชน์ส่วนรวมนำหน้า

    แม้นในแง่ เปนผู้ประกอบการ ก้สามารถมุ่งเอา
    อรรถประโยชย์ส่วนรวม สรรสร้างสินค้าที่ตอบ
    โจทย์ แล้ววางจิตเปนผู้ขอให้คนมาอุดหนุน เท่า
    นี้ก้จะมี โคจรและวัตร ไม่ต่างจาก ภิกขาจาร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2017
  7. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ปล.2

    อย่าลืมว่า พระพุทธองค์ เปนเจ้าของบริษัท
    เปนผู้กำหนดสีล และเปนผู้ยกเลิกสีล ซึ่ง
    หมายถึง เหนือสีล

    การย้อนแย้ง อ้างพระสูตรเกี่ยวกับการใช้ฤทธ์
    เพื่อ ยกความสามารถตนเทียบ หรือการอ้างเพศ
    จะเปนเรื่อง ที่ต้องพิจารณาเอาเองว่า จะยกอ้าง
    เข้าเทียบจริงหรือ?

    การแก้ต่างการจาบจ้วงคำสอน พระพุทธองค์
    ตรัสชัดว่าให้ใช้ วาจา แสดงการปฏิเสธ และ
    ให้อธิบายไปตามคำสอนของพระพุทธองค์ ไม่มี
    การขอให้ใช้ฤทธ์เข้าช่วยแต่อย่างใด กล่าวไป
    แล้ว คนที่เสวนาเพือหาทางออกจากสังสารวัฏ
    เขาจะพึงรับทราบการกล่าวแก้ได้ ส่วนการ
    เสวนาด้วยเหตุอื่น อันนั้นยังไงก้สุดวิสัย
    พระพุทธยังทรงตรัสว่าพระองค์ก้ช่วยไม่ได้
    สอนไม่ได้ แล้วใครจะยกตนเทียบ จริงหรือ?
     
  8. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    มองธรรมควรมองให้ครบสองด้าน คือ ด้านรูปธรรมกับนามธรรม

    คำพูดที่ว่า ปล่อยวางก็ดี ไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็ดี ต้องเกิดจากปัญญาที่รู้เห็นสัจธรรมระดับหนึ่ง เขาจึงปล่อยวางที่พอดีเป็นกลาง ไม่เช่นนั้นแล้ว ความคิดดิบๆว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น, ปล่อยวาง จะออกแนวๆไม่เอาอะไรเลยนี้ :)

    images?q=tbn:ANd9GcT3dcm_ieouHvxoD_e1vsUd0lPpyRI5Z5ldkxMm6oR3AfNe0Xz4Fw.jpg

    ทรัพย์สินเงินทอง ก็สำคัญอยู่ตัวของมันเอง (ที่มนุษย์ให้ค่าต่อมัน) แต่ทางธรรมมองในฐานะเป็นปัจจัย (ปัจจัย ๔) มีเพื่อใช้มันทำนั่นทำนี่ได้สะดวกขึ้นง่ายขึ้น ตัวอย่าง เช่น เราจะสร้างวิหารลานเจดีย์ เป็นต้น ก็สะดวก ขาดเงินก็ต้องลงแรง ก็ยากลำบากหรือทำไม่ได้เลย

    ท่านทั้งหลายจะวางใจต่อกระแสโลกอย่างไร ที่นับถือคนที่เปลือกนอก

    ก็มองให้เห็นว่าเป็นเรื่องของยุคสมัย
    สมัยใดที่มนุษย์ให้ค่าทางวัตถุมากกว่าจิตใจ เขาก็นับถือคนที่มีวัตถุมาก สมัยใดมนุษย์ให้ค่าทางจิตใจมากกว่าวัตถุ เขาก็นับถือคนที่มีคุณธรรมมีกรรมดี
     
  9. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ที่นี้ มาดูแนวคิดของพระพุทธศาสนาสักเล็กน้อย


    ในการจำแนกผู้ครองเรือนหรือชาวบ้าน (กามโภคี) เป็น ๑๐ ประเภท พระพุทธเจ้าทรงแสดงผู้ครองเรือนประเภทที่ ๑๐ ว่าเป็นผู้ครองเรือนที่ประเสริฐเลิศสูงสุด จากคุณสมบัติของผู้ครองเรือนอย่างเลิศนั้น จะเห็นหลักการปฏิบัติเกี่ยวกับทรัพย์ ที่ถูกต้องตามหลักธรรม สรุปได้ดังนี้ (องฺ.ทสก.24/91/194)

    ๑) การหา แสวงหาทรัพย์โดยชอบธรรม ไม่ข่มเหงเบียดเบียน

    ๒) การใช้ (ขั้นนี้มีการวางแผน ซึ่งถือว่ารวมทั้งการเก็บรักษา และการเป็นอยู่พอดีไว้ด้วยในตัว)
    ก. เลี้ยงตน (และคนที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ) ให้เป็นสุข
    ข. เผื่อแผ่แบ่งปัน
    ค. ใช้ทรัพย์ทำสิ่งดีงามเป็นประโยชน์เป็นบุญ (รวมทั้งใช้เผยแผ่ส่งเสริมธรรม)

    ๓. การมีปัญญาที่ทำให้เป็นอิสระ ไม่ลุ่มหลงหมกมุ่นมัวเมา กินใช้ทรัพย์อย่างรู้เท่าทันเห็นคุณโทษ มีจิตใจเป็นอิสระด้วยนิสสรณปัญญาและอาศัยทรัพย์ได้โอกาสที่จะพัฒนาจิตปัญญายิ่งๆขึ้นไป

    ขอยกพุทธพจน์ที่ตรัสสอนในเรื่องการปฏิบัติเกี่ยวกับทรัพย์มาดูเป็นตัวอย่าง

    ภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก สามจำพวกไหน ? คือคนตาบอด คนตาเดียว คนสองตา

    บุคคลตาบอด เป็นไฉน ?
    บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่มีดวงตาชนิดที่ช่วยให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้เพิ่มพูน กับทั้งไม่มีดวงตาชนิดที่จะช่วยให้รู้จักธรรม ที่เป็นกุศล เป็นอกุศล...ธรรมมีโทษ...ไม่มีโทษ... ธรรมทราม ธรรมประณีต...ธรรมที่เปรียบได้กับของดำ หรือของขาว นี้เรียกว่า บุคคลตาบอด

    บุคคลตาเดียว เป็นไฉน ?
    บุคคลบางคนในโลกนี้ มีดวงตาชนิดที่ช่วยให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้เพิ่มพูน แต่ไม่มีดวงตาชนิดที่จะช่วยให้รู้จักธรรม ที่เป็นกุศล เป็นอกุศล...ธรรมมีโทษ...ไม่มีโทษ... ธรรมทราม ธรรมประณีต...ธรรมที่เปรียบได้กับของดำ หรือของขาว นี้เรียกว่า บุคคลตาเดียว

    บุคคลสองตา เป็นไฉน ?
    บุคคลบางคนในโลกนี้ มีดวงตาชนิดที่ช่วยให้ได้โภคทรัพย์ที่ยังไม่ได้ หรือทำโภคทรัพย์ที่ได้แล้วให้เพิ่มพูน อีกทั้งมีดวงตาชนิดที่ช่วยให้รู้จักธรรม ที่เป็นกุศล เป็นอกุศล...ธรรมมีโทษ...ไม่มีโทษ... ธรรมทราม ธรรมประณีต...ธรรมที่เปรียบได้กับของดำ หรือของขาว นี้เรียกว่าบุคคลสองตา

    คนตาบอด ตาเสีย มีแต่กาลีเคราะห์ร้ายทั้งสองทาง คือโภคทรัพย์อย่างที่ว่าก็ไม่มี คุณความดี ก็ไม่ทำ

    “อีกคนหนึ่ง ที่เรียกว่าตาเดียว เที่ยวเสวงหาแต่ทรัพย์ถูกธรรมก็เอา ผิดธรรมก็เอา ไม่ว่าจะเป็นการลักขโมยคดโกง หรือโกหกหลอกลวงก็ได้ เขาเป็นคนเสวยกามที่ฉลาดสะสมทรัพย์ แต่จากนี้ ไปนรก คนตาเดียวย่อมเดือดร้อน

    “ส่วนคนที่เรียกว่าสองตา เป็นคนประเสริฐ ย่อมแบ่งปันทรัพย์ ซึ่งได้มาด้วยความขยัน จากกองโภคะที่ได้มาโดยชอบธรรม ออกเผือแผ่ มีความคิดสูง ประเสริฐ มีจิตใจแน่วแน่ ย่อมเข้าถึงสถานะดีงาม ที่ไปแล้วไม่เศร้าโศก

    “พึงหลีกเว้นคนตาบอดและคนตาเดียวเสียให้ไกล ควรคบหาแต่คนสองตา ผู้ประเสริฐ”
    (องฺ.ติก.20/468/162)
     
  10. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ถ้าท่านทั้งหลายมีความสามารถทางธรรม เช่น มีอภิญญาช่วยคนได้

    ใครช่วยตอบชัดๆทีได้ไหม ถ้าสำเร็จอภิญญาแล้วจะใช้อภิญญาแบบไหนช่วยคนยังไง
     
  11. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เช่น มีหูทิพย์ตาทิพย์ช่วยตามหาคนหายของหาย หรือสื่อสารกับภพภูมิต่างๆได้ ช่วยเจรจากับเจ้ากรรมนายเวรของคนอื่น หรือใช้วิชชาในการรักษาโรคให้ผู้ป่วย ...อันนี้เท่าที่เคยได้ยิน
     
  12. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494

    อ้อ มันเป็นยังงี้นี่เอง

    นึกได้ เพิ่งมีข่าวไปเมื่อนี่เอง เข้าเกณฑ์อภิญญาไหม ตามข่าวว่า ลูกเจ้าของบ้านป่วย แล้วไปหาคนทรงดูให้ เขาสั่นๆบอกว่าใต้ถุนบ้านเอ็ง มีไม้ตะเคียนกับพญานาค เอ็งจงรื้อบ้านแล้วขุดดูเถอะจะพบสิ่งที่ว่านี้ สั่นๆๆ

    เจ้าของบ้านเชื่อ จึงจ้างรถแมคโฮทุบบ้านแล้วขุดดูขุดเกือบถึงบาดาล :D ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาขอนไม้กับพญานาค

    ทำไงดีทีนี้ บ้านก็รื้อไปแล้ว จะปลูกใหม่เงินก็หมด ร้องไห้

    คนทรงก็ติดไม่ได้ใช้อภิญญาดำดินหนีไปแล้ว
     
  13. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ปัญญามาจากสติชอบจะมองเห็นและพิจารณาได้แม้ไม่มีฤทธิ์ก็เหมือนมีฤทธิิ์เพราะมีปัญญาที่มาจากสติที่ชอบหรือธรรมสติจะไม่ตกอยู่ท่ามกลางความเป็นทุกข์ที่เกิดจากอวิชชาหรือความไม่รู้จึงต้องพิจารณาและมองหลากหลายด้านไม่ใช่มองเพียงด้านเดียว
     
  14. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ท่าถึงขั้นตัดสังโยชได้แล้ว จะไปสนใจอาไรกับคำพูดคนครับ ท่าเค้าได้ดีก้ยินดีกับเค้าไปสิครับมุทิตาจิต
     
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ถ้าตัดสังโยชน์ได้แล่ว จะต้องไปใส่ใจ คพพูด
    เพื่อการสื่อสาร บัญญัติว่า เหลืออะไร อะไร
    ไม่ใช่ขันธ์ ทำไมหละคัฟ

    ถ้าเขาได้อะไร เม้มปาก แล้วนั่งลง ทำได้
    ไหมฮัฟ หรือ จะเอาอาการ เปนสาวก จิต(อรหันตสาวก จะเหลือ มนะจิต หนึ่งตัว)
    มันเคลื่อน ก้เลย เข้าไปบัญญัติ
    สิ่งที่ศาสดาไม่ได้ บัญญัติ หนาเฮียสันติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กันยายน 2017
  16. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    เฮียสันติครับ นี่คือใครครับ
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ต้องนั่ง สายสีม่วง ต่อจาก สายสีน้ำเงิน ไปสองป้าย มั้ง

    เฮียสันติ นี่ใคร !?

    งูๆปลาๆ ไป จิฮับ ทีอย่างเนี่ยะ อยากจะ รู้ชัดขึ้นมา
     
  18. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ขออภัยครับ เห็นข้อความส่วนอื่นเป็นบรรยายธรรมพอมาจบตรงนั้นก้เลยงง
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    มาเสวนาเอา ธรรมะ ก็ หาตะแกรงมาร่อน ไปหน่าฮับ

    ถ้าไม่ได้ พกตะแกรงมาด้วย ระวังจะกลายเป็น สมาชิกชื่อ กลักไม่ขีด

    ภาวนาแทบตาย เข้ามา กว้านขยะ ไปทำร้าย จิต

    รู้ งูๆปลาๆ รู้ซื่อๆ รู้อย่างไม่ต้องบัญญัติ มีประโยชน์กว่า

    ชนอวิชชาเต็มๆ ให้กำหนดรู้
     

แชร์หน้านี้

Loading...