เรื่องเด่น สมาธิบำบัด - การสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย โดย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 16 พฤษภาคม 2016.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    %BE%C3%D0%CD%D2%A8%D2%C3%C2%EC%C3%D1%B5%B9%EC%20%C3%B5%B9%AD%D2%E2%B3%203.jpg
    51086965_2165834350141678_2485624361629777920_n-e1549108476874.jpg
    การสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย
    โดย พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ


    หลักการ

    พลังงานกระแสลมปราณ หรือ “พลังแห่งชีวิต” เป็นพลังงานที่สำคัญและมีประโยชน์มากที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน เป็นของขวัญที่ธรรมชาติให้มาโดยไม่ต้องซื้อหา เพื่อเป็นภูมิต้านทานของร่างกาย ในสุริยจักรวาลของเรา ดวงอาทิตย์คือแหล่งกำเนิดของพลังงานกระแสลมปราณ ดังนั้น การที่โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์จึงทำให้โลกได้รับพลังงานนี้โดยอัตโนมัติ แต่ในภาวะวิกฤติของธรรมชาติในปัจจุบันนี้ ทำให้ชั้นบรรยากาศหนาแน่นเต็มไปด้วยมลภาวะ จึงส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ คือ พลังงานกระแสลมปราณไม่สามารถไหลเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ได้ดังแต่ก่อน ภูมิต้านทานของร่างกายจึงลดลงทำให้สุขภาพถดถอยลงไปตามลำดับเช่นกัน

    ประกอบกับภาวะ การเกิดโอโซนโหว่ การเกิดพายะสุริยะ เปิดโอกาสให้เชื้อโรคแปลกใหม่หลายชนิดทั้งเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรียที่มี แหล่งอาศัยอยู่ในอวกาศ หรือ บรรยากาศที่อยู่สูงและมีความเย็นจัด ได้มีโอกาสไหลเข้าสู่ชั้นบรรยากาศโลก โดยอาศัยช่วงเวลาที่เกิดพายุสุริยะหอบพัดพาของเสีย ได้แก่เชื้อโรคชนิดใหม่ และสิ่งมีชีวิตที่เล็กมากจากอวกาศเข้ามาสู่ชั้นบรรยากาศโลก ตามลักษณะของแรงดึงดูดที่มีอยู่ระหว่างดวงอาทิตย์และโลก

    นับตั้งแต่ประมาณเดือน ธันวาคม 2544 จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ได้มีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายสะเก็ดดาวได้เคลื่อนตัวเข้าสู่ ชั้นบรรยากาศโลกในเวลาประมาณหลังเที่ยงคืน (อ่านสาร CFC, การเกิดพายุสุริยะใน “กฎแห่งกรรม”) และได้เข้าไปอาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นจุดบกพร่องของร่างกาย ถ้าสะเก็ดดาวมีอยู่มากที่ส่วนใด ส่วนนั้นๆ จะมีความร้อนสูง และจะทำลายเซลล์ได้เต็มที่เมื่อภูมิต้านทานของร่างกายลดลง (สะเก็ดดาว จะสัมผัสได้ด้วยการหลับตานอกลืมตาในและกวาดความรู้สึกมองไปทั่วตัวไม่ใช่การ มองเห็นด้วยนัยน์ตา)

    ดังนั้น สิ่งที่จำเป็นมากที่สุดในขณะนี้ คือ แต่ละบุคคลควรจะรู้จักทางเลือกอีกวิธีหนึ่งในการสร้างภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย คือ

    (ก) การสร้างกระโจมพีระมิด หรือสนามพลังพีระมิดภายในบ้าน

    (ข) การกระตุ้นจุดลมปราณ และการกระตุ้นเซลล์

    (ค) การเดินกระแสลมปราณผ่านจุด 12 จุด



    (ก) การสร้างกระโจมพีระมิด



    การ สร้างกระโจมพีระมิด หรือสนามพลังพีระมิดภายในบ้าน อ่านรายละเอียดวิธีสร้างได้จาก “การจัดเตรียมสถานที่ฝึกปฏิบัติ” ซึ่งจะให้ประโยชน์ 2 อย่าง คือ ใช้เป็นอุปกรณ์เสริมช่วยในการฝึกสมาธิและฝึกการใช้พลังจิตช่วยรักษาโรคและ สร้างภูมิต้านทานด้วยตนเอง ใช้เป็นอุปกรณ์เสริมเพื่อช่วยในการหายใจ อ่านรายละเอียด “พลังพีระมิด”

    เมื่อสนามพลังพีระมิดหรือกระโจมพีระมิด ได้จัดวางขึ้นเรียบร้อยแล้ว โดยการประกอบพีระมิด 3 ก้อนใหญ่ ขึ้นเป็นแกนพลังงานและวางพีระมิดอีก 8 ก้อน ไว้ตามทิศต่างๆ ทั้ง 8 ทิศ แรงดึงดูดระหว่างก้อนพีระมิดทั้ง 8 ทิศกับแกนพลังงาน จะทำให้เกิดแรงโยก หรือการหมุนเหวี่ยงจากพีระมิดใน 8 ทิศ หมุนเข้าหาแกนพลังงานอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้อากาศภายในห้อง หรือบ้านเกิดการถ่ายเทระบายหมุนเวียน พลังงานกระแสลมปราณจึงไหลเข้าแทนที่อากาศเสียที่ระบายออกไป บุคคลที่อยู่ในห้องหรือบ้านนั้นจึงหายใจได้สะดวก คือหายใจได้ลึกทั่วท้อง ได้รับพลังงานกระแสลมปราณ ที่เป็นเสมือนภูมิต้านทานร่างกายอย่างสม่ำเสมอส่งผลให้มีสุขภาพสมบูรณ์เต็ม ที่

    อนึ่งในอนาคต การสร้างกระโจมพีระมิด อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงวิธีของการจัดแกนพลังงานโดยเพิ่มจำนวนพีระมิดของ แกนพลังงานจาก 3 ก้อน เป็น 4 หรือ 5 หรือ 6 ฯลฯ ตามความหนาแน่นที่เพิ่มขึ้นของชั้นบรรยากาศ



    (ข) การกระตุ้นจุดลมปราณ และการกระตุ้นเซลล์


    หลักการ

    ภายในร่างกายของมนุษย์ จะมีจุดหรือทางผ่านของกระแสลมปราณอยู่ด้วยกันทั้งหมด 6 คู่ หรือ 12 จุด จุดแต่ละคู่จะตั้งอยู่ลึกเข้าไปใต้ผิวหนัง และทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะภายในร่างกายแตกต่างกัน ดังนั้นถ้าจุดแต่ละคู่อุดตันหรือบกพร่องจะเป็นสาเหตุทำให้กระแสลมปราณ ซึ่งเป็นพลังงานแห่งชีวิตไม่สามารถไหลเข้าสู่ร่างกายพร้อมกับการสูดลมหายใจ เข้าและไหลผ่านจุดทั้ง 12 จุดได้ตามปกติ จะเป็นสาเหตุหนึ่งของความผิดปกติภายในร่างกาย มนุษย์เราทุกคนมี “พลังจิต” ซึ่งเป็นเสมือนอุปกรณ์ที่วิเศษสุดนำมาใช้เพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ หรืออุดตัน เต็มไปด้วยสารตกค้างให้คืนสภาพเป็นปกติดังเดิมได้

    พระอาจารย์รัตน์ รตนญาโณ ได้ประยุกต์วิธี “การเจริญสติให้เห็นการเกิด-ดับเป็นปัจจุบันขณะ” ซึ่งเป็นอุบายหลักของการเจริญวิปัสสนาที่สอนให้แต่ละบุคคลมีสติรู้เท่าทัน การกระทบที่อายตนะทั้ง 6 (ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ) เป็นปัจจุบันขณะ เป็นอาการเกิด-ดับ-ตึ๊บ-ตึ๊บ ทุก 1 วินาที (ตัวสันตติ) สามารถดับได้ตรงเหตุ ไม่เกิดเป็นอารมณ์เก็บไว้ และเนื่องจาก “โดยธรรมชาติสรรพสัตว์สิ่งจะถูกดึงดูดเข้าและผลักออกจากศูนย์กลางของแรงดึง เท่ากับเวลาของโลก 1 วินาที” ดังนั้นจังหวะ 1 วินาที จึงถูกนำมาใช้เป็นอุบาย เพื่อการกระตุ้นฟื้นฟูเซลล์ เพราะเมื่อของสองสิ่งคือ พลังจิต และจุดบกพร่องของร่างกาย หรือจุดลมปราณได้มีการกระทบหรือชนเป็นจังหวะๆ ๆ จะทำให้เกิดพลังงานและความร้อนขึ้น เป็นผลทำให้เซลล์ที่บกพร่องได้รับการฟื้นฟูดีขั้นตามลำดับ


    ฐานที่ตั้งและหน้าที่ของจุดลมปราณทั้ง 6 คู่

    ฐานที่ตั้งของจุดลมปราณแต่ละคู่ภายในร่างกายมีรายละเอียดและรูปภาพประกอบดังนี้

    [​IMG]
    [​IMG]

    1. จุดคู่ที่ 1 เป็นจุดตรงข้างจมูก 2 ข้าง ทำหน้าที่ควบคุมอารมณ์ช่วยให้คลายเครียด รักษาอาการโรคนอนไม่หลับ เพราะเป็นทางผ่านของลมหายใจเข้าซึ่งทำให้เกิดความนึก คืออนาคต และลมหายใจออกซึ่งทำให้เกิดความคิด คือ อดีต

    2. จุดคู่ที่ 2 เป็นจุดตรงราวนม 2 ข้าง เรียกว่า ฐานใจ เป็นที่ตั้งของหัวใจ และปอด ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของหัวใจ และปอด ซึ่งเป็นอวัยวะหลักของร่างกาย

    3. จุดคู่ที่ 3 เป็นจุดตรงข้างสะดือ 2 ข้าง เรียกว่า ฐานกาย ทำหน้าที่เสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย

    4. จุดคู่ที่ 4 เป็นจุดตรงสะบักเอว 2 ข้าง ควบคุมการทำงานของไต และขาทั้ง 2 ข้าง

    5. จุดคู่ที่ 5 เป็นจุดตรงสะบักไหล่ 2 ข้าง ควบคุมการทำงานของแขน และมือทั้ง 2 ข้าง รวมทั้งควบคุมการสั่งงานของประสาทให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่ซึมเศร้า หรือง่วงเหงาหาวนอนและเป็นจุดคู่สำคัญที่ใช้เพื่อแก้ไขเมื่อถูกคุรไสยหรือ การเป็นร่างทรง

    6. จุดคู่ที่ 6 เป็นจุดตรงโหนกศีรษะ 2 ข้าง ควบคุมการทรงตัวของร่างกาย


    วิธีปฏิบัติ

    การกระตุ้นเซลล์สามารถทำได้ที่ฐานของจุดลมปราณทั้ง 6 คู่ ตลอดจนอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่มีความบกพร่องกำลังเจ็บปวด เช่น ที่ตับ ปอด มดลูก ศีรษะ ฯลฯ ดังนั้น ผู้ฝึก ผู้ป่วย ต้องเลือกจุดลมปราณคู่ใดคู่หนึ่ง หรือส่วนที่เจ็บปวด มาใช้เป็นตัวอย่างทดลองฝึกจริง

    1. ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย เริ่มต้นการฝึกโดยการคลายอารมณ์ก่อน

    2. ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย นึกความรู้สึกคือจิต (การรวบรวมความรู้สึกทั้งหมด) ส่งไปให้ถึงหรือกระทบหรือชนยังจุดที่ต้องการ ถ้าเป็นลมปราณ ซึ่งมีอยู่ 2 ข้าง ผู้ฝึก ผู้ป่วย ต้องแบ่งความรู้สึก (จิต) ออกเป็น 2 ข้างเท่าๆ กัน และส่งความรู้สึกไปให้ถึงเป้าหมายพร้อมกันทีเดียวทั้ง 2 ข้าง เป็นจังหวะๆๆ ประมาณ 1 วินาที

    3. เมื่อส่งความรู้สึก (จิต) เข้าไปชน หรือกระทบจุดที่ต้องการได้ 1 ครั้ง ให้นับ 1 แล้วถอนความรู้สึก (จิต) ออกมา , ส่งความรู้สึก (จิต) เข้าไปชน หรือกระทบอีกครั้งนับ 2 และถอนความรู้สึกออกมาทุกครั้ง ทุกจังหวะที่ความรู้สึก (จิต) เข้าไปกระทบยังจุดที่ต้องการให้นับตัวเลขด้วย จนกว่าจะคล่อง หรือมีความชำนาญแล้วจึงเลิกนับเพราะอุบายของการนับ 1-2-3-4-5-100 มีไว้เพื่อผูกหรือกำหนดความรู้สึก (จิต) ให้จดจ่ออยู่กับการทำงานคือ กระตุ้นฟื้นฟูเซลล์

    4. การส่งความรู้สึก (จิต) เข้าไปชนเป็นเพียงการนึกเท่านั้น ไม่ใช่การสูดลมหายใจเข้า ส่งไปชนยังจุดที่ต้องการ ถ้าฝึกแล้วรู้สึกเหนื่อย แสดงว่าทำผิดวิธี เพราะนำจังหวะของการกระทบหรือการชน ไปสัมพันธ์กับลมหายใจเข้า

    5. เมื่อผู้ฝึก ผู้ป่วย ฝึกจนชำนาญดีแล้ว อาการของความรู้สึก (จิต)ที่ส่งเข้าไปชน แต่ละฐาน หรือแต่ละจุดจะเกิดขึ้นเป็นปกติซึ่งผู้ฝึกจะสัมผัสได้ถึงอาการ ตึ๊บ-ตึ๊บ-ตึ๊บ ที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติเป็นจังหวะๆๆ คล้ายชีพจรเต้น

    6. ผู้ฝึก ผู้ป่วย ควรให้เวลากับการฝึกการกระตุ้นเซลล์ที่บกพร่อง หรือกระตุ้นฐานจุดลมปราณแต่ละคู่ อย่างน้อย 20-30 นาที และควรจะฝึกกระตุ้นให้ครบทั้ง 6 คู่ จนกระทั่งจุดลมปราณทุกคู่โล่งโปร่ง ไม่อุดตัน ในขณะที่กำลังทำการฝึกอยู่นั้นร่างกายจะขับของเสีย เช่น น้ำมูก น้ำลาย เสมหะ ให้บ้วนทิ้งลงในถุงพลาสติกที่เตรียมไว้ หรืออาจจะขับออกมาเป็นเหงื่อ ปัสสาวะ อุจจาระ


    คุณประโยชน์

    1. ความรู้สึก (จิต) หรือพลังจิตที่ส่งออกไปกระทบที่จุดลมปราณทั้ง 6 คู่ จะเป็นการช่วยทำความสะอาดจุดลมปราณ ขับสารพิษ สารตกค้างออกมาได้ ทำให้อวัยวะสำคัญของร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บุคคลผู้นั้นจึงมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงผิวพรรณสดใส

    2. ความรู้สึก (จิต) หรือพลังจิตที่ส่งออกไปกระทบที่จะบกพร่อง มีความเจ็บปวด เช่น ตับ ปอด มดลูก ศีรษะ ฯลฯ จะเป็นการช่วยลดความเจ็บปวดที่มีอยู่ให้ลดน้อยจางคลายลงได้ เพราะทุกจังหวะ 1 วินาทีของการกระทบหรือการชน จะเป็นการทำลายความเจ็บปวดให้หมดไปทีละนิด และในขณะเดียวกันพลังจิตจะทำการฟื้นฟูเซลล์ให้ดีขึ้น ตามจังหวะของการกระทบหรือการชนที่เกิดขึ้น

    3. ผลพลอยได้ที่สำคัญ คือ ผู้ฝึก ผู้ป่วย จะเห็นความจริงว่าร่างกายที่เจ็บปวด ทรมาน เพราะโรคภัยเบียดเบียน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ บังคับไม่ได้ เพราะมนุษย์ตกอยู่ภายใต้การครอบงำของขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งไม่เที่ยง มีการเกิด-ดับๆ อยู่ตลอดเวลา และถ้าเมื่อใดที่อาการ เกิด-ดับ , เกิด-ดับ หรือ ตึ๊บ ตึ๊บๆๆ ได้เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติที่ฐานหรือจุดบกพร่อง จนกระทั่งอาการตึ๊บ ตึ๊บ นั้น เกิดแรงขึ้นและเร็วขึ้นๆ พร้อมทั้งแผ่กระจายออกไปทั่วตัวผู้ฝึกไม่ต้องตกใจกลัว ปล่อยให้อาการ ตึ๊บ ตึ๊บ เกิดเร็วขึ้น แรงขึ้น ไม่ต้าน เพราะ สิ่งนั้นคือ “ความมีสติเต็มรอบ” ปล่อยวางอาการตึ๊บ ตึ๊บ และยอมตาย ปล่อยให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นไปโดยอัตโนมัติ ผู้ฝึก ผู้ป่วยจะเข้าถึงสภาวะธรรม หรือความหลุดพ้นได้ในที่สุด ซึ่งผู้รู้ ก็รู้ได้เฉพาะตน

    สิ่งควรรู้ โรคบางโรคสามารถใช้วิธีกระตุ้นจุดลมปราณ เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพดีขึ้น (แต่ถ้าจะรักษาให้หาย ต้องใช้วิธีการอื่นๆ เพิ่มด้วย)

    1. โรคภูมิแพ้ แก้ไขได้โดยการกระตุ้นจุดลมปราณ 3 คู่ ด้านหน้า คือจุดคู่ที่ 1 ตั้งอยู่ 2 ข้างโพรงจมูก , จุดคู่ที่ 2 หัวใจและปอด , จุดคู่ที่ 3 จุด 2 ข้างของสะดือ

    2. โรคหัวใจ แก้ไขโดยการกระตุ้นจุดลมปราณคู่ที่ 2 หัวใจและปอด ถ้าเส้นเลือดหัวใจตีบหรือไขมันอุดตันให้กระตุ้นที่เส้นเลือดหรือจุดนั้นๆ จะเป็นการถ่างเส้นเลือด หรือใช้พลังจิตทำบอลลูน

    3. เอดส์ แก้ไขโดยการกระตุ้นจุดลมปราณคู่ที่ 3 จุด 2 ข้างของสะดือ เป็นการช่วยสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย ทำให้ทานอาหารได้มากขึ้น

    4. อัมพฤกษ์ อัมพาต แก้ไขโดยการกระตุ้นจุดลมปราณคู่ที่ 6 จุด 2 ข้างของโหนกศีรษะ ซึ่งเป็นศูนย์รวมของประสาทที่สำคัญควบคุมการทำงานของร่างกายจากสมองถึงปลาย เท้า




    (ค) การเดินกระแสลมปราณผ่านจุด 12 จุด


    หลักการ

    การกระตุ้นจุดลมปราณ 12 จุด ( 6 คู่ ) และการเดินกระแสลมปราณผ่านจุด 12 จุด เป็นวิธีฝึกปฏิบัติทีมีความต่อเนื่องกัน

    กระแสลมปราณ คือพลังของชีวิต เป็นพลังของสากลจักรวาลเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ ทุกชนิด เป็นพลังของความสดชื่นที่แทรกเข้ามาพร้อมๆ กับออกซิเจน ไนโตรเจน ฯลฯ ในทุกจังหวะของการสูดลมหายใจเข้า และในครั้งนี้ “พลังจิต” จะนำพลังกระแสลมปราณผ่านไปตามเส้นทางที่กำหนดไว้ 6 คู่ หรือ 12 จุด เพื่อความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย เป็นยาอายุวัฒนะ

    ผู้ฝึก ผู้ป่วย ควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนถึงตำแหน่งของจุดลมปราณแต่ละคู่ว่าตั้งอยู่ ณ ที่ใด และได้กระตุ้นจุดลมปราณทุกคู่ สะอาด ปราศจากสารตกค้างเรียบร้อยแล้ว


    วิธีปฏิบัติ

    1. ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย คลายอารมณ์สักระยะหนึ่ง

    2. ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย แบ่งความรู้สึก (จิต) ออกเป็น 2 ข้างเท่าๆ กัน และนึกส่งไปถึงจุด 2 ข้างโพรงจมูก พร้อมจังหวะการนับตัวเลขเท่ากับ 1 วินาที 1-2-3-4-5-100 ไม่ใส่เจตนา หรือเอาจริงเอาจังเกินไป ไม่เครียด หรือสงสัย ถ้าความรู้สึก (จิต) มีความฟุ้งซ่าน คิด-นึกไปถึงเรื่องอื่นๆ ให้ดึงความรู้สึกกลับมา นึกความรู้สึก (จิต) นับตัวเลขเข้าไปชนจุดที่ต้องการเป็นจังหวะๆๆ (ไม่ใช่การสูดลมหายใจเข้าไปชน)

    3. เมื่อทำไปได้สักระยะหนึ่งจะรู้สึกว่าจมูกโล่ง ให้เลื่อนความรู้สึก (จิต) ลงมาข้างล่าง คือจุดลมปราณคู่ที่ 2 ซึ่งเป็นที่ตั้งของหัวใจและปอด นึกความรู้สึกหายใจเข้าพร้อมทั้งนับตัวเลขเข้าไปชนเหมือนเดิม เป็นการทำความสะอาดและออกกำลังให้กับหัวใจและปอด เพื่อเปิดทางให้กระแสลมปราณที่ไหลเข้ามาทางจมูก (จุดลมปราณคู่ที่ 1) ไหลผ่านได้สะดวก

    4. เลื่อนความรู้สึก (จิต) มาที่จุดลมปราณคู่อื่นๆ ตามลำดับ คือจุดคู่ที่ 3 ตั้งอยู่ 2 ข้างของสะดือ ซึ่งเป็นที่เก็บของเสีย เช่น สารพิษ สารตกค้าง สารเคมีจากยา สารกันบูดเน่าจากอาหาร ฯลฯ เลื่อนความรู้สึก (จิต) มาที่จุดลมปราณคู่ที่ 4 ตั้งอยู่ 2 ข้างของสะบักเอว (ห่างจากกระดูกสันหลังไปทางซ้ายและขวาประมาณข้างละ 1 นิ้ว) , จุดที่ 5 ตั้งอยู่ 2 ข้างสะบักไหล่ และจุดคู่ที่ 6 ตั้งอยู่ 2 ข้างของโหนกศีรษะ (อ่านรายละเอียดใน “การกระตุ้นจุดลมปราณ และการกระตุ้นเซลล์”)

    5. เมื่อทำความสะอาดมาถึงจุดคู่สุดท้ายที่โหนกศีรษะแล้วนั้น หมายความว่า กระแสลมปราณได้ไหลผ่านจุดคู่ต่างๆ มาจนถึงคู่ที่ 1 ในโพรงจมูก ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย นึกความรู้สึก (จิต) มาตั้งอยู่ที่จุดลมปราณคู่ที่ 1 ในโพรงจมูกอีกครั้ง พร้อมทั้งส่งความรู้สึก (จิต) ไปเป็นคู่ให้ผ่านจุดลมปราณคู่ที่ 1 คู่ที่ 2 คู่ที่ 3 คู่ที่ 4 คู่ที่ 5 และคู่ที่ 6 ที่โหนกศีรษะตามลำดับ และวนกลับมาถึงจุดคู่ที่ 1 ในโพรงจมูก

    6. ความรู้สึก (จิต) ที่ส่งออกไปเป็นคู่ เปรียบเหมือนล้อเกวียนหมุนไปทั้ง 2 ข้าง ถ้าล้อเกวียนหมุนเบี้ยว หรือติดขัดแสดงว่าจุดลมปราณคู่นั้นๆ หรือจุดนั้นๆ ยังทำความสะอาดได้ไม่หมด ทำให้กระแสลมปราณไหลผ่านทะลุจุดไม่ได้ ผู้ฝึก ผู้ป่วย ต้องการกระตุ้นหรือนับตัวเลขเข้าไปชนจุดลมปราณคู่นั้นๆ ใหม่อีกครั้งจนสะอาด ล้อเกวียนจึงจะหมุนไปตามทางได้โดยสะดวก และนำกระแสลมปราณแจกจ่ายไปได้ครบทุกจุดทุกคู่

    7. ลำดับสุดท้าย ให้ผู้ฝึก ผู้ป่วย นึกความรู้สึก (จิต) มาอยู่ที่กึ่งกลางโพรงจมูก หรือฐานอารมณ์ เหมือนกับตัวเองนั่งอยู่บนเกวียนดูล้อเกวียนหมุนไปเรื่อยๆ เป็นการยกจิตอยู่เหนืออารมณ์ เหนือความเจ็บปวด ความนึก ความคิด


    คุณประโยชน์

    การฝึกวิธีนี้มีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษ และควรฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่องทุกวัน เป็นการเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย จึงทำให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง เลือดลมไหลเวียนสะดวก ผิวพรรณสดใส ชะลอความแก่ อายุยืนยาว


    สรุป

    แต่ละบุคคลล้วนมี “พลังจิต” ทำหน้าที่ผลิต “ยาอายุวัฒนะ” จาก “กระแสลมปราณ” ส่งป้อนให้โรงงานคือ “ร่างกาย” ได้ทุกวัน


    ที่มา:: http://www.geocities.com/healthmeditation/healthmeditation/health.html
     

แชร์หน้านี้

Loading...