สมาธิในบ้านทุกท่านทำได้จริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บดินทร์จ้า, 17 มิถุนายน 2008.

  1. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    จริงๆ ควรเพ่ง ไฟ จากที่มันกลมๆนะ จะจำง่าย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤษภาคม 2011
  2. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    ถ้าไม่กลมนี่ ทำให้จำยาก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • sun[1].jpg
      sun[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      100.9 KB
      เปิดดู:
      122
  3. ผู้ตามหา

    ผู้ตามหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2009
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +818
    อนุโมทนาครับ....ขอบุญกุศลนี้จงตกแก่ท่านผู้นำเสนอประสบการณ์ดี ๆ นี้ด้วยเถิด
     
  4. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    มาช่วยดันกะทู้ดีๆ

    เมื่อคืน นอนตะแคงเกือบคว่ำ นอนดูลมหายใจ แต่คราวนี้แปลก ร่างกายมันเคลื่อนไหวเหมือนคลื่น แต่เรานอนนิ่งน่ะ ไม่ได้ทำตัวไหวติง แต่รู้สึกว่ากายมันเคลื่อนเพราะลมเข้าลมออก พริ้ว ไปกับลม รู้สึกได้ถึงความพริ้ว เหมือน นั่งเรือโต้คลื่น เป็นจังหวะ เหมือนร่างกายมันเบายังไงไม่รู้ นอนดูลมจนหลับไปเลย


    วันก่อนโน้น ฝันว่า เหาะได้ เหาะขึ้นไปสูง เหาะแบบเร็วพุ่งขึ้น ปะทะลมเย็น ก็ยังคิดเราเหาะหรือนี่ เหาะเป็นแบบนี้เหรอ แล้ว เหาะไปข้างๆ ละ ทำไง ลองเบี่ยงตัวไปข้างๆ ก็ไป 5555 สนุกดี

    ตอนนี้มีอารมณ์แบบว่า ไม่เบื่อการทำสมาธิ ทำได้เรื่อยๆ นึกขึ้นได้ก็จับลม บางทีนิ่งๆ เฉยๆ จดจ่อบางสิ่งบางอย่างแบบลืมตา ปิติ ก็มาเยือน ปิติอย่างอ่อนคือ ขนหัวตั้ง มีตัวอะไรไต่ตามจมูก หน้าตา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2010
  5. ์NewEnergy

    ์NewEnergy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +49
    อนุโมทนาครับ หาอ่านได้ยากมากครับที่จะเขียนเป็นประสบการณ์แบบนี้ อ่านแล้วเข้าใจง่ายดี
    ขออนุโมทนาอีกครั้งครับ
     
  6. deedee55

    deedee55 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2009
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +173
    ควรคงกระทู้นี้ไว้ มีประโยชน์ต่อผู้ใฝ่ใจในการฝึกปฏิบัติมากๆๆค่ะ
     
  7. นายตถาตา

    นายตถาตา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มกราคม 2010
    โพสต์:
    830
    ค่าพลัง:
    +705
    สำเร็จแล้วมั้งครับหายไปเลย
     
  8. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ให้พิจารณาขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ )โดยใช้หลักปฎิจสมุปบาท ครับ พิจารณาให้เป็นไตรลักษณ์และกระบวรการเหตุปัจจัย เมื่อเหตุนี้มีผลนี้จึงมี แล้วจะเบื่อขันธ์ ๕ ครับ เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายความกำหนัด คลายความยินดี คลายความยึดติดในขันธ์๕ แล้วจะพบว่าไม่มีอะไรเลย ความว่างเปล่า(สุญญตา) ที่เป็นของเรา ตัวเรา เป็นเรา นั้นแหละคือที่สุดแห่งทุกข์ครับ
     
  9. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีเวลาเข้ามาเล่นครับ อาจจะเป็นกลางปีหน้า ไว้ว่างๆ จะมาสอนการพิจารณาปัญญาเพื่อเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธครับ ( ดับเวทนา ดับสัญญา)โดยใช้หลักปฎิจสมุปบาท
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2011
  10. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    สาธุ..สาธุ ... สงสัยเราเคยทำบุญร่วมกันมา ยังติดตามกะทู้ คุณบดินทร์อยู่ค่ะ

    กลับมาไว ไว น่ะค่ะ เพราะหาคนที่รู้จริงๆ ยากจังค่ะ
     
  11. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    สุนัขพูดได้

    ในเย็นวันหนึ่งนั้น ข้าพเจ้าได้นำข้าวมาให้สุนัข ที่อาเลี้ยงไว้ที่บ้านจำนวน ๓ ตัว ด้วยกัน เมื่อข้าพเจ้าปิดประตูรั้วที่หน้าบ้านก็ตรงไปที่ท้ายบ้าน ขี่มอเตอร์ไซน์ คันเขียวไปจอดไว้ท้ายบ้าน พอจอดรถเรียบร้อย

    ข้าพเจ้าก็พูดกับสุนัขว่า เป็นอย่างไรกันบ้าง หิวข้าวกันแล้วใช่ใหม รอเดี๋ยวนะ อีกนิดเดียวก็จะได้กินอยู่แล้ว ทันใดนั้นเมื่อข้าพเจ้าพูดจบ เจ้าสุนัขหนึ่งในสามตัว ก็ตอบออกมา เป็นภาษาคนว่า ออ หิวแล้วข้าพเจ้าก็เอะใจ หือ..สงสัยจะหูฝาดไปแล้วเรา จากนั้นข้าพเจ้าก็เฉยๆ และได้นำข้าวที่ห่อใส่ถุงมานำไปใส่ไว้<O:p

    ที่กระละมังของแต่ละตัว แล้วข้าพเจ้าก็เรียกว่ามาๆมากินข้าวกันเร็ว คงจะหิวแย่แล้ว พร้อมกับก้มลงเทข้าวใส่กระละมัง ทั้ง ๓ ในขณะที่ก้มเทข้าวใสกระละมังที่๓ นั้น เจ้าสุนัขตัวเดิม อีก ก็ตอบว่า ออ หิวแล้วข้าพเจ้าก็มองหน้าเจ้าสุนัขตัวนั้น แล้วข้าพเจ้า ก็พูดว่า สงสัยหูเราจะฝาดจริงๆ แล้วก็เดินจากไป โดยไม่สนใจพอตกตอนดึก ข้าพเจ้าก็ได้มานอนที่บ้านนี้ และมานั่งเจริญสมาธิ อยู่ใต้ต้นมะม่วง พอนั่งไปได้ซักประมาณหนึ่งชั่วโมง เจ้าสุนัขตัวเดิมอีก ตัวดำ เล็บดำ ลิ้นดำ(หรือที่หลวงปู่ฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง บอกว่าเป็นสุนัขจักรพรรดิ์) ได้เดินมาตรงที่ข้าพเจ้านั่งสมาธิอยู่ พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า ใครว่ะ มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้เจ้าสุนัขตัวนี้นิสัยแย่มาก พูดไม่ไพเราะเลย ไม่ได้เลี้ยงมันมาแต่เล็กมันก็อย่างนี้แหละ ไม่ค่อยมีความเกรงใจเท่าไรนัก จากนั้นข้าพเจ้าก็ยิ้มนิดๆ พร้อมกับพูดในใจว่า ออ...ข้าก็มานั่งสมาธิของข้าสิว่ะ เอ็งจะไปไหนเองก็ไป อย่ามากวนกันสิ พอเจ้าสุนัขนั้นรู้ว่า ข้าพเจ้ารู้ในสิ่งที่มันพูด มันก็ทำท่างงๆ อยู่ซักพักหนึ่งพร้อมกับเดินจากไป <O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2011
  12. SONICx

    SONICx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +225
    ดีใจครับที่พี่กลับมาถ่ายทอดประสบการณ์ การปฏิบัติแก่นักปฏิบัติหน้าใหม่ครับ

    อนุโมทนาบุญด้วยอย่างยิ่งครับ
     
  13. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ประสบการณ์ที่ ๖๔ ใครหนอกายทิพย์ใสเป็นแก้วมาแย่งที่นอนเรา

    ในค่ำคืนวันหนึ่งนั้น ข้าพเจ้าก็เจริญสมาธิ นั่ง ยืน เดิน จนสมควรแก่เวลา แล้วข้าพเจ้าก็เตรียมตัวนอนสมาธิ พอลงไปนอนกำเนิดสมาธิ อยู่นั้น ปรากฏว่ากายทิพย์ ได้หลุดออกมา ข้าพเจ้าก็มองไปที่เตียงนอน<O:p

    อ้าว...นั้นกายทิพย์ของใครนะ ใสเป็นแก้วมาแย่งที่นอนเราทำไม ข้าพเจ้าก็พยายามที่จะให้เขาไปนอนที่อื่นเขาก็ไม่พอใจส่งกระแสจิตบางอย่างมาที่กายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็กระเด็นออกมาจากมุ้ง เอาล่ะ สิ มันอย่างงัยกันนี่ ข้าพเจ้าก็เข้าไปปฏิบัติเหมือนเดิมอีก ก็กระเด็นออกมาอีก ทีนี้ข้าพเจ้าก็เลยใช้วิธีใหม่ เข้าไปพูดดีด้วยบอกว่า ท่านๆๆ เรามาเป็นเพื่อนกันนะ เขาก็ตอบรับด้วยไมตรีจิต จากนั้นข้าพเจ้าก็บอกว่า ขอท่านช่วยช่วยขยับไปฝั่งนั้นหน่อยนะ แบ่งกันนอนนะท่าน เขาก็ขยับให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้นอนข้างๆเขา พอซักพัก
    ข้าพเจ้าก็ออกจากสมาธิ มองไปฝั่งตรงข้าม แล้วข้าพเจ้าก็นอนยิ้มๆ ออแปลกนี้แฮะ เป็นกายทิพย์ใสเป็นแก้วขนาดนี้ยังรู้จักหลับจักนอนด้วย เฮะ แปลกดี จากนั้นข้าพเจ้าก็นอนปกติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2011
  14. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    จากประสบการณ์ที่ได้ถ่ายทอดมานั้น แม้จะยังลงถ่ายทอดได้ไม่หมด ก็ขอให้ทุกท่านที่ได้อ่าน ได้ทราบว่า ข้าพเจ้านั้นก้าวล่วง รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔ แล้ว ต่อแต่นี้จะได้ถ่ายทอดประสบการณ์ การเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ เพื่อดับเวทนาและสัญญา เครื่องปรุงแต่งจิตตสังขาร ก่อนจะเริ่มเข้าสู่ผลของการปฏิบัติ ขอทวนความจำอีกสักนิดในการดับ ทั้ง ๘ ระดับที่ผ่านมา คือ<O:p
    .เมื่อท่านทั้งหลายเข้าปฐมฌานกามสัญญาดับไป
    .เมื่อท่านทั้งหลายเข้าทุติยฌาณวิตกวิจารดับไป
    .เมื่อท่านทั้งหลายเข้าตติยฌาณปิติดับไป
    .เมื่อท่านทั้งหลายเข้าจตุตถฌานลมอัสสาสปัสสาสะดับไป
    .เมื่อท่านทั้งหลายเข้าอากาสานัญจายตนฌานรูปสัญญาดับไป
    .เมื่อท่านทั้งหลายเข้าวิญญาณัญจายตนฌานอากาสานัญจายตนฌานดับไป<O:p</O:p
    .เมื่อท่านทั้งหลายเข้าอากิญจัญญายตนฌานวิญญาณัญจายตนะฌานดับไป<O:p
    .เมื่อท่านทั้งหลายเข้าเนวสัญญายตนฌานอากิญจัญญายตนฌานดับไป<O:p
    ข้อที่-นี้นั้นเป็นการข่มราคะไว้ด้วยอำนาจเจโตสมาธิ<O:p
    อันว่า วิตกวิจาร นี้เป็นเครื่องปรุงแต่ง “วจีสังขาร” ซึ่งจะดับไปเมื่อท่านทั้งหลายก้าวล่วง ปฐมฌาน<O:p
    ไปสู่ ทุติยฌาน ความคิด ความอ่าน หรือ บทภาวนาคือ พุธ-โธ จะหายไป<O:p
    อันว่า ลมอัสสาสปัสสาสะ นี้นั้นเป็นเครื่องปรุงแต่ง “กายสังขาร” ซึ่งจะดับไปเมื่อท่านทั้งหลายก้าวล่วง<O:p
    ตติยฌาน ไปสู่จตุตถฌาน ร่างกายสงบนิ่งไม่มีการสั่นไหวโอนเอน ลมหายใจละเอียดมาก จนแทบไม่รู้ว่าหายใจอยู่<O:pทีนี้ก็จะเหลือสังขารอีกตัวหนึ่ง คือ “จิตตสังขาร” ซึ่งเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต นั่นคือ เวทนา และ สัญญา
    <O:pถามว่า ทำไมถึงต้องดับเครื่องปรุงแต่งจิตนี้ ด้วย <O:p
    ตอบว่า เพราะตั้งแต่ท่านทั้งหลายเข้าจตุฌานนั้น มีอุเบกขาเกิดขึ้น อุเบกขานั้นคือ เวทนา ซึ่งเวทนานี้<O:pยังอยู่ภายใต้กฏ อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา <O:p
    ถามว่า ดังนั้นเราจะดับเวทนาได้อย่างไร<O:p
    ตอบว่า ให้ท่านกำเนิดรู้ผัสสะทั้ง ๖<O:p
    ถามว่า เมื่อเรารู้ผัสสะทั้ง ๖ นั้นแล้วผลจะเป็นเช่นไร<O:p
    ตอบว่า เกิดความเบื่อหน่าย เกิดความคลายกำหนัด เกิดความดับ ใน นามรูป นี้<O:pส่งผลให้ วิญญานตั้งอยู่ไม่ได้
    <O:pถามว่า เมื่อวิญญานตั้งอยู่ไม่ได้แล้วผลจะเป็นเช่นไร
    <O:pตอบว่า ก็ไม่มีก้าวลงสู่นามรูปอีกต่อไป เพราะสังขารดับ วิญญานก็ดับ แล้วเชื้อไฟที่ไหนจะติดได้<O:pเกิดเป็นเจโตวิมุตติเพราะสามารถข่มราคะ ได้เด็ดขาด <O:pเกิดเป็นปัญญาวิมุตติเพราะสามารถทำลายอวิชชาได้ <O:p
    ถามว่า แล้วหลังจากนั้นละท่าน <O:p
    ตอบว่า ก็รอวันแตกหักแห่งรูปขันธ์ เท่านั้น แล้วเจริญฌานและเจริญสติ เป็นเครื่องอยู่ ณ.ปัจจุบันจิต ปัจจุบัน<O:pธรรม ไม่มีกิจใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการดับ นามรูปนี้อีกแล้ว<O:p
     
  15. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    เมื่อข้าพเจ้าได้เรียนรู้การดับในแต่ขั้นของฌานแต่ละ ระดับแล้ว ทีนี้วันนี้นั้นก่อนออกพรรษา 53 เราจะปล่อยวางซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมา ที่เราได้รู้ ที่เราได้ศึกษามา เราจะไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น เราจะไม่พิจารณาอะไรทั้งสิ้น เราจะไม่คิดคำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น เราจะไม่เป็นผู้ทรงฌาน หรือ เป็นพระอริยะบุคคลอะไรทั้งสิ้น ทั้งนี้นั้นเราจะอยู่อย่างฆราวาสแบบปกติ แต่เมื่อมีความดำริเช่นนี้เกิดขึ้น อยู่ๆวิปัสสนาญานก็เกิดมาขึ้นว่า เมื่อเราปล่อยวางซึ่งความยึดมั่นถือมั่นในความที่เราเป็นนั่น เป็นนี่ ตัณหา มานะ ทิฏฐิก็ไม่อาศัยเรา พระพุทธองค์เคยพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว พระองค์ปล่อยวางเสีย ซึ่งเวทนาทั้งปวง ทำให้พระองค์รู้แจ้งพระนิพพาน จากนั้นข้าพเจ้าก็เกิดมีกำลังจิต กำลังใจ และข้าพเจ้าก็ ตั้งใจ ไว้ว่า เราจะดับจิตตสังขาร คืนนี้ให้ได้ เมื่อตั้งจิตไว้เช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็เริ่มปฏิบัติสมาธิ จนเวลาผ่านไปซักหนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ปรากฏดวงแสงไฟสว่าง แล้วค่อยๆหรี่ลงหรี่ลง จนดับสนิททุกอย่างไม่ปรากฏว่ามี เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อีกต่อไป หรือกล่าวง่ายๆไม่มีตัวรู้(วิญญาน)หลงเหลือ อยู่เลย ทุกสิ่งทุกอย่างดับหมดดับไปนานขนาดไหนไม่อาจทราบได้
    ตา ก็เป็นตา ล้วนๆ รูปก็เป็นรูป ล้วนๆ ไม่คล่องเกี่ยวกัน เป็นอิสระในตัวเอง ดับไปในตัวเอง<O:p
    หู ก็เป็น หูล้วนๆ เสียงก็เป็นเสียง ล้วนๆ ไม่คล่องเกี่ยวกัน เป็นอิสระในตัวเอง ดับไปในตัวเอง<O:p
    จมูกก็เป็นจมูก ล้วนๆ กลิ่นก็เป็นกลิ่น ล้วนๆ ไม่คล่องเกี่ยวกัน เป็นอิสระในตัวเอง ดับไปในตัวเอง<O:p
    ลิ้นก็เป็นลิ้น ล้วนๆ รสก็เป็นรส ล้วนๆ ไม่คล่องเกี่ยวกัน เป็นอิสระในตัวเอง ดับไปในตัวเอง<O:p
    กายก็เป็นกาย ล้วนๆ โผฐัพพะก็เป็นโผฐัพพะ ล้วน ๆ ไม่คล่องเกี่ยวกัน เป็นอิสระในตัวเอง ดับไปในตัวเอง<O:p
    ใจ ก็เป็น ใจ ล้วนๆ ล้วนๆ ธรรมารมณ์ก็เป็นธรรมารมณ์ ล้วนๆ ไม่คล่องเกี่ยวกัน เป็นอิสระในตัวเอง ดับไปในตัวเอง<O:p
    แยกกันไปเป็นสัดส่วน ไม่ได้มีความคล่องเกี่ยวกัน<O:p
    ตาดับ ไม่มีการรับรู้ถึงรูปทั้งปวง ที่เป็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน จักษุวิญญาน ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ก็ดับไป<O:p
    หูดับ ไม่มีการรับรู้ถึงเสียงทั้งปวง ที่เป็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน โสตวิญญาน ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ก็ดับไป<O:p
    จมูกดับ ไม่มีการรับรู้ถึงกลิ่นทั้งปวง ที่เป็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน ฆานะวิญญาน ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ก็ดับไป<O:p</O:p
    ลิ้นดับ ไม่มีการรับรู้ถึงรสทั้งปวง ที่เป็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน ชิวหาวิญญาน ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ก็ดับไป
    <O:pกายดับ ไม่มีการรับรู้ถึงโผฐัพพะทั้งปวง ที่เป็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน กายวิญญาน ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ก็ดับไป
    <O:pใจดับ ไม่มีการรับรู้ถึง ธรรมารมณ์ทั้งปวง ที่เป็น อดีต อนาคต ปัจจุบัน มโนวิญญาน ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ก็ดับไป<O:p
    นั่งสงบนิ่งไม่มีการรับรู้ใดๆทั้งสิ้น วจีสังขารสงบไป กายสังขารสงบไป จิตตสังขารสงบไป ดับหมด ได้ลิ้มรสพระนิพพาน ในปัจจุบันจิต ในปัจจุบันธรรม ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นอีกต่อไปภายนอกศาสนานี้<O:p
    สมจริงดังพุทธพจน์ที่ว่า <O:p
    “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา”<O:p
     
  16. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    อันธรรมดา เครื่องบินเมื่อบินขึ้นแล้วต้องมีจุดลง บัดนี้ข้าพเจ้าหาจุดลงให้แล้ว
    ทีนี้ก็อยู่ที่ความพยายามและกำลังใจ กำลังจิต ของพวกท่าน นะครับ
    ตอนนี้คอมพิวเตอร์ของข้าพเจ้าชักจะเกเร ใกล้ถึงเวลาดับตามกฎไตรลักษณ์แล้ว

    วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้ในเพศฆราวาสนี้เกือบตายไปแล้วดีจัง

    หลังจากได้ชิมลางพระนิพพานแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังใช้ชีวิตแบบปกติอยู่ประมาณ ๑ สัปดาห์ได้ แล้วอยู่มาเย็นวันหนึ่งนั้น ในขณะที่ข้าพเจ้าขี่มอเตอร์ไซด์ไปจอดรถอยู่หน้าบ้านอา พอลงจากรถ ข้าพเจ้า รู้สึกแปลกๆ ร่างกายเกิดหนักขึ้นมา เอ๊ะ...เกิดอะไรขึ้นกับเรานี่ ข้าพเจ้าก็กำเนิดสติ แล้วพยายามประคองร่างกายไว้ จับเกาะรั้วบ้านไว้ พอซักพักหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างเกิดดับวูบไปขณะนั้น ดับหมด ไม่มีวิญญานเหลืออยู่เลย ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าดับไปนานขนาดไหน แต่คิดว่าไม่น่าจะนานนัก พอซักพักทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ปกติ ข้าพเจ้าก็แปลกใจอะไรกันนี่ นึกจะดับก็ดับเลยหรือนี่ อยู่ดีๆจะไม่เอาขันธ์ ๕นี้เสียแล้ว ดีจังถ้าหากว่าเรามาตายในตอนนี้พอเดินไปซักพักหนึ่งเมื่อถึงประตูห้อง เอ๋ กินหอมดีจัง ใครเอาอะไรมาไว้ในห้องนี้สดชื่นเสียเหลือเกิน ข้าพเจ้าก็หาดูก็ไม่พบเจออะไร แล้วข้าพเจ้าก็ไม่สนใจอะไรอีก เฉยๆ<O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2011
  17. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๗ ขุททกนิกาย หน้าที่ 87
    โลกนี้เกิดความเดือดร้อนแล้ว ถูกผัสสะครอบงำแล้ว ย่อมกล่าวถึง<O:p</O:p
    โรคโดยความเป็นตัวตน ก็โลกย่อมสำคัญโดยประการใด ขันธปัญจก<O:p</O:p
    อันเป็นวัตถุแห่งความสำคัญนั้น ย่อมเป็นอย่างอื่นจากประการที่ตน<O:p</O:p
    สำคัญนั้น โลกข้องแล้วในภพมีความแปรปรวนเป็นอื่น ถูกภพครอบงำ<O:p</O:p
    แล้ว ย่อมเพลิดเพลินภพนั่นเอง (สัตว์) โลกย่อมเพลิดเพลินสิ่งใด<O:p</O:p
    สิ่งนั้นเป็นภัย โลกกลัวสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ก็บุคคลอยู่ประพฤติ<O:p</O:p
    พรหมจรรย์นี้เพื่อจะละภพแล ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง<O:p</O:p
    กล่าวความหลุดพ้นจากภพด้วยภพ(สัสสตทิฐิ)เรากล่าวว่า สมณ<O:p</O:p
    พราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดไม่หลุดพ้นไปจากภพ ก็หรือสมณะหรือ<O:p</O:p
    พราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง กล่าวความสลัดออกจากภพด้วยความไม่มี<O:p</O:p
    ภพ (อุจเฉททิฐิ)เรากล่าวว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดไม่<O:p</O:p
    สลัดออกไปจากภพ ก็ทุกข์นี้ย่อมเกิดเพราะอาศัยอุปธิทั้งปวง ความเกิด<O:p</O:p
    แห่งทุกข์ย่อมไม่มี เพราะความสิ้นอุปาทานทั้งปวง ท่านจงดูโลกนี้ <O:p</O:p
    สัตว์ทั้งหลายเป็นจำนวนมาก ถูกอวิชชาครอบงำหรือยินดีในขันธปัญจก<O:p</O:p
    ที่เกิดแล้ว ไม่พ้นไปจากภพก็ภพเหล่าใดเหล่าหนึ่งในส่วนทั้งปวง <O:p</O:p
    (ในเบื้องบนเบื้องต่ำ เบื้องขวาง) โดยส่วนทั้งปวง (สวรรค์ อบาย <O:p</O:p
    และมนุษย์เป็นต้น) ภพทั้งหมดนั้น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความ<O:p</O:p
    แปรปรวนเป็นธรรมดา อันบุคคลผู้เห็นขันธปัญจกกล่าวคือ ภพ ตาม<O:p</O:p
    ความเป็นจริงด้วย ปัญญา อันชอบอย่างนี้ อยู่ย่อมละภวตัณหาได้ <O:p</O:p
    ทั้งไม่เพลิดเพลินวิภวตัณหา ความดับด้วยอริยมรรคเป็นเครื่องสำรอก<O:p</O:p
    ไม่มีส่วนเหลือ เพราะความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลาย โดยประการ<O:p</O:p
    ทั้งปวง เป็นนิพพานภพใหม่ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น ผู้ดับแล้วเพราะไม่<O:p</O:p
    ถือมั่น ภิกษุนั้นครอบงำมาร ชนะสงคราม ล่วงภพได้ทั้งหมด เป็นผู้<O:p</O:p
    คงที่ฉะนี้แล ฯ<O:p</O:p
     
  18. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    พระนิพพานถ้าจะพูดถึงความดับทุกข์ ก็ดับสนิท ไม่มีทุกข์
    เจือปน พูดถึงสุขก็สุขล้วนๆ ไม่มีข้าวสารแกลบรำ คือทุกข์
    เจือปน ไม่มีสมมุติใดๆเข้าถึง แม้ท่านได้อนุปาทิเสสนิพพาน<O:p</O:p
    แล้ว ถึงจะมีอายตนะภายในคือ ตา หู เป็นต้น เป็นบันได<O:p</O:p
    สำหรับแขก คืออารมณ์ภายนอก ซึ่งเกิดจากอายตนะภายนอก<O:p</O:p
    คือ รูปเสียงเป็นต้นอยู่ บรรดาแขกหรือ อารมณ์นั้นๆ ก็ไม่<O:p</O:p
    สามารถจะยังจิตนิพพานของท่านให้หวั่นไหวตามได้<O:p</O:p
    แขกคงเป็นแขก เจ้าถิ่นคงเป็นเจ้าถิ่น อยู่ตามเดิม<O:p</O:p
    ไม่ระคนกัน ซึ่งพอจะให้หลงตาม เมื่อหยุดการรับแขกแล้ว<O:p</O:p
    ก็มิได้หลงอารมณ์ของแขกที่ขาดไป มีความเป็นอยู่อย่างอิสระ<O:p</O:p
    เสรี โดยธรรมชาติ ปราศจากเครื่องยั่วยวนใดๆทั้งสิ้น ความเป็น<O:p</O:p
    อยู่ทั้งนี้มิได้มีการขู่เข็ญแต่อย่างใด หากเป็นธรรมเป็นเอง<O:p</O:p
    ปราศจากการปรุงแต่งและเสกสรร ฉะนั้นนิพพานธรรมจึงเป็นธรรม<O:p</O:p
    ที่ยอดยิ่งกว่าสิ่งใดตามนัยที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงสรรเสริญไว้<O:p</O:p
    ที่มา ธรรมคู่แข่งขัน ของ อาจารย์<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>พระมหาบัว ญาณสัมปันโน<O:p
     
  19. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    พบเห็นวิญญาณสิ่งสถิตอยู่ตามต้นไม้ ตามบ้าน ตามตู้โชว์ ด้วยตาปกติ

    หลังจากประสบการณ์วันนั้นผ่านมา ตาของข้าพเจ้าก็แปลกๆ พบเห็นวิญญาณทั้งหลายที่หลบแฝงตัวอยู่ตามต้นไม้ ตามบ้านเรือน ตามตู้เตียง ตามต้นว่านยา มองไปทางไหนก็พบเจอแต่วิญญาณ อ้อ...นี่ละเหน่าสังขารเกิด วิญญานก็เกิด สังขารดับ วิญญานก็ดับ อวิชชา แลเราจึงต้องเกิดมาไม่รู้ต่อกี่ภพกี่ชาติ จนนับไม่ถูก เมื่อเรายึดมั่นก็ยึดมั่นในนามรูปนี้ วิญญานก็ถึงความตั้งอยู่ เมื่อเราไม่ยึดมั่นในนามรูปนี้แล้ววิญญานก็ตั้งอยู่ไม่ได้ มันก็จะดับไปเอง โง่เสียตั้งนาน นี่ดีนะ ที่ชาตินั้นเราเป็นสัตว์เดรัจฉาน(ตัวเหลือบ ตัวลิ้น) เกิดอยู่ใต้บันลังค์ของพระพุทธองค์ ในวันตรัสรู้ พระพุทธองค์ทรงแผ่เมตตาจิตอย่างไม่มีขอบเขต ทำให้เรามีวันนี้ขึ้นมาได้ ทำให้เราได้ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ธรรมตามพุทธองค์ในปัจจุบันภพชาตินี้และความตั้งใจจริงของข้าพเจ้านี้ ที่ได้ตั้งสัจจะไว้ตั้งแต่เริ่มปฏิบัติธรรมอยู่ที่บ้านว่า<O:p</O:p


    “พบเจออะไร พบเห็นอะไร เราจะไม่ยึดติดสภาวะธรรมใดๆทั้งสิ้น”<O:p</O:p

    นี้เป็นผลสำเร็จเพราะหากเราเข้าไปยึดมั่นถือมั่นด้วยอำนาจแห่งตัณหา มานะ ทิฏฐิ แล้ว วิญญาณก็จะถึงความตั้งอยู่ จนส่งผลให้ต้องเกิดใหม่ในอนาคตไม่รู้จักจบสิ้นได้ หากเราดับเสียซึ่งความยึดมั่นในขันธ์๕ ในปัจจุบันนี้แล้วไซล์ เราจะไม่เกิดอีกต่อไปหนทางนี้แลประเสริฐสุด(อริยมรรค ๘)ทำให้ข้าพเจ้าไม่ต้องเชื่อผู้อื่นอีกต่อไป ใครๆก็ไม่สามารถทำให้เราคลายเสียซึ่งความศรัทธาในพระรัตนไตรได้อีกต่อไป
     
  20. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    พระนิพพานเหนือผู้รู้ไปจนไม่มีที่หมาย
    ถ้าหมายอยู่ก็พอเหมือนๆนี่เอง ก็พอหมุนๆนี่เอง<O:p
    มีปัญหาว่า ถ้าอย่างนั้นก็สูญซิ<O:p
    แต่สูญในพระนิพพานมีขอบเขต สูญจากกิเลสเท่านั้น<O:p
    รสของพระนิพพานมีอยู่ ใครเป็นผู้ดื่มรสพระนิพพาน<O:p
    ก็พระนิพพานเท่านั้น จะได้รับรสพระนิพพาน<O:p
    ไม่เป็นหน้าที่ของสังขารจะไปก้าวก่าย<O:p
    พระนิพพานเป็นอนัตตาหรือไม่ พระนิพพานไม่ได้อยู่ใน<O:p
    วงแขนของท่านผู้ใดโดยถ่ายเดียว<O:p
    เป็นของกลางอยู่อย่างนั้น ไม่เกิดไม่ดับไปไหน<O:p
    ไม่มีใครใส่ชื่อลือนามให้ก็ตาม<O:p
    ก็เป็นจริงทางไม่เกิดไม่ดับอยู่อย่างนั้น<O:p
    เราจะเอาพระนิพพานมาเป็นอนัตตา<O:p
    เหมือนขันธ์ ๕ และกิเลสทั้งหลายมันก็ไม่ ถูก<O:p
    เรียกว่าแยกอนัตตาธรรมไม่เป็น<O:p
    เช่นผู้รู้ ดังนี้ จะเอาผู้รู้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า<O:p
    มาเทียบกับพระปัจเจกพุทธเจ้า มาเทียบกับ<O:p
    สาวกสาวิกาอรหันต์ ก็เรียกว่า ยกตนเทียมท่าน<O:p
    สิ่งเหล่านี้ เป็นหน้าที่ของชาวพุทธ ...จะรู้ทั้งนั้น<O:p
    ที่มา หนังสือ ชีวประวัติ พระหล้า เขมปัตโต<O:p></O:p>
     

แชร์หน้านี้

Loading...