สมาธิในบ้านทุกท่านทำได้จริง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย บดินทร์จ้า, 17 มิถุนายน 2008.

  1. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    วันที่ 26 มิถุนายน 2554 <O:p</O:p
    บริเวณ สวนป่าน้ำตกเจ็ดสาวน้อย สถานที่ ปักกลดธุดงค์วิเวก<O:p</O:p
    ความสงบเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรมชั้นสูง ทุกคนจะต้องผ่านวิปัสสนูกิเลส ๑๐ และ จะต้องตัด รูป เสียง กลิ่น รส โผฐัพพะ ธรรมารมณ์ ออกจาก ใจให้ได้
    โดยเริ่มตั้งแต่ โอภาสแสงสว่าง จนถึง นิกันติ เป็นที่สุด<O:p</O:p

    อาลาฬอุทกะดาบส พูดกับเจ้าชาย<?xml:namespace prefix = st1 ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]</st1:personName>สิทธัตถะ ว่า ในชมพูทวีปนี้ ไม่มีใครที่จะสามารถสอนศิษย์ ให้เข้าฌานสมาบัติ ๗-๘ พร้อมทั้งออกจากฌานได้เหมือนเรา นั่นคือ ฌานตันของ ๒ ดาบส (จะเรียกว่า เมาฌาน หรือ วิปัสสนูกิเลส ก็สุดแล้วแต่ ) เจ้าชายสิทธัตถะ จึงลาอาจารย์ดาบสทั้ง ๒ มุ้งหน้าปฏิบัติ จนเข้าถึงพระนิพพาน ทรงเป็นศาสดาของผู้ปฏิบัติธรรมอย่างแท้จริง<O:p</O:p

    บดินทร์ หลวงพ่อ ขออนุโมทนาสาธุ กาลดังๆ ให้ได้ยินทั้ง ๓ โลกธาตุ ที่มีฆราวาสผู้ปฏิบัติธรรม อริยะผู้ไกลจากข้าศึก หรือ ผู้ประเสริฐ เป็นได้ทั้งชาย-หญิง พูดให้ถึงที่สุดแล้วไม่มีทั้งหญิงและชาย ด้วยอริยะไม่มีเครื่องหมาย อย่างหลวงพ่อเขาเรียกสมมุติสงฆ์<O:p</O:p

    “พุทธา นุ พุทธัง สมาสีลทิฐธิง” ผู้มีศีลและทิฏฐิเสมอกัน<O:p</O:p

    ขออำนวยพรให้ บดินทร์ จงเจริญงอกงามไพบูลย์ ในธรรม ได้พบสัมผัสความสะอาด สว่าง สงบ
    เป็นอนุพุทธะ คือผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า ในชาติปัจจุบัน ตามที่หวังตั้งใจไว้เทอญ<O:p</O:p

    “ธัมโม หะเว รักขติ ธัมมจาริง”<O:p</O:p


    ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมเป็นนิจ<O:p</O:p


    เจริญธรรมนำชีวิตด้วยเมตตา<O:p</O:p

    พระยงยุทธ ปํญญาธโร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 มิถุนายน 2011
  2. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ในระหว่างช่วงนี้นั้น ข้าพเจ้าจะได้นำประสบการณ์บางส่วน นำไปให้พระอาจารย์ สายสมถะ และ วิปัสสนา ได้พิจารณา บทความ เพื่อเรียบเรียงขอความคิดเห็น และเป็นกำลังใจแก่ท่านนักปฏิบัตธรรมทั้งหลาย ดังนั้นหากท่านใด คิดว่าประสบการณ์เหล่านี้ จะเป็นประโยชน์ต่อตัวท่าน และคนรอบข้าง ข้าพเจ้าอนุญาติ ให้คัดลอก เพื่อไปให้พระอาจารย์ที่ ท่านเคารพนับถือได้พิจารณา และ ขอให้นำความคิดเห็นของพระอาจารย์นั้นๆ มาลงให้อ่านกันในห้องนี้ เพื่อประโยชน์ แก่ผู้ศึกษาตามต่อไป
    ขอบคุณจากใจ ผู้เขียน
     
  3. Apinya17

    Apinya17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    775
    ค่าพลัง:
    +3,022
    สาธุ สาธุ สาธุ.........

    พี่บดินทร์อย่าหนีหายไปไหนน่ะค่ะ อยู่สงเคราะห์น้องๆก่อน
     
  4. boonsongma

    boonsongma สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +11
    เข้ามาอ่านเกือบทุกวันเลยครับ
    กราบอนุโมทนาสาธุในธรรมทาน....
    ขอจงเป็นปัจจัยให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย.....ได้มีดวงตาเห็นธรรมด้วยเทอญ
     
  5. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    “ธรรมทั้งหลายมีอยู่ที่ตัวเราทุกคน


    ผู้รู้ธรรมคือ ใจ<O:p</O:p


    ที่จะรู้มาก รู้น้อย หยาบ ละเอียด<O:p</O:p


    ก็แล้วแต่ความสามารถ บุญบารมี<O:p</O:p


    หรือการอบรมของแต่ละบุคคล”<O:p</O:p

    (พระราชนิโรธรังสี )

    วัฏฏะเวียนวน วนเวียน ดุจกงล้อ ดุจกงจักร
    จะหมุนทวนเข็มนาฬิกา กลับไปยึดติด ขันธ์ ๕ ในอดีต กันทำไมอีกเล่า
    จะหมุนตามเข็มนาฬิกา ไปสู่ ขันธ์๕ ในอนาคต กันทำไมอีกเล่า
    จงนำ ถ่าน ออกจากนาฬิกา เพื่อให้เข็มนาฬิกาหยุดเดิน กันเถอะ หากมี
    บุญบารมี เพียงพอ หากมีปัญญาอินทรีย์ แก่กล้าแล้ว

    เธอทั้งหลายจงละเสีย ซึ่งความเห็นใดความถือใด
    ว่า "เราก็ดี" ด้วยอำนาจแห่ง ทิฏฐิ ในขันธ์ ๕ นี้

    เธอทั้งหลายจงละเสีย ซึ่งความเห็นใดความถือใด
    ว่า "ของเราก็ดี" ด้วยอำนาจแห่ง ตัณหา ในขันธ์ ๕ นี้

    เธอทั้งหลายจงละเสีย ซึ่งความเห็นใดความถือใด
    ว่า "เป็นเราก็ดี" ด้วยอำนาจแห่งมานะ ในขันธ์ ๕ นี้

    แล้วท่านทั้งหลายจะรู้สึก ว่างในธรรม ว่างในจิต อันปราศจาก
    กิเลส เครื่องร้อยรัดไว้ในวัฏจักรเวียนวน วนเวียน กล่าวคือ อุปาทานขันธ์ ๕ นี้

    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม จากใจ บดินทร์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  6. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ๙. ทานสูตร<O:p</O:p

    [๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย <O:p</O:p
    ทาน ๒ อย่างนี้ คือ อามิสทาน ๑ ธรรมทาน ๑ <O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาทาน ๒ อย่างนี้ ธรรมทานเป็นเลิศ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การแจกจ่าย ๒ อย่างนี้ คือ การแจกจ่ายอามิส ๑ <O:p</O:p
    การแจกจ่ายธรรม ๑ <O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาการแจกจ่าย ๒ อย่างนี้ <O:p</O:p
    การแจกจ่ายธรรมเป็นเลิศ<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย การอนุเคราะห์ ๒ อย่างนี้ คือ การอนุเคราะห์ด้วยอามิส ๑ การอนุเคราะห์ด้วยธรรม ๑<O:p</O:p
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาการอนุเคราะห์๒ อย่างนี้ <O:p</O:p
    การอนุเคราะห์ด้วยธรรมเป็นเลิศ ฯ<O:p</O:p
    <O:p</O:p


    “พระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ตรัส ทานใดว่า อย่างยิ่ง ยอดเยี่ยม<O:p</O:p
    พระผู้มีพระภาค ได้ทรงสรรเสริญ การแจกจ่ายทานใดว่า อย่างยิ่ง ยอดเยี่ยม<O:p</O:p
    วิญญูชนมีจิตเลื่อมใสในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระอริยสงฆ์ <O:p</O:p
    ผู้เป็นเขตอันเลิศ รู้ชัดอยู่ซึ่งทานและการแจกจ่ายทานนั้นๆ<O:p</O:p
    ใครจะไม่พึงบูชา (ให้ทาน) ในกาลอันควรเล่า <O:p</O:p
    ประโยชน์อย่างยิ่งนั้น ของผู้แสดง และ ผู้ฟัง ทั้ง ๒ <O:p</O:p
    ผู้มีจิตเลื่อมใสในคำสั่งสอนของพระสุคตย่อมหมดจด<O:p</O:p
    ประโยชน์อย่างยิ่งนั้น ของผู้ไม่ประมาทแล้วใน<O:p</O:p
    คำสั่งสอนของพระสุคตย่อมหมดจด ฯ”<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  7. ithai

    ithai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2009
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +154
    ได้ส่งอีเมล์ ติดต่อขอรับไฟล์ เรียบร้อยแล้วขออนุโมทนา บุญ กับคุณบดินทร์ ด้วยคะ ขอบพระคุณคะ
     
  8. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ขออนุโมทนาครับ
    จัดส่งให้แล้ว ขอให้ท่านเจริญในธรรมครับ
    หากเล่ม ๒ เรียบเรียงเสร็จ จะจัดส่งไปให้ครับ
     
  9. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749

    โดนทดสอบกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน (โดนปล่อยของ)<O:p</O:p

    <O:p
    ในค่ำคืนวันหนึ่งนั้น ผู้เขียนก็นั่งสมาธิปกติเหมือนทุกๆวัน ในขณะที่จิตสงบดีแล้ว ได้ปรากฏว่ามีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในท้อง เมื่อเพ่งเข้าไปดู เจ้าสิ่งนั้นก็บีบลำไส้น้อย (ถัดจากกระเพาะอาหารมาหน่อยหนึ่ง) อย่างแรง ผู้เขียนก็เพ่งเข้าไปดูอีก ก็ถูกบีบอีก จนลำใส้นั้นหรือนิดเดียว ผู้เขียนก็พยายามตั้งสติ กัดฟันอดทน ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เวทนานั้นเกิดขึ้นอย่างแรง สุดท้ายก็นอนลงพร้อมกับกำเนิดสติไว้ว่า “ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ไม่ใช่เป็นเรา”ตายเมื่อใดก็ขอตายเสียแต่วันนี้เลย<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    จากนั้นก็ไม่สนใจในสิ่งที่เกิดขึ้น ภาวนาว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ไม่ได้เป็นเรา” ไปเรื่อยๆจนเวลาผ่านไปประมาณ ครึ่งชั่วโมง ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ ผู้เขียนก็ได้พิจารณาถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ว่า เอ้อ.......ดีจัง ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ไม่ได้เป็นเรา เราไม่ได้เป็นนั่น และนั่นก็ไม่ได้เป็นเรา<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดีจังเลยอรูปฌานนี้ เมื่อเราไม่มีการยึดติดทั้งกายหยาบ และกายวิญญาณแล้ว อะไรๆจะมาทำเราได้ล่ะ ..จากนั้นก็นั่งฝึกสมาธิต่อโดยไม่สนใจสิ่งที่ผ่านมาแล้วก่อนหน้านี้เลย<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2011
  10. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749

    ไม่ขอยึดติดร่างกายนี้อีกต่อไป<O:p</O:p


    ในวันหนึ่งนั้นเป็นวันหยุด ไม่ได้เปิดร้านค้าขายของ ก็ได้ดึงประตูม้วนร้านค้าที่อยู่หน้าบ้านดันขึ้นไปไม่สุด ให้พอกับการก้มหัวเข้า ก้มหัวออกได้ แต่แล้วเวลาไม่นานนัก เจ้าหัวดันก้มไม่พ้นชนกับประตูม้วนอย่างแรงเต็มๆ ดัง ตึ้ม.. โอ้โหแฮะดาวขึ้นลอยเต็มไปหมดเลย <O:p</O:p
    <O:pสติมันก็ระลึกตอนนั้นว่า“ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ก็ไม่ใช่เป็นเรา” มือก็จับหัวไปเดินไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ ก็ได้สระผม สระไปสระมา อ้าวหัวมันแตกหรอ อ้าวมันไปโดนอะไรมาล่ะ อ้อ วันนั้นนั่นเองที่หัวไปชนกลับประตูม้วนอย่างแรง
    เอ้อดีเนอะ“ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ก็ไม่ใช่เป็นเรา” ต่อมาอีกไม่นานเดือนกว่าๆ เดินชนแคร่อย่างแรง ตรงบริเวณปลายแคร่ไม้ไผ่ แต่ก็ไม่ได้สนใจอีกเหมือนเคย สติมันก็ระลึกตอนนั้นว่า “ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ก็ไม่ใช่เป็นเรา” แต่พอผ่านไปอีกซักสัปดาห์ เอ รอยจ้ำเขียวๆตรงหน้าแข้งมันไปโดนอะไรของมันมาหนอ อ้อวันนั้นเดินชนแคร่ไม้ไผ่นี่หน่า
    เอ้อดีเนอะ “ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ก็ไม่ใช่เป็นเรา”
    ต่อมาอีกไม่นานเช่นกัน ปีนขึ้นไปบนกระไดเหล็ก ขึ้นไปห่อผลมะม่วงน้ำดอกไม้ ไม่ให้แมลงวันทองมันเจอะ ห่อไปห่อมา อะไรหว่ามันต่อยเอาคันๆดีจัง ปากก็บอกเห้ย อย่ามากวนกันซิ จะมากวนกันทำไม ทีนี้ก็ได้ยินเสียงตรงหู เอ้...มันเสียงคุ้นๆ แฮะ นั่นไงมากันแล้ว แตนนี่เหว่า ไปล่ะโว้ย พอลงมาเรียบร้อยแล้ว
    สติมัน ก็อย่างว่าอีก “ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ก็ไม่ใช่เป็นเรา” <O:p</O:p


    ก็ไม่ได้สนใจอะไรอีกตามเคย ทีนี้มาพอตกเย็น แฟนกลับมาจากตลาด เห็นใบหน้าของผู้เขียน ทำไมบวมๆ คอก็ แดงๆ แฟนก็ร้องถามว่า พี่....ไปโดนอะไรมา หน้าบวม คอแดงๆ ..ด้วยความที่ไม่สนใจร่างกายนี้ก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง .....เอ้อ ลืมไปโดนแตนมันต่อยเอาอยู่ประมาณ ๔-๕ ตัวแค่นั้นเอง
    เอ้อดีเนอะ “ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ก็ไม่ใช่เป็นเรา”<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2011
  11. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749

    เณรน้อยอยู่ในร่างแมว<O:p</O:p

    <O:p
    ในค่ำคืนวันหนึ่งนั้น หลังจากที่ นั่ง ยืน เดิน สมาธิแล้ว ก็ต่อด้วยนอนสมาธิ ก็ปรากฏ ได้นิมิตเห็น ท่อนไม้ใหญ่ลอยตามน้ำมา ข้าพเจ้าก็ได้พยายามนำขอนไม้ใหญ่นั้น ขึ้นฝั่ง จนสำเร็จ พอเวลาผ่านไปซักพักหนึ่งขอนไม้ใหญ่นั้นก็เปลี่ยน เป็นพระภิกษุสงฆ์ วัยชรา พร้อมกับพูดว่า <O:p</O:p
    “หลวงปู่บุญมี งัยจำได้ไหม”
    <O:p</O:p
    ผู้เขียนก็ก้มลงกราบ <O:p</O:p
    “ครับจำได้ครับ”<O:p</O:p
    หลวงปู่บอกต่อไปว่า <O:p</O:p
    “เจ้าหนุ่ม เจ้าจงไปช่วยเณรที ตอนนี้เณรกำลังอยู่ในอันตราย”<O:p</O:p
    ผู้เขียนก็รับปากท่านว่าจะช่วยจากนั้นหลวงปู่ก็บอกอีกว่า <O:p</O:p
    “เอ้าเอาไม้เท้าไปด้วย เองต้องใช้มัน”<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ผู้เขียนก็รับไว้พอซักพักหนึ่งจิตก็ได้ถอนออกจากสมาธิ ประมาณ ตีหนึ่งกว่าๆ เลยลุกนั่งพิจารณาถึงนิมิตนั้น<O:p</O:p
    “เอ..หลวงปู่จะให้เราไปช่วยเณรที่ไหนหนอก็เราอยู่ที่บ้านนี่นา” <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    แล้วขอนไม้ลอยตามน้ำมานั้นก็คือ กระแสแห่งกรรมที่เขาลิขิตไว้แล้วไม่ใช่หรือ แต่พอคิดไปซักพักหนึ่งก็ได้ยินเสียงแมวร้องขู่สุนัข พร้อมกับวิ่งหนีแล้วขู่ แต่สุนัขก็ยังไล่กวดอยู่ติดๆ เลยนึกออกทันที อ้อ...เณรที่ว่าก็คือแมวนี่เองรึ ผู้เขียนจึงรีบออกจากห้อง มองหาไม้ แหมมันช่างบังเอิญอยู่ใกล้ๆมือหน้าห้องนี่เอง แล้วก็ได้นำไม้ไปไล่สุนัข จนพวกสุนัขนั้นออกจากตัวแมว ผู้เขียนก็พบว่าแมวตัวนี้ สีเหลืองมีอายุมากแล้ว เป็นแมวตัวผู้ เนื้อตัวมอมแมม มีแผลบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงสาหัสนัก ผู้เขียนจึงหาลังกระดาษมา แล้วเรียกให้มันเข้ามาอยู่ในกล่อง <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    เจ้าแมวนี่เหมือนรู้ว่าผู้เขียนมาช่วยมัน มันก็เดินเข้ากล่องไปอย่างว่าง่าย จึงได้พาไปไว้ในห้องอีกห้องหนึ่ง จากนั้นก็เลี้ยงดูแลรักษาปฐมพยาบาลจนหายดี จึงได้พาแมวนั้นไปปล่อยไว้บนหลังคา ให้กลับบ้านของมันเอง แต่ก่อนกลับนี่สิ แหม ดันถ่ายอุจจาระไว้ซะกองใหญ่เชียว เฮ้อ ...ถือว่าได้บุญไป<O:p</O:p
    หมายเหตุ ***ทุกวันนี้ก็ยังพบเจอตัวอยู่ ยังไม่ได้ตาย<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2011
  12. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    จิตเดิมเป็นธรรมชาติใสสว่าง แต่มืดมัวไปเพราะอุปกิเลส
    ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฐํ
    ภิกษุทั้งหลาย จิตนี้เสื่อมปภัสสรแจ้งสว่างมาเดิม แต่อาศัยอุปกิเลสเครื่องเศร้าหมองเป็นอาคันตุกะสัญจรมาปกคลุมหุ้มห่อ จึงทำให้จิตมิส่องแสงสว่างได้ ท่านเปรียบไว้ในบทกลอนหนึ่งว่า "ไม้ชะงกหกพันง่า(กิ่ง) กะปอมก่ากิ้งก่าฮ้อย กะปอมน้อยขึ้นมื้อพัน ครั้นตัวมาบ่ทัน ขึ้นนำคู่มื้อๆ" โดยอธิบายว่า คำว่าไม่ชะงก ๖,๐๐๐ ง่านั้นเมื่อตัดศูนย์ ๓ ศูนย์ออกเสียเหลือแค่ ๖ คงได้ความว่า ทวารทั้ง ๖ เป็นที่มาแห่งกะปอมก่า คือของปลอมไม่ใช่ของจริง กิเลสทั้งหลายไม่ใช่ของจริง เป็นสิ่งสัญจรเข้ามาในทวารทั้ง ๖ นับร้อยนับพัน มิใช่แต่เท่านั้น กิเลสทั้งหลายที่ยังไม่เกิดขึ้นก็จะทวียิ่งๆ ขึ้นทุกๆ วัน ในเมื่อไม่แสวงหาทางแก้ ธรรมชาติของจิตเป็นของผ่องใสยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด แต่อาศัยของปลอม กล่าวคืออุปกิเลสที่สัญจรเข้ามาปกคลุมจึงทำให้หมดรัศมี ดุจพระอาทิตย์เมื่อเมฆบดบังฉะนั้น อย่าพึงเข้าใจว่าพระอาทิตย์เข้าไปหาเมฆ เมฆไหลมาบดบังพระอาทิตย์ต่างหาก ฉะนั้น ผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลายเมื่อรู้โดยปริยายนี้แล้ว พึงกำจัดของปลอมด้วยการพิจารณาโดยแยบคายตามที่อธิบายแล้วในอุบายแห่งวิปัสสนาข้อ ๙ นั้นเถิด เมื่อทำให้ถึงขั้นฐีติจิตแล้ว ชื่อว่าย่อมทำลายของปลอมได้หมดสิ้นหรือว่าของปลอมย่อมเข้าไปถึงฐีติจิต เพราะสะพานเชื่อมต่อถูกทำลายขาดสะบั้นลงแล้ว แม้ยังต้องเกี่ยวข้องกับอารมณ์ของโลกอยู่ก็ย่อมเป็นดุจน้ำกลิ้งบนใบบัวฉะนั้น

    ที่มาหนังสือ มุตโตทัย หลวงปู่มั่น
     
  13. บดินทร์จ้า

    บดินทร์จ้า เจโตวิมุตติ-ปัญญาวิมุตติ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +749
    ส่วนหนึ่งของ โอวาทธรรม ความเป็นจริงของโลก
    ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๓

    โดยพระจุลนายก (สุชาติ อภิชาโต) วัดญาณสังวรามวรมหาวิหาร
    ลูกศิษย์หลวงตามหาบัวอีกท่านหนึ่ง ที่ท่านกล่าวถึง

    ถ้าต้องการตัดความทุกข์ทั้งหลาย ต้องตัดที่ต้นเหตุของความทุกข์นั้น ก็คือ
    ความอยากทั้ง ๓ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ถ้าสามารถตัดได้ จิตจะเป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนกับจิตของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ท่านเหล่านั้นท่านได้ตัดแล้ว เรื่องตัณหาทั้ง๓ ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม บำเพ็ญบุญ บำเพ็ญกุศล เริ่มตั้งแต่การทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล และ เจริญจิตตภาวนา คือ การทำให้จิตเกิดสมาธิ แล้วเจริญวิปัสสนา ให้เห็นโทษของสิ่งต่างๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องทั้งหมดว่า เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา ถ้ายึดในสิ่งเหล่านี้แล้ว จะนำมาซึ่งความทุกข์ใจ เมื่อสิ่งเหล่านี้แปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป แต่ถ้าละสิ่งต่างๆเหล่านี้ได้ ไม่ยึดไม่ติด ไม่หาความสุขจากสิ่งเหล่านี้ หาความสุขอย่างเดียว คือ ความสุขที่เกิดขึ้นในจิตใจ จากการชำระความอยากทั้งหลาย เมื่อชำระได้แล้ว ใจจะมีแต่ความพอ มีความอิ่ม มีความสุข มีความสงบ
    จิตใจจะไม่มีเชื้อที่จะทำให้เกิดอีกต่อไป จิตจะเป็นแบบเดียวกับของพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์สาวกทั้งหลาย ธาตุรู้แบบนี้ เรียกว่า นิพพานธาตุ เป็นนิพพานัง ปรมัง สุขัง
    นิพพานัง ปรมัง สูญญัง คำว่า สูญ นี้ ไม่ได้หมายความว่า จิตดวงนี้ ธาตุรู้ดวงนี้ ได้สูญไปไหน แต่หมายถึงว่า จิตดวงนี้ ไม่มีอะไรอยู่ในนั้น ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง
    ไม่มีตัณหาต่างๆอยู่ในใจ ที่จะเป็นเหตุ เป็นเชื้อให้ไปเกิดอีกต่อไป สิ่งเหล่านี้ได้ถูกทำลายหมดไปแล้ว เป็นจิตที่ว่างเปล่า เป็นจิตที่บริสุทธิ์ เป็นจิตที่ปรมังสุขขัง เป็นบรมสุขนั้นเอง นี้คือ จุดมุ่งหมายปลายทาง ที่พวกเราทั้งหมดสามารถไปถึงได้ ด้วยการสะสมบุญบารมี และการเห็นโทษของการเวียนว่ายตายเกิด ว่าเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
     
  14. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    สติ คือการนึกออก ระลึกรู้
    ปัญญา คือรู้ในเหตุและผลตามความเป็นจริงตามสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น และทำลายความเห็นผิด

    การมีสติระลึกถึงสัญญา คือ"ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ก็ไม่ใช่เป็นเรา" เป็นสติที่เกี่ยวเนื่องจากสัญญาที่จำได้หมายรู้

    ปัญญาทางธรรม
    เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่าเวทนา เธอทั้งหลาย พึงเห็นเวทนานั้นด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา
    ที่มา พระไตรปิฏก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑


    ด้วยปัญญาอันชอบ หมายถึงรู้ในเหตุและผลตามความเป็นจริงตามสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ด้วยสัมมาทิฐิคือความเห็นถูกต้องทางธรรม
    เช่นขณะที่ชนหัวแตก หลังเกิดการชนเวทนาที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไร หลังหายชาเริ่มเจ็บเวทนานั้นเป็นอย่างไร เกาไปโดนตอนสระผมเวทนาเป็นอย่างไร
    ๑ในเวทนา๕ ตัวไหนที่เกิด ตัวไหนที่ดับ
    ๑สุข ๒ทุกข์ ๓โสมนัส ๔โทมนัส ๕อุเบกขา
    หลังสติเกิด "ร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา เวทนานี้ก็ไม่ใช่เป็นเรา"
    ปัญญาต้องรู้องค์ธรรมมะที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น ปัญญาเข้าพิจารณา เวทนาตัวที่เกิด และดับ เป็นการพิจาณาทางปัญญาเพราะอารมณ์ที่รู้สึกเจ็บนั้นเป็นของเวทนา ไม่ใช่ตัวกูที่เจ็บ

    ปัญญาทางโลก
    ต้องพิจารณาว่าที่ชนหัวแตก, ที่เดินชนแคร่, ที่โดนแตนต่อย เป็นตัวอย่างของการขาดสติ ครั้งต่อไปจะทำอะไรให้มีสติ หากระวังเห็นอยู่หัวก็หลบได้ไม่โดนโขกให้เจ็บฟรี, หากระวังกว่านี้เดินห่างแคร่สักหน่อยก็ไม่ชน, อย่าปล่อยให้แตนต่อยเรื่องของเรื่องมันหลบกันได้ สติมีไว้ป้องกันเหตุการณ์เฉพาะหน้าไม่ใช่ปล่อยปละละเลยตัวเอง หากพลาดเกิดอุบัตติเหตุควรไปหาหมอ หรือควรทายาดูแลตามอัตภาพหรือ ตรวจดูแล้วไม่เป็นไรถึงปล่อยไว้อย่างนั้น

    โรคทางกายรักษาตามอาการ หากมีสติไม่พลั้งเผลอ คุณจะไม่เจ็บตัวฟรีอีกเลย
    โรคทางใจการเจริญสติช่วยได้ แต่ถ้าจะให้ดีต้องเป็นการเจริญสติที่ประกอบด้วยปัญญา
     

แชร์หน้านี้

Loading...