สมุดภาพพุทธประวัติ สำหรับประชาชน

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 8 ธันวาคม 2008.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ ๘๐
    อายตนะหก
    [​IMG]
    พระองค์ทรงแสดงธรรมกับภิกษุ ให้เห็นว่าอาตยตนะทั้ง ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรานั้น มันเหมือนการเอาสัตว์ 6 ชนิดมาผูกเชือกไว้ แล้วรวบมัดมันไว้ตรงกลาง งูมันก็จะเข้ารู จระเข้ก็จะลงน้ำ นกก็จะบินขึ้นฟ้า ลิงก็จะขึ้นต้นไม้ พวกหมู หมา กวาง เก้ง มันก็จะเข้าป่าเข้าดงไปตามเรื่องของมัน ก็เหมือนกับตาของเรา มันก็พยายามชอนไชหารูป หูก็พยายามที่จะหาเสียง ลิ้นก็พยายามที่จะหารส มันพยามยามดึงทุกวิถีทาง ฉะนั้น เราจะต้องคอยกระตุกเชือกไว้ตรงกลาง คือ มีสติคอยดึงตา ดึงหู ดึงจิต ไม่ให้มัน ไปยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส เพราะฉะนั้นชีวิตและวันคืนของเราก็คือคอยดึงเชือกไว้ แล้วชีวิตของเราก็จะสงบเย็น เพราะฉะนั้นต้องระวัง เรื่องนี้ท่านสอนไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม
     
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 81
    ภัยอันเกิดขึ้นกับพรหมจรรย์

    [​IMG]
    ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงอุปมาภัยที่จะเกิดขึ้นกับพรหมจรรย์ ว่าเหมือนกับภัยอันเกิดจากปลาฉลาม จระเข้ น้ำวน คลื่นในมหาสมุทร
    ภัยจากปลาฉลาม คือ มาตุคาม ได้แก่ การถูกยั่วยวนจากเพศตรงข้าม
    ภัยจากน้ำวน คือ กามคุณห้า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หาเงินหาทองมาได้ก็วนไปหาซื้อรูปสวย ๆ เสียงเพราะ ๆ กลิ่นหอม ๆ รสอร่อย ๆ สัมผัสนุ่มนวล
    ภัยจากจระเข้ ก็คือกินตะพึดตะพือ จระเข้โยนอะไรไปก็หายตะพึด
    ภัยอันเกิดจากคลื่น คือ ทนความยั่วให้โกรธไม่ได้ มีอะไรมายั่วให้โกรธ ก็โกรธได้ง่าย นี้เป็นภัยของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สี่ประการนี้พระองค์ทรงเน้นย้ำแล้วย้ำอีก

     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 82
    อย่าฝักใฝ่ในการกิน

    [​IMG]
    พระองค์ทรงแสดงธรรมสอนภิกษุว่าอย่าทำตัวเหมือนตัวกังสรกะ อย่ามีจิตฝักใฝ่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องพร่ำสรรเสริญในเรื่องการได้กินได้อยู่อย่างสบาย เล่าง่าย ๆ ว่า มีภิกษุองค์หนึ่งไปบิณบาตบ้านญาติโยม ได้มาแล้วเกิดอร่อย ติดใจในรสอาหาร ก็มานั่งพูดกันว่า แหม เมื่อไรจะได้ไปบิณฑบาตบ้านนั้นอีก บ้านนั้นจะใส่อย่างนั้นอย่างนี้อีก
    พระองค์ก็ว่า ภิกษุเอ๋ย ถ้านั่งพูดกันอย่างนี้ก็เหมือนตัวกังสรกะที่ชอนไชอยู่ในกองอุจจาระปัสสาวะ ไม่ได้พ้นไปจากเรื่องกิน ซึ่งเมื่อย่อยเข้าไปก็เป็นอุจจาระ ที่ว่าเลิศว่าประเสริฐก็กลายเป็นของเน่า เพราะฉะนั้นอย่าให้จิตไปนั่งคิดนั่งนึกแต่เรื่องอย่างนี้ นี่ก็เรียกว่าเลวพอ ๆ กับไอ้ตัวกังสรกะชอนไชอยู่ นึกถึงอยู่แต่เรื่องกิน

     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 83
    โปรดองคุลิมาล

    [​IMG]
    ภาพนี้คือการโปรดองคุลิมาล ซึ่งเข้าใจผิดว่าถ้าได้ตัดนิ้วคนสักพันหนึ่งจะทำให้ตัวเองวิศษเลิศขึ้นมา จึงเบียดเบียนเข่นฆ่าเขา พระองค์ได้ไปทรงโปรดว่า องคุลิมาลเอ๋ย หยุดเถอะ ชีวิตที่เราพล่าผลาญเขานั้นน่ะ เหมือนกับเด็ดใบไม้ออกจากก้านจากขั้ว แล้วต่ออีกไม่ได้ ลูกเมียเขาต้องวิปโยคโศกศัลย์ องคุลิมาลเอ๋ย จงหยุดเสียเถอะ องคุลิมาลก็บอก ว่าเราน่ะหยุดแล้ว ท่านน่ะยังไม่หยุด ยังเดินไปอยู่ พระองค์บอกว่า เราน่ะหยุดจากการหยิบศาสตราวุธประหัตประหาร หยุดเบียดเบียนผู้อื่นแล้ว องคุลิมาลได้ฟังเช่นนี้ก็คิดได้ ก้มลงกราบพระองค์ ต่อมาองคุลิมาลก็ได้บวชและได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในพุทธศาสนา

     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 84
    ความผิดของอชาติศัตรู

    [​IMG]
    ภาพนี้แสดงถึงความผิดอันใหญ่หลวงของพระเจ้าอชาตศัตรู เมื่อได้ฆ่าพ่อแล้วก็เกิดความรู้สึกวิตกในบาป จึงสอบถามอำมาตย์ที่ไว้ใจทั้งหลายให้นำไปพบศาสดาที่จะช่วยสอนให้สงบใจ อำมาตย์ทั้งหลายก็พากันไปหาอาจารย์นั้นอาจารย์นี้ แต่ชีวกโกมารภัจจ์อำมาตย์คนหนึ่งได้บอกว่า ลองไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคซึ่งอยู่ในสวนมะม่วง ปรากฏว่าเมื่อเข้าไปใหม่ ๆ นั้น พระเจ้าอชาตศัตรูไม่รู้ว่าองค์ไหนเป็นพระพุทธเจ้า และรู้สึกวังเวงขนพองสยองเกล้า เนื่องจากพระสงฆ์จำนวน 500 รูปที่อยู่กับพระพุทธเจ้า ไม่มีเสียงกระแอมไอ ไม่เสียงที่จะโหวกเหวกโวยวาย จึงทำให้พระเจ้าอชาติศัตรูขนพองสยองเกล้าเนื่องจากกระทำผิด ทำการฆ่าพ่อของตน

     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 85

    บาปที่ร้ายแรง

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจาอชาติศัตรูเป็นเวลานานมาก แต่ปรากฏว่าพระเจ้าอชาตศัตรูไม่ได้บรรลุธรรม เพียงเกิดความเลื่อมใสและศรัทธาพระพุทธเจ้าขึ้น พระพุทธองค์จึงได้ตรัสกับพระสาวกว่า ถ้าหากพระเจ้าอชาตศัตรูได้ฟังธรรมเทศนาชุดนี้จบแล้ว โดยไม่ได้ไปกระทำบาป คือฆ่าพ่อมาก่อน พระเจ้าอชาติศัตรูจะต้องบรรลุธรรมในธรรมเทศนาครั้งนี้เป็นแน่นอน แต่เนื่องจากบาปที่ฆ่าพ่อนั้นมันมากเหลือเกิน แล้วคนที่เคยฆ่าพ่อฆ่าแม่นั้นเมื่อไปติดคุกแล้วมันบาปสาหัสสากรรจ์ คนในคุกนี้มันเตะมันซ้อมกันน่าดูเหลือเกิน บาปอะไรไม่ร้ายแรงเท่ากับฆ่าพ่อฆ่าแม่ เพราะฉะนั้นทุกท่านต้องพยายามนึกไว้อย่าได้เผลอใจไปฆ่าผู้เป็นพ่อเป็นแม่เข้า

     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 86
    ตอบข้อสงสัยของพราหมณ์

    [​IMG]
    มีพราหมณ์คนหนึ่ง ได้ไปเฝ้ากราบทูลพระพุทธเจ้าในทำนองว่า พระพุทธองค์คงจะทำอะไรไม่มีขั้นมีตอน และได้พูดขึ้นว่า…
    ข้าแต่พระองค์ท่านผู้เจริญ เขาจะทำบ้านทำเรือน เขายังมีขั้นมีตอน มีการขุดหลุม การตอกเข็ม ก่อตั้งเสา ขึ้นหลังคา อย่างโน้นอย่างนี้ อยากจะทราบว่า พระองค์มีขั้นตอนในการสอนสาวกอย่างไรบ้าง และมีลำดับในการปฏิบัติยังไง
    พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสตอบไปว่า…
    เราทำตามขั้นตอนเหมือนกัน คือพยายามปลุกเร้าชี้นำให้สาวกสำรวมในศีล สำรวมในปาติโมกข์ และเห็นโทษภัยในการทำผิดสิกขาบท ซึ่งแม้กระทั่งเล็กน้อย ให้เห็นโทษ อย่าประมาทในโทษอันเล็กน้อย เพราะมันจะคืบคลานให้ใหญ่ต่อไปได้ นี้ประการที่หนึ่ง
    ประการต่อมาก็คือ ให้สำรวมอินทรีย์ ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้เป็นที่หลั่งไหลของอาสวะ คือความยินดียินร้ายมาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
    ประการถัดมา ให้ประกอบตนเป็นผู้ไม่ยินดีในการหลับไหล ไม่เห็นแก่นอน ให้มีความขวนขวายทำความเพียร ตื่นอยู่ทุกเมื่อ มีสติสัมปชัญญะ มีความเพียรเผากิเลส ถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกนี้
    ประการต่อมา พยายามแนะนำสั่งสอนให้ยินดีและเสพเสนาสนะอันสงัด ไม่เข้าไปคลุกคลีด้วยหมู่และคณะ เสนาสนะใดที่เขามีฝูงชนมากด้วยคลื่นฝูงชนพากันสนุกสนานบนถนนหนทางนั้น อย่าได้เข้าไปเสพในเสนาสนะเช่นนั้น
    ประการต่อมา พยายามให้เจริญฌาน พยายามเพ่งหาความสงบ และพยายามละนิวรณ์
    พระพุทธองค์ตรัสเป็นข้อเป็นลำดับมาอย่างนี้ ฉะนั้นกล่าวได้ว่า พระพุทธองค์มีการกระทำอย่างมีขั้นมีตอน ไม่ถูกเขากล่าวหาว่าเป็นคนทำอะไรไม่มีขึ้นมีตอน พระพุทธองค์จึงเป็นนักวิชาการที่วางขั้นตอนได้อย่างยอดเยี่ยม ตั้งแต่ให้เริ่มต้นสำรวมระวังในปาติโมกข์ สำรวมระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รู้จักประมาณในอาหาร ประกอบตนให้เป็นผู้ตื่น มีความเพียรเผากิเลส เสพเสนาสนะอันสงัด เจริญฌาน และละนิวรณ์

     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 87
    ข้าศึกของกุศล

    [​IMG]
    ครั้งหนึ่งมีพวกนักแสดงร่ายรำฟ้อนรำมาทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ข้าพเจ้าทำโลกนี้ให้รื่นเริงตลอดเวลา เมื่อข้าพเจ้าตายไปแล้วนี่จะมีอานิสงส์เป็นอะไรบ้าง? พระพุทธองค์บอกว่าผู้ที่ทำความรื่นเริงให้กับโลกหลงใหล ด้วยการเอาความสนุกชนิดที่เป็นข้าศึกต่อกุศลมามอมเมาปวงชนให้สิ้นสติปัญญา ตายแล้วจะตกเป็นเปรต อสุรกาย เพราะทำให้คนส่วนใหญ่ลุ่มหลง เขาทำมาหากินเหน็ดเหนื่อย ก็ไปหลอกให้เขามาลุ่มหลงเอาเงินทองของเขาไปกินไปใช้อย่างมัวเมา ไม่เคยคิดจะเอามาสร้างสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล พวกนี้ตายแล้วก็เป็นเปรต นี่ขณะยังไม่ตายก็เป็นเปรต เพราะจะไปจัดวงดนตรีฉายหนังที่ไหนก็เก็งกำไร นี่เป็นเปรตตั้งแต่จัดเวที เรียกร้องให้คนมาดูหรือประชาสัมพันธ์แล้ว

     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 88
    พระที่อยู่กับพระพุทธเจ้ายังทิ้งพระองค์ไป

    [​IMG]
    ภาพนี้กล่าวถึงพระภิกษุรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นพระอุปัฎฐากของพระพุทธองค์ก่อนพระอานนท์ แต่ว่าภิกษุรูปนี้อุปัฎฐากพระพุทธองค์อยู่พักใหญ่ก็เกิดความเบื่อหน่าย จะผละหนีไม่อุปัฎฐากพระผู้มีพระภาคอีกต่อไป
    พระผู้มีพระภาคก็บอกว่า อย่าเลย อย่าเพิ่งรีบไปเลยพระเมฆิยะเอ๋ย ท่านอย่าเพิ่งรีบไปเลย ขอให้คนให้คนอื่นมาอุปัฎฐากเปลี่ยนกันก่อน แล้วค่อยไปเถอะนะ
    แต่ปรากฏว่าภิกษุเมฆิยะนี้ก็ไม่เชื่อฟัง พยายามหลีกเร้นจาก หรือว่าทอดทิ้งธุระที่อุปัฎฐากพระผู้มีพระภาคไป
    นี่แหละ คนอยู่ร่วมกับพระพุทธเจ้านั้น ก็มีคนเข้ามาบ้าง มีคนออกไปบ้าง เขาว่าคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าคิดว่า คนที่อยู่กับพระพุทธเจ้ายังทิ้งพระพุทธเจ้าไปได้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเลวหรือไม่ดี แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากอยู่เองเขาจึงจากไป ซึ่งเรื่องนี้ก็มีปรากฏอยู่มากมาย
    บางคนนี่ลุกหนีจากพ่อไป คนเขาก็คิดว่าพ่อมันคงไม่ดี ลูกมันถึงอยู่ไม่ได้
    หรือว่าสมภารวัด พอลูกวัดออกไป ก็คิดว่า เอ๊ะ สมภารคงเลวร้าย ลูกวัดจึงอยู่ไม่ได้
    และการที่ญาติโยมไม่เข้าวัด จะโทษฝ่ายอยู่หรือโทษฝ่ายไปไม่ได้ด้วยกันทั้งนั้น ต้องหาข้อมูลความจริง บางคนนี่ แหม วิพากวิจารณ์ ปรากฏว่าสมภารอยู่ก็ได้รับกรรมอาน ซึ่งทั้ง ๆ ที่พระรูปนั้นท่านอาจจะออกไปเพราะความอยากจะไปเสพเสนาสนะอันสงัด หรือว่าอยากจะไปเพราะเหตุใดก็แล้วแต่ท่าน เหมือนอย่างในกรณีพระองค์นี้ ท่านต้องการไปเสพเสนาสนะอันสงัด แต่แล้วจิตใจก็ยังฟุ้งซ่านก็กลับมาอีก
    เรื่องเหล่านี้ไม่ควรจะไปวิจารณ์ว่าผู้ที่อยู่เป็นผู้เสียหาย ทำให้ผู้ที่ไปต้องเดือดร้อน ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันมีอยู่มากมาย ไม่ใช่ว่าผู้อยู่จะเลวร้าย หรือว่าผู้ไปจะดีเสมอไป หรือว่าผู้อยู่จะดี ผู้ไปจะเสียหาย เรื่องนี้ต้องทำใจเป็นกลาง หรือว่าฟังเหตุผลกันให้รอบคอบ

     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 89
    อรหันต์ก่อนบวช

    [​IMG]
    เช้าวันหนึ่ง พระพุทธองค์บิณฑบาตแล้วก็ได้มาพบกับพาหิยะ ซึ่งถือว่าการไม่นุ่งผ้าจะทำให้ตนเองประเสริฐ เพราะมีคนนับถือ คนนี้มันก็แปลก นับถือโดยไม่มีเหตุมีผล ไปนับถือเลื่อมใสคนที่ไม่มีผ้าจะนุ่ง พาหิยะก็เลยเชื่อถือเอาด้วยทิฏฐิแปลก ๆ ว่า คนเราจะดีมันดีเอง อยู่ ๆ ก็มีคนเลื่อมใสได้
    พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมสั้น ๆ ว่า พาหิยะเอ๋ย เธอจงมีสติ มีทิฎฐิใหม่เถอะ ให้รู้ว่าตาเห็นรูปก็สักแต่ว่าเห็นรูป หูฟังเสียงก็สักแต่ว่าฟังเสียง พาหิยะก็แวบขึ้นในใจ บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ แต่อนิจจา… จะขอบวชยังหาผ้ามาบวชไม่ได้ ถูกควายขวิดตายเสียก่อน เป็นสาวกที่เป็นอรหันต์รูปเดียวเท่านั้นที่ยังไม่ทันได้บวช

     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 90
    อารมณ์โกรธ

    [​IMG]
    ทรงแสดงสอนภิกษุ เรื่องความโกรธ… อารมณ์ของคนนี่ บางคนมันมีอารมณ์วูบวาบเหมือนกับรอยไม้กรีดลงไปในน้ำ โกรธวูบเดี๋ยวก็หาย ไม่อาฆาตมาดร้าย ผูกพยาบาทนาน บางคนนี่มีอารมณ์โกรธประดุจดังเอาไม้กรีดลงไปในดิน ซึ่งฝนตกชะสักพักหนึ่งก็หาย หมายความว่า มีเรื่องอื่นมาลบมากลบมาเกลื่อนเสียก็หายไป
    แต่บางคนมันเหมือนเอามีดไปกรีดหินทีเดียว กี่ปีมันก็ยังเป็นรอยอยู่อย่างนั้น หมายถึงคนบางคนนี่อาฆาตมาดร้ายเหลือเกิน เป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกัน บางทีถึงกับบอกว่าตายแล้วอย่าได้มาเผาผีอะไรกันเลย นี่เรียกว่าอาฆาตกันยันเป็นกระดูกเป็นขี้เถ้า เหมือนกับกรีดลงไปในหิน รอยไม่ลบ กลบไม่มิด

     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 91
    ความเชื่อเรื่องกรรม

    [​IMG]
    พวกนิครนถ์ ซึ่งเป็นพวกที่ยึดถือว่าคนเรานี่จะต้องเกิดมาเพื่อใช้กรรม จะได้ความสุขก็ต้องเมื่อเอาทุกข์เข้าไปแลกด้วยการทำทรมานกายต่าง ๆ นานา โดยเขาไม่รู้หรอกว่ากรรมเขาทำมาเท่าไรและใช้ไปได้เท่าไร แล้วไม่รู้ทางให้เกิดกุศล ไม่รู้ทางให้สิ้นไปของอกุศล แต่ว่าก็ได้มาโต้เถียงกับพระพุทธเจ้าว่า…
    ท่านสมณโคดม ท่านน่ะเข้าใจไหม เชื่อหรือไม่ว่า คนเรานี่จะได้ความสุขก็ต้องเอาทุกข์เข้าไปแลก จะได้ความสุขโดยไม่ต้องมีความทุกข์น่ะมันไม่ได้
    พระพุทธเจ้าก็บอกว่า อย่ากล่าวอย่างนั้นโดยส่วนเดียว ว่ากันโดยย่อ ๆ พระองค์ทรงบอกว่าอยาผลีผลามกล่าวเช่นนั้น พวกนี้ก็บอกว่าถ้าอย่างนั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน สรุปโดยสั้น ๆ ก็เรียกว่า โดยย้อนถามว่า…
    พวกพระองค์น่ะ สมณโคดมกับพระเจ้าพิมพิสาร ใครจะมีความสุขมากกว่ากัน
    ปรากฏว่าพระองค์ก็ยังย้ำอยู่ว่า อย่าผลีผลามกล่าวอย่างนั้นนะ ว่าอย่างนั้นเถอะจะมาเปรียบเทียบกษัตริย์กับพระพุทธเจ้า ใครจะมีความสุขมากกว่ากัน พระองค์ก็บอกเอาอย่างนี้ไหม เรานี่นะเจ็ดวันเราสามารถไม่พูด ไม่ไหวติงร่างกาย ไม่กิน ไม่เสพอะไรนิ่งอยู่ได้เจ็ดวัน พระเจ้าพิมพิสารนี้ทำอย่างนี้ได้หรือเปล่า พระเจ้าพิมพิสารหรือพระราชานั่นน่ะ ไม่ได้เห็น ไม่ได้เคลื่อนไหว ไม่ได้เห็นรูป ไม่ได้ดื่ม ไม่ได้กิน เป็นเวลาเจ็ดวันนี่จะฟุ้งซ่าน ราชบัลลังก์แทบจะสั่นสะเทือน ฉะนั้นพระองค์มีความสงบนิ่ง ไม่ไหวติงได้ดีกว่า
    เอาล่ะ เป็นอันว่าพวกนิครนถ์พวกนี้ก็เกิดการโต้แย้งกันอยู่พักใหญ่ เรียกว่าจะมาต้อนให้พระองค์เหงื่อไหล แต่ต้อนไปต้อนมาก็กลับเป็นผู้ที่แย่เสียเอง เรื่องนิครนถ์นี้มีการโต้กันมาก แต่ว่าเราเอามาฟังกันสักจำนวนหนึ่ง เอามาชนกันสักนิดหน่อย ว่ากันสักนิดหน่อย

     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 92
    ปากสามชนิด

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงสอนภิกษุว่า ปากของเรานี่ต้องระวังให้ดี มีอยู่สามชนิด ปากเหมือนน้ำผึ้ง ปากเหมือนดอกไม้ และปากเหมือนคูถ ปากเหมือนส้วมนี่ เรียกว่าไปไหนเผยออ้าปากก็เหมือนเปิดฝาส้วม พูดอะไรมาที ก็เหม็นขี้หน้า เรียกว่าเหม็นขี้ปาก บางคนนี่พูดมาทีก็ว่าปากมาก คลำดูแล้วก็มีปากเดียว แต่ว่าพูดอะไรไม่ดี ส่วนปากเหมือนดอกไม้ คือ น่าฟัง น่าดู น่าชม และปากเหมือนน้ำผึ้ง…แหม หยาดเยิ้ม พูดแล้วหวานรื่นหู น่าฟัง อย่างนี้เป็นต้น
    ทรงเน้นว่าปากชนิดไหนที่จะดีมีประโยชน์ ถูกกาล ถูกเวลา ฟังแล้วได้สาระ เป็นเครื่องชำระกิเลส

     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 93
    รักษาตนเท่ากับรักษาผู้อื่นด้วย

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอุปมาเรื่องของการแสดงกายกรรมในหมู่บ้านหนึ่ง มีนักกายกรรมซึ่งมีอาจารย์กับลูกศิษย์ อาจารย์ก็เรียกลูกศิษย์ให้ขึ้นมาไต่ไม้ที่ตั้งบนไหล่ของอาจารย์ แล้วอาจารย์ก็ร้องขึ้นไปบอกว่า นี่ แกช่วยรักษาฉันให้ดีนะ หมายความว่า ขึ้นไปเหยียบเนี่ย พยายามรักษาชื่อเสียงนะ อย่าให้หล่นให้พลาดมา แกรักษาฉัน ฉันก็จะรักษาแก ว่าอย่างนั้นเถอะ ต่างคนต่างรักษาหน้าที่กันให้ดีก็แล้วกัน อาจารย์ทำหน้าที่ของอาจารย์ให้ดี ผมก็จะรักษาตัวผมให้ดี แล้วทุกอย่างก็จะดีเอง ชื่อเสียง ลาภสักการะ ก็จะมาหาเราเอง เมื่อเราต่างคนต่างรับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองดี
    พระพุทธองค์ทรงแสดงให้เห็นว่า ในโลกนี้มันอาศัยซึ่งกันและกัน ถ้าเรารักษาตนก็เท่ากับรักษาคนอื่นด้วย เรารักษาคนอื่นเท่าไรก็เท่ากับเรารักษาตนเท่านั้น
    หมายความว่า การที่เรามีเมตตา มีความอดทน มีการไม่เบียดเบียนผู้อื่น โทษภัยทั้งหลายมันก็ไม่มีมาถึงเรา เพราะเรามีเมตตา มีความอดทน ใครเขาก็ไม่กล่าวโทษเรา เราก็ไม่ได้รับทุกข์รับโทษ ไม่มีใครมาล้มทับเรา ไม่มีใครมาหล่นใส่เรา ให้ร้ายเรา นั้นก็เพราะเรามีความอดทน มีความเมตตา ความอดทน ความไม่เบียดเบียนนั้นเป็นการรักษาตนที่ยอดเยี่ยม และรักษาผู้อื่นที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้น การเถียงกันว่า จงรักษากันให้ดี จงช่วยกันให้ดี ขอให้ช่วยให้ตัวเอง จิตใจของตัวเองมีเมตตา มีความอดทน และมีการไม่เบียดเบียน จะเป็นการช่วยสังคมและช่วยตนให้อยู่อย่างมีความสุขและดีที่สุด
    เหมือนนักกายกรรม ที่คนข้างล่างผู้เป็นอาจารย์ก็มีความปรารถนาดี รักศิษย์ อย่าให้ศิษย์ตกลงมา ท่านมีความอดทนให้ศิษย์ยืนขึ้นไปบนไหล่ และไม่คิดจะเบียดเบียนทำให้ผู้ที่อยู่ข้างบนนั้นพลัดตกลงมา แล้วอย่างนี้ลาภสักการะ ชื่อเสียงก็เกิดขึ้นกับวงการกายกรรมนี้อย่างมากมาย นั่นคือผลแห่งการรักษาตน เหมือนกับเล่นตะกร้อ ส่งกันไปส่งกันมาดีมันก็ดีกันหมดทั้งวง แต่ถ้าหากไม่รับ ไม่เตะ ไม่ส่งให้ดี ชู้ตออกนอกวง มันก็พัง แพ้กันหมดทั้งวงเหมือนกัน
    นี่ชื่อว่า ถ้ารักษาตนดี มีเมตตา มีความอดทน มีความไม่เบียดเบียนผู้อื่นแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะถูกรักษาดีไปหมด

     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 94
    หลบหนีมัจจุราช

    [​IMG]
    พราหมณ์พาวรี 16 คน ได้นำปัญหาต่าง ๆ มาทูลถามคนละข้อสองข้อ มีปัญหาหนึ่งดีมากคือปัญหาของโมกขราชมาณพที่ว่า ทำอย่างไรข้าพเจ้าจึงจะไม่ให้มัจจุราชเห็น พระพุทธองค์ก็บอกว่า โมกขราช เธอจงมีสติ มองโลกนี้โดยความเป็นของว่าง ว่าไม่มีเรา ไม่มีของเรา ให้ว่างจากความรู้สึกว่าในโลกนี้มันเป็นของเรา เป็นของเราเสีย พญามัจจุราชก็จะมองไม่เห็นว่ามีเราเกิด มีเราแก่ มีเราเจ็บ มีเราตาย ให้มองว่าเป็นเพียงธรรมชาติล้วน ๆ ไหลไปเสีย จิตก็จะไม่มีตัว ความทุกข์ว่าเกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นมันไม่ใช่ทุกข์ที่ภาวะแก่ ทุกข์ที่ภาวะเจ็บ มันไปทุกข์ที่ยึดถือว่าเราแก่ เราเจ็บ ถ้ามองโลกนี้ด้วยความเป็นของว่างจากตัวเราเสียแล้ว จะไม่มีพญามัจจุราชมาตามมองเห็นเลย

     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 95
    เมื่อศรัทธา ก็ไม่มีคำว่าน้อย

    [​IMG]
    นี้เป็นภาพมีในพุทธประวัติจากหินสลัก พระพุทธองค์ออกบิณฑบาต พวกเด็ก ๆ ที่น่ารักกำลังนั่งเล่นดินเล่นทราย เอากะโหลกกะลามาทำข้าว ทำขนม ครั้นเมื่อเห็นพระพุทธเจ้าบิณฑบาต ก็เรียกพระพุทธเจ้าว่าจะรับไหม พระพุทธเจ้าก็เปิดบาตรรับจากเด็กผู้มีจิตศรัทธาน้อมอยากจะให้ จิตที่คิดจะให้นั้นมันสบาย แล้วจิตที่คิดจะให้ด้วยศรัทธานั้นชื่อว่าน้อยไม่มี เพราะขึ้นชื่อว่าจิตที่คิดจะให้ด้วยศรัทธาแล้วมันไม่มีคำว่าค่าน้อย มันมีคุณค่าทางจิตใจมาก เพราะใจที่จะคิดให้นั้นมันยาก ซึ่งมันไม่เหมือนกับเดี๋ยวนี้ แม้แค่ดินแค่ทรายล่วงล้ำเกินนิดเดียวเพื่อประโยชน์ของสาธารณะก็ยังยาก บางคนนี่ขยายที่รุกเขตกันเข้ามาจนหมดรั้วหมดหนทางเดิน นี่แหละ…จิตที่คิดจะให้มันยาก

     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 96
    ทุกชีวิตมุ่งสู่ความตาย

    [​IMG]
    พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าปเสนทิโกศล ให้เห็นภัยในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความว่า…
    ความแก่ ความเจ็บ ความตายนั้น เป็นเสมือนภูเขาก้อนใหญ่ หรือหินก้อนใหญ่ที่กลิ้งลงมาจากยอดภูเขา แล้วก็บดทับสัตว์ให้แหลกลาญไปวัน ๆ หนึ่ง ฉะนั้นชีวิตของเรานั้นแหลกไปกับเกิด ไปกับแก่ ไปกับเจ็บ ไปกับตาย ซึ่งก้อนหินนั้นกำลังกลิ้งเข้ามา
    ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาท ที่ยังอยู่ตรงนี้เพราะว่าหินก้อนใหญ่มันยังไม่กลิ้งมาข้างหลังเรา ความแก่มันกลิ้งจะทับเราอยู่ทุกวัน ความเจ็บกำลังกลิ้งจะทับเราอยู่ทุกวันและมันก็กลิ้งทับเพื่อน ญาติพี่น้อง สัตว์ต่าง ๆ ตายไปวันละศพสองศพ เรายังไม่ตกใจ จะคิดที่จะวิ่งหนีหรือ คือวิ่งไปหาพระธรรมคำสอนที่สอนให้พ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย พระองค์บอกว่า ใครได้เราเป็นกัลยาณมิตรแล้วจะพ้นเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะฉะนั้นจงวิ่งหาพระธรรมคำสอนของพระองค์ เพื่อให้พ้นหินก้อนใหญ่ที่มันจะทับเราให้แหลกลาญ

     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 97
    การฝึกม้า การฝึกพระภิกษุ

    [​IMG]
    ครั้งหนึ่ง เกสีผู้ฝึกม้าได้เข้ามากราบทูลถามพระพุทธเจ้า ว่า… พระองค์ฝึกสาวกอย่างไร?
    พระพุทธเจ้าก็เลยย้อนกลับเกสีผู้ฝึกม้าว่า แล้วท่านล่ะฝึกม้าอย่างไร?
    เกสีบอกว่า เราฝึกด้วยวิธีละมุนละไม บางทีก็ฝึกด้วยวิธีลงแส้ ลงปฏัก แล้วแต่ม้าตัวนั้นมันจะอยู่ในสภาพอย่างไร ถ้าหากว่าไม่ไหว ก็พาไปฆ่าทิ้ง
    พระองค์ก็บอกว่า เราก็เป็นเช่นนั้น เราก็ฝึกสาวกด้วยวิธีละมุนละไม และลงแส้บ้างคือขนาบบ้าง และถ้าเห็นว่าไม่ไหวเราก็ฆ่าทิ้งเช่นเดียวกัน เกสีบอกว่า เอ้า เป็นพระแล้วจะไปฆ่าได้ยังไง ไม่ผิดศีลหรือ?
    พระองค์ก็ทรงบอกว่า การฆ่าในธรรมวินัยนี้ ไม่ใช่ฆ่าเหมือนชาวโลก ที่ใช้ปืน ใช้มีด ใช้หอก ใช้ดาบ ฆ่าในความหมายของเราก็คือให้ตายจากความดี ฆ่าในอริยวินัยนี้ก็คือไม่พูด ไม่สอน ไม่เตือน ปล่อยให้เน่าอยู่กับความชั่วนั่นเอง เพราะฉะนั้น การที่ไม่มีใครคอยเตือน คอยสอน คอยห้าม นั่นถือว่าเราถูกฆ่าให้ตายจากความดี และจมอยู่กับความชั่วร้ายอย่างเน่าฟอนเฟะ เพราะฉะนั้นการฆ่าที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ การปล่อย ไม่สอน ไม่เตือน ปล่อยให้จมอยู่กับความชั่ว ให้เน่าเฟะอยู่กับความชั่ว คิดชั่ว นั่นแหละเป็นการถูกฆ่าที่ร้ายกาจที่สุด
    ท่านทั้งหลาย…ถ้าเราไม่มีใครเตือน ไม่มีใครสอนเราเลย จงรู้สึกไว้เสียเถิดว่าเรากำลังจะถูกฆ่าอย่างน่ากลัวที่สุด

     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 98
    น้ำพระทัยอันใหญ่หลวง

    [​IMG]
    ครั้งเมื่อพระนางปชาบดีโคตมี ได้นำเอาผ้าจีวรมาถวายพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงยกมือห้ามว่า ควรถวายแก่สงฆ์ และอย่าเจาะจงเฉพาะรูปใดรูปหนึ่งเลย
    ซึ่งเป็นการแสดงถึงน้ำพระทัยของพระพุทธองค์ว่า ไม่ยินดีรับไว้ในลาภสักการะแต่เพียงผู้เดียว ยังได้เหลียวแลในสังฆมณฑลหมู่สงฆ์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งชาวพุทธทั่วไปก็มักมีการเจาะจงยินดีเฉพาะบุคคลที่ตนเคารพรักใคร่รู้จัก ไม่ได้นึกถึงสังฆมณฑลทั่วไป
    นี่น้ำพระทัยของพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นพระบรมศาสดาของพวกเรานั้น พระองค์ทรงมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่สาวกของพระองค์หรือหมู่คณะเป็นอย่างยิ่ง

     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,551
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,876
    ภาพที่ 99
    ภิกษุณีองค์แรก

    [​IMG]
    ต่อมาพระนางปชาบดีก็ได้บวชเป็นภิกษุณี ซึ่งถือว่าเป็นภิกษุณีองค์แรกในพระพุทธศาสนา และต่อมาได้เป็นพระอรหันต์ เป็นภิกษุณีที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยว หลังจากที่พระบรมศาสดาพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้มีสตรีเข้ามาบวช ด้วยเห็นว่าจะเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ แต่ว่าด้วยความใจเด็ดของผู้เป็นสตรีสมัยก่อนโน้น อย่าว่าแต่แค่รักษาศีลแปดเลย ศีลสองร้อย สามร้อย ยังพยามยามที่จะรักษาไว้ได้

     

แชร์หน้านี้

Loading...