สวดมนต์ทุกวัน แต่ไม่มีพระพุทธรูปเป็นประธาน

ในห้อง 'บทสวดมนต์ - คาถา' ตั้งกระทู้โดย กนกพลศรี, 4 กรกฎาคม 2008.

  1. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    เห็นด้วยครับกับคุณ Falcon Se ในเนื้อหาส่วนใหญ่แต่..........

    แต่เวลาเราระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์(พระรัตนตรัย)
    ไม่ต้องนึกถึงภาพพระพุทธรูปในใจครับ........เพราะรูปในใจที่มีภาพพระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้าเป็นเพียงสมมติ ไม่ต้องระลึกเป็นภาพในใจครับ แต่ระลึก พุทธ ธรรม สงฆ์ให้ได้ตลอดเวลาหรือถ้าไม่ได้ก็ให้ระลึกบ่อยๆครับ
     
  2. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    ตัวอย่างวิธีการระลึก

    ให้ใช้การนึก(ระลึก) นึกว่า "ขออำนาจ พุทธ ธรรม สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้ ญาติ ให้เทพที่รักษา ให้นายเวร ให้เชื้อโรค ของข้า" (โดยที่ไม่ต้องนึกภาพใดๆส่วนคำที่ขีดเส้นจะเปลี่ยนเป็นคำว่าของ ลูกข้า เมียข้า แม่ข้า เจ้านายข้าฯก็แล้วแต่เราจะระลึกให้)
     
  3. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    ชาวพุทธที่สกปรก เล่ม 36 หน้า 373


    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม 5 ประการ
    ย่อมเป็นอุบาสกผู้เลวทราม เศร้าหมอง และน่าเกลียด ธรรม 5 ประการเป็นไฉน ? คือ

    1. อุบาสกเป็นผู้ไม่มีศรัทธา
    2 เป็นผู้ทุศีล
    3. เป็นผู้ถือมงคลตื่นข่าว เชื่อมงคลไม่เชื่อกรรม
    4. แสวงหาเขตบุญภายนอกศาสนานี้
    5. ทำการสนับสนุนในศาสนานั้น

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาสกผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ ประการนี้แล เป็นอุบาสกผู้เลวทราม
    เศร้าหมอง และน่าเกลียด.


    *** เป็นผู้ไม่มีศรัทธา คือ ไม่เชื่อมั่นในพุทธ – ธรรม – สงฆ์ อย่างถูกต้อง
    ไม่เชื่อมั่นว่าพระรัตนตรัยมีอยู่จริง ประกาศตนหรือปฏิญาณตนว่านับถือพุทธะตามธรรมเนียมประเพณีเฉยๆ
    ไม่รู้เรื่อง – ไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจในคำสอนพุทธะ

    *** เชื่อมงคลตื่นข่าว คือ ถือเอาตามความเห็นของคนส่วนมากที่ไม่รู้จริงว่าสิ่งนั้นดี – สิ่งนี้ดี
    เหรียญรุ่นนั้นดี – เหรียญรุ่นนี้ดี หรือ ถือเอาวัตถุใดๆว่าเป็นมงคล หรือ เชื่อหมอดูทั้งหลาย
    หรือ กราบไหว้บูชาเอาพระพุทธรูปเป็นที่พึ่ง - เอาพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้า เป็นต้น

    คำว่า มงคล ตามหลักพุทธศาสนามีอยู่ 38 ประการ พุทธประกาศเอาไว้แล้ว
    พระอรรถกถาจารย์ท่านก็ได้อธิบายเพิ่มเติมเอาไว้อย่างละเอียดมาก อยู่ในเล่ม 39
     
  4. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center></TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom noWrap align=right height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>
    เล่ม 31 หน้า 384

    ผู้ใดมีศรัทธาตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ในพระตถาคต มีศีลอันงาม ที่พระอริยเจ้าใคร่แล้ว
    สรรเสริญแล้ว มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ และมีความเห็นตรง

    บัณฑิตเรียกผู้นั้นว่า เป็นคนไม่ขัดสน ชีวิตของเขาไม่เปล่าประโยชน์

    เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญา เมื่อระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า
    พึงประกอบตามซึ่งศรัทธา (ความเชื่อมั่น) ศีล ความเลื่อมใส และความเห็นธรรม.



    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    คุณสมบัติของพระรัตนตรัย ที่พระพุทธรูปไม่มี เล่ม 33 หน้า 327

    ชื่อว่า พุทธ เพราะกำจัดภัยของเหล่าสัตว์ ด้วยให้สิ่งที่เป็นประโยชน์เป็นไป
    ให้ออกจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ หรืออีกอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าชื่อว่าเป็นสรณะ
    เพราะกำจัดภัยของสัตว์ทั้งหลายด้วยการให้หันเข้าหาประโยชน์
    และให้หันเหออกจากสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล ทรงเป็นที่ดำเนินไปในเบื้องหน้า
    ทรงเป็นที่ยึดเหนี่ยว ทรงเป็นผู้ทำลายทุกข์

    ชื่อว่า ธรรม เพราะยกสัตว์ให้ข้ามจากกันดารคือภพ และเพราะทำความเบาใจแก่สัตว์โลก

    ชื่อว่า สงฆ์ เพราะทำสักการะแม้มีประมาณน้อย กลับได้ผลไพบูลย์.

    ฉะนั้น พระรัตนตรัยจึงเป็นสรณะ โดยปริยายแม้นี้



    และเล่ม 39 หน้า 19

    บัดนี้ จะกล่าวอธิบายคำที่ว่าจะประกาศพระสรณตรัยนั้น ด้วยข้ออุปมา (ข้อเปรียบเทียบ) ทั้งหลาย ก็ในคำนั้น

    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน พระจันทร์เพ็ญ
    พระธรรมเปรียบเหมือนกลุ่ม รัศมีของพระจันทร์
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน โลกที่เอิบอิ่มด้วยรัศมีของพระจันทร์เพ็ญที่ทำให้เกิดขึ้น
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ดวงอาทิตย์ทอแสงอ่อน ๆ
    พระธรรมดังกล่าวเปรียบเหมือน ข่ายรัศมีของดวงอาทิตย์นั้น
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน โลกที่ดวงอาทิตย์นั้นกำจัดมืดแล้ว.
    พระพุทธเจ้าเปรียบ เหมือนคนเผาป่า
    พระธรรมเครื่องเผาป่าคือกิเลสเปรียบเหมือน ไฟเผาป่า
    พระสงฆ์ที่เป็นบุญเขต เพราะเผากิเลสได้แล้ว เปรียบเหมือนภูมิภาคที่เป็นเขตนา เพราะเผาป่าเสียแล้ว.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน เมฆฝนใหญ่
    พระธรรมเปรียบเหมือน น้ำฝน
    พระสงฆ์ผู้ระงับละอองกิเลสเปรียบเหมือน ชนบทที่ระงับละอองฝุ่นเพราะฝนตก.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน สารถีที่ดี
    พระธรรมเปรียบเหมือน อุบายฝึกม้าอาชาไนย
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ฝูงม้าอาชาไนยที่ฝึกมาดีแล้ว.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ศัลยแพทย์ [หมอผ่าตัด] เพราะทรงถอนลูกศรคือ ทิฏฐิได้หมด
    พระธรรมเปรียบเหมือน อุบายที่ถอนลูกศรออกได้
    พระสงฆ์ผู้ถอนลูกศรคือทิฏฐิออกแล้ว เปรียบเหมือน ชนที่ถูกถอนลูกศรออกแล้ว.

    อีกนัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน จักษุแพทย์ เพราะทรงลอกพื้นชั้นโมหะออกได้แล้ว
    พระธรรมเปรียบเหมือน อุบายเครื่องลอกพื้น [ตา]
    พระสงฆ์ผู้มีพื้นชั้นตาอันลอกแล้ว ผู้มีดวงตาคือญาณอันสดใส เปรียบเหมือนชนที่ลอกพื้นตาแล้ว มีดวงตาสดใส.
    อีกนัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนแพทย์ผู้ฉลาด เพราะทรงสามารถกำจัดพยาธิคือ กิเลสพร้อมทั้งอนุสัยออกได้
    พระธรรมเปรียบเหมือน เภสัชยาที่ทรงปรุงถูกต้องแล้ว
    พระสงฆ์ผู้มีพยาธิคือกิเลสและอนุสัยอันระงับแล้วเปรียบเหมือน
    หมู่ชนที่พยาธิ(ความเจ็บป่วย) ระงับแล้ว เพราะการประกอบยา.

    อีกนัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ชี้ทาง
    พระธรรมเปรียบเหมือน ทางดี หรือ พื้นที่ที่ปลอดภัย
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ผู้เดินทางถึงที่ที่ปลอดภัย
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน นายเรือที่ดี
    พระธรรมเปรียบเหมือน เรือ
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้เดินทางถึงฝั่ง.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ป่าหิมพานต์
    พระธรรมเปรียบเหมือน โอสถยาที่เกิดแต่ป่าหิมพานต์นั้น
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้ไม่มีโรคเพราะใช้ยา.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ประทานทรัพย์
    พระธรรมเปรียบเหมือน ทรัพย์
    พระสงฆ์ผู้ได้อริยทรัพย์มาโดยชอบเปรียบเหมือน ชนผู้ได้ทรัพย์ตามที่ประสงค์.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ชี้ขุมทรัพย์
    พระธรรมเปรียบเหมือน ขุมทรัพย์
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้ได้ขุมทรัพย์.

    อีกนัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าผู้เป็นวีรบุรุษเปรียบเหมือน ผู้ประทานความไม่มีภัย
    พระธรรมเปรียบเหมือน ไม่มีภัย
    พระสงฆ์ผู้ล่วงภัยทุกอย่างเปรียบเหมือน ชนผู้ถึงความไม่มีภัย
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ปลอบ
    พระธรรมเปรียบเหมือน การปลอบ
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้ถูกปลอบ
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน มิตรดี
    พระธรรมเปรียบเหมือน คำสอนที่เป็นหิตประโยชน์
    พระสงฆ์เปรียบเหมือนชน ผู้ประสบประโยชน์ตน เพราะประกอบหิตประโยชน์ (ประโยชน์เกื้อกูล)
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน บ่อเกิดทรัพย์
    พระธรรมเปรียบเหมือน ทรัพย์ที่เป็นสาระ
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน ชนผู้ใช้ทรัพย์ที่เป็นสาระ
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ผู้ทรงสรงสนานพระราชกุมาร
    พระธรรมเปรียบเหมือน น้ำที่สนานตลอดพระเศียร
    พระสงฆ์ผู้สรงสนานดีแล้วด้วยน้ำคือพระสัทธรรม เปรียบเหมือน หมู่พระราชกุมารที่สรงสนานดีแล้ว.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ช่างผู้ทำเครื่องประดับ
    พระธรรมเปรียบเหมือน เครื่องประดับ
    พระสงฆ์ผู้ประดับด้วยพระสัทธรรมเปรียบเหมือน หมู่พระราชโอรสที่ทรงประดับแล้ว.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ต้นจันทน์
    พระธรรมเปรียบเหมือน กลิ่นอันเกิดแต่ต้นจันทน์นั้น
    พระสงฆ์ผู้ระงับความเร่าร้อนได้สิ้นเชิงเพราะอุปโภคใช้พระสัทธรรมเปรียบเหมือน ชนผู้ระงับความร้อนเพราะใช้จันทน์
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน บิดามอบมฤดกโดยธรรม
    พระธรรมเปรียบเหมือน มฤดก
    พระสงฆ์ผู้สืบมฤดกดือพระสัทธรรม เปรียบเหมือน พวกบุตรผู้สืบมฤดก.
    พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน ดอกปทุมที่ปาน
    พระธรรมเปรียบเหมือน น้ำอ้อยที่เกิดจากดอกปทุมที่บานนั้น
    พระสงฆ์เปรียบเหมือน หมู่ภมรที่ดูดกินน้ำอ้อยนั้น.
    พึงประกาศพระสรณตรัยนั้น ด้วยข้ออุปมาทั้งหลายดังกล่าวมาฉะนี้.
     
  5. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    ผมว่าอะไรที่เรายังไม่รู้แจ้ง ก็ไม่ควรจะนำมากล่าวอ้างนะครับ


    ผมคงทำเช่นนั้นไม่ได้.........และถ้าหลักการนี้ถูกต้อง คงไม่มีเว็ปนี้หรอกครับ

    เพราะข้อความส่วนใหญ่ที่กระผมและเพื่อนๆสมาชิกนำมาลง นำมาเสนอก็เป็นความรู้ที่เพื่อนๆสมาชิกคิดว่าดี คิดว่าน่าจะนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้อื่นเป็นส่วนใหญ่ ข้อความเหล่านั้นก็มาจากหนังสือธรรมมะบ้าง พระไตรปิฏกบ้าง คำสอนของหลวงปู่ หลวงพ่อองค์ต่างๆบ้าง ถ้าเป็นตามหลักการนี้ตัวผู้สอนหรือเจ้าของความรู้แต่ละท่านคงต้องเป็นผู้มาโพสต์เองแล้วล่ะครับ เพราะรู้จริงที่สุด๐

    และถ้าเป็นตามหลักการนี้ธรรมต่างๆคุณว่า ใครสำควรเป็นผู้โพสต์มากที่สุด นอกจาก.............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2008
  6. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    เล่ม 24 หน้า 401

    รูปใด ๆ จะอยู่ในโลกนี้หรือโลกอื่นและจะอยู่ในอากาศ มีรัศมีรุ่งเรืองก็ตามที
    รูปทั้งหมดเหล่านั้น อันมารสรรเสริญแล้ว วางดักสัตว์ไว้แล้ว เหมือนเขาใส่เหยื่อล่อเพื่อฆ่าปลา ฉะนั้น.



    บ่วงแห่งมาร เล่ม 28 หน้า 192

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก
    อาศัยความใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่หากภิกษุเพลิดเพลินสรรเสริญ หมกมุ่น พัวพันรูปนั้น
    ภิกษุนี้เรากล่าวว่าไปสู่ที่อยู่ของมาร ตกอยู่ในอำนาจของมาร ถูกมารคล้อง รัด
    มัดด้วยบ่วง ภิกษุนั้นพึงถูกมารผู้มีบาปใช้บ่วงทำได้ตามปรารถนา ฯลฯ

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมารมณ์ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก
    อาศัยความใคร่ ชวนให้กำหนัด มีอยู่ หากภิกษุเพลิดเพลินหมกมุ่น พัวพันธรรมารมณ์นั้น
    ภิกษุนี้เรากล่าวว่า ไปสู่ที่อยู่ของมาร ตกอยู่ในอำนาจของมาร ถูกมารคล้อง รัด มัดด้วยบ่วง
    ภิกษุนั้นพึงถูกมารผู้มีบาปใช้บ่วงทำได้ตามปรารถนา
     
  7. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    รักสิ่งใด...ตายแล้วก็จะไปอยู่กับสิ่งนั้น เล่ม 43 หน้า 17

    ...ลำดับนั้น พี่สาวของท่านจัดแจงวัตถุมียาคูและภัตเป็นต้น
    เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุสามเณรผู้ทำจีวรของพระติสสะนั้น.
    ก็ในวันที่จีวรเสร็จ พี่สาวให้ทำสักการะมากมาย.
    ท่านแลดูจีวรแล้ว เกิดความเยื่อใยในจีวรนั้นคิดว่า "ในวันพรุ่งนี้ เราจักห่มจีวรนั้น"
    แล้วพับพาดไว้ที่สายระเดียง ในราตรีนั้น ไม่สามารถให้อาหารที่ฉันแล้วย่อยไปได้
    มรณภาพ (ตาย) แล้ว เกิดเป็นเล็นที่จีวรนั้นนั่นเอง……


    อาลัยสิ่งใด...ตายแล้วไปเกิดอยู่กับสิ่งนั้น เล่ม 51 หน้า 107

    …พระศาสดาตรัสว่า
    ภัททชิ รัตนปราสาทที่เธอเคยอยู่ในเวลาที่เธอเป็นพระราชามีนามว่า มหาปนาทะอยู่ตรงไหน ?
    พระภัททชิเถระกราบทูลว่า จมอยู่ในที่นี้พระเจ้าข้า.
    พระศาสดาตรัสว่า ภัททชิ ถ้าเช่นนั้น เธอจงตัดความสงสัยของเพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย.
    ในขณะนั้น พระเถระ ถวายบังคมพระศาสดาแล้ว ไปด้วยกำลังฤทธิ์
    ยกยอดปราสาทขึ้นด้วยหัวแม่เท้าแล้วชะลอปราสาท สูง ๒๕ โยชน์
    เหาะขึ้นบนอากาศ และเมื่อเหาะขึ้นได้ ๕๐ โยชน์ ก็ยกปราสาทขึ้นพ้นจากน้ำ
    ลำดับนั้นญาติทั้งหลายในภพก่อนของท่าน เกิดเป็นปลาเป็นเต่าและเป็นกบ
    ด้วยความโลภอันเนื่องอยู่ในปราสาท เมื่อปราสาทนั้น ถูกยกขึ้นก็หล่นตกลงไปในน้ำ
    พระศาสดาเห็นสัตว์เหล่านั้นตกลงไป จึงตรัสว่า ภัททชิ ญาติทั้งหลายของเธอจะลำบาก.
    พระเถระจึงปล่อยปราสาท ตามคำของพระศาสดา……….



    หลวงพ่อเกษมบอกว่า

    พวกคนที่มีเครื่องรางของขลังหรือวัตถุวิเศษใดๆก็ตาม
    และพวกคนเหล่านี้มีความรัก – อาลัย – ยึดถือ
    ในเครื่องรางของขลังหรือวัตถุวิเศษใดๆนั้นว่าเป็นที่พึ่ง
    เมื่อพวกคนเหล่านี้ตายไปแล้วก็เข้าไปสถิตอยู่ในเครื่องรางของขลังหรือวัตถุวิเศษเหล่านั้นก็มีมาก
     
  8. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    ผู้พอใจในรูปร่างทั้งหลาย...ต้องรู้ เล่ม 36 หน้า 357

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอาทิตตปริยายและธรรมปริยายแก่เธอทั้งหลาย
    เธอทั้งหลายจงฟัง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาทิตตปริยายและธรรมปริยายเป็นไฉน.
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลแทงจักขุนทรีย์ (หน่วยตา) ด้วยหลาวเหล็กอันร้อนไฟติดลุกโพลงแล้ว
    ยังดีกว่า การถือนิมิตโดยอนุพยัญชนะในรูป อันจักขุวิญญาณพึงรู้แจ้ง จะดีอะไร
    วิญญาณอันตะกรามด้วยความยินดีในนิมิต (เครื่องหมาย) หรือตะกรามด้วยความยินดีในอนุพยัญชนะ
    เมื่อตั้งอยู่ก็พึงตั้งอยู่ได้ ถ้าบุคคลพึงทำกาลกิริยา (ตาย) เสียในสมัยนั้นไซร้
    ข้อที่บุคคลจะพึงเข้าถึงคติ (การไปเกิด) ๒ อย่าง คือ
    นรกหรือกำเนิดสัตว์เดียรฉานอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็เป็นฐานะที่จะมีได้
    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเราเห็นโทษอันนี้ จึงกล่าวอย่างนี้.....


    *** อนุพยัญชนะ หมายถึง แยกถือเอาเป็นส่วนๆ เช่น มืองาม, เท้างาม , คิ้วงาม ,หน้างาม , เป็นต้น
    รูปนี้หมายรวมทั้ง พระพุทธรูปด้วยนะ



    --------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    แม้แต่รูปร่างของพระพุทธเจ้าตัวจริงๆ เมื่อ 2500 กว่าปีก่อน
    ก็ยังอันตรายถ้าไปยึดเอาเป็นที่พึ่ง
    เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงพระพุทธรูปทั้งหลายหรือวัตถุทั้งหลายเลย


    ผู้ยึดติดในรูปร่างทั้งหลาย....อันตรายนะ เล่ม 20 หน้า 287

    ในขณะนั้นท่านพระราหุลเสด็จไป ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ (เบื้องหลัง)
    ของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแลดูพระตถาคตตั้งแต่พื้นพระบาท (เท้า)
    จนถึงปลายพระเกสา (ผม) ท่านพระราหุลนั้นทอดพระเนตร (มองดู)
    เห็นความงดงามของเพศพระพุทธเจ้าของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงดำริว่า
    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระสรีระ (ร่างกาย) วิจิตรด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ งดงาม
    ได้เป็นดุจเสด็จไปท่ามกลางผงทองคำอันกระจัดกระจาย
    เพราะแวดล้อมด้วยพระรัศมีวาหนึ่งดุจนกบรรพตอันแวดล้อมด้วยสายฟ้า
    ดุจทองคำมีค่าวิจิตรด้วยรัตนะอันฉุดคร่าด้วยยนต์ แม้ทรงห่มคลุมด้วยผ้าบังสกุลจีวรสีแดง
    ก็ทรงงามดุจภูเขาทองอันปกคลุมด้วยผ้ากัมพลแดง ดุจทองคำมีค่าประดับด้วยสายแก้วประพาฬ
    ดุจเจดีย์ทองคำที่เขาบูชาด้วยผงชาด ดุจเสาทองฉาบด้วยน้ำครั่ง
    ดุจดวงจันทร์วันเพ็ญโผล่ขึ้นในขณะนั้นไปในระหว่างฝนสีแดง.

    สิริสมบัติของอัตภาพ (ความเป็นตัวตน) ที่ได้เตรียมไว้ด้วยอานุภาพแห่งสมติงสบารมี. (บารมี 30)
    จากนั้นพระราหุลเถระก็ตรวจดูตนบ้าง ทรงดำริว่า แม้เราก็งาม
    หากพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงครองความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมหาทวีปทั้ง 4
    ได้ทรงประทานตำแหน่งปริณายก (ผู้เป็นหัวหน้า) แก่เรา เมื่อเป็นเช่นนั้น.
    ภาคพื้นชมพูทวีปจักงามยิ่งนัก จึงเกิดฉันทราคะอันอาศัยเรือนเพราะอาศัยอัตภาพ

    แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินไปเบื้องหน้าก็ทรงดำริว่า
    บัดนี้ราหุลมีร่างกายสมบูรณ์ด้วยผิวเนื้อและโลหิตแล้ว.
    เป็นเวลาที่จิตฟุ้งซ่านไปในรูปารมณ์เป็นต้นอันน่ากำหนัด. ราหุลยังกาลให้ล่วงไปเพราะเป็นผู้มักมากหรือ
    หนอ. ครั้นแล้วพร้อมกับทรงคำนึงได้ทรงเห็นจิตตุปบาทของราหุลนั้น
    ดุจเห็นปลาในน้ำใสและดุจเห็นเงาหน้าในพื้นกระจกอันบริสุทธิ์.
    ก็ครั้นทรงเห็นแล้วได้ทรงทำพระอัธยาศัยว่า ราหุลนี้เป็นโอรสของเรา เดินตามหลังเรา
    มาเกิดฉันทราคะอันอาศัยเรือนเพราะอาศัยอัตภาพว่า เรางาม ผิวพรรณของเราผ่องใส.
    ราหุลแล่นไปในที่มิใช่น่าดำเนิน ไปนอกทาง เที่ยวไปในอโคจร
    ไปยังทิศที่ไม่ควรไปดุจคนเดินทางหลงทิศ. อนึ่งกิเลสของราหุลนี้เติบโตขึ้นในภายใน
    ย่อมไม่เห็นแม้ประโยชน์ตน แม้ประโยชน์ผู้อื่น แม้ประโยชน์ทั้งสองตามความเป็นจริง.

    จากนั้นจักถือปฏิสนธิ (เกิด)ในนรกบ้าง ในกำเนิดเดียรัจฉานบ้าง ในปิตติวิสัยบ้าง
    ในครรภ์มารดาอันคับแคบบ้าง เพราะเหตุนั้นจักตกไปในสังสารวัฏอันไม่รู้เบื้องต้นที่สุด........

     
  9. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    ขออนุญาติเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับ.....
     
  10. Falcon_Se

    Falcon_Se เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2008
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +223
    คือเราสมมติว่าภาพนี้คือพระพุทธเจ้า นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นพุทธานุสติอยู่ตลอดเวลาไม่ได้เหรอครับ ..ถ้าไม่นึกถึงเป็นภาพพระพุทธเจ้า แล้วผมต้องกำหนดจิตระลึกถึงสัญลักษณ์หรือสิ่งใดที่แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ?? อันนี้ผมไม่ทราบจริงๆ

    ตอนผมไปบวช หลวงตาท่านหนึ่งสอนให้ผมนั่งสมถภาวนา โดยยึดบทพุทธคุณ ระลึกถึงพุทธานุสติ อย่างนี้จะใช้ได้หรือไม่ คือ หลวงตาบอกให้ผมพิมพ์หรือเขียนบทพุทธคุณตัวใหญ่ๆ แยกตัวอักษรให้ชัดเจนเช่น อิ ติ ปิ โส ภะ คะ วา ไปจนถึง.. ภะ คะ วา ติ แล้วให้ลองกำหนดให้เห็นเป็นภาพ มองไปทางไหนก็เห็นเป็นตัวอักษรพุทธคุณ อิ ติ ปิ โส ฯลฯ ไล่จากบนลงล่าง จากซ้ายไปขวา ให้ฝึกไล่กลับหน้า กลับหลัง จากนั้นลองฝึกให้เพ่งเห็นเป็นตัวอักษรในอากาศ นึกถึงเมื่อไรก็เห็น แล้วไล่กลับไปกลับมา เพ่งให้ขยายใหญ่ก็ได้ เพ่งให้แต่ละตัวอักษรมารวมกันเป็นจุดๆ เดียว ให้เป็นแสงสว่างก็ได้ เพ่งให้มีหรือหายไป หรือว่าจะเพ่งให้ทุกๆ ตัวอักษรในบทพุทธคุณเข้ามารวมตัวกันเป็นองค์พระพุทธเจ้าก็ได้ ฝึกอย่างนี้พอได้คล่องก็จะเป็นฐานที่ดีในการฝึกวิปัสสนาต่อไป คือพอมีสมาธิดี มีพลัง ก็จะส่งผลให้การรวมสติดีขึ้น ..สรุปคือถ้าผมจะระลึกถึงพระพุทธเจ้า ผมใช้วิธีนี้โดยการเอาทุกๆ ตัวอักษรในบทพุทธคุณมาเป็นสิ่งระลึกแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่าคงไม่ผิดนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2008
  11. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    เรียนคุณ Falcon Se ครับ

    กระผมปัญญาน้อยครับ เข้าไปศึกษาตามนี้เลยครับ.......(เพราะเดี๋ยวมีคำถาม108-1009และผมไม่มีเวลานำความมูลมาเสนอได้ตลอดอยากให้พวกเราไปศีกษากันเอง)
    ในลิงค์ที่ให้นี้จะมีสารพัน-สารพัดคำถามทำนองนี้มากมายครับ เทียบคียงกับปัญหาที่เราอยากรู้เองครับ)

    http://www.samyaek.com/board2


    สนใจหมวดไหนเลือกศึกษาได้ตามอัธยาศัยครับแต่ที่นู้นเขามีกติกาให้ศึกษาก่อนตั้งคำถามใหม่นะครับ.....เพราะมีคนถามคำถามลักษณะเดียวกันซ้ำไปๆซ้ำมาโดยไม่ศึกษาก่อนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2008
  12. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
  13. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    วิธีถึงพุทธ – ธรรม – สงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง เล่ม 11 หน้า 485

    โลกิยสรณคมน์นี้นั้น จำแนกเป็น 4 อย่าง คือ

    1. โดยมอบกายถวายชีวิต
    2. โดยมีพระรัตนตรัยนั้นเป็นเบื้องหน้า
    3. โดยมอบตัวเป็นศิษย์
    4. โดยความนอบน้อม

    ใน 4 อย่างนั้น ที่ชื่อว่ามอบกายถวายชีวิต ได้แก่การสละตนแก่พระพุทธเจ้าเป็นต้นอย่างนี้ว่า
    ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอมอบตนแด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์.

    ที่ชื่อว่ามีพระรัตนตรัยนั้นเป็นเบื้องหน้า ได้แก่ความเป็นผู้มีพระรัตนตรัยเป็นเบื้องหน้าอย่างนี้ว่า
    ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอท่านทั้งหลายโปรดทรงจำข้าพเจ้าว่า
    ข้าพเจ้าเป็นผู้มีพระพุทธเจ้า มีพระธรรม และมีพระสงฆ์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า.

    ที่ชื่อว่ามอบตัวเป็นศิษย์ ได้แก่เข้าถึงความเป็นศิษย์อย่างนี้ว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
    ขอท่านทั้งหลายโปรดทรงจำข้าพเจ้าว่า
    ข้าพเจ้าเป็นอันเตวาสิก (ศิษย์) ของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม ของพระสงฆ์.

    ที่ชื่อว่าความนอบน้อม ได้แก่การเคารพอย่างยิ่งในพระพุทธเจ้าเป็นต้นอย่างนี้ว่า
    ตั้งแต่วันนี้เป็นต้น ไป ขอท่านทั้งหลายโปรดทรงจำข้าพเจ้าว่า
    ข้าพเจ้าจะกระทำการกราบไหว้ การลุกรับ อัญชลีกรรม (ประนมมือ)
    สามีจิกรรม (การกระทำที่สมควร) แด่วัตถุทั้ง 3 มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเท่านั้น.

    ก็เมื่อกระทำอาการ 4 อย่างนี้แม้อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมเป็นอันถือเอาสรณะแล้วโดยแท้.
     
  14. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    ตัวอย่างของผู้ถึงพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง เล่ม 11 หน้า 493

    พระเจ้าอชาตศัตรูถึงสรณะด้วยการมอบตนอย่างนี้ว่า
    ชีวิตของข้าพระองค์ยังเป็นไปอยู่ตราบใด
    ขอพระองค์โปรดทรงจำ คือทรงทราบข้าพระองค์ไว้ตราบนั้นเถิดว่า
    เข้าถึงแล้ว ไม่มีผู้อื่นเป็นศาสดา ถึงสรณะเป็นด้วยสรณคมน์ทั้ง 3 เป็นอุบาสก
    เป็นกัปปิยการก (ศิษย์รับใช้) ด้วยว่าแม้หากจะมีใครเอาดาบคมกริบตัดศีรษะของข้าพระองค์
    ข้าพระองค์ก็จะไม่พึงกล่าวพระพุทธเจ้าว่าไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่พึงกล่าวพระธรรมว่าไม่ใช่พระธรรม
    ไม่พึงกล่าวพระสงฆ์ว่าไม่ใช่พระสงฆ์ ดังนี้
     
  15. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    ผู้ถึงพระรัตนตรัยแบบหลอกๆ ย่อมมีโทษแก่ตน เล่ม 11 หน้า 489

    ในสรณคมน์ทั้งโลกิยะ (เนื่องในโลก) และโลกุตตระ (เหนือโลก) เหล่านั้น
    สรณคมน์ที่เป็นโลกิยะย่อมเศร้าหมองด้วยความไม่รู้ ความสงสัยและความเข้าใจผิดในพระรัตนตรัยเป็นต้น
    ไม่รุ่งเรืองมากมายไปได้ ไม่แพร่หลายใหญ่โตไปได้ สรณคมน์ที่เป็นโลกุตตระไม่มีความเศร้าหมอง

    อนึ่ง สรณคมน์ที่เป็นโลกิยะมี 2 ประเภท คือ
    1. ที่มีโทษ
    2. ที่ไม่มีโทษ

    ใน 2 อย่างนั้น ที่มีโทษ ย่อมมีได้ด้วยเหตุเป็นต้นว่า มอบตนในศาสดาอื่น เป็นต้น.
    (รวมถึงพวกที่มีวัตถุมงคลทั้งหลายเป็นที่พึ่งด้วย และ ฯลฯ แต่ก็บอกว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง)
    สรณคมน์ที่มีโทษนั้นมีผลไม่น่าปรารถนา.

    สรณคมน์ที่ไม่มีโทษ ย่อมมีด้วยกาลกิริยา(ตาย).
    สรณคมน์ที่ไม่มีโทษนั้น ไม่มีผล เพราะไม่เป็นวิบาก (ผล).

    ส่วนสรณคมน์ที่เป็นโลกุตตระไม่มีการแตกเลย. เพราะพระอริยสาวกไม่อุทิศศาสดาอื่นแม้ในระหว่างภพ.
    พึงทราบความเศร้าหมอง และการแตกแห่งสรณคมน์ ด้วยประการฉะนี้.
     
  16. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    เรื่องพระรัตนไตรในภาพรวม โดยหลวงพ่อเกษม

    พระรัตนไตร หรือ พุทธ - ธรรม - สงฆ์ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ให้ชาวโลกทั้งหลายได้ศึกษากันนี้
    เป็นเพียงวิธีการและทางดำเนินไป คือ อันนี้เป็นวิธีคิดและวิธีพิจารณาเพื่อให้เกิดความรู้
    รู้จนไม่ยึดในรูปใน - รูปนอก - รูปในใน - รูปในนอก - และไม่ยึดในเวทนา - สัญญา - สังขาร - วิญญาณ และ จิต
    ก็ปล่อยวางกันหมด เมื่อปล่อยวางกันหมดก็ดับสนิท

    พระรัตนไตร (แก้ววิเศษสุด 3 อย่าง) หรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พุทธ - ธรรม - สงฆ์
    เมื่อเกิดความรู้รอบและรอบรู้แล้วก็ดับสนิท อาการที่ดับสนิทนั่นแหละคือ พุทธ - ธรรม - สงฆ์
    ไม่ใช่อาการก่อนดับ และไม่ใช่อาการหลังดับ แม้แต่เพียงเศษเสี้ยวหนึ่งในล้านของวินาทีก่อนจะดับสนิทก็ไม่ใช่นะ

    ทีนี้เมื่อทุกอย่างดับสนิทแล้ว เราทั้งหลายอธิษฐานใช้พลังของอะไรกัน ?

    ที่เราอธิษฐานก็ใช้พลังของความดับนี่แหละ คือ
    น้อมเอาพลังของความเสียสละ - ความปล่อยคืน - ความปล่อยวางทั้งหมด - ความไม่ยึดอะไรไว้
    ปล่อย - วาง - สละไปหมด ไม่ยึดไว้แม้แต่จิต

    พลังอันที่ว่านี้จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีการสั่งสอนสืบเนื่องปฏิบัติต่อกันมาอยู่ (คือ อยู่ในยุคที่ยังมีคำสอนของพระพุทธเจ้า)
    บางยุค - บางกาล เมื่อหมดผู้สอน เมื่อหมดผู้รู้จัก พลังอันนี้ก็จะไม่มีผู้รู้จักใช้ (คือ ยุคที่พุทธศาสนาอันตรธานไปแล้ว)

    ผู้สอนคนแรก - ผู้รู้จักพลังอันที่ว่านี้เป็นคนแรกก็คือ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และได้สั่งสอนสืบเนื่องปฏิบัติต่อกันมาอยู่เป็นลำดับโดยพระสงฆ์สาวกของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เมื่อกาลเวลาผ่านไปเนิ่นนานมากๆ
    ผู้สอนพุทธศาสนาในลำดับหลังๆนี้ก็จะพาผู้คนไม่ให้เอา - ไม่ให้ทำตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้
    และผู้สอนพุทธศาสนาในลำดับหลังๆนี้ก็จะพาผู้คนไปเอาอันอื่น - ไปเอาสิ่งอื่นมาปะปน - ไปเอาสิ่งอื่นมาผสมปนเปกัน
    จนผู้คนทั้งหลายเกิดอาการ งง ไม่รู้จักพุทธ - ธรรม - สงฆ์ ที่แท้จริงว่าเป็นอย่างไร ?

    ถึงแม้ว่า พุทธ - ธรรม - สงฆ์ จะมีอยู่ตลอดกาลในอนันตจักรวาลโดยอานุภาพก็ตามที
    แต่ถ้ายุคไหน - กาลใด สัตว์โลกไม่น้อมนำมาทำประโยชน์ให้เกิดขึ้น
    สัตว์โลกทั้งหลายก็จะไม่มีผู้ได้รับประโยชน์จากอานุภาพของพระรัตนตรัยเลย

    เพราะเมื่อสอนเรื่องพระรัตนตรัยกันแล้วไม่มีผู้เข้าใจ
    นานไปผู้ที่ไม่เข้าใจนั้นก็ไปสอนกันต่อก็ยิ่งเลอะเลือน นานไปผู้ที่เลอะเลือนนั้นก็ไปสอนกันต่อก็ยิ่งเลือนลางจางหาย
    ท้ายที่สุดก็จะหาคำหรือหาความคิดแม้เพียงครั้งเดียวของขณะจิตที่จะระลึกถึงพระรัตนตรัยก็ไม่มีเลย

    แต่ในขณะปัจจุบันนี้เราทั้งหลายต่างก็โชคดีกันมากๆ ที่ได้พบเจอกับคำสอนของพระรัตนตรัย
    จงเร่งศึกษาค้นคว้า อย่ามัวแต่อยากฟังและอยากถามแต่ผู้ที่เกิดในยุคนี้และมีความรู้น้อยเช่นเรา

    จงค้นศึกษาตรวจดูคำสอนของพระพุทธเจ้าที่มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาลให้ดีก่อน ก่อนที่จะถามเรา
    มันจึงจะสามารถเข้าใจได้ เพราะว่าถ้าจะเอาเฉพาะคำพูดของเราแล้ว ไม่มีผู้ที่จะลงใจในคำพูดของเราได้ง่ายๆหรอก

    จงเร่งศึกษาและค้นคว้่าพิจารณาคำสอนของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎกด้วยตัวเอง
    แล้วเราจะยืนยันให้ตามความรู้ที่เรามี มันยังจะดีกว่า ดีกว่าที่จะคอยแต่ถามเราผู้มีความรู้น้อยนิด
    น้อยนิดจนไม่สามารถจะเทียบได้กับธุลีที่ติดปลายส้นพระบาทของพุทธองค์ แม้เพียงแป๊ปเดียวแล้วหลุดออก
    ความรู้ที่เรามีก็ไม่สามารถจะเทียบได้แล้ว

    เพราะฉะนั้นจึงควรฟังและพิจารณาตามคำสอนของพระพุทธองค์ที่ยังมีอยู่นั่นแหละเป็นสำคัญ

    พระเกษม อาจิณฺณสีโล
     
  17. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    หลวงพ่อเกษมสอนว่า

    ลำดับของศาสนาพุทธ (่พระพุทธองค์สอนไว้)

    1. มีไตรสรณะ คือ มีพระพุทธ – ธรรม – สงฆ์ เป็นที่พึ่งที่คิดถึง
    2. รู้จักให้ทานอุทิศ
    3. ให้ทานอย่างบริสุทธิ์
    4. ให้ทานอย่างบริบูรณ์
    5. รู้จักรักษาศีล
    6. รักษาศีลให้บริสุทธิ์
    7. รักษาศีลให้บริบูรณ์
    8. เรียนกรรมฐาน
    9. เรียนจนเข้าใจชัด
    10. ฝึกกรรมฐาน
    11. ทำกรรมฐาน
    12. เร่งทำกรรมฐาน

    อธิบายเนื้อความโดยพิสดารว่า

    1. มีพุทธ – ธรรม – สงฆ์ เป็นที่พึ่งของจิตใจ เมื่อเกิดมีอันตรายขึ้นจิตจะยึดเอาพุทธ – ธรรม – สงฆ์
    คิดขึ้นมาโดยไม่ได้ทำการตั้งใจเลย (อัตโนมัติ) เป็นขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ
    ไม่ใช่ว่าเมื่อมีอันตรายแล้วจะคิดถึงเหรียญ – รูป – พุทธรูป - ตะกรุด - ปะคำ - ปลัดขิก - กุมารทอง ฯลฯ
    หรือวัตถุใดๆที่เป็นดิน – น้ำ – ลม – ไฟ แบบนี้ไม่ถูกต้องเลยสำหรับชาวพุทธ
    แต่ให้คิดถึงพุทธองค์โดยคุณหรือโดยธรรมหรือโดยสงฆ์ นี่แล
    จึงเป็นการพึ่งพุทธ – ธรรม – สงฆ์ หรือ รัตนไตร แปลเป็นไทยว่า แก้ววิเศษ 3 ประการ

    2. รู้จักให้ทานและอุทิศคือขณะที่ให้ทานยังไม่เสร็จหรือเสร็จพอดีก็ตาม ก่อนให้และกำลังให้และหลังจากให้
    จงคิดอุทิศ (โอนไปไกลๆก็ได้) ว่า บุญนี้ให้ ญาติ – เทพที่รักษา – นายเวร – เชื้อโรค ของข้า
    หรือของใครอื่นก็ได้ ที่เราต้องการช่วยแก้ความทุกข์เข็ญของเขา
    หรือจะแก้ความทุกข์เข็ญของเราเอง ก็ได้ทั้งนั้น

    3. ทานอย่างบริสุทธิ์คือ สิ่งของที่จะให้ทานนั้น ไม่ได้มาโดยการผิดศีลผิดธรรม
    จะต้องได้มาด้วยความบริสุทธิ์ และรู้จักเลือกที่ให้ทานในที่บริสุทธิ์เช่น
    พระ – เณร - สมณผู้ทรงศีลหรือทรงธรรม หรือทรงทั้งศีลทั้งธรรม
    หรือให้แก่ผู้ที่ทรงธรรมทรงศีลที่เป็นโยมก็ได้เหมือนกัน
    แต่จะต้องไม่ลืมอุทิศ เพราะถ้าไม่อุทิศก็เป็นตระหนี่บุญที่เป็นนามบุญ (บุญทิพย์)
    ก็จะมีแต่บุญที่ทำได้เอง บุญที่เกิดจากการอุทิศจะไม่มี

    4. ให้ทานอย่างบริบูรณ์ สิ่งของที่จะให้ทานก็เป็นของที่บริสุทธิ์ และเหลือเอาไว้กับตนแต่พอใช้เท่านั้น
    นอกนั้นจะมีน้อยหรือมากก็ตาม ให้ออกไป ทานออกไป อุทิศ (โอนไปทั้งไกลด้วยใกล้ด้วย)
    หมายถึงให้ทานด้วยสิ่งของในโลกมนุษย์ แล้วจะต้องให้ของที่มีอยู่ในโลกทิพย์ออกไปอีก
    ด้วยวิธีเบิกบุญแล้วโอนออกไป โดยการพึ่งพุทธ – ธรรม – สงฆ์ คือ

    "ขออำนาจพุทธ – ธรรม – สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้ญาติ – ให้เทพที่รักษา – ให้นายเวร – ให้เชื้อโรค "

    (จนถึงพวกสัตว์ที่เป็นจุล คือเล็กสุดของตัวสัตว์ จนถึงจุลใจหรือจุลจิต ดวงใจที่รับบุญได้มีอยู่)
    และถ้าผู้ใดทำความรู้ – รับรู้ได้ไกล คือคิดพรึบเดียวไปหลายๆจักรวาล หาที่สุดไม่ได้
    ผู้นั้นจะอุทิศแบบรวบรวมเลยก็ได้ คือ "ขออำนาจพุทธ – ธรรม – สงฆ์ จงบันดาลบุญข้าให้สัตว์ทั้งหลาย"
    แต่ต้องดูพลังความคิดของตนให้ดี คิดพรึบเดียวไปไกลรอบปานนั้นได้หรือไม่ ถ้าได้ก็ให้คิดโอนไปแบบนั้น
    ถ้าทำแบบนั้นไม่ได้ ควรคิดโอนบุญออกไปตามกำลังความคิดของตนเอง
    คือให้เป็นที่เป็นที่ไปเช่น โอนให้ญาติ (จะเป็น เปรต – ผี – ปีศาจ – เทวดา – ยักษ์ – คนธรรพ์ –
    กุมภัณฑ์ – นาค – ครุฑ – อสูร – มาร – พรหม สัตว์ที่เป็นจุล (ฝุ่นของฝุ่น) ที่เป็นสัตว์รับเอาบุญได้มีอยู่)
    เมื่อโอนให้ญาติแล้วต่อไปก็ให้เทพที่รักษา(จะเป็นเปรต – ผี – ปีศาจ ฯ ที่เปลี่ยนภูมิดีขึ้นแล้วมารักษาเราก็มีอยู่
    หรือเทพผู้ที่มีหน้าที่รักษาคน – สัตว์ที่จัดกันมาเฝ้ารักษาคนก็มีอยู่) เขาเหล่านั้นรับบุญได้มีอยู่
    ให้เทพที่รักษาแล้วต่อมาก็ให้นายเวร (นายเวรก็มีทุกภพทุกภูมิเหมือนกันกับญาตินั้นแหละ)
    เมื่อให้นายเวรแล้วก็ควรให้เชื้อโรคด้วย ถึงแม้จะตัวเล็กแต่ก็มีจิต – มีความคิดอาฆาต – มีความคิดผูกมิตรกันได้
    ผู้ที่จะผูกมิตรควรผูกมิตรด้วยบุญ (ด้วยความสุข)
    เมื่อให้ของในมนุษย์เช่นนี้คือความบริบูรณ์ของมนุษย์และเบิกบุญในโลกทิพย์โอนออกให้.....อย่างที่ว่ามา
    เป็นการให้ทานของในโลกทิพย์

    5 – 6 – 7 เมื่อได้ให้ทานแล้วอุทิศ (โอน) อย่างข้อ 1 – 4
    การคิดที่จะรักษาศีล ก็คิดหาวิธีทางทำได้ง่าย
    เมื่อจะรักษาศีลควรเรียนรู้เรื่องของศีลให้ดีให้เข้าใจเสียก่อน ดูในพระไตรปิฎก คำที่พุทธองค์สอนไว้มีอยู่
    เมื่อดูเข้าใจดีแล้วจึงเริ่มรักษาศีล ถ้าเรารักษาศีลในปัจจุบันได้ดีขึ้น
    อานุภาพศีลเดิมแต่เก่าก่อนของเราที่เคยได้รักษาไว้ก็จะเข้าสัญญาณกันได้
    เมื่ออานุภาพของศีลเก่ากับศีลปัจจุบันเข้ากันได้ การรักษาศีลก็จะไม่ยากเลย
    เมื่อรักษาไม่ยาก ศีลก็จะบริสุทธิ์ได้ง่าย เมื่อศีลบริสุทธิ์อยู่นานจนพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ
    ก็จะเป็นศีลบริบูรณ์ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องศีลก็ศึกษาเพิ่มขึ้น จนเป็นศีลที่บริสุทธิ์บริบูรณ์
    เมื่อศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ จิตใจก็จะไม่ว้าวุ่น – ไม่กังวลหมกมุ่น
    เมื่อมีความกังวลขึ้นมาก็จะมีแค่ว็อบๆ แว็มๆ ไม่ถึงกับหมกมุ่นอยู่กับความกังวลนั้นๆ

    8 – 9 – 10. เรียนกรรมฐานเช่น คิดดูอาการ 32 ในร่างกายตน
    คือผมเป็นเส้นๆบนศรีษะคิดทั้งวันหรือจะคิดแบบดูไปเรื่อยๆ
    คิดดูเรื่องผมพอให้มีมโนภาพ (ภาพในความคิด) มีพอแว็บๆว่าเป็นผม ก็ย้ายไปดูขน
    ต่อไปก็ดูเล็บ – ฟัน – หนัง – เนื้อ – เอ็น – กระดูก ฯลฯ ไปจนถึงน้ำเยี่ยว
    หลักกรรมฐานแบบนี้และหลักกรรมฐานแบบอื่นๆ มีอยู่มากมายหลายอย่าง
    ถ้ายังไม่เข้าใจดีก็อย่าเพิ่งไปทำกรรมฐาน ให้เรียนรู้ดูตำรากรรมฐานจนเข้าใจเสียก่อนจึงควรไปทำกรรมฐาน
    เมื่อทำกรรมฐานก็ฝึกทำไปเรื่อยๆ จนจับหลักกรรมฐานของตัวเองได้

    11 – 12. เมื่อรู้ว่าตนเองจับหลักกรรมฐานได้ด้วยประการใด – ตรงใหน ให้เร่งทำกรรมฐานนั้นอย่างไม่หยุดยั้ง
    เร่งคำนวณ – เร่งคิด - เร่งพิจารณา ในกรรมฐานที่ตัวเองจับจ้องอยู่ อย่างไม่ลดละ – ไม่ท้อถอย
    แบบนี้มีวันที่จะชนะแน่ ที่ว่าไม่ลดละคือไม่ลดละกรรมฐาน
    อยู่ – กิน – ไป – มา – พักผ่อน – ทุกอย่างเป็นปรกติหมด
    แต่งานที่จับจ้องกรรมฐานได้นั้นไม่ควรวาง – ไม่ควรลืมระลึก ให้นึกคิดอยู่กับกรรมฐานนั้น แบบนี้ถูกต้อง

    ถ้านึกคิดหนีไปจากกรรมฐานที่จับจ้องได้แล้ว – ที่เห็นนั้น ไม่แน่นะ กว่าที่จะจับจ้องกรรมฐานได้ใหม่ยากอยู่นะ
    บางคนต้องบอกว่าบางคน ถึงแม้จะไม่ยากในการจับหลักกรรมฐานใหม่
    แต่ว่าการย้ายกรรมฐานก็ทำให้เสียเวลา

     
  18. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    ถ้าเกิดว่า สวดมนต์แล้วไม่รู้ความหมาย

    มันหมายถึงความผิด ยังงี้ก็หมายความว่า ไม่ควรจะสวดเหรอค่ะ???


    คำตอบคือ ใช่........ครับ

    แล้ว ถ้า ไม่สวดมนต์ ไม่เริ่ม ไม่ลอง ไม่ศึกษา แล้วเราจะรู้มั้ย?

    เห็นด้วยครับ ...........แล้วในมุมกลับกัน แล้วทำไมเราไม่ศึกษา แล้วเข้าใจ แล้วสวด แล้วปฏิบัติล่ะครับ


    ยังงี้ ก็หมายความว่าเฉพาะคนที่รู้ความหมายเท่านั้นใช่มั้ยค่ะ ถึงมีสิทธิ์ที่จะสวดมนต์ได้


    ไม่ใช่ ครับ ทุกคนมีสิทธิ์สวดครับ........แต่ผลที่ได้ไม่เหมือนกันเช่น ผู้สวดแล้วรู้ความหมาย แล้วเข้าใจและทำตามที่สวดนั้นกับ ผู้สวดแล้วไม่เข้าใจความหมาย แล้วไม่ทำตามที่ตเองสวด

    รายละเอียดตามนี้ครับ (ส่วนมากให้ลิงค์ไปศึกษาไม่ค่อยไปอ่านกันต้องนำมาโพสต์ให้เป็นเรื่องๆ)


    โปรดกรุณา อ่านช้าๆ และ อ่านให้หมด
    และ คิดพิจารณาไตร่ตรองตามด้วย




    คุณของการสวดมนต์คือ สวดแล้วรู้เรื่อง - รู้ความหมาย -
    ปฏิบัติได้ถูกต้องตามที่สวดนั้น - และสวดด้วยจิตใจอิ่มเย็นโอบอ้อมอารี
    เพราะมนต์ทั้งหมดในพระพุทธศาสนาคือคำสอนแม้จะเป็นคำสรรเสริญก็ืคือคำสอน
    ถ้าจะสวดเป็นบาลีก็ต้องสวดให้ถูกต้องตามอักขระฐานกรณ์ของภาษาบาลีด้วย
    ( แต่ต้องเป็นมนต์ที่พระพุทธเจ้าพาทำมาและสอนไว้)

    โทษของสวดมนต์คือ สวดแบบไม่รู้เรื่อง - ไม่รู้ความหมาย - ทำไม่ถูกตามที่สวด -
    สวดเพื่อให้ขลัง - อ้อนวอน - สวดเสก - เป่าให้ผู้อื่นฉิบหาย หรือ
    สวดแล้วรู้เรื่องและเข้าใจอย่างดีแต่ไม่ทำตาม เช่น พระสวดพระวินัยทุุกๆ 15 วันแต่ก็ทำผิดพระวินัยมากมาย
    และโยมสวดประกาศปฏิญาณตนมอบกายถวายชีวิตนับถือ พุทธ - ธรรม - สงฆ์ เป็นที่พึ่ง แต่ไม่กระทำตามนั้น
    ยังไปนับถือสิ่งอื่นเพิ่มอีกเช่น ผี - เทวดา - เครื่องรางของขลัง ฯลฯ

    เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมผิดต่อคำสวดที่ตนเองสวดคำพุทธเจ้าสอนอยู่
    และโทษย่อมเกิดขึ้นกับตนผู้ไม่ได้ศึกษาพุทธศาสนาให้ดี


    สำหรับผู้ชอบสวดมนต์เป็นภาษาบาลี ถ้าไม่รู้เรื่องคือไม่ได้แปล เมื่อไม่แปลก็ไม่เข้าใจความหมาย
    เมื่อไม่เข้าใจความหมายของบทสวดมนต์ ถึงแม้จะมีสติกำกับอยู่อย่างดี แต่สตินั้นก็เป็น มิจฉาสติ
    แม้กระทั่งมีความเลื่อมใสปลาบปลื้มปิติอยู่ด้วย ก็ยังเป็นความเลื่อมใสปลาบปลื้มปิติที่ผิด

    สตินั้นมีอยู่ของมันทุกเมื่ออยู่แล้ว แต่ถ้าไประลึกผิด ก็เป็นสติที่ผิด
    ทุกอย่างต้องเข้าใจชัดเจนถูกต้อง จึงจะเป็นสัมมาสติ จึงจะเป็นสติที่ถูกในความหมายของพระพุทธศาสนา

    พุทธเจ้าสอนเอาไว้แล้วว่า ผู้ที่จะเรียนธรรม - วินัยของพระองค์ ต้องเรียนด้วยภาษาที่ผู้เรียนสามารถเข้าใจได้
    ถ้าหากเรียนธรรม - วินัยด้วยภาษาที่ผู้เรียนไม่เข้าใจ
    พุทธเจ้าตำหนิเอาไว้แล้วว่าเป็นการ " ปฏิบัติผิด "
    การปฏิบัติผิดนี่ต้องได้บาป
    ต้องไปรับโทษในนรก - เปรต - สัตว์เดรัจฉาน
    เมื่อได้หมุนวนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ก็เป็นมนุษย์ที่มีสติ - ปัญญาไม่ดี
    เรียนรู้อะไรก็เข้าใจยากมาก เงอะงะๆ เซ่อๆซึมๆ สาเหตุก็เพราะได้สร้างความงงงวย - งมงาย - ไม่รู้เรื่อง
    เหยียบย่ำตัวเองเอาไว้แล้วเรียบร้อยในคราวนี้ด้วยการสวดมนต์คือคำสอนของพระพุทธเจ้าแบบผิดๆ


    คำสั่งพระพุทธเจ้าให้กล่าวธรรม
     
  19. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122
    หลวงปู่ท่านเทศน์สอนอธิบายละเอียดกว่าตัวหนังสือครับ

    สนใจเอาซีดีที่หลวงปู่เทศน์สอนฟรีครับhttp://www.samyaek.com/media


    เกือบลืมไป.........หลวงปู่ยังมี ชีวิตอยู่ครับ เคยมีผู้ถามสงสัยว่า ท่านเป็น พระอรหันต์หรือไม่ ท่านเป็นพระแท้หรือไม่ ท่าน....ฯลฯ ไปหาคำตอบที่วัดเองเลยครับ

    ท่านไม่รับนิมนต์ใดๆทั้งนั้นอยู่วัดตลอด แต่ถ้าให้ดีศึกษาก่อนไปหานะครับเดี๋ยวประเภทถามอะไรเงอะๆงะๆ หรือประเภทเก่งตามเว็บนี่ เดี๋ยวโดนหลวงปู่เอ็ดจะหาว่าไม่เตือนนะครับ


    แต่สำหรับผู้ที่ศึกษาแล้วเข้าใจดีแล้ว ท่านว่าไม่ต้องมาครับ มันลำบาก ประเภทมาขอชมบารมี ท่านไม่ต้อนรับนะครับ แล้วประเภทที่ไปถึงวัด แล้วหลวงปู่ถามว่ามีธุระอะไร แล้วตอบว่าไม่มีธุระอะไรมากราบไหว้เฉยๆ

    พอกราบเสร็จ ท่านเดินกลับกุฏิเลยนะครับ จะพูดจะถามอะไรต้องระมัดระวังนะครับเพราะท่านจะเอาตามคำพูดนั้นเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กรกฎาคม 2008
  20. paranyu

    paranyu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    259
    ค่าพลัง:
    +122

แชร์หน้านี้

Loading...