สอบถามผู้รู้หน่อยครับหลังจากนั่งสมาธิ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Jerusale, 22 ธันวาคม 2017.

  1. Jerusale

    Jerusale เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2005
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +171
    ขอสอบถามหน่อยครับว่าเพื่อนๆมีอาการแบบผมมั้ย
    คือผมขอบอก พื้นหลังก่อนนิดนึงนะครับ ผมจะนั่งสมาธิเป็นประจำอยู่แล้วปกติเวลาจิตสงบก็จะเกิดปิติและก็สงบนิ่งหลังจากออกสมาธิ ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมฝึกนั่งสมาธิมา10กว่าปีแล้ว
    แต่เมืิ่อครึ่งปีที่ผ่านมา ผมได้ลงคอสเรียนครูสมาธิของหลวงพ่อวิริยัง ผมก็ปฏิบัติตามปกตินะครับ เมื่อไม่นานมานี่ผมนั่งสมาธิช่วงพักกลางวันไปไม่นาน ก็รู้สึกว่าตัวเองรู้สึกนิ่งมีความสุข หัวว่างมากพอครบ 30 นาที หลังจากนั้นผมก็ออกจากสมาธิ ตามปกติ แต่จากนั้น พอผมนั่งทำงานหรือว่านั่งนิ่งๆทั้งที่ลืมตาอยู่ ก็จะมีอาการเหมือนปิติตลอด ผมจึงพยายามคิดเรื่องต่างๆที่ทำให้มันไม่มีสมาธิ แต่ดันไม่มีเรื่องให้คิด คิดไม่ออกหัวมันโล่งตลอดเวลา ก่อนนอนผมก็เลยนั่งสมาธิไปพักใหญ่ๆ จากนั้นก็ออกจากสมาธิแล้วก็นอนหลับ แต่แปลกนะครับมีความรู้สึกเหมือนไม่ได้หลับก็คิดว่าจะทำงานไหวมั้ยไม่ได้นอนเลยคือรู้สึกตัวตลอด พอตอนเช้าตื่นมาทำงานก็สามารถทำงานได้ตามปกติแถมไม่มีความเพลียเลยรู้สึกสดชื่นมีพลัง ทั้งวัน ผ่านมา 2 วันแล้วก็ยังมีความรู้สึกแบบนั้นเวลานั่งนิ่งๆก็จะเกิดอารมปิติเหมือนเดิม หรือเพียงแค่หลับตาไม่นานก็จะนิ่งมากๆ ผมอยากทราบว่าอาการของผมนี้คืออะไรหรือครับ เพราะว่าไม่เคยเกิดแบบนี้เลย รบกวนผู้รู้ครับ
     
  2. กึกก้อง

    กึกก้อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2009
    โพสต์:
    609
    ค่าพลัง:
    +3,478
    เก่งครับ รักษาอารมณ์แบบนี้ไว้ และ รักษาลมหายใจลมหายใจไว้ตลอดครับ ถ้ามีโอกาสก็ไปถามพระอาจารย์เล็กที่บ้านเติมบุญได้จะดีครับ
     
  3. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,115
    ค่าพลัง:
    +3,085
    อุปจารสมาธิครับ
     
  4. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    เวลาได้สมาธิ เขาให้พิจารณา ความจริงเห็นไตรลักษณะ หรือเห็นโลกเป็นดั่วหัวฝีหนองไม่น่ารักน่าใคร่เป็นอนาคามีกันไปเลย ไม่ใช่มานั่งไม่รู้เรื่องอะไร มันจะได้อะไรบ่ะแบบนั้น
     
  5. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    เกิดอาการแบบนี้ ก้แปลว่าคุณฝึกมานานแล้วจริงนั่นแหละครับ
    อารมที่เกิดขึ้นเป็นณานนะครับที่เกิดในช่วงเวลาของระหว่างวันหรือหลังจากหลับไปแล้ว
    เพียงแต่คุณต้องฝึกที่จะควบคุมการเข้าออกของมันให้ชำนาญครับ เมื่อเราฝึกนั่งหลับตาก้เพราะช่วงต้นนั้นจิตของเรายังไม่คุ้นชินอันภาพและเสียงภายนอกจะมารบกวนได้แต่เมื่อเราฝึกจนชินแล้ว เมื่อเราทำกิจใดเราก้ยังคงสามารถทรงจิตเป็นณานได้ แม้ไม่ต้องหลับตา ดังนั้นเมื่อความสงบ ปิติ สุข เกิด เป็นอารมเดียว คุรจึงรับรู้ได้ว่าเป็นอาการเดียวกันแต่ตอนนั้นคุณไม่ได้นั่งหลับตาอยุ่เฉยๆ จริงๆแล้วเราสามารถทรงณานได้ทั้งอาการอื่น เดินนั่นนอนกินพูด คิดทำงานครับ เพียงแต่เป็นการทรงไว้ในปฐมณาน จริงๆมันสามารถพัทนาและนำไปใช้ประโยชได้อีกหลายรุปแบบนะครับทั้งนำไปวิปัสนาหรือนำไปเจริญในสมถะเข้าสุ่ณาน 23 4 ได้ และเมื่อคุนเข้าออกระหว่างอารมณานกับธรรมดาได้คล่องๆคุณก้จะเห็นได้ว่าระดับของสมาธิในจิตแต่ละอย่างนั้นแตกต่างกันและไม่ได้แปลกหรือพิศดารแต่อย่างใด เป็นเรื่องเข้าใจได้และใช้งานได้ครับ
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    โหตั้งแต่เข้าเวบนี้มาพึ่งเคยเจอแบบคุณนี่หละครับ
    ส่วนตัวผมว่าดีนะครับ
    และควรจะต้องเป็นแบบนี้หละครับ
    ถ้าสมาธิที่ฝึกมาได้ผลเราจะ
    ดูในเวลาใช้ชีวิตปกติครับ

    ขอพูดแบบเจาะเลยนะครับ
    เป็นกิริยาทีจิตมันไม่เกิดได้เองชั่วคราว
    และก็ไม่เกาะสมาธิและสัมผัสใดๆได้ชั่วคราวครับ
    พูดง่ายๆว่ามันวางการยึดเกาะต่างๆที่ทำให้จิตเกิดได้เอง แต่จิตยังไม่ขยายตัวนะครับ แม้ว่าจะมีการขยายด้านบนที่ศรีษะทำให้รู้สึกโล่งก็ตาม
    กิริยาทางกายก็จะเป็นอย่างที่คุณเป็นนั้นหละครับ
    คือเป็นเรื่องปกติที่จะเป็นเพราะ
    ถ้าวางแบบใช้สมาธินำหรือกำลังจิตนำกิริยาทางกายจะไม่ใช่แบบคุณครับ.

    ถ้าต่อไปหากว่าจิตขยายตัวออกไปภายนอกได้
    หมายถึงเรามีปัญญารู้เหตุแห่งการเกิดดับได้มาหนุน
    คุณจะเข้าใจกิริยาทางด้านนามธรรมต่างๆ
    ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ตามแต่ที่จิตคุณเคยสะสมมาได้
    อัตโนมัติของมันเองครับ แบบเรารู้เอง เข้าใจเอง
    อธิบายได้ยากด้วยตัวเอง

    ส่วนตัวเรียกกิริยาแบบนี้ว่า
    เส้นทางเดินสู่การกลับคืนสู่เนื้อหาเดิมแท้ของจิตครับ
    ของคุณอีกระดับเดียวจะเข้าเส้นทางนี้แล้วครับ

    ปล ของแบบนี้บางคนฝึกทั้งชาติก็ไม่เคยเกิดนะครับ
    ดังนั้นของคุณนะถือว่าดีมากแล้วครับ
     
  7. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    สมาธิเป็นแค่ฐานการบรรลุอริยสัจ คือสัพเพธรรมาอนัตตา ไม่มีอะไรน่าสนใจ
     
  8. Jerusale

    Jerusale เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2005
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +171
    ขอบคุณสำหรับทุกๆคำตอบนะครับ ผมได้ความรู้อีกมากเลย เพราะว่าเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะเกิดกับทุกๆคน ซึ่งถ้าต้องการคำตอบก็จะต้องถามคนที่รู้ ซึ่งก็หาได้ยากพอสมควร เพราะว่าในหมู่คนที่ผมรู้จัก ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
     
  9. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ เป็นอาการ "กายเบา จิตเบา สบายใสเป็นแก้ว" หากสังเกตุใบหน้าตนเอง จะรู้ได้ว่า "ยิ้มนิด ๆ โดยไร้เจตนา" คล้าย ๆ ยิ้มของ "พระพุทธรูป"
    +++ ตรงนี้ "เป็นอาการที่ ถูกต้อง ตามสัจจธรรมของ ฌาน 3 (สุข)"
    +++ ถูกต้องแล้ว อาการในระดับ "อัปนาสมาธิ" นั้น อาการ "ปรุงแต่ง เพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน" จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาเองได้เลย (พ้นนิวรณ์ 5 โดยสิ้นเชิง)
    +++ เป็น "สุข" ในรูปฌาน 3 และ "ล่วงพ้น นิวรณ์ทั้ง 5 ประการ โดยสิ้นเชิง"
    +++ ดังนั้นอาการของ "ถีนมิทธะ หรือ ความง่วงซึม" จะเกิดขึ้นไม่ได้ รวมถึง "กามารมณ์ของ กามคุณ 5 ไม่สามารถเข้าถึงได้"
    +++ จัดเป็น "จิตพ้นจาก กามาวจร ได้โดย สมถะฌานสมาบัติ"

    +++ หากนับตาม "ศีล" แล้ว ตรงนี้คุณเข้าถึง "อพรัมจริยา เวรมณี สิกขาปะทัง สมาธิ ยามิ" โดยสมบูรณ์แล้ว

    +++ ยามใดที่ "จิตถอยลงมาจาก สมถะฌานสมาบัติ จากระดับ อพรัมจริยา" ก็ให้ใช้ "อินทรีย์สังวร" คอยระวังไม่ให้เกิด "กาเม สุ/มิจฉา จารา เวรมณี..."

    +++ ศีลข้อ "กาเม" นั้นเน้นที่ "จิตส่งออก ไปยัง กามคุณทั้ง 5 ทั้ง ชอบ/ไม่ชอบ ต่าง ๆ" ดังที่หลวงปู่ดูลย์ กล่าวไว้ว่า "จิตส่งออก คือ สมุทัย" นั่นแล...

    +++ ฝึก "ลงมือทำ" ให้ได้นิสัย อย่างน้อย "ก็จะขาดจาก การเพ่งโทษผู้อื่น เป็นนิจ" และเป็นจิตที่ "พ้นกามาวจร"

    +++ หากได้ "สติ" เป็นลักษณะเด่น ในชั้น "สุข" ตรงนี้ คุณก็ "ไม่ต้องกลับมาใน กามาวจรภูมิ อีก"

    +++ หากคุณปรารถนา จะเดินตามรอยของ "พระพุทธเจ้า" ก็ให้ฝึก "เดินฌาน" แบบตรง ๆ ที่ "พระพุทธองค์" ทรงวางไว้เป็นแบบอย่าง ในยามที่ "พระพุทธองค์ ทรงวางขันธ์ เข้าสู่ประนิพพาน" ที่ "พระอนุรุธ" ได้กล่าวไว้ คือ เดินฌานจาก 1 ถึง 9 แล้วถอยกลับจาก 9 ถึง 1 จากนั้นจึงเดิน "รูปฌาน จาก 1-4 อีกรอบ" แล้ว อยู่กับ "สติบริสุทธฺ์" จนกว่า "กระบวนการจะ สิ้นสุด ด้วยตัวมันเอง" นะครับ
     
  10. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,942
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ออกจากสมาธิแล้ว แต่จิต ยังทรงอารมณ์ สมาธิ อยู่คับ

    แค่นั้นเองละคับไม่มีอะไรมาก เพียงแต่ว่า เพิ่งเคยสัมผัสครั้งแรก ก็เลยไม่รู้ สงสัย

    เดี๋ยวผ่านไปหลายๆวัน ถ้าไม่รู้จักรักษาใจให้ดี ก็กลับเป็นปรกติเอง

    หรือถ้าจะให้บอกมากกว่านี้ ก็ อาการเป็นแบบว่า ช่วงที่เป็นนี่ จิตจะสงบ ไม่ฟุ้งซ่าน จะนิ่ง จะทำอะไรก็แจ่มใส มองอะไรก็ชัดเจนไปหมด ตามกำลังที่อารมณ์ทรงสมาธิอยู่ พวกเรื่องกวนๆ พวกนิวรณ์ 5 พวกนี้ จะเข้ามาแทรกไม่มี จะรู้สึกจิตสงบไปหมด อาการนี้ ถ้าจิตมีกำลังมาก ก็จะอยู่ไปได้หลายวัน หรือ เป็นอาทิตย์ ก็ได้คับ หรือ ถ้าจงใจ ทำลาย ก็แค่จงใจคิดเรื่องอกุศลกรรม นิวรณ์ 5 ให้เข้ามาแทรก ถ้ามีกำลังมากมันก็จะหลุดลงมาเอง กลายเป็นปรกติเหมือนคนทั่วๆไป ก่อนหน้าที่ จขกท จะเป็น

    แต่บอกตรงๆ แนะนำว่า ให้รักษาอาการที่จิตยังทรงอารมณ์สมาธิ นี้เอาไว้ให้ได้เรื่อยๆ ดีกว่านะคับ ^^ เพราะ จะส่งผลให้ เวลาปฏิบัติ สมาธิ กรรมฐานอะไรก็แล้วแต่ ช่วงนี้ จะเข้าสมาธิได้ง่าย เพราะจิตสงบ สงบจากนิวรณ์ 5 จิตทรงอารมณ์สมาธิอยู่ จะทำให้ก้าวหน้าในการปฏิบัติได้มาก คับ

    แต่เมื่อไหร่ที่หลุดออกมาจากอาการนี้ ในอนาคตแล้ว ก็จะเป็นปรกติเอง ไม่ต้องแปลกใจใดๆ คับ เอาว่าคงรู้ๆกัน ที่ว่าบอกไป

    เอาเป็นว่า แนะนำว่า ให้เลิกสงสัย แล้วช่วงนี้ก็ตั้งหน้า ปฏิบัติธรรม กรรมฐาน ไปก่อน แล้วอย่าพยายาม ทำให้ นิวรณ์ 5 เกิด หรือ จงใจคิดเรื่องอกุศลกรรม ก็แล้วกันคับ แล้วเมื่อไหร่ ที่หลุดจากนี้แล้ว ในอนาคต ก็ค่อยเอามาฟุ้งซ่าน คิดเอาทีหลังอีกทีครับ ถ้าไม่รักษาใจให้ดี แค่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็หลุดลงมาเอง แนะนำว่า รักษาใจให้นานที่สุดที่ทำได้ก็แล้วกันคับ พอหมดกำลังเมื่อไหร่ เดี๋ยวก็กลับมาปรกติเอง เรื่องแบบนี้มันมีกำลัง มีระยะเวลาของมัน ตามที่เคยทำมา ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2017
  11. จิตประภัสสร1966

    จิตประภัสสร1966 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +4
    จิตตั้งมั่นแบบนี้ นำมาทำ..วิปัสสนาสติปัฎฐานสี่ ตามรู้สภาวะอารมณ์ที่กระทบ ทำความจริงให้แจ้ง..จะก้าวหน้ามาก อย่าปล่อยโอกาสในการบรรลุธรรมนะคะ
     
  12. Jerusale

    Jerusale เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2005
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +171
    ขอบคุณครับสำหรับความรู้ ตอนนี้ ผมยังทรงสมาธิอยู่ตลอดครับ ยกเว้นเวลาที่ผมทำกิจกรรมต่างๆ หรือพูดคุยกับคนอื่น จะไม่ค่อยมีอาการครับ แต่ก็ยังมีตลอด แต่พออยู่นิ่งๆสักพัก ก็จะทรงสมาธิเหมือนเดิม
     
  13. จิตประภัสสร1966

    จิตประภัสสร1966 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +4
    นี่แหละ ถ้าออกจากสมาธิมา เรียกว่า จิตตั้งมั่นจิตมีกำลัง
    เอามาใช้กำหนดรู้สภาวะอารมณ์ ดีนักค่ะ ถ้าคุณเอามาใช้ประโยชน์ตามทางที่เลือก ก็เกิดประโยชน์ตามทางน้้นๆ แต่ขอเชียร์เอามาใช้ทำความจริงให้แจ้งนะคะ เพราะถ้าใช้ทางอื่น อาจจะเกิดการยึดมั่นถือมั่น ยกเว้น การทำความจริงให้แจ้ง คลายจากการยึดมั่นถือมั่น ละวางขันธ์๕

    ความเห็นส่วนตัวนะคะ ขออภัย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2017
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ ดีแล้วครับ ค่อย ๆ ปรับอาการ "สุขอยู่ + รู้อยู่ (รู้อยู่แล้ว)" ให้ปราณีต

    +++ จากนั้นทดสอบการ "ย้ายจาก สุขอยู่ มาเป็น รู้อยู่" คือทำให้อาการ "รู้อยู่ เป็นลักษณะเด่น"

    +++ จากนั้นทดสอบการ "ย้ายจาก รู้อยู่ มาเป็น สุขอยู่" สลับกัน คือทำให้อาการ "สุขอยู่ เป็นลักษณะเด่น"

    +++ การทำการ "อยู่/ย้าย" ตรงนี้ จะได้ประโยชน์หลายประการ คือ

    1. เป็น "พื้นฐาน" ของการ "เดินจิตในระดับ อัปปนาสมาธิ" จาก เอกัคตาสู่เอกัคตา
    2. ไม่ "ติด" สมาธิ ไม่ติดสงบ ไม่ติดสุข ทั้ง ๆ ที่ "จิตยังเสพอยู่"
    3. เพื่อเป็นองค์ความรู้ ในเรื่องของ "การเดินจิต" ในสภาวะธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะ "ลึกลับซับซ้อนเพียงใดก็ตาม"

    +++ เป็นพื้นฐาน "การเดินจิต" จาก

    1. กำหนด/เข้าสู่สภาวะ = วิตก/เข้าสู่วิจารณ์
    2. เพลิดเพลิด/เข้าสู่สุข = ฌาน2/เข้าสู่ฌาน3
    3. สุข/เข้าสู่อุเบกขา = ฌาน3/เข้าสู่ฌาน4
    4. อุเบกขาที่ไม่มีอะไร/เข้าสู่อาการว่างอยู่ = ฌาน4/เข้าสู่อรูปฌานแห่ง อากาสานัญจายตนะ (ว่าง ๆ)
    5. อากาสานัญจายตนะ (ว่างอยู่)/เข้าสู่อาการรู้อยู่ = อากาสา/เข้าสู่วิญญาณัญจายตนะ (รู้อยู่)
    6. วิญญาณัญจายตนะ (รู้อยู่)/เข้าสู่อาการรู้อยู่ว่า "ไม่มีอะไรเลย" = วิญญาณัญจายตนะ (รู้อยู่)/อากิญจัญญายตนะ (โล่งอยู่)
    7. อากิญจัญญายตนะ (โล่งอยู่)/เข้าสู่อาการเกิดแล้ววางเลย = อากิญจัญญายตนะ (โล่งอยู่)/เนวสัญญานาสัญญายตนะ (เกิด/ดับ อัตโนมัติ)

    8. จนกว่าจะ "รู้" ได้ว่า "เนวสัญญานาสัญญายตนะ (เกิด/ดับ อัตโนมัติ)" นี้ "มีตนเป็นผู้ให้กำเนิด" จากนั้นจึงทำการ "ดับ/ทำลาย ความเป็นตน"
    9. ณ ขณะที่ "ความเป็นตน ไม่เหลืออยู่นั้น" สัญญา/เวทนา จะเกิดขึ้นไม่ได้ เรียกว่า "สัญญาเวทยิทธินิโรธ" หรือ นิโรธสมาบัติ

    10. ให้ "รู้" อยู่ "เฉย ๆ โดยไม่มีการแทรกแซง ในปรากฏการณ์ใด ๆ ที่ก่อกำเนิด (ประชุมรวมตัวกัน) ขึ้นมาทั้งสิ้น" หากต้องการ "รู้จักอวิชชา"
    11. "ปล่อย" ให้การ ประชุมรวมตัวกันของ "ธาตุ" นั้น "ดึงดูดกันเข้ามาเป็น วังวนของ สังขาร" ประดุจ "ตาพายุ/วังน้ำวน"
    12. ในยามที่ "ตาพายุ/วังน้ำวน" ก่อตัวสำเร็จรูป "ช่องว่างตรงใจกลางนั่นแล คือ วิญญาณขันธ์" ให้ "รู้ไปเรื่อย ๆ จนสิ้นสุดกระบวนการของ ปฏิจจสมุปบาท"

    +++ หาก "ไม่ปรารถนา" ที่จะรู้อะไรมากมาย ก็ให้ "รู้อยู่ใน ข้อที่ 9 เฉย ๆ"
    +++ จากนั้นให้ "เดินฌานกลับสู่ข้อที่ 8-1" ไปให้ชำนาญ

    +++ ความสำคัญอยู่ใน "ข้อที่ 4" ตรงอาการ "รู้อยู่/เฉยอยู่" ตรงนี้ ให้อยู่กับอาการ "รู้อยู่ (อยู่กับรู้ ของหลวงปู่ดูลย์)" จนอาการ "เฉยอยู่" จางคลายสลายตัวของมันไปเอง

    +++ การซ้อมของคุณ Jerusale ควรที่จะทดสอบการ "ย้ายจาก สุขอยู่ มาเป็น รู้อยู่" คือทำให้อาการ "รู้อยู่ เป็นลักษณะเด่น"

    +++ จากนั้นทดสอบการ "ย้ายจาก รู้อยู่ มาเป็น สุขอยู่" สลับกัน คือทำให้อาการ "สุขอยู่ เป็นลักษณะเด่น" จากนั้นให้ซ้อมกับอาการ เฉยอยู่/รู้อยู่ แบบเดียวกัน

    +++ โพสท์นี้เน้นเฉพาะคุณ Jerusale หรือ ผู้ที่เดินมาทาง "สมาธิ" เป็นหลัก ก็ให้ "ลองฝึก" ตามที่กล่าวมานี้ดู

    +++ โพสท์นี้ "ไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติของสายอื่น" นะครับ
     
  15. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    น่าจะไปถามหลวงพ่อวิริยังนะครับ
    ฝึกแนวของหลวงพ่อวิริยัง ก็ควรไปถามท่านดู

    ท่านก็มีชีวิตอยู่ จะได้หายสงสัย
    และจะได้ทราบวิธีฝึกต่อยอดกรรมฐานไปอีก
     
  16. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,860
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    ตามประสบการณ์
    มันอยู่ในช่วงทรงสมาธิอยู่
    กำลังสะสมกำลัง(ชาร์จแบตเตอรี่อยู่)

    พอมันเต็มแล้ว มันจะออกพิจารณาเรื่องราวต่างๆที่เข้ามาเกี่ยวข้อง(เดินปัญญา)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2017
  17. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,295
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    เคยเป็นเหมือนกันค่ะจขกท.
     
  18. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,567
    ค่าพลัง:
    +9,957
    +++ การโพสท์ของคุณ กล่องไม้ขีดไฟ นั้น มีเจตนาที่ดี โพสท์ตามความรู้ความสามารถที่อำนวยให้
    +++ การที่จะไปถามหลวงพ่อวิริยังนั้น ควรถามกับ "หลวงพ่อวิริยัง" โดยตรง ไม่ควร "ถามผ่านบุคคลอื่น"
    +++ หรือขั้นต่ำก็ ควรถามกับบุคคลที่มีขีดความสามารถในการ "ทำโอปนยิโก (เดินจิต)" เป็น
    +++ มิฉะนั้น อาจ "เป็นการตัดหนทางการปฏิบัติของคุณ ได้ง่าย ๆ"

    +++ สิ่งที่ผมบอกคุณ Jerusale นั้น คือการ "โอปนยิโก" ในระหว่าง ฌาน ต่าง ๆ
    +++ เพียงแต่ผม หลีกเลี่ยง "ภาษา สักสิด" ออกไป เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ เท่านั้นเอง

    +++ คุณ Jerusale ต้องตัดสินใจเอาเอง ว่าจะ "ทดลองทำ โอปนยิโก ระหว่าง สุขอยู่/รู้อยู่" หรือไม่
    +++ หรือจะ "ปล่อยไปตามยถากรรม" ก็ตาม ตรงนี้แล้วแต่ วาสนาบารมีของคุณ Jerusale

    +++ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ขอให้คุณ Jerusale เจริญก้าวหน้าในทางธรรม ไปเรื่อย ๆ นะครับ
     
  19. ออฟศัก

    ออฟศัก ทิพย์นาคาพระเครื่อง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +17
    อนุโมทนาสาธุด้วยครับ
     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,604
    ค่าพลัง:
    +3,014



    ขอเฉลยว่า

    ที่คุณฝึกมาตลอด 10 ปี ก็คือ ญานสุขใจ
    หรือ ญานที่สี่ หรือ ญานเอกัตคตา นั่นเอง
    แต่ต่อมา ไปฝึกกับ หลวงพ่อวิริยังค์
    จนได้ ญานว่าง หรือ ญานอากาส มา

    ญานอากาส คือ อรูปญานที่หนึ่ง
    ที่คุณยังไม่เคยได้ แต่พอได้มาแบบฟลุ๊คๆ
    ทำให้คุณทำอะไรไม่ถูก จึงดูเหมือน ควบคุมยากหน่อย
    แต่ต่อไป ฝึกไปเรื่อยๆ เดี๊ยวก็จะควบคุมได้คล่องเอง

    ส่วนปิติ ที่เกิดบ่อยๆ นั้น เป็นของกินของพวกเทวดา
    จะเรียกว่า เป็นของทิพย์ อย่างหนึ่ง
    พระธุดงค์ จะทรง ปิติ นี้ได้แทบทุกองค์
    เอาไว้เวลาที่เดินป่า จะเดินจนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย
    ร่างกายจะไม่เหนื่อย แต่เท้าจะเจ็บมาก เพราะทนไม่ไหว
    แต่หน้ายังยิ้มได้สบาย เป็นของวิเศษอย่างหนึ่ง
    หากมีคนเดียว จะทำให้เพื่อนพ้อง ที่เดินไปด้วยลำบาก
    เพราะต้องเดินตามตลอด เมื่อไม่มีฤทธิ์ ก็จะเหนื่อยกว่าคนอื่นเค้า
    แต่ถ้าหากว่า มีกันทั้งคณะ การเดินมันก็จะเหมือนกัน เหาะไป
    เลื่อนไหลไปทั้งคณะ บางครั้ง ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า
    ทำไมต้องเดินเร็วขนาดนั้น

    ส่วนที่ว่า มันเหมือนไม่ได้พักผ่อน
    เปรียบเทียบอย่างนี้ครับ
    ปิติ หากทำได้ หนึ่งวินาที จะเหมือน
    คนนอนพักผ่อนมาแล้ว หนึ่งปี
    จะทำอะไร จะไม่มีคำว่า เหน็ดเหนื่อย เลย
    เค้าจะใช้ในการ พิจารณาสติปัฏฐานสี่
    เพราะจะทำให้พิจารณาได้ อย่างไม่รู้จักเหนื่อย
    ไม่รู้จักหน่าย มีพลังมาก จนแทบประทุออกมาเหมือน ภูเขาไฟ
    การทำวิปัสสนา จะเห็นผลได้เร็วมากๆ อย่างไม่น่าเชื่อ
    เมื่อทำได้ สองเดือน ก็จะเริ่มเห็นผลแล้ว
    เริ่มปล่อยวางได้บ้างแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...