สอบถามอาการสมาธิ ไม่ทราบว่าหลงทางหรือเปล่า

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ชั่งเถอะ, 29 ธันวาคม 2017.

  1. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    แต่อ่านๆดูน่าจะหลุดไปตั้งแต่แรกคับ ในอุปจารสมาธิ
     
  2. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เหตุเดียวที่ติดอยู่คือนิวรณ์ธรรม วิจิกิจฉาธรรม คือ ไม่รู้จะอยากรู้ไปทำไมนักหนา เข้าใจไหมคับ
     
  3. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ปล่อยๆให้สมาธิกับสติทำหน้าที่คับ สมองไม่เกี่ยว
     
  4. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    เหมือนเด็กเล่นเกมส์เพลินไม่รู้เวลาแต่เราไม่ได้เล่นเกมส์นี่ ตอนนี้กำลังบำเพ็ญเพียรสั่งสมสมาธิบารมี หรือป่าวเอ่ย
     
  5. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่รู้ธรรมนะ เอาสมาธิให้ได้ก่อนเรื่องอื่นค่อยว่ากัน
     
  6. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +342
    ขอบคุณทุกท่านที่ชี้ทางให้ครับ ขอบคุณจากใจจริง
     
  7. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ผิดถนัดที่บอกเอาสมาธิก่อน. พระองค์กล่าวอริยสัจเป็นสิ่งที่ควรรู้อันดับ,แรกครับ
     
  8. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    ขอบคุณมากคับที่บอก อย่างไรคงต้องพิจารณากันเอาเองคับ ว่าอริยสัจ เป็นสิ่งแรกที่ต้องรู้หรือเป็นสิ่งที่ควรรู้หรือ รู้หรือไม่รู้ก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเอาตามตำราเป็นองค์รวม ประเด็นที่แท้จริงคงไม่น่าจะแค่เพียงรู้ นั่นหมายถึงคงต้องใช้มากกว่าที่คิด แม้สมาธิก็เป็นแค่หรือเหมือนเครื่องมือที่ช่วยแต่ไม่ทั้งหมด และทั้งหมดก็ไม่ได้เกิดเพราะความคิดหรือมโนเอา ว่านี่ทุกข์ นะนี่ทุกข์ หรือนั่นเหตุนะ สมุทัย หรือออนิ่งสงบคือนิโรธ และการจะเข้าถึงนิโรธนั้นต้องมีวิถี หรือหนทางดำเนิน เรียกมรรคหรืออริยมรรค มันเหมือนท่องหนังสือยังไงชอบกล ตอนสมัยเรียนมัธยมเคยโดนให้ท่องสอบนะแต่ก็ไม่เคบทำได้เลย มันน่าแปลก แต่ก็น่าดีใจ หลายคนก็หันมาสนใจศึกษาค้นคว้ากันแบบจริงจัง แต่อย่างที่บอกถ้าทำแบบท่องจำหรือหาเอกสารมายืนยันความมีมโนจินตนาเชื่อว่าหลายคนคงทำได้แต่ ผลลัพธ์ก็น่าจะต่างกันแม้คนที่พยายามด้วยตนเองแต่ไม่เข้าข้างตัวเองก็ยังให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการมโนเข้าข้างตนว่าสิ่งที่รู้ถูก ได้ดื่มด่ำกับสิ่งที่รู้ ได้รู้รสอมตะธรรมซึ่งล้วนแต่มโนมา...ล้วนๆ
     
  9. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ผมเข้าข้างตนเองครับเพราะผมไม่สามารถจะไปเข้าข้างคนอื่นได้เพราะผมไม่มีทางรู้ใครเป็นอย่างไรได้ เพราะคนที่รู้ใครเป็นอะไรนั้นมีแต่พุทธองค์เท่านั้นหรือคนที่เสมอพระองค์แล้วมีใครกล้าเสมอพระองค์. ที่ผมกล่าวธรรมทั้งหมดไม่ได้ให้ใครมาตรวจสอบผม เพราะผมรู้ว่าไม่มีใครมีความสามารถพอ. ผมจึงเข้าข้างตนเอง และผมไม่แคร์ใครใครจะว่าอวด เพราะผมอวดดี เพราะทำได้
     
  10. kenny2

    kenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    1,966
    ค่าพลัง:
    +1,483
    คับ คงไม่มีใครกล้าพิพากษาหรือรับรองให้ใครได้หรอกคับ กฎที่ง่ายมากและเป็นเรื่องปกติคือ ทำอะไรได้สิ่งนั้น ถ้ามันดีก็ดีแต่คงดีกับเรามากกว่าดีกับคนอื่น จะเห็นเองแหละคับว่า แท้จริงสิ่งที่รู้ก็เป็นเพียงการรู้ในระดับปุถุชนคนธรรมดา มันก็ดูกันไม่ยากหรอกคับ ถ้าไม่เอาอัตตามาเป็นที่ตั้ง ให้เป็นกลางกับสภาวะจริงๆ อะไรๆ ก็ไม่น่าจะกระทบกระเทือน มีเรื่องที่น่าสนใจมากกว่าการมองว่าเราเป็นอะไรหรือใครจะมองว่าเราเป็นอะไร เพราะถ้าเรายังสนใจเรื่องแบบนั้นอยู่ แน่ใจได้อย่างหนึ่งคือ อาจมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้นกับจิตใจของตน เกิดทุกข์ แต่ก็อย่าได้กังวลเพราะนั่นคือโอกาสที่จะพิจารณา ว่าเหตุใดเราจึงพิจารณาเห็นเป็นแบบนั้นได้ เหตุการณ์ ของความยึดมั่นว่า จึงไม่มี จะไม่เกิด จึงมีจึงเป็น ก็จะไม่เกิด บังเอิญผมไม่ใช่พระอริยเจ้าแม้ขั้นต้นก็ไม่ใช่ แต่การพิจารณาผมก็ไม่น่าจะผิดเพี้ยนเกินเขตพระสัทธรรม คุณอาจเป็นอย่างที่คุณเข้าใจหรืออาจไม่ก็ได้คับ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดแม้ตัวคุณเองไม่สามารถปิดบังตนเองได้ การแสดงออกเป็นธรรมชาติตามที่คุณเป็น มีเพียงคำบอกให้ทราบเพียงว่า ธรรมเป็นตัวเรา หรือ ตัวเราเป็นธรรม มันอาจจะมองยากคับ โดยมากผมจะไม่เอ่ยอะไรถ้าไม่จำเป็น ผมเชื่อว่าคุณมีความตั้งใจดี แต่ตึงเกินไปอาจทำให้มันขาดสะบั้นลงได้นะคับ
     
  11. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    ผมรู้สึกขำๆหน่อยๆนะครับ พอมีคนมากล่าวว่าตัวเขาเป็นอริยะ มักจะมีคนฟังไม่ค่อยได้นะครับ. ทำไมมีข้อห้ามหรือไงครับในเรื่องนี้ นี่คือการรับรองธรรมะที่กล้าแสดงออกมาให้เห็นได้ตรงๆไม่กระมิดกระเมี้ยน ผมทำได้จริงๆ ห้ามได้จริงๆ ไม่เรียกเบาบางในกามเรียกว่าอะไรจริงมั้ย ใครจะปฎิเสธว่าไม่ใช่ผมไม่ได้มีความรู้สึกอะไรเลย. อริยสาวกชั้นต้นๆก็เบาบางในกามไม่ใช่เหรอ. ผมแค่แกล้งยียวนคนที่ดูฟังไม่ค่อยได้เท่านั้น ผมนะสนทนาธรรมะมามากใครกล้ากล่าวว่าตนเองสามารถลดละเลิกอะไรได้ ผมจะยินดีในฝ่ายเดียวเลย เพราะนั้นมันสุดยอดแล้วที่เขาละได้ ส่วนจะเป็นอริยะหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้อยู่ดี
     
  12. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,606
    ค่าพลัง:
    +3,014




    คนที่สอนๆ คนอื่น อยู่ในเวปนี้
    ส่วนมาก จะมีอินทรีย์แก่กล้า
    ถึงขนาดที่ว่า ฟังคำสอน คำเดียว
    ก็จะสามารถ บรรลุธรรม เป็น พระโสดาบัน ได้เลย
    แต่จะติด อยู่แค่เรื่องเดียว ก็คือ
    ใจ ยังไม่กล้าที่จะบรรลุธรรม
    ทั้งๆที่ ถ้ามุ่งมั่นจริงๆ ก็ทำได้ง่ายๆมาก
    จะเรียกว่า กำลังอินทรีย์แก่กล้า แต่กำลังใจไม่พอ


    มันไม่เกี่ยวเลย ที่คุณจะบรรลุธรรมขั้นไหน
    ขอให้คุณ แค่กล้าจะบรรลุธรรม
    กล้าจะเปิดเผย เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น
    เพราะเราไม่ใช่พระ เมื่อพูดเรื่องการ บรรลุธรรม
    ก็ย่อมไม่ผิดอะไรเลย แต่อาจจะมีคนคัดค้างบ้างก็เท่านั้น
    ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า ขอแค่คุณกล้าที่จะบรรลุธรรมก็พอ
    คุณก็จะสามารถบรรลุธรรมได้เอง ในภายหลัง
    เพราะจิตของคุณจะเรียงแบบเดียว
    กับผู้ที่บรรลุธรรมอยู่แล้ว
    เพราะฉะนั้น คนที่อยากจะบรรลุธรรม คนต่อไป
    ก็ต้อง กล้าที่จะบรรลุธรรมด้วย เช่นกัน
    ไม่ใช่ กล้าๆ กลัว ๆ กลัวคนอื่นจะว่า
    อันนี้ยัง วางใจ ไม่ถูก
    เราอยาก บรรลุธรรมเอง จะไปแคร์คนอื่นทำไม
    เราทำได้ เราก็ได้เอง ไม่ได้แบ่งให้ใคร
    เพราะฉะนั้น อย่าได้แคร์ คนรอบข้าง
    หากรู้สึกว่า ถึงเวลาที่เราจะบรรลุธรรม เสียที
    ก็ประกาศออกไปเลย จะได้มีคนคอยคอมเม้นต์
    หากว่า ไม่จริง ก็ยังถือว่า จิตใจ
    เริ่มจะอยากไป นิพพาน ได้แล้ว
    หากใจยังอยากจะแคร์แค่ คำคนที่คอมเมนต์
    ก็แสดงได้ว่า ยังไม่ถึง พระอรหันต์
    แต่อาจจะอยู่ ใน พระอริยะเจ้า ชั้นใดชั้นหนึ่ง
     
  13. pinit417

    pinit417 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มีนาคม 2016
    โพสต์:
    189
    ค่าพลัง:
    +164
    ลองไปถามพระอาจารย์สุชาติ ที่วัดญาณดู.. อยู่ที่พัทยาครับ...

    ส่วนตัวเข้าใจว่า..เวลาที่อยู่ในฌาณ 4 นั้นจะเหลือ
    ตัวรู้แค่ตัวเดียวครับ รู้อยู่ในความสงบ..เมื่อนั้นคุณก็อยู่กับตัวรู้ในความสงบนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องบริกรรม พุทโธแล้ว ส่วนลมหายใจนี้ละเอียดจนไม่รู้สึกแล้ว... หลังจากอยู่กับตัวรู้จนคลายออกมา...คุณก็อย่าพึ่งเลิกทำสมาธิ ให้พิจารณา กายต่อเลย เนื้อ หนัง ขน ฟัน เล็บ เอ็น อื่นๆ ให้พิจารณาเป็นของไม่เที่ยง ไม่ใช่ของสวยงาม...พิจารณาตามหลักไตรลักษณ์.... เหมือนเป็นการสอนจิต สอนใจตัวเอง.. ที่นี้เมื่อสอนไปเรื่อยๆ เมื่อจิตเริ่มเห็นจริงตามนั้น เราก็ไม่ต้องสอนแล้ว เดี๋ยวมันสอนตัวมันเอง เห็นด้วยตัวของมันเอง...
    สาธุ..

    พระอาจารย์สุชาติ...อย่าลืมไปหาท่านล่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2018
  14. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +342
    ขอบคุณมากครับ วัด ญาน อยู่ใกล้ที่ทำงานเลยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2018
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    ผึ่งมาเห็น กระทู้นี้ เต็มๆ แบบ ไม่หลี่ตา

    อันดับแรก ต้องขอ จิ้ม กิเลส สักตัวสองตัวก่อน ....

    จขกท เวลาไปหาพระ เวลาเล่าสภาวะธรรมให้ใครฟัง แล้ว มีทั้งคน
    ทั้งพระ กล่าวทำนองไม่เชื่อ .....แล้ว จิต จขกท ก็แล่นไปเรื่อง ปรามาส
    แบบ "ยกหาง" ตัวเองประมาณว่า ใครปรามาสตน จะได้รับกรรมหนัก

    อันนี้ เป็น มิจฉาทิฏฐิ อย่างนึง และ เป็นตัวกิเลส หลอกตัดขา ให้ จิตไม่เกิด
    พละ อินทรีย์ ในการตัด มันจะเป็นการ แฝงตัวของ กิเลสที่ไม่เชื่อมรรคผล
    ปริเฉทนึง ในส่วนของ " ความเพียรมีผล "

    งง ไหม

    ยิ่งตนเอง สงสัยมรรคผลมากๆ สังเกตเลย มันจะหลอกให้ จับอารมณ์
    แน่นๆ นิ่ง อะไรสักตัวนึง แล้ว รอจังหวะ เราไปเล่าให้ใครฟัง แล้วกิเลส
    มันจะออกมา แฮ่!! " อย่าปรามาสkuนะ เดี๋ยวมะอึงซวยนะ " ยิ่งดำริ
    ยิ่งเสียสัจจ เสียสัตย์ มีความห่างไกล การเห็น กัมมัสสกตา ยาถาภูตญาณ

    ดังนั้น ฝากตัวนี้ด้วย

    เสร็จแล้ว มาดู กรรมฐานกัน

    ตรงที่กล่าวว่า เห็นมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งยิบแย๊บกลางอก เอาตัวนี้เลย ยังไม่
    ต้องไปดูตัวอื่น ......ต้องเอาให้ คล่องแบบ ระลึก หรือ นมสิการ กรรม
    ฐาน หายใจปึ๊ดเดียว มันจะ ยิ๊บแย๊บกลางอกทันที ....หากไม่มี ก็รู้ว่า
    ไม่มี พอรู้ว่าไม่มี มันก็ ยิ๊บแย๊บขึ้นมาทันที

    กรณีที่ มีแล้ว เจตนาจะ ยิ๊บแย๊บกลางออก จะมี ปริเฉทของ อุปกิเลส
    หลายตัวเช่น สุขโชย ตัวเบา จิตเบา นี่ ของหลอกหมดเลยนะ มันเป็น
    การภาวนามุ่งเพื่อเอา เป็น ตัณหาใหญ่กว่าฟองไข่ไก่

    ซึ่ง การภาวนากว่าจะหมด เจตนา สมถะ พุทธพึ่งเริ่มต้น นับหนึ่ง ก็ต้อง
    เพียรไปสักพักก่อน จนกว่า มิจฉาทิฏฐิจะหมดวาระให้ผลกรรม ก็จะพอ
    ลืมตาอ้าปาก เห็น สมถะพุทธ แท้ๆ เข้ามาได้บ้าง เรียก จิตถึงฐาน
    หรือ มีสัมมาสมาธิ

    ตัวจะเบา กายจะเบา จะรับรู้แค่ สภาวะ เกิดดับ

    การจะรู้ยิ๊บแย๊บๆ หรือ รู้ว่าไม่รู้ ก็จะรับรู้ถึง สภาวะ เกิดดับ

    เราไม่ได้ภาวนาเพื่อเอาอะไร จิตจะไม่ห่างจาก ฌาณ1-8 ของมันเอง
    โดยไม่ได้เจตนาว่า จะเข้าฌาณชื่อนั้น ชื่อนี้ หากมันจะเข้าก็เป็นเรื่อง
    อุปกิเลสมันมาหลอก แหลก ( ซึ่ง จกขท ปรารภไปทางเรื่อง ฤทธิ์ ว่า
    ไม่สนใจ อันนี้ พอใช้ได้ แต่ให้เลือกคนเสวนาด้วย ถ้าไปคุยไม่เลือก
    ระวังจะ...... )

    นะ

    ลองดูตรงนี้ก่อน ไม่ใช่ ทำทั้งคืน จนมา เห็น สภาวะยิ๊บๆ แย๊บๆ แบบนั้น
    ภาวนให้ตายก็ไม่ได้กิน

    ของจริง ต้อง หายใจปึ๊ดเดียว ตกศูนย์ เห็นยิ๊บๆแย๊บๆ ตัวเบา จิตเบา
    เรื่องของวิบาก ไม่ได้ สอด นามกาย เข้าไปรับ อย่างคนด้อย สติ สัมปชัญญะ

    เอาตรงนี้ได้ บ่อยๆ มีก็รู้ ไม่มีก็รู้ ยิ่งไม่มีแล้วรู้ ยิ่ง ปึ๊ก ยิ่งแน่นหนา มั่นคง

    ค่อยว่ากันต่อเรื่อง เดิน ปัญญาสิกขา
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    กรณีที่ มีคนปรามาส แล้ว ยกหาง ไม่เลิก

    อันนี้ ให้กลับด้านกัน

    อย่าไป มองว่าเขามากระทำ

    ให้มองว่า ในอดีตชาติไกลแสนไกล คงเคยไป ปรามาส ใครไว้

    หรือไม่ก็แค่ พูดเล่นหัว พูดเล่นตลก ...แค่นี้ ก็ เป็น เวรกรรม
    ให้เขาปรามาส หรือ เข้าใจผิด หรือ เห็นว่า เราเอาแต่พูดเรื่อง
    ตลก ได้ .....ให้มองไปว่า ตนกำลังได้รับผลกรรม เผ็ดร้อน สุดๆ แทน
     
  17. อินทรี

    อินทรี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    418
    ค่าพลัง:
    +562
    เหนความตั้งใจของ จขกท. ก็รู้สึกนึกชมเชย แต่ว่า อะไรที่ตั้งใจกับมัน คาดหวังมันมากไปก็เป็นอุปสรรคในการก้าวข้ามความดีได้เช่นกัน ที่พูดนี้หมายถึง ความตั้งใจการทำสมาธิให้ได้"ฌานขั้นสูง" ที่ชาวพุทธนิยมปฏิบัติกันก้เพียงเพื่อให้ได้จิตสงบ
    และเป็นสมาธิเป็นพื้นฐานบ้าง หรือ "มีสมาธิในระดับใช้งาน" คือพร้อมที่จะใช้งานหากจะพัฒนาไปทางไหนก็แล้วแต่ สักด้าน
     
  18. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +342
    ขอบคุณ ท่านนิวรณ์ที่เตือนครับ เรื่องปรามาส ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆ ต้องขอโทษท่านที่เข้ามาบอกกล่าวทุกท่าน

    แต่ตอนนี้ได้นั้งตรองใหม่ตั้งแต่ที่บอกจะเลิกสนใจในฌานนั้นละครับ ผมกลับมาคิดใหม่เรื่องการเข้าฌานต่างๆ อาจจะทำให้ผมหลงทางไปได้ เพราะยึดในฌาน ติดฌานรึเปล่าเป็นสัญญารึเปล่า

    พอเข้าได้ก็ไปสำคัญในฌานอีก ตอนนี้ตัวกูเข้า ฌานที่ 1 แล้ว ที่ 2 3 4 5.....แล้ว บราๆๆ.... ติดตามมันเกินไป ทั้งที่มันอาจจะเป็นการมโนไปเองก็ยังไม่สามารถตอบตัวเองได้ ได้แต่ดูตามอาการต่างๆ ที่มีให้อ่านกันมากมายในห้องนี้ แล้วมาสรุปเองเออเอง 5555 หลงไหลไปกับมัน ชักผยองตัวกูข้าก็แน่นี้หว่า ได้ฌานขั้นสูงด้วยโว้ย .......

    ตอนนี้เห็นโทษมันแล้ว จากความไม่เที่ยง ในสมาธิ ในฌาน บางวันคิดว่าตัวเองนั้งได้ดี 10 ลมหายใจ ทะลุ สุดเพดาน บางวัน นั้งเกิน 100 ลมหายใจยังเข้า ไม่ได้แม้แต่ฌานเดียว เพราะสมองคิดวิตกแต่เรื่องทางโลก การงาน แล้วยังมายึดในฌานอีก

    กลายเป็นทุกข์หนัก ซ้ำอีก จึงเข้าใจว่า มันไม่ใช่ของเรา ตามหลักไตรลักษณ์ เลยทีเดียว ตอนคิดได้ก็ไม่ได้ใช้ไตรลักษณ์นำอีก จึงสรุปกับตัวเองได้ว่า จริงๆแล้วไม่มีอะไรเที่ยงเลย มีแต่ทุกข์ เงินเต็มกระเป๋า กินอาหารอย่างดี ยังป่วยเข้าโรงบาลบ่อยกว่า ลูกคนงานเขมรเลี้ยงกันแบบ ท้าตาย แก้ผ้าไม่ใส่รองเท้าอีก สุดท้ายก็กลายเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้เหมือนกันหมด

    ตอนนี่กลับมานับ 1 ใหม่ แบบที่หลวงพ่อท่านสอนสมัย เป็นเฌรน้อย ช่วงวัยรุ่น กลับมาที่ดูลม+ภาวนา+ ดูกาย ก็พอ ที่เหลือช่างหัวมโนมัน

    ได้แต่หวังว่าชาตินี้จะมีโอกาส ได้บวชอีกครั้ง แต่ต้องรอให้เมียตายก่อน หรือถ้ายังไม่ตายก่อน คุยกันไว้ว่าถ้าถึง 60 เมื่อไหร่ เมียยังไม่ตายอีก จะลาไปบวชนะ 5555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2018
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,055
    ค่าพลัง:
    +3,471
    เอ้า แล้วก็ไม่บอก

    กลับไป นับหนึ่งนั่นแหละ ดีอยู่แล้ว

    แต่ให้ดูลงไปด้วย การกลับไปนับหนึ่ง ก็ไม่เที่ยง

    รู้บ่อยๆ ภาวนาให้มากๆ เดี๋ยวกลับ เดี๋ยวไม่กลับ ไปไหนต่อไหน

    ทำไมเป็นแบบนั้น ทำไม มันไม่เที่ยง

    แล้วก็ การอ้างมีเมีย นั่นก็อันเดียวกันกับ การ ยกตน
    ว่ารู้นั่น รู้นี่ กิเลสตัวเดิม อ้างไปเรื่อย

    เห็น ธรรมะ มันจะเป็น อันตราย ต่อใครต่อใคร ไปหมด
    จนต้อง ยั้ง รั้ง รอ ................กิเลสมันหลอกเอา


    ปล. หากนับหนึ่งเป็นจริงๆ จะรู้ว่า ไม่ต้อง อ้างการบวช
    ไม่ต้องอ้างภาระการงาน ไม่ต้องอ้างมีเมีย การภาวนา
    จะไม่มีการไปก้ำเกิน โลก หลอก ......คิดมาก กิเลสมันหลอกไปเรื่อย

    ปล.2 ถ้ากำหนดรู้กลางอกได้ แม้นจะประชุม เขียนโปรแกรม
    ทำอะไรอยู่ มันจะ ภาวนาขนานไปกับ ชีวิตประจำวัน ไม่มีการ
    หายไปเพราะ ทำนั่น ทำนี้ อ้างโน้น อ้างนี่ ....จิตเราเปลี่ยน
    คนที่อยู่ข้างๆเขาจะทราบได้ และจะไม่ใช่อุปสรรค แต่จะ
    วางตนให้การภาวนาได้ผลยิ่งขึ้น เว้นแต่ ไปคว้ามาผิดฝาผิด
    ตัวด้วยเวรกรรม อันนั้น มันก็จะเป็นเรื่อง เวรกรรม ไป
     
  20. ชั่งเถอะ

    ชั่งเถอะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ธันวาคม 2017
    โพสต์:
    255
    ค่าพลัง:
    +342

    555 ท่านนิวรณ์ ตามตี กิเลสถึงเมืองจันทร์จริง ๆ แต่กิเลสเมียตัวนี่ของผมนี่หนัก จริงๆ ยังปล่อยไม่ได้เลย ห่วงจริงๆ ผมคงต้อง ปฏิบัติแบบ ผู้ครองเรือนไปก่อน เมื่อพร้อมทุกอย่าง ไม่มีบ่วงคล้องคอเหลือ ถึงจะไปได้แบบสบายใจครับ อย่าว่าอ้างเมียเลย จริงๆ นะ ผมไม่ได้อ้างเลย จริงๆ#เสียงสูง#
     

แชร์หน้านี้

Loading...