เรื่องเด่น สังคมแห่งการให้..รร.พุทธศาสนาวันอาทิตย์ สิ่งที่วัดให้กับชุมชนมาหลายทศวรรษ

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 31 กรกฎาคม 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    วิชาที่สอนนั้นเน้นวิชา พระพุทธศาสนาเพื่อปลูกฝังศีลธรรมในใจเด็ก นอกจากนี้ยังสอน ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ รวมถึงวิชาเลือกเสรีอย่าง ชมรมดนตรีไทย ชมรมนาฏศิลป์ ฯลฯเรียนในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าเรียนแต่อย่างใด อีก

    17297-0-94c0aa069aedcd38f88351ab371d0ffd.jpg






    วิชาที่สอนนั้นเน้นวิชา พระพุทธศาสนาเพื่อเผยแพร่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นอกจากนี้ยังสอน ภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ รวมถึงวิชาเลือกเสรีอย่าง ชมรมดนตรีไทย ชมรมนาฏศิลป์ ฯลฯ ที่ให้เด็กๆ เรียนในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ โดยที่ไม่ต้องเสียค่าเรียนแต่อย่างใด อีกทั้งครูผู้สอนก็มีทั้งพระอาจารย์ที่อยู่ในวัด และจิตอาสาที่อยากทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ด้านต่างๆ ให้กับเด็กๆ




    17297-2-94c0aa069aedcd38f88351ab371d0ffd.jpg





    ...ทว่าเด็กยังไงก็ต้องเป็นเด็กวันยังค่ำ การเล่นสนุกในช่วงวันหยุดก็เป็นสิ่งที่น้องๆ หนูๆ หลายคนชอบเป็นพิเศษ...มีคำตอบจากนักเรียนคนขยันว่าได้อะไรจากการมาเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ แทนที่จะเล่นซนอยู่กับบ้านมาบอกกัน!!!เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการให้ความรู้กับเด็กยากไร้สำหรับการศึกษานอกระบบโรงเรียน ที่เปิดสอนตามวัดต่างๆ ทั่ว กทม.มาร่วม 40 ปีก่อนหน้าที่รู้จักกันดีอย่าง “โรงเรียนสอนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์” ซึ่งปัจจุบันถือได้ว่าเป็นแหล่งให้ความรู้เพิ่มเติมแก่เด็กๆ ที่เรียนในโรงเรียนปกติ ซึ่งอยากใช้เวลาในวันหยุดมาเรียนเพิ่มเติมในระบบการศึกษาดังกล่าว เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน รูปแบบการเรียนการสอนของหลักสูตรดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนของทุกปี โดยเปิดสอนทุกวันอาทิตย์ และจะใช้ระยะเวลาเรียนโดยเฉลี่ยใกล้เคียงกับการเปิดเทอมการศึกษาของโรงเรียนภาคปกติ คืออยู่ที่ประมาณ 9-10 เดือน และจะมีการสอบเลื่อนชั้นเช่นเดียวกัน ซึ่งเปิดรับเด็กๆ ตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ 6




    17297-4-94c0aa069aedcd38f88351ab371d0ffd.jpg





    เริ่มกันที่ น้องฟ้า-วิลาศินี ฤทธิ์มี อายุ 10 ขวบ ที่เลือกมาเรียนเพิ่มเติมกับการศึกษาระบบใน “วัดนาคปรก” ย่านฝั่งธนบุรี ที่บอกว่าชอบวิชาภาษาอังกฤษเป็นพิเศษ อีกทั้งเป็นการเรียนที่ไม่ได้เสียค่าใช้จ่าย ประกอบอาศัยละแวกใกล้เคียงกับวัด จึงสนใจมาเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และปัจจุบันอยู่ชั้น ป.4 ของการศึกษานอกระบบโรงเรียนดังกล่าว

    “หนูอยากเรียนภาษาอังกฤษเพิ่มด้วยค่ะ และอาก็สนับสนุนให้มาเรียน ก็เลยมาเรียนค่ะ พ่อแม่ก็ไม่ได้บังคับ เพราะพ่อกับแม่ต้องทำงานรับจ้างทั่วไป หนูอยู่ชั้น ป.4 ของที่นี่ และก็เรียนอยู่ชั้นเดียวกันที่โรงเรียนเดิมค่ะ วิชาที่ชอบเรียนสำหรับที่นี่ หนูชอบวิชาภาษาอังกฤษค่ะ ทำให้หนูได้ความรู้เพิ่มเติม และอาก็ไม่ต้องเสียเงินให้ไปเรียนพิเศษด้วย เพราะที่บ้านหนูก็ค่อนข้างรายได้น้อย เป็นการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ ดีกว่าเล่นซนค่ะ”

    ถัดมาเป็นเพื่อนวัยไล่เลี่ยอย่าง น้องกำปั้น-อนุสรณ์ นิยมวรรณ วัย 11 ปี ที่ปัจจุบันอยู่ชั้น ป.6 ที่โรงเรียนแห่งนี้ เล่าว่า “เห็นเพื่อนๆ ข้างบ้านมาเรียน กำปั้นก็เลยขอแม่มาเรียนบ้านบ้าง ถามว่าอยากเล่นในช่วงวันหยุดไหม ก็อยากเล่นครับ แต่ถ้ามาเรียนที่นี่มันได้ทั้งความรู้และก็ได้เพื่อนเล่นด้วยครับ ยังไงก็ได้เล่นอยู่แล้ว กำปั้นชอบวิชาพระพุทธศาสนาครับ เพราะพระอาจารย์จะสอนให้เด็กๆ รู้ประวัติพระพุทธเจ้า และสอนเรื่องการรักษาศีล”

    ขณะที่เด็กโตวัย 13 ปีอย่าง น้องพิชามณ ห่อน้อย ก็ตัดสินใจใช้เวลาว่างช่วงวันอาทิตย์มาเรียนที่วัดนาคปรกในระดับชั้น ม.2 เช่นกัน แม้จะเพิ่งมาครั้งแรก แต่คิดว่าจะต้องได้ความรู้เพิ่มพูนกลับไป โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ให้ดียิ่งขึ้น เล่าว่า “ที่มาเรียนเพราะสนใจค่ะ และก็อยากได้วิชาอังกฤษและคณิตศาสตร์เพิ่มเติมค่ะ แม่ไม่ได้บังคับ แค่แม่บอกว่าอยากให้ลองมาเรียนดู หนูก็ได้มีความรู้เพิ่มด้วย หนูมากับน้องอีก 1 คนค่ะ รู้สึกตื่นเต้นค่ะ เพราะถ้าไม่มาเรียน หนูกับน้องก็จะชอบเล่นเกม ที่สำคัญก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายมากจนกระทบกับแม่ค่ะ”

    ด้านน้อง อรรถพล-อมรรัตน์ วัย 12 ปี บอกขณะเซ็นชื่อเข้าเรียนช่วง 8 โมงเช้าว่า เจ้าตัวอยากมาเรียน เพราะที่โรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้สอนวิชาพระพุทธศาสนาอย่างเดียว แต่ยังสอนวิชาเลือกเสรีอย่าง “ดนตรีไทย” ประกอบกับชอบเล่นดนตรีอยู่แล้ว เมื่อได้รับคำแนะนำจากคุณย่าก็รีบมาลงเรียนทันที “ผมชอบเล่นดนตรีไทย พอย่ามาบอกว่าที่ ‘วัดนาคปรก’ มีสอนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ และก็มีสอนเล่นดนตรีด้วย ผมก็รีบมาเลย สิ่งที่ได้จากการมาเรียนคือ ความรู้เรื่องการเล่นระนาดเอกครับ ผมชอบมากๆ นอกจากนี้ก็ชอบวิชาคณิตศาสตร์ ครูที่สอนจะเขียนโจทย์บนกระดานและให้ออกไปทำ ก็เป็นสอนและทบทวนวิชาเลขไปในตัวครับ”

    ขยับมาที่ น้องมิ้ว-จารุวรรณ แสงคำ วัย 10 ขวบ ที่เล่าให้ฟังว่า ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเรียนพิเศษช่วงวันหยุด เนื่องจากบ้านอยู่ไกลถึงเขตหนองแขม เพราะส่วนตัวชอบรำไทยที่ทางวัดนาคปรกเปิดสอน และมาเรียนเข้าปีที่ 3 แล้ว “ไม่เหนื่อยค่ะที่ต้องมาเรียนวันอาทิตย์ เพราะหนูชอบวิชารำไทย เวลาที่มาเรียนก็รู้สึกสนุก และการรำไทยก็ทำให้เราได้อนุรักษ์วัฒนธรรมเรื่องการร่ายรำ เหตุผลที่มาเรียนที่นี่ ตอนแรกหนูเห็นเพื่อนข้างบ้านมาเรียน แต่พอมาเรียนก็รู้สึกชอบค่ะ เพราะที่โรงเรียนไม่มีสอนวิชานี้ ที่นี่เป็นโรงเรียนที่สอนวิชาทางเลือกซึ่งตรงกับความชอบของหนูค่ะ”

    ด้าน น้องมิ้นท์-ภัทรนันท์ ขวยไพบูลย์ วัย 13 ปี ที่เลือกเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์“วัดมหาธาตุฯ” ท่าพระจันทร์ ซึ่งเลือกใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ด้วยการหาความรู้เพิ่มเติมมาร่วม 8 ปี บอกว่า “ส่วนตัวหนูอยากมาเรียนเองค่ะ คุณแม่ไม่ได้บังคับ ตอนที่ยังเด็กๆ อยู่ก็มีบ้างที่ไม่อยากมาเรียน แต่พอผ่านมา 1 ปี จนกระทั่งปีนี้เข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว ก็รู้สึกชอบมากค่ะ เพราะไม่ใช่แค่ได้วิชาความรู้เกี่ยวกับหลักพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพุทธประวัติ แต่ที่นี่ยังสอนเรื่องมารยาทให้กับหนู ที่สำคัญยังทำให้มิ้นท์ได้เพื่อนใหม่ๆ อีกด้วย ก็รู้สึกดีใจที่ได้มาเรียนช่วงวันหยุดที่วัดมหาธาตุฯ นี้ค่ะ”

    ไม่ต่างจาก น้องเฟิร์ส-ลภัสรดา ใจเย็น อายุ 13 ปี ที่เลือกมาเรียนที่วัดมหาธาตุฯ เพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เพราะไม่เช่นนั้นก็จะอยู่บ้านเล่มเกม เล่าให้ฟังว่า “พอดีบ้านเฟิร์สอยู่แถวนี้ และยายก็แนะนำว่าที่นี่มีการสอนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ หนูก็เลยมาค่ะ ยายไม่ได้บังคับค่ะ เพราะปกติหนูก็ชอบมาทำบุญกับยายอยู่แล้ว พอรู้จักคุ้นเคยกับวัดก็ตัดสินมาเรียนค่ะ ส่วนตัวหนูชอบวิชาพระพุทธศาสนา เพราะพระอาจารย์จะเล่าเกี่ยวกับพระพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าให้ฟังค่ะ สนุกแต่แฝงไว้ด้วยสาระค่ะ ที่สำคัญอยากบอกว่าเวลาที่มาเรียนแล้วไม่เบื่อเลยค่ะ”




    17297-6-94c0aa069aedcd38f88351ab371d0ffd.jpg





    นอกจากวิชาพระพุทธศาสนาแล้ว ที่วัดมหาธาตุฯ ยังเปิดสอนภาษาจีนให้กับเด็กๆ อีกด้วย ซึ่งทำให้ ปวริศา จันทร์ทร วัย 13 ปีที่มาเรียนเข้าปีที่ 2 บอกให้ฟังว่า “ที่มาเรียนเพราะมีเพื่อนของแม่แนะนำค่ะ เพราะถ้าไม่มาเรียน วันหยุดหนูจะชอบเล่นโทรศัพท์ บางครั้งก็ดูทีวีมากเกินไป ประกอบกับ มีเพื่อนข้างบ้านมาเรียนด้วย 2 คน หนูก็คิดว่าเราก็น่าจะใช้เวลาว่างช่วงวันหยุดให้เกิดประโยชน์ค่ะ ก็เลยมาสมัครเรียนปีนี้เข้าปีที่ 2 แล้ว วิชาที่ชอบมากที่สุดคือวิชาภาษาจีนค่ะ เรียนแล้วมีประโยชน์ อย่างน้อยๆ ก็สามารถทักทายเป็นภาษาจีนได้ และยังทำให้เราโตขึ้น รวมถึงมีความรับผิดชอบด้วยค่ะ”

    ปิดท้ายกันที่ น้องเนย-ศิริวรรณ ดอกไธสง วัย 14 ปี บอกชัดเจนว่า ที่มาเรียนพิเศษช่วงวันอาทิตย์ เพราะอยากมีเพื่อนใหม่ๆ และอยากมีความรู้เพิ่มเติมด้านภาษาอังกฤษ “ส่วนตัวที่หนูเลือกมาเรียนที่นี่ก็เพราะอยากมีเพื่อนใหม่ๆ ค่ะ และก็อยากมีความรู้ภาษาอังกฤษเพิ่มเติมค่ะ ที่สำคัญไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายมากเท่ากับระบบการเรียนปกติ และการเรียนเป็นไปอย่างสบาย แต่ก็ได้ความรู้มากค่ะ

    ส่วนมุมมองของผู้ปกครองอย่าง พี่หนึ่ง วัย 34 ปี คุณแม่ของ น้องพิชามณ ห่อน้อย บอกถึงเหตุผลที่ส่งลูกสาวทั้ง 2 คนมาเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ว่า “อยากให้ลูกสาวทั้ง 2 คนมีความรู้เพิ่มเติมนอกเหนือจากเวลาที่ไปโรงเรียนปกติค่ะ เพราะไม่อย่างนั้นเด็กๆ จะนอนดูทีวี หรือไม่ก็เล่นเกมอย่างเดียวเลยค่ะ ส่วนตัวจะไม่บังคับลูก แต่เพื่อนข้างบ้านบอกว่าที่นี่สอนดี ก็เลยลองให้เด็กมาเรียนดูค่ะ ซึ่งน้องๆ ก็โอเค อยากมาด้วยส่วนหนึ่ง เพราะทั้งคู่เป็นเด็กรักการเรียนค่ะ”

    ปิดท้ายกันที่ พระมหาจำรูญ กุศลจิตโต ผู้ช่วยเจ้าอาวาส “วัดนาคปรก” เล่าถึงเหตุผลในการเปิดสอนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ตั้งแต่ปี 2516 จนถึงปัจจุบันว่า “วัตถุประสงค์หลักของเราคือ เราต้องการดึงเด็กเข้าวัด และใช้เวลาว่างช่วงวันหยุดในการหาความรู้เพิ่มเติม ไม่อย่างนั้นเด็กจะติดเกม และจะดีที่สุดถ้าในฐานะผู้สืบทอดคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถช่วยปลูกฝังศีลธรรมและการสวดมนต์ให้กับเด็กๆ ทางวัดของเราก็ยินดีมากๆ”



    ขอบคุณภาพและที่มาจาก

    http://cheerfulpeace.blogspot.com/2017/07/blog-post_87.html?m=1


    ------------
    ที่มา::
    https://www.winnews.tv/news/17297
     

แชร์หน้านี้

Loading...