สัมภาษณ์ดวงญาณปลาดุกเนื้ออ่อน ที่เคยรับโทษในนรกก่อนมาเกิดใช้กรรมในร่างปลาดุก

ในห้อง 'ภพภูมิ-สวรรค์ นรก' ตั้งกระทู้โดย matiepoppy, 11 กรกฎาคม 2011.

  1. matiepoppy

    matiepoppy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2007
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +169

    สัมภาษณ์ดวงญาณปลาดุกเนื้ออ่อน (คำม้วน อินทร์สิงห์)
    ดวงญาณมาแสดงหลักฐาน ณ พุทธสถานใน จ.นครศรีธรรมราช
    วันจันทร์ที่ ๓ เดือนกันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๔ เวลา ๑๓.๑๑ น.

    [FONT='Microsoft Sans Serif', 'MS Sans Serif', sans-serif] ขออภัย! ชื่อบุคคลที่ปรากฏในมิติแห่งจักรวาล เป็นชื่อสมมติทั้งสิ้น ถ้าแม้นว่าไปสอดคล้องตรงกับชื่อของท่านใด หรือญาติพี่น้องของท่านใด ให้คิดแต่เพียงว่า นั้นเป็นชื่อสมมติ เพื่อความสมบูรณ์ของเรื่อง ขอขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้


    [/FONT] อาจารย์ : ขออนุญาตใครเข้ามาที่นี่ ?
    วิญญาณ : คนข้างนอก !
    อาจารย์ : คนข้างนอกคือใคร ?
    วิญญาณ : ไม่รู้จัก !
    อาจารย์ : หน้าตาเป็นยังไง ?
    วิญญาณ : หน้าตาขรึม ตัวใหญ่ !
    อาจารย์ : นุ่งผ้าถุงหรือว่านุ่งกางเกง ?
    วิญญาณ : ใส่ชุด
    อาจารย์ : ชุดอะไร ?
    วิญญาณ : ใส่ชุดสีเขียว !
    อาจารย์ : มานานหรือยัง ?
    วิญญาณ : เพิ่งจะมา
    อาจารย์ : ตอนไหน ?
    วิญญาณ : ตอนที่ร่างไปล้างจาน ! (เวลาประมาณ ๑๑.๔๕ น.)
    อาจารย์ : พอมาถึงก็มาเข้าร่างทันทีเลยหรือเปล่า แล้วไปบังคับจิตร่างเลยหรือเปล่า ?
    วิญญาณ : ไม่ได้…..บังคับนิดหน่อย
    อาจารย์ : นิดหน่อย แล้วในร่างนี้มีอะไรอยู่ ?
    วิญญาณ : มีคนแก่กับเด็กผู้หญิง !
    อาจารย์ : มีคนแก่กับเด็กผู้หญิง คนแก่หน้าตาเป็นยังไง ?
    วิญญาณ : หน้าตาคนจีน
    อาจารย์ : แล้วยังไง นุ่งกางเกงขายาว ?
    วิญญาณ : ใส่ผ้าขาด !
    อาจารย์ : ใส่ผ้าขาด ถืออะไรเป็นอาวุธ ?
    วิญญาณ : มีอะไรไม่ก็รู้ผูกที่ตรงนี้ (มือชี้ไปที่เอว….หมายถึงน้ำเต้าพระอาจารย์)
    อาจารย์ : แล้วคนแก่ไม่ว่าอะไร ให้เข้ามาอยู่ในร่างนี้หรือ ?
    วิญญาณ : ส่ายหน้า !
    อาจารย์ : ไม่ว่าอะไร เพราะอะไร ?
    วิญญาณ : เขาบอกว่าให้มาบอกเขาซิมีอะไร ?
    อาจารย์ : แล้วเด็กว่าอะไรไหม ?
    วิญญาณ : เด็กเขาก็ตามคนแก่ !
    อาจารย์ : แล้วเดี๋ยวนี้ทั้งเด็กทั้งคนแก่อยู่ที่ไหนละ ?
    วิญญาณ : เด็กอยู่ซีกนี้
    อาจารย์ : แล้วคนแก่ละ ?
    วิญญาณ : อยู่ซีกนี้ ! (ชี้มือบอกไปที่หน้าอกด้านซ้ายของร่าง)
    อาจารย์ : แล้วที่มาให้หลักฐานนี้เป็นเด็กหรือคนแก่ละ ?
    วิญญาณ : เราเป็นสัตว์
    อาจารย์ : สัตว์อะไร ?
    วิญญาณ : ปลาดุกเนื้ออ่อน !
    อาจารย์ : ปลาดุกเนื้ออ่อนก่อนที่จะมาที่นี่ อยู่ที่ไหนล่ะ ?
    วิญญาณ : เราอยู่ในตลาด
    อาจารย์ : ตลาดไหนล่ะ ?
    วิญญาณ : ตลาดอาทิตย์ !
    อาจารย์ : แล้วมาที่นี่ได้ยังไงล่ะ ?
    วิญญาณ : เขาเอาเรามาขายทุบหัว แล่เนื้อ
    อาจารย์ : ไม่ใช่ ! ถามว่ามาถึงที่นี่ได้ยังไง ? (หมายถึงสถานปฏิบัติธรรมแห่งนี้)
    วิญญาณ : ก็ตามเขามา !
    อาจารย์ : เขานี้คือใคร ?
    วิญญาณ : ผู้หญิง
    อาจารย์ : ผู้หญิงที่เขาไปในตลาดแล้วไปเที่ยวเรียกอะไรต่ออะไรมาใช่ไหม ลองยกตัวอย่างเขาเรียกว่าอย่างไร ?
    วิญญาณ : เขาบอกให้มาที่นี่ !
    อาจารย์ : เขาบอกให้มาทำอะไร ?
    วิญญาณ : ให้มาเอาบุญกุศล
    อาจารย์ : เมื่อมาถึงแล้ว ได้บุญหรือยัง ?
    วิญญาณ : ยังไม่ได้ !
    อาจารย์ : แล้วคิดว่าจะได้เมื่อไรล่ะ ?
    วิญญาณ : ไม่รู้ !
    อาจารย์ : ตอนเย็นๆนะ ที่นี่มีธรรมเนียมอยู่ว่าตอนเย็นจะให้บุญกุศล ทนไหวไหม ?
    วิญญาณ : มันไม่ค่อยมีแรง !
    อาจารย์ : ไม่เป็นไร ให้บอก เดี๋ยวอีกสักครู่จะช่วยกันให้มีเรี่ยวมีแรง
    วิญญาณ : เขาเอามีดเชือด
    อาจารย์ : เอา ! เราจะช่วยญาณเขาก่อน ช่วยสมานแผลให้ก่อน ให้ พี่ออ จัดการช่วยให้หาย
    วิญญาณ : เราเจ็บตรงนี้ (เอามือชี้ลูบไปที่คอร่าง) ที่เขาเอาคมมีดกด แล้วเอาไม้ตี
    อาจารย์ : คอขาดไหม ?
    วิญญาณ : พยักหน้า
    อาจารย์ : (วิญญาณเจ็บที่หน้าอก เพราะถูกเชือดคอ ทุกคนช่วยกันขอพลังแห่งพระแม่องค์ธรรมช่วยให้เขาหายจากความเจ็บปวด)
    วิญญาณ : เราตัวเล็กนิดเดียว ถูกจับมาขาย !
    อาจารย์ : ทนนะ ทนเจ็บหน่อยนะ ?
    วิญญาณ : เจ็บจัง
    อาจารย์ : เป็นยาดีนะ เป็นยาศักดิ์สิทธิ์ จะช่วยต่อแผล สมานแผล ให้หายเป็นปกติ
    วิญญาณ : มนุษย์ใจร้าย !
    อาจารย์ : ก็มนุษย์ที่ไม่ค่อยรู้เรื่องน่ะซิ ใจร้าย แล้วเมื่อก่อนปลาดุก ก็เคยเป็นมนุษย์ ไม่ใช่หรือ ?
    วิญญาณ : เราเป็นมนุษย์ก็จริง แต่เราสำนึกแล้ว

    อาจารย์ : สำนึกแล้ว เพราะเจ็บปวดมาแล้ว ตอนนี้เป็นปลาใช่ไหม ยังมีเรื่องจะถามตอนเป็นคน แต่ตอนนี้ยังไม่ถาม ว่ากันตอนเป็นปลาให้จบก่อน ดีขึ้นหรือยัง (อาการที่โดนทำร้ายมา) ?
    วิญญาณ : ตรงสันที่หัว !
    อาจารย์ : ที่หัวด้วยหรือ ?
    วิญญาณ : เขาตัดคอขาด มันเจ็บที่กระดูกใหญ่
    อาจารย์ : ต่อกระดูกให้ ให้หายเป็นปกติให้เรียบร้อย ดีหรือยัง ?
    วิญญาณ : พยักหน้า
    อาจารย์ : เอาล่ะ ! ถ้าดีแล้ว ก็คุยต่อ เรื่องราวที่จะถาม ไม่ไปกดอะไรเด็กเอาไว้นะ ?
    วิญญาณ : เขาไม่ให้ทำ
    อาจารย์ : ใครไม่ให้ทำ ?
    วิญญาณ : คนแก่ !
    อาจารย์ : ปลาดุกมาตายที่ตลาดอาทิตย์นี้ตอนเช้าหรือ ถูกทุบตอนเช้านี้หรือ ?
    วิญญาณ : เมื่อวานซืน
    อาจารย์ : อ้อ ! ที่ตลาดอาทิตย์เมื่อวานซืน ก็ตรงกับวันเสาร์นะซิ เขาทุบหัวแล้วถูกฆ่าที่ตลาด มีคนมาบอกว่าขอซื้อปลาดุกหน่อยใช่ไหม ? (วันที่สัมภาษณ์นี้เป็นวันจันทร์ที่ ๓ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๔)
    วิญญาณ : เขาสั่งให้ทำ ! (หมายถึงคนซื้อ)
    อาจารย์ : แล้วปลาดุกนี้เดิมอยู่ที่ไหน เป็นปลาดุกเลี้ยงหรือปลาดุกในทุ่งนา ?
    วิญญาณ : ปลาดุกเลี้ยง
    อาจารย์ : อยู่ที่ไหน ?
    วิญญาณ : เราอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี !
    อาจารย์ : เป็นปลาดุกภาคกลาง แล้วมาถึงที่นี่ได้ยังไง ?
    วิญญาณ : มีคนไปนำเรามาส่งที่สุราษฏร์ธานี แล้วมีคนไปรับเรามาที่นี่
    อาจารย์ : เขาให้กินอะไร ?
    วิญญาณ : เราอยู่บ้านลาด เพชรบุรี !
    อาจารย์ : ปลาที่เลี้ยงที่นั่นมีเยอะไหม ?
    วิญญาณ : เป็นฟาร์มใหญ่ ๑๑ กว่าบ่อ
    อาจารย์ : ที่ส่งมาที่สุราษฏร์ธานี แล้วส่งมาที่สิชลนี้เยอะไหม ?
    วิญญาณ : เขาใส่ลังไม้มา !
    อาจารย์ : มีน้ำไหม ?
    วิญญาณ : มี
    อาจารย์ : เงี่ยงปลาดุกไม่ไปทิ่ม ไปตำกันหรือ ?
    วิญญาณ : ลังไม้ เขาเอาแผ่นสังกะสีหุ้มไว้ข้างใน !
    อาจารย์ : ไม่ใช่ ! ถามว่า ตรงเงี่ยงของปลาดุกไม่ไปเกี่ยวกันบ้างหรือ ?
    วิญญาณ : ก็เกี่ยวกันถลอกปอกเปิก
    อาจารย์ : ที่มันแคบใช่ไหม แล้วไม่อึดอัดหรือ ?
    วิญญาณ : อึดอัด !
    อาจารย์ : แล้วรู้ชะตาชีวิตของตัวเองไหม ?
    วิญญาณ : รู้ !
    อาจารย์ : รู้ว่าเป็นยังไง ?
    วิญญาณ : รู้ว่าเขาต้องเอาเรามาจำหน่าย !
    อาจารย์ : จำหน่ายแปลว่าอะไร ?
    วิญญาณ : ให้มนุษย์กิน คนกิน
    อาจารย์ : จำหน่ายคือทำอย่างไร ?
    วิญญาณ : เอามาขายต่อ เรามองเห็นเพื่อนๆที่โดนตักมาก่อนจากบ่อ !
    อาจารย์ : อืม ! เก่งภาษาเสียด้วย ตักจากบ่อที่เพชรบุรีใช่ไหม แล้วจ่ายไปที่อื่นก่อนใช่ไหม แล้วรู้ยังไงเขาเอาไปขาย
    วิญญาณ : ก็มนุษย์คุยกัน ชั่งกิโลกรัม คุยราคากันเท่าไร
    อาจารย์ : ได้ยินหรือ ?
    วิญญาณ : ด้วยจิตสัมผัสตรงนี้ !
    อาจารย์ : แล้วทำเสียงอ๊อดแอ๊ดด้วยไหม ?
    วิญญาณ : เราก็จะเอาน้ำลายออกมาทางรูจมูก ทางปาก
    อาจารย์ : ออกมาในน้ำเพื่ออะไร ?
    วิญญาณ : ตรงนี้เราจะรับได้ !
    อาจารย์ : อ้อ ! ในขณะที่มนุษย์คุยกัน แล้วเอาน้ำลายออกมาทางจมูก แล้วน้ำลายนั้นจะเป็นสื่อรับ กระแสความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ ได้ยินที่เขาพูดเป็นเสียงใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ ! แต่เราพูดไม่ได้
    อาจารย์ : แปลความรู้สึกนั้นได้ เข้าใจความรู้สึกนั้นได้
    วิญญาณ : ได้ !
    อาจารย์ : แต่พูดไม่ได้ แล้วเพื่อนตัวอื่นๆก็รู้สึกเช่นนั้นด้วยหรือ ?
    วิญญาณ : เช่นนั้น
    อาจารย์ : แล้วเคยคุยกันไหม ?
    วิญญาณ : ก็หนี !
    อาจารย์ : ไม่ใช่ ! คือปรึกษากันไหม ระหว่างปลาดุกด้วยกัน คุยกันไหมว่าทำเช่นไร ?
    วิญญาณ : ก็แล้วแต่โชคชะตา
    อาจารย์ : ต่างคนต่างคิดอย่างนี้ ปลงอย่างนี้ใช่ไหม ?
    วิญญาณ : เพราะหนีไปตรงไหนก็โดนสวิงตักขึ้นมา !
    อาจารย์ : ก็หนีเพื่อเอาตัวรอด ภาษามนุษย์เรียกว่าเป็นสัญชาตญาณ นั้นก็คือญาณความรู้สึกที่ไม่อยากจะเจ็บ ไม่อยากจะตาย ใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : แล้วที่เขาเลี้ยง รู้สึกอย่างไรต่อคนเลี้ยง ?
    วิญญาณ : เรารู้สึกไม่พอใจ ไม่ชอบ !
    อาจารย์ : ไม่ชอบได้อย่างไร ก็เขาให้อาหาร ให้อะไรต่ออะไร ไม่ชอบตรงไหน ?
    วิญญาณ : ถ้าเขาให้อาหารเลี้ยงดูเราให้เราตายเองยังดีกว่า

    อาจารย์ : ถ้าเขาไม่เลี้ยงเรา ปล่อยให้เราตายเอง หรือเติบโตอย่างอยู่ธรรมชาติ หาอาหารกินเอง อย่างนี้เป็นความพอใจ แต่เมื่อเขาเลี้ยงโดยให้อาหารโดยมีจุดมุ่งหมายว่า เลี้ยงให้เติบโต เมื่อเติบใหญ่แล้วเอาไปขาย เลี้ยงตัวเขาเอง เป็นอย่างนั้นใช่ไหม ที่ไม่พอใจก็เพราะเหตุว่า เลี้ยงโดยหวังผล ให้โดยหวังผล ?
    วิญญาณ : ให้เราไม่มีทางหนี เราก็ต้องตายโดยมือมนุษย์ !
    อาจารย์ : แล้วในบ่อนั้น ไม่มีทางออกไปไหนเลยหรือ ?
    วิญญาณ : มันเป็นบ่อซิเมนต์
    อาจารย์ : ขณะที่เขาเลี้ยง รู้ตอนไหนที่ว่าเขาเอาไปฆ่า เอาไปกิน ?
    วิญญาณ : ขณะที่เรายังเล็กๆ เขาก็ตักตัวใหญ่ๆ ขึ้นก่อน
    อาจารย์ : รู้เลยหรือ ?
    วิญญาณ : ตัวเล็กๆ
    อาจารย์ : ตัวเล็กๆก็รู้ว่า นั่นคือตัวรุ่นพี่ รุ่นพ่อที่ไปแล้ว คือไปสู่ตะแลงแกง ไปสู่ที่เจ็บปวดตลอดชีวิต ก็คือ ไปสู่ปากของมนุษย์ รู้อย่างนั้นใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : ไม่พอใจคนเลี้ยง แต่รู้ไหมว่าอะไรเป็นต้นเหตุให้มีการเลี้ยง ให้มีการฆ่า รู้ไหม คิดแล้วยังตอนนั้น ?
    วิญญาณ : ตอนนั้นยังไม่คิด
    อาจารย์ : คิดตอนไหน ?
    วิญญาณ : ตอนที่โดนเขาตักขึ้นมา
    อาจารย์ : เมื่อตอนที่เขาตักขึ้นมา คิดได้ว่าอย่างไรบ้าง ?
    วิญญาณ : คิดว่าเขาต้องเอาเราไปกิน
    อาจารย์ : แล้วคิดไหมว่าทำไมจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ?
    วิญญาณ : เราไม่ค่อยเข้าใจ !
    อาจารย์ : ไม่ค่อยเข้าใจ! เมื่อมีคนมาซื้อปลาดุกเนื้ออ่อนไปกิน แล้วก็เกิดมีคนขายขึ้นมา เหตุเพราะมีคนซื้อไปกิน จึงมีคนขาย แล้วคนที่ซื้อ ที่ขายกันนั้น สาเหตุก็เพราะว่ามีคนอีกกลุ่มขึ้นมา คือคนที่เขาอยากจะกินเนื้อปลา ถามว่า ในกระบวนการทั้งหมดนี้โกรธใครมากที่สุด ?
    วิญญาณ : คนกิน กับคนขาย
    อาจารย์ : มากกว่าคนเลี้ยง ?
    วิญญาณ : คนเลี้ยงก็มีส่วน!
    อาจารย์ : ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วโกรธใครมากที่สุด ?
    วิญญาณ : คนกิน กับคนขาย
    อาจารย์ : เพราะอะไร ขอทราบเหตุผล ?
    วิญญาณ : เพราะถ้าเขาเลี้ยงเราให้ตายในบ่อตามอายุขัย เราก็จะได้หมดทุกข์ แต่เมื่อเขาขายเรา เราก็ต้องทรมานหนักขึ้น การถูกขังอยู่ในลังแคบๆ แล้วดิ้นไปดิ้นมา เราก็เจ็บปวดอยู่เรื่อยๆ เมื่อเอาเรามาให้คนที่มาขายต่อ เขาก็เทเราใส่กระจาดเหล็กอีก แล้วคนขายก็ฆ่าเราต่อ
    อาจารย์ : แล้วถ้าไล่ไปถึงสาเหตุที่แท้จริงแล้ว พอจะรู้ไหมอะไรคือสาเหตุให้ต้องตาย ?
    วิญญาณ : คนกินเนื้อเรา
    อาจารย์ : แน่นอน! ข้อนี้แน่นอน ที่นี้รู้แล้วว่าคนกินคือสาเหตุหลัก ถ้าไม่มีคนกิน คนขายก็ไม่รู้จะไปขายใคร และคนเลี้ยงก็ไม่รู้จะเลี้ยงไปทำไม เมื่อไม่มีคนกิน ถ้าจะมีใครเลี้ยงก็เพราะเมตตาเพื่อที่จะให้ชีวิตของสรรพสัตว์ดำรงอยู่ แต่เพราะมีคนกิน กระบวนการทั้งหลายจึงเกิดขึ้น จนไปถึงกระบวนการสุดท้าย คือการเสียชีวิต สาเหตุสำคัญคือท้องที่เป็นป่าช้าผีดิบของคนนั่นเอง ท้องที่เป็นป่าช้าเพราะความอยากกินของคน เพราะสาเหตุหลักคือ คนกิน ทีนี้ปลาดุกก็รู้แล้ว และโกรธคนกินใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ถูกต้อง!
    อาจารย์ : แล้วพอรู้ไหมว่า ในบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่เป็นวิญญาณที่ตายแล้ว มีความอาฆาตมาดร้ายต่อกระบวนการทั้งหลายที่เป็น คนกิน คนฆ่า และพ่อค้าที่นำมาส่ง แล้วทั้งคนที่เลี้ยงด้วยใช่ไหม ในกระบวนการทั้งหมดนี้ คิดที่จะทำอันตรายใครอย่างไรบ้าง คิดไว้ในใจนะ ?
    วิญญาณ : ในใจหรือ เราต้องเอาคนที่บรรทุกเรามาก่อน
    อาจารย์ : คิดอย่างนั้นใช่ไหม แล้วคิดอย่างไรอีก ?
    วิญญาณ : เพราะถ้าเขาไม่บรรทุกเรามาไกล กายเราก็จะไม่เจ็บมากขนาดนี้
    อาจารย์ : แล้วยังไงอีก ?
    วิญญาณ : คนกินก็สำคัญ สั่งทั้งที่รู้ว่าเรามีชีวิตอยู่ ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะต้องตาย ทำให้คมมีดเชือดบนคอเรา
    อาจารย์ : นี่แสดงว่ายังไม่รู้จักสาเหตุที่แท้จริง ในกระบวนการทั้งหมด คนกินคือตัวการที่สำคัญ ลองไล่ดูซิ ไม่มีคนกินเสียอย่าง คนขายจะมีไหม ไม่มี คนที่จะลำเลียงมาที่ตลาด ก็ไม่มี คนที่จะเลี้ยง ก็ไม่มี เว้นแต่คนใจบุญที่เลี้ยงโดยไม่หวังผลอะไร เลี้ยงโดยให้ตายไปตามธรรมชาติ แต่สาเหตุหลักเพราะมีคนกิน มีกระบวนการในท่ามกลางเกิดขึ้น ตั้งแต่ คนเลี้ยง คนขาย คนฆ่า คนขนส่งก็จึงเกิดขึ้น เพราะมีคนกิน ชัดเจนหรือยัง ทำไมไม่คิดเองละว่า สาเหตุหลักคือคนกิน กระบวนการทุกอย่างจึงเกิดขึ้น ?
    วิญญาณ : เราพึ่งจะขึ้นมาครั้งแรก ตอนจำหน่ายเราจึงไม่รู้
    อาจารย์ : ตายมากี่รอบแล้ว รู้ตัวไหม ?
    วิญญาณ : พึ่งจะครั้งแรก
    อาจารย์ : ตายเมื่อวานซืน (วันเสาร์) แน่นอนก็ต้องเจ็บปวดรวดร้าวจนขาดใจอยู่แล้ว เพราะโดนทุบหัว แล้ววิญญาณปลาออกมาจากร่างกายสังขารปลาตอนไหน ?
    วิญญาณ : ตอนที่เขาเชือดตรงคอเราขาด
    อาจารย์ : เจ็บปวด ! แล้วก็รู้สึกว่าใจมันจะวูบ แล้วก็รู้ว่าญาณนั้นหลุดแล้ว เช่นนั้นใช่ไหม จากนั้นมายืนอยู่ตรงไหน ?
    วิญญาณ : เรายืนอยู่ข้างแม่ค้า !
    อาจารย์ : ในขณะนั้นโกรธเคืองใครมาที่สุด ?
    วิญญาณ : โกรธเคืองคนที่ฆ่า แล้วหิ้วเราใส่ถุง
    อาจารย์ : คนที่หิ้วใส่ถุงก็คือคนที่จะเอาไปกินใช่ไหม นี่ก็พึ่งจะเกิดเป็นปลาครั้งแรก ก็เลยไม่รู้สาเหตุแท้จริง เขาเล่ากันว่า วิญญาณเหล่านั้นจะต้องตามเนื้อไป แล้วทำไมไม่ตามไปละ เพราะอะไร ?
    วิญญาณ : เราไม่รู้ !
    อาจารย์ : ไม่รู้ ?
    วิญญาณ : เราไม่อยากไป เราฝ้าแม่ค้าอยู่
    อาจารย์ : ด้วยจุดมุ่งหมายอะไร ?
    วิญญาณ : จะทำให้คมมีดที่เชือดเรา บาดเขาบ้าง !
    อาจารย์ : ที่เฝ้าอยู่ก็เพราะโกรธแม่ค้า แล้วเมื่อวานซืนแม่ค้าก็เชือดอีกหลายตัว แล้วทำไมไม่ทำให้บาดมือ เพราะอะไร ?
    วิญญาณ : เขาชำนาญในการหลบหลีก
    อาจารย์ : เขามีอะไรป้องกันอยู่ไหม ?
    วิญญาณ : เขาจะมีไม้แหลมทิ่มแทงลงไปในเนื้อของเรา โดยที่เขาจะไม่ให้มือของเขาโดนเนื้อของเรา !

    อาจารย์ : รูปลักษณ์ของญาณเป็นปลา หรือเป็นวิญญาณของคน ?
    วิญญาณ : ของคน
    อาจารย์ : เป็นรูปของคนเลยหรือ ?
    วิญญาณ : จิตญาณของเรา จิตสำนึก
    อาจารย์ : รู้สึกว่าเป็นคนใช่ไหม ไม่ได้เห็นรูปร่างตัวเองเป็นรูปร่างปลา แต่เป็นรูปร่างคนใช่ไหม ?
    วิญญาณ : เห็น ! แต่ญาณเรา จิตสำนึกของเราเป็นคน
    อาจารย์ : ความรู้สึกเป็นคน แต่จิตญาณเป็นปลา ก็ว่ายในอากาศนะซิ หรือว่ายังไง ?
    วิญญาณ : คือเรามองเห็นซาก ว่าเราเป็นปลา
    อาจารย์ : แต่จิตญาณ……?
    วิญญาณ : ความรู้สึกเราเป็นคน แต่เราเห็นซากเราเป็นปลา
    อาจารย์ : แต่ไม่ได้เห็นว่าเป็นการยืนใช่ไหม ?
    วิญญาณ : มันเบา มันล่องลอย
    อาจารย์ : เอาละพอเข้าใจ เมื่อจิตญาณอยู่ตรงนั้นก็มุ่งหมายที่จะแก้แค้นแม่ค้า แต่แล้วก็สิ้นสุดวันนั้น แล้วก็วันอาทิตย์อีกวันหนึ่ง แม่ค้าคนนั้นก็ขายอยู่ ๒ วันใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : แล้ววันอาทิตย์ตอนสายหรือตอนบ่ายๆแม่ค้าก็เก็บกะละมังอุปกรณ์ต่างๆกลับบ้าน แล้วปลาดุกเนื้ออ่อนอยู่ตรงไหน ?
    วิญญาณ : เราก็ไปกับเขาที่บ้าน
    อาจารย์ : ไปกับเขาที่บ้าน ไปอยู่ตรงไหน แล้วทำไมมาอยู่ในตลาดอีกละวันนี้ ?
    วิญญาณ : เขาพาเรากลับมาตลาด เราก็อยู่ในภาชนะ
    อาจารย์ : วันนี้เขามาขายอีกหรือในตลาด ?
    วิญญาณ : (พยักหน้า)
    อาจารย์ : บ้านแม่ค้าปลาอยู่ตรงไหนล่ะ ?
    วิญญาณ : ต้นพะยอม
    อาจารย์ : ชื่อแม่ค้าพอรู้ไหมว่า...ชื่ออะไร ?
    วิญญาณ : เป็นผู้หญิง
    อาจารย์ : อายุประมาณเท่าไร?
    วิญญาณ : ๕๑-๖๑ ปี
    อาจารย์ : เขากินหมากไหม ?
    วิญญาณ : บางครั้งกินบางครั้งไม่กิน
    อาจารย์ : ชื่ออะไรพอรู้ไหม ?
    วิญญาณ : นึกไม่ออก
    อาจารย์ : ขออาราธนาพลังศักดิ์สิทธิ์ช่วยฟื้นความจำปลาดุก ?
    วิญญาณ : ชื่อ ปิ่น หรือชื่อ เพชร อะไรละ เราจำไม่ค่อยได้
    อาจารย์ : ไม่แน่นอนใช่ไหม ที่ปลาดุกมาที่นี่ แม่ค้าก็ยังขายอยู่อีกใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ตอนเช้ายังขายอยู่
    อาจารย์ : แล้วตอนเช้าใครเป็นคนเรียก มายืนอยู่ตรงนี้หรือยัง ?
    วิญญาณ : เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ
    อาจารย์ : ปากจัดไหมผู้หญิงคนนั้น ?
    วิญญาณ : เสียงดัง !
    อาจารย์ : เขาว่าอย่างไร ไหนลองเลียนแบบตอนเขาเรียกดูซิ เขาเรียกยังไง ?
    วิญญาณ : ให้เรามาเอาบุญ
    อาจารย์ : เลียนแบบตามคำพูดของเขา ที่ได้ยินคำแรกเขาพูดว่าอย่างไง ?
    วิญญาณ : สรรพวิญญาณทั้งหลาย ให้ไปรับบุญกุศลที่สถานปฏิบัติธรรม
    อาจารย์ : แล้วยังไงอีก “ตามลูกแก้วพ่ออาทิตย์มา” ว่าอย่างนั้นด้วยหรือ เห็นอะไรไหมในมือของเขา
    วิญญาณ : มันมีแสง
    อาจารย์ : แสงลักษณะเป็นอย่างไง ?
    วิญญาณ : มันเป็นลำแสงเล็กๆ
    อาจารย์ : แล้วลำแสงนั้น มีพลังดูดวิญญาณด้วยใช่ไหม รู้สึกยังไง เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้นขึ้นมา ?
    วิญญาณ : ตอนแรกเราจะไม่มา !
    อาจารย์ : ด้วยความรู้สึกยังไงถึงไม่คิดจะมา ?
    วิญญาณ : รู้สึกว่าต้องเอาให้เขาเจ็บบ้าง
    อาจารย์ : อ๋อ ต้องเอาคนที่เชือดให้เจ็บเสียก่อนใช่ไหม แล้วยังไงถึงได้ออกมาละ ?
    วิญญาณ : เขาเรียกหลายๆ ครั้ง แล้ววิญญาณที่ตามมาก็มีหมู มีเป็ด มีไก่ มีปลา !
    อาจารย์ : อ๋อ! ตามกันมามาก ?
    วิญญาณ : บางตัวก็มา บางตัวก็ไม่มา
    อาจารย์ : ตัวที่ไม่มาก็คงเหมือนกัน คืออยากจะแก้แค้นใช่ไหม ความอาฆาตมาดร้ายมี เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ จะต้องพูดว่า อย่าอยู่เพื่ออาฆาตใครเป็นอันขาด เพราะไม่สามารถทำอะไรใครเขาได้ ไปรับบุญดีกว่า พูดอย่างนั้นได้ไหม ?
    วิญญาณ : แล้วแต่เขา !
    อาจารย์ : เพราะอยู่เพื่ออาฆาตมาดร้ายจะแก้แค้น แต่ก็ไม่เคยแก้แค้นได้สำเร็จ และปลาดุกก็ไม่เคยแก้แค้นแม่ค้าได้ ใช้เวลาอยู่ตั้ง ๒ วันใช่ไหม แต่ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เพระฉะนั้น ไปสู่ที่มีความสุขดีกว่า ณ ที่นี่จะพาขึ้นสู่ลานธรรมของพระศรีอาริยเมตไตรย ความรู้สึกของญาณก่อนที่เขาจะไปเรียกรู้สึกยังไง คิดทำอะไรอยู่ด้วย ?
    วิญญาณ : คิดว่าตัวอื่นตาย เดี๋ยวเราก็จะรวมกลุ่มกัน
    อาจารย์ : อ๋อ ! จะรวมพลังญาณ แล้วจะทำอย่างไร แล้วตอนนั้นอยู่ที่ไหน ?
    วิญญาณ : เราอยู่ข้างตาชั่ง แล้วจะรวมกันให้ได้หลายญาณ (เพราะสัตว์ญาณแตกย่อยออกเป็นญาณเล็กๆ)
    อาจารย์ : อ๋อ ! ไปรวมกันที่ตาชั่งใช่ไหม หมายความว่าวิญญาณปลาตัวที่ตายทีหลัง กี่ตัวละที่รวมกันได้ในขณะนั้น ?
    วิญญาณ : ๔๑-๕๑ ตัว
    อาจารย์ : แล้วคิดว่ามีพลังพอหรือยัง ?
    วิญญาณ : เราก็กดตาชั่งกิโลกรัม !
    อาจารย์ : กดยังไง กดให้น้ำหนักมากขึ้นหรือยังไง ?
    วิญญาณ : กดให้เบา ให้เขาใส่เนื้อพวกเราไปเยอะๆ เขาจะได้ขาดทุน
    อาจารย์ : อ๋อ ! นี่ฉลาดคิดเหมือนกันนะ ก็หมายความว่า ดันขึ้นมา ไม่ใช่กดสิ ดันขึ้นมารับเอาไว้ ใช้พลังดันเอาไว้ แล้วพอใส่ลงไป เข็มที่จะกระดิกไปหา ๑ กิโลกรัม แทนที่จะเป็นปลาสัก ๒ ตัว ๑ กิโลกรัม ก็จะได้กลายเป็น ๓ ตัวต่อ ๑ กิโลกรัม อย่างนั้นใช่ไหม ฮื่อ ! นี่เรียกว่าวิธีหนึ่งที่ทำเขาได้ และเราก็ทำ และวิธีสุดท้ายที่จะทำเขาได้ ก็คือให้เสียเลือดเสียเนื้อ แต่ก็ยังทำไม่ได้ ถ้าพลังญาณเยอะๆก็พอที่จะทำได้ใช่ไหม ๕๑ กว่าญาณนี้รวมทั้งวันเสาร์วันอาทิตย์ และวันจันทร์ด้วยไหม แล้วที่ตายวันเสาร์ วันอาทิตย์กลับไปบ้านเขากี่วิญญาณละ ?
    วิญญาณ : น้อย!
    อาจารย์ : นอกนั้นไปไหน ?
    วิญญาณ : ไม่รู้
    อาจารย์ : กระจัดกระจายหายไปเลย ที่ถามมาเรื่องนี้ก็ได้ใจความพอสมควรแล้ว ต่อไปนี้ก็จะถามว่า ก่อนที่จะเป็นปลาดุกเนื้ออ่อนนี้ เราเคยเกิดเป็นคนมาก่อนแล้วใช่ไหม อ๋อ ! ถามก่อนว่าเป็นปลาดุกตัวผู้หรือตัวเมีย ?
    วิญญาณ : ตัวเมีย
     
  2. matiepoppy

    matiepoppy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2007
    โพสต์:
    86
    ค่าพลัง:
    +169
    อาจารย์ : เมื่อก่อนเคยเกิดเป็นคนเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ?
    วิญญาณ : ผู้ชาย
    อาจารย์ : เกิดที่ไหน ?
    วิญญาณ : แม่ฮ่องสอน !
    อาจารย์ : เป็นผู้ชาย มีครอบครัว มีลูกมีเมียใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : ตายเมื่ออายุเท่าไร ?
    วิญญาณ : อายุ จำไม่ได้
    อาจารย์ : ขอพลังศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนช่วยฟื้นความจำเพื่อที่จะได้รู้ กฎแห่งกรรมในอดีต เป็นผู้ชายอายุเท่าไรถึงตาย ?
    วิญญาณ : ๒๙ ปี เราชอบกินเหล้า ชอบกินของดิบๆ
    อาจารย์ : ช่วยเล่าความประพฤติที่ไม่ดีในอดีตให้ฟังหน่อย เช่นที่ว่าชอบกินเหล้า ชอบกินของดิบ แล้วชอบอะไรอีก ?
    วิญญาณ : ชอบเอาปลามาย่าง แต่ไม่สุก แค่ให้น้ำออกจากเนื้อปลา เราก็กินเป็นกับแกล้มเหล้าขาว
    อาจารย์ : แล้วอะไรอีก ชีวิตประจำวันที่ชอบกินเหล้าแล้วมีอาชีพอะไร ?
    วิญญาณ : รับจ้างก่อสร้าง
    อาจารย์ : แล้วเมื่อกี้ที่บอกว่า มีลูก มีเมีย อายุเท่าไร ?
    วิญญาณ : ๑๖ ปี
    อาจารย์ : แล้วเมียอายุเท่าไร ?
    วิญญาณ : พวกเรายังเป็นเด็กทั้งคู่
    อาจารย์ : แล้วชื่ออะไรตอนที่เป็นคน ?
    วิญญาณ : เราชื่อ คำม้วน
    อาจารย์ : นามสกุลอะไร ?
    วิญญาณ : อินทร์สิงห์
    อาจารย์ : คำม้วน อินทร์สิงห์ อยู่ในอำเภออะไร อำเภอเมืองหรือเปล่า ?
    วิญญาณ : เราอยู่ในตัวเมือง
    อาจารย์ : มีลูกไหม ?
    วิญญาณ : มีลูก ๑ คน
    อาจารย์ : ตายมาแล้วกี่ปี ?
    วิญญาณ : ตาย ๖-๗ ปีมาแล้ว
    อาจารย์ : เมื่อตายแล้ววิญญาณไปอยู่ที่ไหน (ขณะนั้น มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ซึ่งเกิดจากยางล้อรถระเบิดที่ถนนใหญ่ ทำให้ญาณ คำม้วน เกิดการสั่นสะเทือนญาณเกือบหลุดต้องช่วยกันดึงพักใหญ่ จากนั้นจึงสัมภาษณ์ต่อ) คำม้วนตายแล้ววิญญาณของคำม้วนไปไหน ?
    วิญญาณ : เราอยู่ข้างล่าง
    อาจารย์ : ข้างล่างนี้ก็คือนรกใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : เล่าตอนที่วิญญาณออกจากร่างแล้วไปไหน ?
    วิญญาณ : มียมทูต ๒ ตนมาพาเราไปข้างล่าง
    อาจารย์ : เขาพูดคำแรกที่ข้างล่างท่านทักทายว่าอย่างไรบ้าง เมื่อไปถึงนรก ?
    วิญญาณ : เขาบอกว่ารู้ไหมว่าตายแล้ว
    อาจารย์ : เล่าทุกอย่างที่ปรากฏ ?
    วิญญาณ : ท่านบอกว่า รู้ไหมว่าตายแล้ว เราบอกว่ายังไม่ตาย เรานั่งกินเหล้ากับเพื่อนอยู่
    อาจารย์ : ขอย้อนนิดหนึ่งนะ เป็นอะไรตาย ?
    วิญญาณ : กินเหล้าตาย กินเหล้าเกินขนาด
    อาจารย์ : กินเหล้ายังไงตาย มีด้วยหรือ กินกันกี่ขวด ?
    วิญญาณ : หลายขวด เราต้มเหล้าเถื่อนกินกันเอง
    อาจารย์ : กินกันกี่คน ?
    วิญญาณ : ๔ คน
    อาจารย์ : แล้วตายกี่คน ?
    วิญญาณ : ๑ คน
    อาจารย์ : ตายเฉพาะคำม้วน คนอื่นทำไมถึงไม่ตายละ ?
    วิญญาณ : เราไม่รู้
    อาจารย์ : เป็นโรคหัวใจด้วยไหม ?
    วิญญาณ : เราเหนื่อยหอบหลังจากการทำงาน แล้วเราก็มากินเหล้ากับเพื่อนจนเกินขนาด
    อาจารย์ : กลางวันหรือกลางคืน ?
    วิญญาณ : ตอนเย็น หลังเลิกงาน
    อาจารย์ : ตายกี่โมง ?
    วิญญาณ : ๒ ทุ่มกว่า
    อาจารย์ : เพื่อนๆ เขาคิดยังไงเวลาตาย ?
    วิญญาณ : เขาคิดว่าเราเป็นลม
    อาจารย์ : เขาก็พยาบาลแต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายพญายมก็ได้ให้ยมทูตมาเอาวิญญาณไป แล้วก็บอกว่าตายแล้ว คำม้วนก็บอกว่ายังไม่ตาย ?
    วิญญาณ : เราก็เถียงว่าเรายังไม่ตาย เขาก็ชี้ให้ดูว่านั่นไง ร่างของแกนอนอยู่ตรงนั้น เราหันไปเห็นเราก็ตกใจ
    อาจารย์ : ทำไมต้องตกใจ ?
    วิญญาณ : ก็เพราะว่า เราคิดว่าเราตายแล้วหรือนี่ เขาบอกว่าอย่าพูดมาก เราบอกว่าลูกเมียของเรายังอยู่ เรายังไม่ได้บอกเลย เขาบอกไม่ต้องบอกให้ไปกับเรา เขาก็กระชากเราไป
    อาจารย์ : กระชากยังไง ?
    วิญญาณ : มันเหมือนมีเชือกมามัดมือเราไว้ แล้วจูงเราไป
    อาจารย์ : แล้วทั้ง ๒ คนนั้นมีอาวุธอะไรบ้าง ?
    วิญญาณ : มีสามง่าม
    อาจารย์ : แล้วมีอะไร ?
    วิญญาณ : มีเชือก !
    อาจารย์ : แล้วใส่เสื้อผ้ายังไง ?
    วิญญาณ : ใส่ผ้าเตี่ยวสีคล้ำ สีออกเลือดหมู
    อาจารย์ : หน้าตาเป็นยังไง ?
    วิญญาณ : คนขาว คนดำ
    อาจารย์ : หน้าตาของคนดำเป็นยังไง ?
    วิญญาณ : เหี้ยม !
    อาจารย์ : แล้วคนขาว ?
    วิญญาณ : ขรึม !
    อาจารย์ : พูดน้อย แต่ว่ามือหนัก ?
    วิญญาณ : เขากระชากเราไป ตัวเราเบาหวิว เราตามเขาไปเหมือนลอยไป
    อาจารย์ : ใครเดินหน้า ใครเดินหลัง วิญญาณอยู่กลางใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ ! คนขาวเป็นคนจูงเราไป
    อาจารย์ : ยมทูตขาวจูง ยมทูตดำใช้สามง่ามจิ้มหลังไป ?
    วิญญาณ : เขาคุมเราไปทางหลัง
    อาจารย์ : หนทางที่จะไป ไปยังไง ?
    วิญญาณ : เราบอกไม่ถูก ตอนแรกมันสว่าง พอตอนหลังก็มืด
    อาจารย์ : แล้วเป็นยังไง สว่างแล้วมืด แล้วไปยังไงที่ไหนบ้าง ?
    วิญญาณ : มันมีแต่ความว่าง เตียน โล่ง มันมีทุ่งหญ้าเขียวอ่อนที่พอจะมองเห็น แต่เราไม่ได้หยุดที่ตรงนั้น เขาพาเราเฉียดๆ แล้วก็มืด แล้วก็ไปปรากฏอีกทีหนึ่ง ที่ถ้ำใหญ่

    อาจารย์ : ที่มีทุ่งหญ้าเขียวอยู่ตรงนั้นเป็นทางสามแพร่งไหม ?
    วิญญาณ : เราบอกไม่ถูกมันวูบเดียว
    อาจารย์ : มันไปเร็วใช่ไหม พอไปถึงถ้ำใหญ่แล้วมีความรู้สึกอย่างไร ?
    วิญญาณ : มีผู้ชายสูงใหญ่ตัวมหึมานั่งอยู่บนแท่นบัลลังก์
    อาจารย์ : บนหัวมีอะไรไหม ?
    วิญญาณ : ก็เหมือนมีเขาอะไรสวมอยู่ก็ไม่รู้ เขาบอกว่าเขาคือ พญามัจจุราช เป็นผู้ที่ดูแล และทำโทษผู้ที่ตกนรกทั้งหมด เราตกใจเอามือทาบ-อก แล้วก็คิดในใจว่า นี่เราตายจริงๆแล้วหรือ เขาก็หัวเราะ ท่านบอกว่าเจ้ารู้ไหมว่า เจ้าได้มาคุกเข่าตรงหน้าเราแล้ว ที่คน ๒ คนไปเอาเจ้ามาก็เป็นคนของเรา เขาเรียกว่า “ยมทูต” มีผู้ชายตัวใหญ่ ๒ คนขนาบซ้ายขวา เขาถือสามง่าม เหมือนทหารองครักษ์ เราตกใจเราก็ร้องไห้
    อาจารย์ : ความรู้สึกนั้น ต้องมารับโทษในความผิดที่ได้ทำไว้ครั้งเป็นคนใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : ได้สำนึกขอขมาในความผิดที่ผ่านมาบ้างหรือไม่ ?
    วิญญาณ : เราขอขมาเขาแล้ว
    อาจารย์ : แล้วเขาว่ายังไง ?
    วิญญาณ : เขาบอกว่าถึงยังไงก็ต้องรับโทษอยู่ดี เราก็บอกว่าให้เรากลับมาบนโลกมนุษย์ใหม่ เราจะสร้างความดี เขาบอกว่าไม่ได้ ต้องรับโทษที่ทำไว้ เขาก็อ่านโทษความผิดให้เราฟัง ตอนอายุเท่านั้น เวลานั้น เดือนนั้น ทำอะไรตรงไหน ตอนเราเด็กๆเราชอบกินมดแดง เราจะไปหามดแดงที่ละตัวสองตัวมาใส่ในขันน้ำ แล้วเราก็คั่วกับเกลือในกระทะ แล้วก็เอามากินกับข้าว เขาจะบอกรายละเอียดทุกอย่างที่เราทำ แม้แต่เราตกปลา หาปลา หาปูตามท้องทุ่งนา เขาก็จดทั้งหมด แม้แต่เราหา กบ หาเขียดที่เอามากิน เขาก็จด เราเห็นแล้วว่ามากมายเหลือเกิน เรากลัวตัวสั่น เรากราบขอขมาเขาอย่างไรก็ไม่ได้ผล เขาบอกว่าต้องไปเกิดชดใช้กรรมที่เคยก่อเอาไว้ ต้องไปเกิดให้เขากินเหมือนที่เราเคยกินเขา ที่เจ้าทรมานเขา จับเขาใส่ข้องเขาเจ็บ เจ้าก็ต้องเจ็บทรมานเหมือนที่เจ้าทำกับเขา เราก็กลัวร้องไห้ เขาบอกว่าเมื่อรับความผิดตรงนี้ ก็ต้องโดนลงโทษ ต้องไปรับโทษที่ขุมต่างๆ เขาก็ให้เราลุกขึ้นยืน แล้วก็มียมทูตเอาเราไปอีกต่อหนึ่งเป็นหัวสัตว์
    อาจารย์ : เป็นหัวสัตว์อะไร ?
    วิญญาณ : หัวหมา
    อาจารย์ : แล้วอะไรอีก ?
    วิญญาณ : แล้วก็พาเราไปในแดนที่ต้องโทษทรมานเราต่างๆนานาหลายขั้นตอน
    อาจารย์ : เล่าถึงความทรมานว่าเขาทำอะไรบ้าง เป็นบุญ เป็นกุศลกับจิตญาณของคำม้วนเอง เพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่คนรุ่นหลัง จะได้ไม่กล้าทำบาป ?
    วิญญาณ : เราถูกทรมานครั้งแรก เราไปเจอ กระทะที่มีแต่น้ำเดือด มีวิญญาณต่างๆนั่งอยู่รอบ และก็มีพญามัจจุราช เขาตักน้ำในกระทะให้ดื่ม เขาบอกว่าโทษฐานที่เจ้ามึนเมา ต้องกินน้ำอันนี้แทนเหล้าที่เจ้ากินเข้าไป ตอนที่เจ้าเป็นกายเนื้อ เจ้ากินน้ำ มันก็ร้อนท้อง วันนี้เราก็จะให้เจ้ากินน้ำเหมือนกัน มันก็จะร้อนท้องของเจ้าเหมือนกัน เราจะไม่กินเรา เห็นคนอื่นกิน แล้วมันสลาย
    อาจารย์ : สลายเลยใช่ไหม?
    วิญญาณ : มันค่อยๆ หลุดทีละชิ้น เพราะความร้อน เราพยายามฝืนไม่กิน เขาก็บังคับจนกระทั่งกรอกน้ำลงในท้องของเรา เจ็บปวดสุดแสนสาหัส ทรมานความรู้สึกของเรา ตับ ไต ไส้ พุงมันร้อน มันหลุด หลังจากนั้นเราก็ไม่รู้สึกตัว ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็กรอกเราอีก กรอกอยู่เช่นนั้นนานพอสมควร
    อาจารย์ : หลายครั้ง นับได้ไหมว่ากี่ครั้ง ?
    วิญญาณ : ส่ายหน้า
    อาจารย์ : จำไม่ได้ แต่รู้ว่าหลายครั้ง แล้วก็ทรมานเช่นนั้นทุกครั้ง เล่าต่อ ?
    วิญญาณ : หลังจากนั้นเขาบอกว่า อันนี้สำหรับการที่เจ้าชอบเสพของมึนเมากินเหล้า เขาก็พาเราไปอีก มันมีเตาที่ย่างมนุษย์อีก เขาย่างมนุษย์ฉีกเนื้อมนุษย์มาให้เรากิน เราไม่กล้ากิน เพราะว่าเราก็เป็นมนุษย์ จะกินเนื้อมนุษย์ได้อย่างไร เขาก็บังคับให้เรากินมนุษย์ด้วยกัน เราก็จำเป็นต้องกิน เมื่อเขาเอาส้อมอันใหญ่ฉีกเนื้ออันนั้นมาให้เรากิน ทุกคนต่างก็กินด้วยความสะอิดสะเอียน เพราะกินเนื้อคนด้วยกัน
    อาจารย์ : เหตุอะไรถึงต้องไปกินเนื้อมนุษย์ ความผิดอะไรละ ?
    วิญญาณ : เราชอบย่างของกิน คือสัตว์ต่างๆ จึงทำให้สัตว์เหล่านั้นเป็นมนุษย์ดูสิว่า เราจะกล้ากินไหม ถ้าเป็นมนุษย์ด้วยกัน เขาจะทำให้เห็นเป็นภาพ ให้มองเห็น เราก็สะอิดสะเอียน กินไม่ลง กลืนเข้าไปก็ต้องอาเจียนออกมา เขาก็ตัดมาให้กินใหม่ ทำอยู่เช่นนั้น จนเราตายแล้วตายอีก เขาก็หมด ตรงนี้คือหมด เขาบอกว่าย่างเนื้อเขา เขาก็เจ็บเหมือนที่ย่างเนื้อมนุษย์ให้เรากินนี่แหละ จะกินคนด้วยกันได้อย่างไร เขาก็พาเราไปอีก…….
    อาจารย์ : ความหมายก็คือ สัตว์ก็คือคนเหมือนกันนั่นแหละนะ สัตว์ที่เรากิน เมื่อก่อนเขาก็เป็นคน ความหมายก็คือ มันอยู่ในวงวัฏจักรเดียวกัน ?
    วิญญาณ : เขาพาเราไปอีก มืดกว่าเดิม เริ่มมีแสงสลัวๆ เริ่มมีเสียงหวีดร้องโหยหวนด้วยการถูกทรมาน ไปถึงที่ตรงนั้น เขาก็จับแขวนคอ เราเห็นพญายมใช้มีดผ่าท้อง แหวะท้อง เอาหัวห้อยลง ควักไส้ลงมา มีหมามากินเลือดสดๆ ฉีกออกเป็นชิ้นๆ ทำอยู่เช่นนั้น เลือดไหลนองพื้น เหม็นคาวไปหมด เมื่อเราไปถึงที่ตรงนั้น เราก็เป็นอย่างที่เราเห็น ด้วยการที่เขาจับเราเอาหัวลง ผูกขาห้อย เอามีดกรีดท้อง ควักไส้ ควักพุง เลือดไหลทะลัก ด้วยความเจ็บปวดโหยหวน
    อาจารย์ : ด้วยความผิดอะไรละ ผ่าท้องปลาหรือ ความผิดอะไร ?
    วิญญาณ : เราเคยผ่าท้องปลาไหล รูดเขากับใบข่อย เรากรีดท้องเขา เขาดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เราก็ไปเป็นเหมือนกับที่เราเคยทำเอาไว้
    อาจารย์ : ตรงนั้นมีแขวนห้อยหัวหลายราว เป็นราว เป็นตับเลยใช่ไหม นักการยมบาลที่นั้นก็มีมากมายใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : แล้วเขาทำเช่นนั้น แล้วร้องโหยหวนด้วยกันทั้งสิ้นใช่ไหม แสบแก้วหูไหม ?
    วิญญาณ : เราเจ็บจนทนไม่ไหว ระบมไปหมด ไม่รู้ว่าเสียงอะไรต่อเสียงอะไร มันสับสนอยู่ในโสตประสาทของเรา เสียงหมาเห่ากรรโชก ดังขรมไปหมด เสียงหวีดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อโดนผ่าท้อง หลังจากนั้นเราก็ถูกทรมานแบบนั้นอีกนาน
    อาจารย์ : ตายฟื้น ฟื้นตายอยู่หลายรอบ ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : เจ็บปวดรวดร้าวอยู่ตลอดเวลา แล้วเมื่อสิ้นสุดตรงนั้นแล้วไปไหนต่อ ?
    วิญญาณ : มันก็ลงมืดลงไปอีก
    อาจารย์ : เล่าตรงนี้สิ ว่าไปทำอะไร ?
    วิญญาณ : เดินไปเรื่อยๆ เดิน โดยไม่รู้ว่าเราไปบรรจบตรงไหน เราตกลงไปในสระ เมื่อตกลงไปในสระ เนื้อของเราก็เปื่อย
    อาจารย์ : เป็นสระน้ำกรดใช่ไหม ?
    วิญญาณ : มันมีควันพวยพุ่งมา
    อาจารย์ : แต่มันก็มืดอยู่ ครึ้มใช่ไหม แต่พอมองเห็นใช่ไหม ?
    วิญญาณ : รู้ ! พอตกลงไปมันเจ็บปวด เจ็บร้อนเนื้อก็หลุดออกไป เราก็ปีนป่ายขึ้น เขาก็ทิ่มให้เราลงไปอีก เราจะมีราวสะพาน เราก็จะปีน เขาก็ผลักให้เราลงไปอีก เขาบอกว่า กรรมใดทำไว้ก็ให้รับกรรมนั้น ให้มนุษย์ได้สำนึกในการทำผิดบาป เมื่อลงนรกนี่แหละต้องถูกทรมานแบบนี้
    อาจารย์ : แล้วด้วยข้อหาความผิดอะไร ที่จะต้องลงไปละลายเนื้อในบ่อน้ำกรด ?
    วิญญาณ : เราฉ้อโกงเขา นายจ้าง
    อาจารย์ : ฉ้อโกงอะไร ?
    วิญญาณ : เราเทปูนผสมไม่ครบตามจำนวน และอีกหลายอย่าง เราทำของไม่ดี คิดไม่ดี เมื่อเราลงไป ชิ้นส่วนเหล่านี้ของเราจึงหลุดลุ่ย
    อาจารย์ : อ๋อ ! ชิ้นส่วนของปูนที่ผสมไม่ได้ตามสูตร ด้วยความขี้เกียจหรืออย่างไร ที่ทำเช่นนั้น ?
    วิญญาณ : ตั้งใจที่จะขโมยปูนไปขาย
    อาจารย์ : อ๋อ ! ขโมยปูนไปขาย แล้วก็ผสมไม่ครบตามนั้น แล้วเหล็กด้วยใช่ไหม ขายปูนด้วย ขายเหล็กด้วยไหม ?
    วิญญาณ : เหล็กเราไม่ขาย
    อาจารย์ : ขายปูนอย่างเดียวนะ นายจ้างรู้ไหม ?
    วิญญาณ : เขาไม่รู้ เมื่อของหมดก็สั่งใหม่ !
    อาจารย์ : ได้เงินเยอะไหมตอนนั้น ?
    วิญญาณ : ได้มา เราก็ซื้อเหล้ากับแกล้มกินกันหมด
    อาจารย์ : เท่ากับว่าสร้างบาปเพิ่มทวีคูณเป็น ๒ เท่า แทนที่จะทำในสิ่งที่ดีงาม เลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ก็ไปทำอันตรายตนเอง ทำไปเพราะไม่รู้ เอา ! เล่าต่อ ด้วยข้อหาความผิดนี้จึงต้องถูกละลายในบ่อน้ำกรดหลายครั้งหลายหน ตายฟื้นๆอยู่เช่นนั้น ?
    วิญญาณ : มันลึกลงไปเรื่อยๆ ความมืดก็ปกคลุมไปเรื่อยๆ เราก็ไม่รู้ว่าเราไปอยู่ตรงจุดไหน พอเราขึ้นจากตรงนั้น เราก็ไปเจออากาศที่หนาวมาก เย็นเหมือนอยู่ในน้ำแข็ง หนาวจนเราแข็งตาย

    อาจารย์ : หนาวแข็งตาย แล้วเขาจับโยนหรือเขาทิ้งลงไป ?
    วิญญาณ : บังคับให้ขังอยู่ในนั้น ห้ามขึ้นมา
    อาจารย์ : เป็นน้ำ หรือว่าเป็นอะไร ?
    วิญญาณ : มันเหมือนเป็นถ้ำน้ำแข็ง !
    อาจารย์ : แล้วอย่างไรต่อ มันเป็นถ้ำน้ำแข็ง แต่ว่าความรู้สึกเหมือนกับน้ำใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : หนาวเหน็บจนตาย แล้วเป็นยังไง ?
    วิญญาณ : เราก็ไม่รู้ เราตายกี่รอบอีก ตรงนั้นเมื่อเสร็จ ตรงส่วนนั้นเขาบอกว่า เจ้าสำนึก แต่ต้องมาเกิดให้เขากินอีก เราไม่คิดว่าเขาจะให้เรามาเป็นปลาดุกเนื้ออ่อน
    อาจารย์ : พอสิ้นสุดบ่อน้ำแข็งนั้นแล้ว พญายมเอาญาณนั้นมาที่บัลลังก์อีกรอบหนึ่งหรือยังไง ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : ไหนลองเลาสิ ท่านพูดอย่างไง เล่าให้ละเอียดเลย ?
    วิญญาณ : ท่านบอกว่า “เจ้าไม่ดื้อไม่รั้น ยอมรับสารภาพทุกอย่างที่เขาบอก บอกว่าถึงจะรับสารภาพ แต่ก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานให้เขากิน”
    อาจารย์ : กี่ชาติ ที่ท่านบอก ?
    วิญญาณ : สักระยะหนึ่ง
    อาจารย์ : ไม่พูดว่ากี่ชาติใช่ไหม ?
    วิญญาณ : เราจำไม่ได้ เราไม่คิดว่าเราจะมาเกิดกายเป็นปลาดุก ท่านบอกว่าจงจำเอาไว้ เมื่อหมดวิบากกรรม เกิดกายเป็นมนุษย์อย่าทำชั่วอย่างนี้อีก จะได้ไม่ต้องลงมาข้างล่างพบกับท่านอีก ท่านบอกว่าเราสำนึกตรงนั้นกราบขอโทษ บอกว่าเราจะไม่ทำอีกแล้ว ท่านบอกว่าเจ้าจะต้องเป็นทุกข์อีกระยะหนึ่ง เมื่อมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานทุกข์ทรมานให้มนุษย์ทำต่อ หลังจากนั้นเราก็ไม่รู้สึกตัว
    อาจารย์ : เขาพามาที่เป็นเหมือนกับที่เขาเรียกว่าแม่น้ำแดง มันมีน้ำปริ่มๆมาข้ามสะพานก่อนไหม ?
    วิญญาณ : มันมีสะพาน
    อาจารย์ : สะพานนั้นเป็นสะพานอะไรละ ?
    วิญญาณ : เขาให้เดินข้ามมาอีกฟากหนึ่งเราไม่รู้ว่าเขาเรียกว่าอะไร
    อาจารย์ : แล้วมันมีเหมือนกับพวกระหัดวิดน้ำที่อยู่ปริ่มๆน้ำอยู่ใช่ไหม อย่างนั้นไหม พอข้ามสะพานแล้วไปเจอตรงนั้นไหม ?
    วิญญาณ : มันอยู่ตรงหน้า มันหมุนอยู่อย่างนี้ (แสดงท่าทางการหมุนของระหัดให้ดู)
    อาจารย์ : เขาเรียกวงล้อเวียนว่ายใช่ไหม ?
    วิญญาณ : เราไม่รู้
    อาจารย์ : เขาผลักเลยไหม ?
    วิญญาณ : ตอนแรกเราไปยืนแล้วมีคนต่อแถวยาวเหยียดมาเรื่อยๆ เราก็ไม่รู้ อยู่ๆมันก็วูบ
    อาจารย์ : อ๋อ ! ถูกดูดเข้าไปใช่ไหม แล้วก็หมดความรู้สึก ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : มารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่งก็อยู่ในปลาดุกแล้ว ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : แล้วก็มารู้สึกตัว ก็เหมือนกับที่เล่ามาทั้งหมด แล้วก็รู้ตอนเป็นปลาดุก ความรู้สึกมันอึดอัดหน่อยใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : แช่อยู่ในน้ำเย็นไหม หนาวไหม ?
    วิญญาณ : มันก็ทรมาน
    อาจารย์ : แต่ความรู้สึกของความเป็นคนก็พอมีอยู่ใช่ไหม ?
    วิญญาณ : มี !
    อาจารย์ : ขณะนี้รู้สึกอย่างไร ?
    วิญญาณ : ตอนนี้หรือ ?
    อาจารย์ : ความรู้สึกตอนนี้เป็นความรู้สึกของคนหรือความรู้สึกอะไร ?
    วิญญาณ : ครึ่งคนครึ่งปลาดุก
    อาจารย์ : เพราะเปิด ๒ ภาคขึ้นมาใช่ไหม ก็ถือว่าโชคดี เนื่องจากว่ามีการโปรดสามโลกของพระแม่องค์ธรรม รู้จักพระแม่องค์ธรรมไหม ?
    วิญญาณ : ไม่เคยได้ยิน !
    อาจารย์ : แม่ผู้ให้กำเนิดดวงญาณ เพราะเราทำความผิดกฎของฟ้าจึงให้เราลงไปรับโทษที่เมืองนรก เศษกรรมที่ยังมีอยู่ก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานให้เขากินตั้งหลายชาติด้วย เนื่องจากว่าบุญกุศลเก่าคงพอมี จึงถูกส่งลงมาทางใต้ จากสุราษฎร์ ลงมาถึงตลาดอำเภอสิชล เอาละให้ขอบคุณคนที่ไปดึงญาณปลาดุก เพราะถ้าเขาไม่ไปดึงมา ปลาดุกก็ต้องกลับไปเกิดเป็นปลาดุกอีก แล้วก็ต้องทรมานอีกตามที่พญายมว่าอีกระยะหนึ่ง จำได้ไหมท่านบอกว่ากี่ชาติ ?
    วิญญาณ : จำไม่ได้ !
    อาจารย์ : เอาละอีกระยะหนึ่ง อาจจะหลายชาติ แต่นี่เพียงชาติแรกก็ได้มาเจอสิ่งที่ดีงามก็ถือว่าบุญอดีตยังมีอยู่ เมื่อคณะนี้ ซึ่งเป็นคณะปลดปล่อยดวงวิญญาณของพระ
    ศรีอาริย์ คณะเราไปที่ไหนก็จะมีพลังดึงวิญญาณขึ้นมา เพื่อที่จะนำมาสู่การปลดปล่อยขึ้นสู่ลานธรรม เย็นนี้ไปรับบุญกุศล เดี๋ยวจะให้ออกไปยืนอยู่ เพ่งมองไปที่หน้าสถานธรรมมีลำแสงอยู่ใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : ใหญ่ไหม ?
    วิญญาณ : ไม่ใหญ่เท่าไร
    อาจารย์ : แต่ว่าบานเหมือนกับแหใช่ไหม แล้วขณะนี้ในลำแสงนั้นมีวิญญาณอยู่ประมาณเท่าไร?
    วิญญาณ : ก็เยอะเหมือนกัน
    อาจารย์ : อันไหนมากกว่า ระหว่างคนกับสัตว์ ?
    วิญญาณ : สัตว์มากว่า
    อาจารย์ : เย็นนี้คำม้วนก็จะได้ไปอยู่ที่นั่น แต่ก็คงไปอยู่ในรูปของสัตว์นั่นแหละ เพราะว่าชาติสุดท้ายเป็นสัตว์ ก็ต้องไปอยู่ในฟากฝั่งของสัตว์ แล้วเมื่อขึ้นสู่ลานธรรมของพระศรีอาริย์ก็ไปอยู่ตรงฟากของสัตว์เดรัจฉาน เขาก็จะแยกประเภทกันไว้แล้ว ก็เพื่อขึ้นไปฟังธรรม ตั้งใจนะพอขึ้นไปแล้ว ตอนเย็นรับบุญ แล้วก็ขึ้นไปเลยนะ ฟังธรรมอย่าได้คิดอะไรทั้งสิ้น ปล่อยเรื่องราวในอดีตในภาคมนุษย์ให้สิ้น คิดตามคำสอนของพระศรีอาริย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปฏิบัติตามนั้นแล้วจิตญาณจะใสเร็วขึ้น เมื่อใสแล้วผลสุดท้ายก็จะได้ผ่านเข้าไปสู่ฝั่งของมนุษย์ ซึ่งมีกำแพงแก้วกระจกกั้นกลางอยู่ แล้วก็ไปกล่อมเกลาอีกระยะหนึ่ง จึงจะได้มาเกิดเป็นคนอีก เกิดทันยุคพระศรีอาริย์โปรด ฟังธรรมจากพระโอษฐ์พระศรีอาริย์ ดีหรือไม่ดีอย่างนี้ ?
    วิญญาณ : ดี !
    อาจารย์ : ฟังธรรมของท่านสำเร็จกลับคืนสู่แดนนิพพาน ถือว่าโชคดีไม่ธรรมดานะเที่ยวนี้ ?
    วิญญาณ : ขอบคุณท่าน !
    อาจารย์ : เข้าใจความหมายแล้วยัง ถ้าเข้าใจความหมายแล้ว ณ บัดนี้ได้เวลาที่คำม้วนจะต้องออกจากกายสังขารนี้ ถอนญาณตัวเอง เรี่ยวแรงก็พอมีใช่ไหม ?
    วิญญาณ : ใช่ !
    อาจารย์ : ปลาดุกเนื้ออ่อน (คำม้วน) เตรียมพร้อมถอนญาณออกไปอยู่หน้าสถานปฏิบัติธรรม ๑๐๕ ก้าว เข้าไปคอยอยู่ในลำแสงสีเหลือง ฟังพระเทศน์ไปพลางๆ เย็นนี้รับบุญจากการกรวดน้ำ ฟังสัจคาถาแล้วขึ้นลานธรรม โชคดีมีชัย.

     
  3. Vatairat

    Vatairat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,676
    ค่าพลัง:
    +2,294
    ได้รับฟังเรื่องราวแล้วทำให้ไม่กล้าฆ่าสัตว์ตัดชีวิตและกินเนื้อสัตว์เลยค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...