สามเณรองค์แรกของโลก

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย dangcarry, 19 มีนาคม 2010.

  1. dangcarry

    dangcarry เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กันยายน 2005
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +4,305
    [​IMG]



    พระนางพิมพายโสธรา พระมารดาของพระราหุลทรงตรัสบอกให้พระโอรส
    ไปทูลขอรัชทายาทและทรัพย์สินที่เป็นสมบัติของพระบิดาทั้งหมด
    พระพุทธเจ้าไม่ตรัสว่ากระไร แล้วเสด็จกลับนิโคธารามพร้อมด้วยพระสงฆ์
    โดยมีพระราหุลตามเสด็จเพื่อทูลขอสิ่งที่ทรงประสงค์
    พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าสิ่งที่ราหุลทูลขอนั้นเป็นสมบัติทางโลก
    ไม่ยั่งยืน พระพุทธเจ้าจึงตรัสเรียกพระสารีบุตรมา
    แล้วสั่งให้พระสารีบุตรเป็นอุปัชฌาย์ ทำหน้าที่บวชสามเณรให้ราหุล ราหุลจึงเป็นสามเณรองค์แรกในพระพุทธศาสนา

    [SIZE=-1]สามเณรราหุลบรรพชาเมื่ออายุ 7 ปี พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมให้ฟังมากมายหลายเรื่อง [/SIZE]เมื่ออายุครบบวช ต่อมาได้บวชเป็นพระภิกษุ [SIZE=-1]ท่านได้ตามเสด็จพระพุทธเจ้าไปยังป่าอันธวัน แขวงเมืองไพศาลี แคว้นวัชชี

    หลังจากได้ฟัง "จูฬราหโลวาทสูตร" จากพระพุทธองค์ ก็สำเร็จบรรลุเป็นพระอรหันต์ พระราหุลเถระ ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า "เอตทัคคะ"(ผู้เลิศกว่าคนอื่นในด้านใคร่การศึกษา) คือ ชอบการศึกษาหรือขยันหมั่นในการเล่าเรียน

    พระราหุลเถระนิพพานเมื่อใด ไม่ปรากฏหลักฐานระบุชัด ทราบเพียงว่า ท่านปรินิพพานก่อนพระอัครสาวกทั้งสอง และก่อนพระพุทธเจ้า โดยการทูลลาพระพุทธเจ้าไปนิพพานที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์


    คุณธรรม ที่ควรยึดถือเอาเป็นแบบอย่าง

    มีความอดทนเป็นเยี่ยม คือบรรพชาตั้งแต่อายุ 7 ปี ต้องอดอาหารในเวลาวิกาลตั้งแต่เที่ยงจนถึงรุ่งเช้า และตามปกติพระภิกษุสามเณรในสมัยพุทธกาล

    เป็นผู้ว่าง่ายถ่อมตน ไม่ถือตัว
    เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาอย่างยิ่ง

    เป็นผู้ที่มีความขยัน หมั่นเพียร
    [/SIZE]มีความกตัญญูกตเวทีอย่างยิ่ง

    พระราหุลเถระ
    เอตทัคคะในทางผู้ใคร่ในการศึกษา

    พระราหุล เป็นโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ (พุทธโอรส) กับพระนางยโสธรา
    หรือพระนางพิมพา
    เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าสุทโธทนะ ผู้ครองนครกบิลพัสดุ์ ประสูติวันเดียวกันกับที่พระ
    บิดาเสด็จออกบวช ดังนั้น ท่านจึงเจริญพระชันษาเติบโตขึ้นมาโดยมิเคยเห็นพระพักตร์รู้จักพระ
    บิดาเลย จวบจนครั้นเมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้ว เสด็จมาโปรดพระประยูรญาติที่กรุงกบิลพัส
    ดุ์ ประทับอยู่ที่นิโครธาราที่พระประยูรญาติสร้างถวาย ในวันรุ่งขึ้นเวลาเช้าทรงปฏิบัติพุทธกิจ
    เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครกบิลพัสดุ์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระเจ้าสุทโธทนะพระบิดาใน
    ระหว่างถนน ให้พระบิดาดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล
    ในวันที่ ๒ เสด็จเข้าไปรับบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ ทรงแสดงธรรมโปรดพระบิดา
    และพระนางมหาปชาบดีโคตรมี เมื่อจบพระธรรมเทศนาพระบิดาดำรงอยู่ในพระสกทาคามี
    ส่วนพระนางมหาปชาบดีโคตรมี ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้ว่าพระพุทธ
    องค์จะเสด็จเข้าไปรับอาหารบิณฑบาตในพระราชนิเวศน์ถึง ๖ วันแล้วก็ตาม แต่พระนางพิมพา
    พระมารดาของราหุลกุมาร ก็มิได้มาเฝ้าพระพุทธองค์ ดุจบุคคลอื่น ๆ เลย
    • ราหุลกุมารทูลขอทรัพย์สมบัติ
      ครั้นล่วงถึงวันที่ ๗ แห่งการเสด็จเยือนพระนครกบิลพัสดุ์ พระนางพิมพาราชเทวี
      ประดับตกแต่งองค์ราหุลกุมารราชโอรสด้วยอาภรณ์อันวิจิตรแล้วตรัสว่า:-
      “พ่อราหุลลูกรัก พ่อจงไปดูพระสมณะผู้มีผิวพรรณผ่องใส รูปงามดุจท่านท้าว
      มหาพรหม แวดล้อมด้วยพระสงฆ์สาวก เป็นจำนวนมาก พระสมณะองค์นั้นคือพระบิดาของเจ้า
      พระองค์มีขุมทรัพย์มหาศาลอันสุดจะคณนา นับแต่พระบิดาของเจ้าออกบวช เจ้าก็เหมือนหมด
      หวังในราชสมบัติ เจ้าจงไปกราบไหว้พระบิดาแล้วกราบทูลขอทรัพย์สมบัตินั้นในฐานะเป็น
      ทายาทสืบสันติวงศ์ต่อพระองค์เถิด”
      ราหุลกุมาร เสด็จเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามพระดำรัสของพระมารดา
      กราบถวายบังคมแล้ว ทอดพระเนตรดูพระสัพพัญญู บังเกิดความรักในพระบิดา ทรงปราโมทย์
      โสมนัสตรัสชมว่า “ร่มเงาของพระองค์เย็นสดชื่นยิ่งนัก พระพักตร์ของพระองค์สดใสสุด
      ประมาณ” ดังนี้แล้วก็ตรัสเรื่องอื่น ๆ ต่อไปโดยมิได้กราบทูลขอทรัพย์สมบัติ
      พระพุทธองค์ ทรงกระทำภัตกิจเสร็จแล้ว ตรัสอนุโมทนา เสด็จกลับสู่นิโครธาราม
      ส่วนราหุลกุมารก็เสด็จติดตามไปจนถึงอาวาส มิมีผู้ใดจะสามารถกราบทูลทัดทานได้ เมื่อสบ
      โอกาสจึงกราบทูลขอทรัพย์สมบัติอันเป็นสิ่งที่รัชทายาทผู้สืบราชสันติวงศ์สันติวงศ์จะพึงได้รับ
    • พระราชทานอริยทรัพย์
      พระบรมศาสดา ได้ทรงสดับดังนั้นแล้วทรงดำริว่า “ราหุลกุมารปรารถนาทรัพย์สมบัติ
      อันเป็นของพระบิดา ถ้าตถาคตจะให้ขุมทองแก่เธอแล้ว ก็จะเป็นสิ่งชักนำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่
      ในวัฏสงสาร ด้วยเป็นสิ่งหาสาระแม้สักนิดหนึ่งก็หามีไม่ อย่ากระนั้นเลย เราจะมอบอริยทรัพย์
      อันเป็นสิ่งประเสริฐสุดในพระพุทธศาสนานี้แก่เธอ ซึ่งจะจำให้เธอเป็นโลกุตรทายาท สืบสกุล
      ในพุทธวงศ์นี้สืบไป"
      ครั้นแล้วทรงมีพระดำรัสสั่งให้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร จัดการบรรพชาให้แก่ราหุล
      กุมารในวันนั้น ด้วยวิธีให้รับไตรสรณคมน์ และสามเณรราหุล ได้ชื่อว่าเป็นสามเณรองค์แรกใน
      พระพุทธศาสนา
    • พระเจ้าสุทโธทนะทูลขอพร
      พระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อทราบว่าราหุลกุมารบรรพชาแล้ว ทรงโทมนัสเสียพระทัยเป็น
      อย่างยิ่งด้วยหวังไว้แต่เดิมว่า เมื่อพระราชโอรสสิทธัตถะออกบวชแล้วก็หวังจะได้นันทกุมารสืบ
      ราชสมบัติต่อ แต่พระบรมศาสนาก็ทรงพานันทะออกบวช ทำให้ผิดหวังเป็นคำรบสอง แต่ก็ยังมี
      หวังอยู่ว่าจะให้ราหุลกุมารหลานรัก เป็นทายาทสืบราชสมบัติต่อไป แต่แล้วพระพุทธองค์ก็ทรง
      นำไปบวชเสียอีก จึงหมดสิ้นผู้สืบราชสมบัติต่อไป แต่แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงนำไปบวชเสียอีก
      จึงหมดสิ้นผู้จะสืบสายรัชทายาท ทรงดำริต่อไปอีกว่า หากปล่อยไว้อย่างงี้อีกไม่นาน บรรดา
      กุมารในศากยสกุลก็จะถูกนำไปบวชจนหมดสิ้น อนึ่ง ความทุกข์โทมนัสอย่างนี้ก็จะเกิดแก่บิดา
      มารดาในสกุลอื่น ๆ ด้วยเหตุส้นคนสืบสกุล จึงรีบเสด็จไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่
      นิโครธาราม กราบทูลขอประทานพระพุทธอนุญาตว่า
      “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับต่อแต่นี้ไป ถ้ากุลบุตรผู้ใดแม้ประสงค์จะบวชในพระพุทธ
      ศาสนา หากมารดาบิดายังมิยอมพร้อมใจกันอนุญาตให้บวชแล้วขอได้โปรดงดเสีย อย่าได้ให้
      บรรพชาแก่กุลบุตรผู้นั้นเลย”
      พระบรมศาสดา ได้ประทานพรตามที่พระพุทธบิดากราบทูลขอแล้วถวายพระพรลา พา
      พระนันทะ และสามเณรราหุล พร้อมด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จกลับสู่มหานครราชคฤห์
      เมื่อราหุลกุมาร บรรพชาเป็นสามเณรแล้ว ตามเสด็จพระบรมศาสดา และพระสารีบุตร
      เถระอุปัชฌาย์ของตน ไปยังสถานที่ต่าง ๆ เมื่ออายุครบก็ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
      วันหนึ่ง ขณะที่พระราหุลพักอยู่ที่สวนมะม่วง ในกรุงราชคฤห์ พระบรมศาสดาเสด็จไป
      ที่นั่น ทรงแสดงพระธรรมเทศนาราหุโลวาทสูตร ให้ท่านฟังหลังจากนั้นทรงสอนในทาง
      วิปัสสนา ทรงยกอายตนะภายใน และภายนอกขึ้นแสดงพระราหุล ส่งจิตไปตามกระแสพระ
      ธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล
    • ได้รับยกย่องเป็นผู้ใคร่การศึกษา
      พระราหุล เป็นผู้มีอัธยาศัยใคร่ต่อการศึกษาพระธรรมวินัย ทุกวันที่ท่านตื่นขึ้นมาเวลา
      เช้า ท่านจะกำทรายให้เต็มฝ่าพระหัตถ์แล้วตั้งความปรารถนาว่า “วันนี้ ข้าพเจ้าพึงได้รับคำสั่ง
      สอนจากสำนักพระบรมศาสดา สำนักพระอุปัชฌาย์และสำนักพระอาจารย์ทั้งหลายให้ได้
      ประมาณเท่าเม็ดทรายในกำมือของข้าพเจ้านี้”
      ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระบรมศาสดา ให้ดำรงตำแหน่งเอตทัคคะ เป็น
      ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้ใคร่ในการศึกษา
    • เป็นต้นบัญญัติ ห้ามภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบัน
      ในขณะเมื่อท่านยังเป็นสามเณรเล็ก ๆ อยู่นั้น ท่านเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่ายจนเป็นที่เลื่องลือ
      ในหมู่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยว่า ครั้งนั้นพุทธบริษัททั้งหลาย ฟังธรรมกันยามค่ำคืน โดยมีพระเถระ
      ผลัดเปลี่ยนกันแสดงธรรม เมื่อสิ้นสุดการแสดงธรรมแล้ว พระเถระผู้ใหญ่ต่างก็กลับที่พักของ
      ตน ส่วนพระภิกษุผู้บวชใหม่ และสามเณรรวมทั้งอุบาสก ที่ไม่สามารถจะกลับที่พักได้เพราะค่ำ
      มือจึงอาศัยนอนกันในโรงธรรมนั้น เนื่องจากเป็นพระบวชใหม่ จึงไม่สำรวมในการนอน ทำให้
      เกิดภาพที่ไม่น่าดู รุ่งเช้า อุบาสกทั้งหลายพากันติเตียนและความทราบไปถึงพระผู้มีพระภาค
      พระพุทธองค์จึงรับสั่งประชุมสงฆ์แล้วทรงบัญญัติสิกขาบท “ห้ามภิกษุนอนร่วมในที่มุงที่บัง
      เดียวกันกับอนุปสัมบัน (อนุปสัมบัน คือ ผู้มิใช่พระภิกษุ) ถ้านอนร่วมต้องอาบัติปาจิตตีย์”
      ครั้นในคืนต่อมา สามเณรไม่สามารถจะนอนร่วมกับพระภิกษุได้ และเมื่อไม่มีที่จะนอน
      ท่านจึงเข้าไปนอนในเว็จกุฏี (ส้วม) ของพระบรมศาสดาเมื่อเวลาใกล้รุ่ง พระพุทธองค์เสด็จไป
      พบเธอนอนในที่นั้น และทรงทราบว่าเพราะเธอไม่มีที่นอนอันเนื่องมาจากพุทธบัญญัติทำให้
      พระองค์สลดพระทัยจึงดำริว่า “ต่อไปภายหน้า สามเณรน้อย ๆ จะได้รับความลำบาก เพราะขาด
      ผู้ดูแลเอาใจใส่” จึงรับสั่งให้ประชุมสงฆ์แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทเพิ่มเติมว่า:-
      “ให้ภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบันได้ ๓ คืน ถ้าเกิน ๓ คืน พระภิกษุต้องอาบัติปาจิตตีย์”
      ในพุทธบัญญัตินี้ หมายถึงให้ภิกษุนอนร่วมกับอนุปสัมบันได้ ๓ คืน ในคืนที่ ๔ ให้เว้น
      เสีย ๑ คืน แล้วค่อยกลับมานอนรวมกันใหม่ได้ โดยเริ่มนับหนึ่งจนถึงคืนที่ ๓ ทำโดยทำนองนี้จน
      กว่าจะมีสถานที่นอนแยกกันเป็นการถาวร
      ท่านพระราหุลเถระ ดำรงอายุสังขาร โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน
      ที่บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ณ ดาวดึงส์เทวโลก
      ท่านมีอายุไม่มากนัก เพราะท่านนิพพานก่อนพระพุทธองค์ผู้เป็นพระบิดา ก่อน
      พระสารีบุตรผู้เป็นพระอุปัชฌาย์ ก่อนพระมหาโมคคัลลานะผู้เป็นพระอาจารย์
    • http://84000.org/one/1/08.htm
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • rahun.jpg
      rahun.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.8 KB
      เปิดดู:
      11,350
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 เมษายน 2010
  2. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,129
  3. nudjinnong

    nudjinnong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,161
    ค่าพลัง:
    +3,012
    อนุโมทนาสาธุพี่ เจ้าของกระทู้ครับครับ

    แต่สงสัยครับว่า เป็นพระอรหันต์แล้วนิพพาน ทำไมไปนิพพานชั้นดาวดึงส์ ผมว่าดาวดึงส์ เป็นชั้นที่2ของสวรรค์ จริงๆแล้วผู้ที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ นิพพานแล้ว คือไม่ต้องลงมาเกิดแล้ว น่าจะได้อยู่ชั้นสูงกว่านี้ หรือผมเข้าใจผิดประการใด รบกวนพี่ๆให้คำตอบผมทีครับ ถือเป็นวิทยาทานครับ
     
  4. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,662
    ค่าพลัง:
    +9,236

    [​IMG]

    คุณธรรม ที่ควรยึดถือเอาเป็นแบบอย่าง

    มีความอดทนเป็นเยี่ยม คือบรรพชาตั้งแต่อายุ 7 ปี

    ต้องอดอาหารในเวลาวิกาลตั้งแต่เที่ยงจนถึงรุ่งเช้า
    และตามปกติพระภิกษุสามเณรในสมัยพุทธกาล

    เป็นผู้ว่าง่ายถ่อมตน ไม่ถือตัว
    เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาอย่างยิ่ง

    เป็นผู้ที่มีความขยัน หมั่นเพียร
    มีความกตัญญูกตเวทีอย่างยิ่ง<!-- google_ad_section_end -->


    ขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ


     
  5. sornsill

    sornsill เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    116
    ค่าพลัง:
    +515


    ข้าพเจ้าก็รู้ไม่มากนะขอรับแต่จากที่พอรู้ พอคิดเห็น แต่ไม่ยืนยันคือว่าเป็นความปรารถนาของผู้ที่ได้มรรคผลแล้วนะขอรับ แต่เท่าที่คิดไว้นะขอรับ(คิดเองนะ)คือท่านทูลลาโดยเอากายในกายหรืออาจจะเป็นกายเนื้อของท่านไปอยู่ที่สวรรค์ชันดาวดึงส์ก่อนที่จะหมดอายุขัยในโลกมนุษย์ ท่านอาจจะมีกิจของท่านอันนี้ไม่อาจจะรู้ได้ พระพุทธองค์ท่านก็ยังคือเสด็จไปด้วยกายเนื้อเพื่อไปโปรดพุทธมารดาเลยนะขอรับ อีกอย่างถ้าสำเร็จพรอรหันต์แล้วแต่มีกิจที่ต้องทำอยู่ก็สามารถอยู่ได้แล้วแต่ท่านครับ พระอรหันต์ไปได้ทุกภพภูมิขอรับ แต่ทุกภพภูมิถ้าไม่มีพระนิพพานรองรับจะไปไม่ได้ขอรับ อย่างภูมิเทวดาบางองค์ท่านเป็นถึงพระอนาคามีก็มีนะขอรับท่านสามารถไปอยู่ชั้นพรหมได้ แต่ท่านไม่ไปก็มีนะขอรับเพราะท่านอาจจะมีกิจของท่านที่เราๆท่านๆไม่อาจรับรู้ได้เป็นเรื่องของท่าน หรือท่านที่สามารถอยู่ชั้นสวรรค์ชั้นสูงๆได้ก็ขอมาอยู่ต่ำกว่าได้ แต่ท่านที่อยู่ต่ำกว่าจะไปขออยู่สูงไม่ได้ถ้าไม่มีบารมีที่สูงเท่า

    ข้าพเจ้าก็เดาๆสุ่มตามที่คิดที่นึกนะขอรับถ้าท่านผู้รู้ท่านอื่นรู้มากกว่าก็ขออภัยที่ข้าพเจ้าอาจคิดผิดก็ได้ ก็ขออโหสิกรรมและขอขมาไว้ ณ โอกาสนี้ขอรับ
     
  6. pantham phuakph

    pantham phuakph เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +444
    เห็นด้วยกับคุณ sornsill ครับ

    เท่าที่จำได้ มีพระควัมปติ อีกองค์ ที่เข้่านิพพานในลักษณะนี้

    ท่านใดมีข้อมูลทีน่าสนใจ ช่วยเสริมด้วยครับ

    ขออนุโมทนากับทุกท่าน
     
  7. arrin123

    arrin123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    325
    ค่าพลัง:
    +1,759
    อนุโมทนาค่ะ

    _____________________________

    สุขใดเหมือนแม้นการไม่เกิดไม่มี

    จะไม่ละความเพียรถ้ายังไม่ถึงซึ่งนิพพาน
     
  8. คิดดีจัง

    คิดดีจัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,626
    ค่าพลัง:
    +5,353
    เห็นด้วยกับคุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->sornsill<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_3158360", true); </SCRIPT> ผมเองก็ไม่รู้เรื่องอะครับ

    แต่อ่านความแล้วก็คิดเห็นเป็นเช่นนั้นครับ

    ได้ความรู้เพิ่มไปอีกด้วย ขอบคุณครับ
     
  9. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    ด้วยความนอบน้อมบูชาคุณ "พระราหุลเถระเจ้า"

    กราบขออนุญาต ท่านเจ้าของกระทู้นะคะ
    จากข้อมูลที่ศึกษาทราบดังนี้ค่ะว่า




    [​IMG]

    พระราหุลเถระเจ้า
    ท่านเป็นองค์ต้นปรมาจารย์ แนววิชชาพระกรรมฐาน
    แห่ง สายวิชชาพระกรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับ


    [​IMG]


    ขออนุญาตอัญเชิญพระอริยประวัติพระองค์ท่าน "พระราหุลเถระเจ้า" ในฐานะผู้ทรงธรรมบริบูรณ์ด้วยคุณสมบัติ ๒ประการ คือ ชาติสมบัติ ๑ และปฏิบัติสมบัติ ๑

    ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระศาสดาแล ะเป็นอริยสาวกเจ้าที่มีเอกทัคคะเลิศทางการใฝ่ศึกษา ทรงสร้างสมพระสาวกบารมีมาหลายอสงไขย แสนมหากัปป นับชาติไม่ถ้วน ซึ่ง ศีล สมาธิ ปัญญา


    ทรงได้รับพระมหากรุณาพุทธิคุณในการอบรมพระกรรมฐานจากพระเถระสารีบุตรในฐานะพระพี่เลี้ยงและจากพระมหาเถระอริยะสาวกเจ้าพระองค์อื่นๆ อาทิ พระปิติ ๕ พระยุคล ๖ พระอานาปานสติ๙ พระกายคตาสติ ๓๒ กสิณ ๑๐ อสุภะ ๑๐ อนุสติ ๗ พรหมวิหาร ๔ วิสุทธิ ๗ วิปัสสนาญาณ ๑๐อรูปญาณ ๔ พระมหาสติปัฏฐาน ๔ พระโพธิปักขิยธรรม ๓๗ พระไตรลักษณ์ ๓เบญขันธ์ และอายตนภายในภายนอกทั้ง ๕ ธาตุ ๔ เป็นต้น

    <O:p
    จนกระทั่ง พระองค์บ่มวิมุติแก่กล้าด้วยอิริยาบถ ไม่เคยเหยียดหลังบนเตียงตลอดช่วงปฏิบัติธรรม ก่อนเป็นพระอเสขบุคคล ทรงเผยแพร่พระกรรมฐานมัชฌิมา และบรรลพระอรหันตเจ้า พร้อมด้วยมรรค ๔ ผล ๔ อภิญญา ๖ปฏิสัมภิทา ๔ แล้ว กาลต่อมาก็มีกุลบุตรที่ได้รับทราบกิตติศัพท์ได้เข้ามาเป็นสัทธวิหาริก และอันเตวาสิกศึกษาตามแบบอย่างในสำนักของพระราหุลเถระเจ้า ที่ท่านได้ทรงศึกษามาเพื่อสืบทอดการตั้งความปรารถนาและเจตนารมณ์ของพระองค์ท่าน


    ก่อนที่พระราหุลเถระเจ้าท่านจะเข้าสู่ขันธปรินิพพานนั้นพระองค์ท่านได้เจริญอิทธิบาทภาวนาอธิษฐาน ขอจิตนี้กายนี้ของพระองค์ท่าน แบ่งเป็นสองภาค คือ กายเนื้อเดิม ๑ กับกายทิพย์ใหม่ ๑ เมื่อกายเนื้อแตกดับสู่นิพพาน จึงเหลือแต่กายอธิษฐานทิพย์คอยดูแลพระบวรพุทธศาสนาไปอีก ๑,๐๐๐ ปี หลังท่านนิพพาน โดยมีพระเถระรุ่นสืบต่อ ๆกันมา เป็นผู้สืบทอดพระกรรมฐานมัชฌิมา แบบลำดับ จากนั้น กายทิพย์อันเกิดจากการอธิษฐานจิตก็อันตรธานหายไป จึงกล่าวได้ว่าพระราหุลเถระเจ้าท่านจะมีกายก็ไม่ใช่จะไม่มีกายก็ไม่ใช่


    ความจากหนังสือประวัติพระราหุลเถระจ้า พระอาจารย์ใหญ่กรรมฐานมัชฌิมาแบบลำดับ หน้า๙-๑๙






     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2010
  10. บุญญสิกขา

    บุญญสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,863
    ค่าพลัง:
    +14,471
    พระธรรม ที่พระราหุลเถระเจ้าทรงบรรลุ ปรากฏในพระสูตร

    "... เราเป็นโอรสของพระพุทธเจ้า และของผู้มีปัญญาเห็นธรรมทั้งหลาย อนึ่งเพราะอาสวะของเราสิ้นไป และภพใหม่ของเราไม่มีอีกต่อไป เราเป็นพระอรหันต์ เป็นพระขิเณยบุคคล มีวิชชา ๓ เป็นผู้เห็นอมตธรรม สัตว์ทั้งหลายเป็นดังคนตาบอด เพราะเป็นผู้ไม่เห็นโทษในกาม ถูกข่ายคือตัณหาปกคลุมแล้ว ถูกหลังคาคือตัณหาปกปิดแล้ว ถูกมารผูกแล้ว ด้วยเครื่องผูกคือ "ความประมาท" เหมือนปลาในปากลอบ เราถอนกามนั้นขึ้นได้แล้ว ตัดเครื่องผูกของมารได้แล้ว ถอนตัณหาพร้อมทั้งรากขึ้นแล้ว เป็นผู้มีความเยือกเย็นแล..."

    (จตุกกนิบาต เถรคาถา พระสุตันตปิฏก ขุททกะนิกาย เถรคาถา)


    [​IMG]




    พระสูตรที่พระราหุลเถระเจ้า ท่านทรงบรรลุ เป็นลำดับๆ
    • ราหุลสูตร : บรรลุพระโสดาบัน
    • ราหุลสังยุตต์ : บรรลุพระสกิทาคามี
    • มหาราหุลโลวาทสูตร : บรรลุพระอนาคามี
    • จุฬราหุลโลวาทสูตร : บรรลุพระอรหันตเจ้า
    [MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.654246/[/MUSIC]​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 เมษายน 2010
  11. nudjinnong

    nudjinnong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,161
    ค่าพลัง:
    +3,012
    ขอบคุณมากๆนะครับคุณพี่ๆทุกท่านที่มาให้ความรู้ดีๆกับผมครับ

    ^^
     
  12. su37berkut

    su37berkut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    422
    ค่าพลัง:
    +1,121
    อนุโมทนาครับ...
    คุณบุญญสิกขา
    ตอบได้กระจ่างแจ้งมากครับ...
     
  13. ahantharik

    ahantharik เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,596
    ค่าพลัง:
    +6,346
    [​IMG]
     
  14. ishanlight

    ishanlight สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +3
    นิพพานมีอยู่ ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ
    ๑.สอุปาทิเสสนิพพาน เรียกว่า นิพพานเป็น อยู่ในศูนย์กลางธรรมกายในตัวของเราทุกคนที่ปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ สามารถเข้าถึงนิพพานนี้ได้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังเป็น ๆ อยู่ เป็นนิพพานของพระอริยเจ้าผู้ละกิเลสได้แล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่
    ยังเป็นๆ อยู่ เป็นนิพพานของพระอริยเจ้าผู้ละกิเลสได้แล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลกต่อไปพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเข้านิพพานเป็นนี้ได้ เมื่อวันที่พระองค์ตรัสรู้
    นิพพานเป็นนี้ แต่ละคนก็มีเฉพาะของตนเป็นเหมือนหลุมหลบภัยในตัว เรามีทุกข์ โศก โรค ภัยใดๆ พอเอาใจจรดเข้าไปในนิพพาน ความทุกข์ก็จะหลุดไปหมด จะตามไปรังควาน ไปบีบคั้นใจเราไม่ได้
    ๒.อนุปาทิเสสนิพพาน เรียกว่า นิพพานตาย เป็นเหตุว่างอยู่นอกภพสาม ผู้ที่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์เมื่อเบญจขันธ์ดับ(กายเนื้อแตกทำลายลง)เหลือ แต่ ธรรมขันธ(ธรรมกาย) ก็จะถูกอายตนะนิพพานนี้ ดึงดูดให้ไปปรากฏที่นั่น เสวยความสุขอันเป็นอมตะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อปรินิพพานแล้วธรรมกายของพระองค์ก็ไปปรากฏประทับ อยู่ที่อายตนะนิพพานนี้เอง โดยมีธรรมกายของพระอรหันต์สาวกอยู่ล้อมรอบ
    ผู้ที่สามารถทำพระนิพพานให้แจ้งได้
    จะเข้านิพพานต้องเข้าด้วยธรรมกาย มนุษย์เข้าไปไม่ได้ เทวดาเข้าไปไม่ได้ รูปพรหมเข้าไปไม่ได้ อรูปพรหมก็เข้าไปไม่ได้ ธรรมกายเท่านั้นที่มีสิทธิ์เข้าไปได้
    เพราะฉะนั้นผู้ที่จะทำพระนิพพานให้แจ้งได้ ก็คือ พระอริยบุคลทุกระดับ ทั้งพระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี และพระโสดาบัน รวมทั้งโคตรภูบุคคลที่ปฏิบัติธรรมจนมีกิเลสเบาบางเกือบถึงขั้นพระโสดาบันโดย ต้องฝึกสมาธิจนเข้าถึงธรรมกาย จากนั้นเอาใจจรดเข้าศูนย์กลางกายจึงเห็นอริยสัจ และต้องเห็นอริยสัจอย่างชำนาญ พิจารณาอริยสัจซ้ำแล้วก็ซ้ำอีก จนใจแนบแน่นอยู่ที่ศูนย์กลางกาย จึงเห็นนิพพานได้
    บางท่านอาจนึกสงสัยว่า ก็เห็นบอกว่าเข้าถึงนิพพานแล้วจะหมดกิเลสความทุกข์ตามไปรังควานไม่ได้ แล้วตอนนี้มาบอกว่าโคตรภูบุคคลซึ่งยังไม่ได้หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ก็เข้า นิพพานได้ จะไม่เป็นการขัดกันเองหรือ
    คำตอบคือ ไม่ขัดกัน เพราะโคตรภูบุคคลนั้น เมื่อเอาใจจรดเข้าพระนิพพาน ขณะนั้นก็หมดทุกข์ กิเลสทำอะไรไม่ได้แต่ทว่าใจยังจรดอยู่ในนิพพานได้ไม่ตลอดเวลา เมื่อไหร่ใจถอนออกมาก็ยังต้องมีทุกข์อยู่เหมือนตัวของเราถ้าหากเป็นแขกรับ เชิญไปเที่ยวพักผ่อนยังปราสาทใหญ่ระหว่างที่พักอยู่ในนั้นก็มีความสุขสบาย แต่ก็อยู่ได้ชั่วคราวเพราะยังไม่ได้เป็นเจ้าของเอง เมื่อไหร่ครบกำหนดกลับก็ต้องออกจากปราสาท มาสู้เหตุการณ์ภายนอกใหม่
    ตัวของเราจะเข้านิพพานได้หรือไม่
    คำตอบคือ ได้ โดยจะต้องตั้งใจฝึกสมาธิไปจนเข้าถึงธรรมกายก่อน แล้วฝึกต่อไปจนเข้าถึงธรรมกายที่ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น เห็นอริยสัจและทำพระนิพพานให้แจ้งได้ในที่สุด ซึ่งไม่ยากจนเกินไปที่เราจะปฏิบัติได้เพราะถ้ายากเกินไปแล้วคงไม่มีพระ อรหันต์เป็นล้านๆ รูปในสมัยพุทธกาลถ้านิพพานนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปได้พระองค์เดียว คนอื่นไปไม่ได้เลย เราจะบอกว่ายาก แต่จริงๆ แล้วมีผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ตั้งใจฝึกสมาธิเข้านิพพานได้เยอะแยะ แสดงว่าไม่ยากจนเกินไป แต่แน่นอนก็คงไม่ง่ายเพราะถ้าง่ายเราก็คงเข้าไปตั้งนานแล้ว
    เพราะฉะนั้นตั้งใจฝึกตัวเองกันเข้า วันหนึ่ง เราก็จะเป็นคนหนึ่งที่ทำได้แล้วเข้านิพานได้ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้แต่ว่ายังไม่ได้ทำต่างหากอย่าเพิ่งไปกลัว อย่าไปท้อใจเสียก่อนว่าจะทำไม่ได้ ถ้าทำจริงแล้วต้องได้

    ดังนั้น ผมจึงคิดว่าการนิพพานของพระราหุลเถระ จึงไม่เกี่ยวกับสถานที่ เพราะพระเถระที่ล้วนเป็นพระอรหันต์ ต่างก็เลือกสถานที่ที่จะเข้าสู่นิพพานตามวาระโอกาส และความเหมาะสมมากกว่า
    ผมยกตัวอย่าง เช่นอัครสาวกเบื้องขวา ผู้ได้ชื่อว่าเป็นธรรมบดี คือ พระสารีบุตรเถระ ยังเลือกห้องที่ท่านเกิดเป็นสถานที่นิพพาน เพื่อจะได้แสดงธรรมโปรดมารดาของตนที่เป็นมิจฉาทิฏฐิจนได้เป็นอริยบุคคล
    สถานที่นิพพานจึงมิใช่สถานที่อยู่ของพระอรหันตเจ้าทั้งปวงเมื่อเข้าสู่พระนิพพานครับ ต้องแยกประเด็นให้ถูกนะครับ
    สภาวะของการนิพพาน คือ การเสวยความสุขอันเป็นอมตะ
     
  15. พอชูเดช

    พอชูเดช เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    1,285
    ค่าพลัง:
    +4,339
    สาธุครับ

    -มหาโมทนากับกุศลจิตทุกๆท่านครับ

    สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...