สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายควรทำไว้ในใจให้มั่นคง

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย ธัมมะสามี, 4 พฤษภาคม 2013.

  1. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    สมเด็จองค์ปฐม  ปางพระนิพพาน วัดท่า.jpg

    img002.jpg

    สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายควรทำไว้ในใจให้มั่นคง​



    ๑. เราจะหมั่นทำบุญตักบาตร ทำทานการสงเคราะห์คนและสัตว์ให้เป็นปกติ โดยเฉพาะ การถวายสังฆทาน วิหารทาน ธรรมทาน ทำบุญทอดกฐิน และสิ่งที่เป็นสาธารณประโยชน์ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล ถนนหนทาง บ่อน้ำ เป็นต้นฯ.


    ๒. เราจะรักษาศีล ๕ และกุศลกรรมบถ ๑๐ ให้ครบถ้วน ทั้งศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ รวมกันแล้ว มีดังนี้.
    ทางกาย
    - ไม่ฆ่าสัตว์และทรมานสัตว์ให้ได้รับความลำบาก.
    - ไม่ลักขโมยทรัพย์สินข้าวของเงินทอง ของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง.
    - ไม่ประพฤติผิดในกามเล่นชู้ ทั้งผัวเขา ทั้งเมียเขา ทั้งลูกหลาน หรือคนในปกครองของคนอื่น .
    - ไม่ดื่มสุราเมรัยและสิ่งเสพย์ติดทุกชนิด ที่ทำให้สติสัมปะชัญญะเลอะเลือน.
    ทางวาจา
    - ไม่พูดจาโกหกหลอกลวง.
    - ไม่พูดคำหยาบคาย.
    - ไม่พูดจาส่อเสียด ให้คนอื่นหรือหมู่คณะเขาแตกแยกกัน.
    - ไม่พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระประโยชน์.
    ทางใจ
    - ไม่คิดเพ่งเล็งอยากจะลักขโมย ฉ้อโกง แย่งชิงของคนอื่น มาเป็นของตนเอง.
    - ไม่คิดผูกเวร พยาบาท อาฆาต จองล้างจองผลาญใครๆ.
    - ไม่มีความเห็นผิด คือ คัดค้านคำสั่งสอนองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเด็ดขาด.
    *** ทางกายในวันธรรมดาอาจบกพร่องบ้างในบางข้อเพราะต้องทำมาหากิน แต่ในวันพระขอให้รักษาให้ครบถ้วน ฯ.



    ๓. มีพรหมวิหาร ๔ ประจำใจ คือ.
    - เมตตา มีความรักในคนและสัตว์เสมอด้วยตัวเราเอง.
    - กรุณา ช่วยเหลือคนหรือสัตว์ที่มีความทุกข์ยากลำบากให้มีความสุข ตามความสามารถที่เราจะทำได้.
    - มุทิตา ยินดีกับผู้อื่นเมื่อเขาได้ดี ไม่คิดอิจฉาริษยา.
    - อุเบกขา วางเฉยเมื่อเห็นคนและสัตว์มีความทุกข์ยากลำบาก แต่เราไม่สามารถช่วยอะไรได้.



    ๔. มีความเคารพเลื่อมใส เชื่อในคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณของพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และคุณของพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อย่างมั่นคงจริงใจไม่หวั่นไหว ฯ.


    ๕. นึกถึงความตายเอาไว้เป็นปกติ ปกติในที่นี้คือ ว่างๆนึกขึ้นมาได้ก็คิดว่า “ ชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง ไม่นานเราต้องตายแน่นอน ” คิดไว้บ่อยๆ เพื่อจะได้ไม่ประมาทในชีวิต ฯ.


    ๖. ก่อนนอนทุกวันสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิเสร็จแล้ว พอหัวถึงหมอนขอให้ท่านคิดว่า " ร่างกายของเรานี้มันไม่เที่ยง มีแต่ความทุกข์หาความสุขไม่ได้ ในที่สุดก็ต้องตาย " แล้วดูลมหายใจเข้าออก โดยหายใจเข้าภาวนาว่า " พุท " หายใจออกภาวนาว่า " โธ " จนกว่าจะหลับไป ตื่นนอนก่อนลุกจากที่นอนก็ภาวนาและพิจารณาเหมือนตอนก่อนนอนอีกสักนาทีสองนาที ค่อยลุกจากที่นอนไปทำกิจธุระต่างๆฯ



    พระพุทธภาษิต

    จะชะ ทุชชะนะสัคคัง

    จงละเว้นการคบคนชั่ว

    ภะชะ สาธุมาคะตัง

    จงหมั่นสมาคมด้วยบัณฑิต

    กะระ ปุญญะมะโหรัตตัง

    จงหมั่นประกอบการบุญทั้งกลางวันและกลางคืน

    สะระ นิจจะมะนิจจะตัง

    จงระลึกถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสังขารคือ ร่างกายนี้ ไว้เสมอ


    อัปปัง วา พะหุง วา​


    เครื่องบูชาจะน้อยก็ดี จะมากก็ดี

    ไม่เป็นประมาณในการกุศล​


    จิตเต ปะสันเน​


    กุศลจะมากจะน้อย ก็อาศัยแก่จิตที่เลื่อมใสเป็นประมาณ​


    ติฏฐะติ วา นิพพุติ วา​


    สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงมีพระชนม์ชีพอยู่

    หรือจะเสด็จล่วงลับดับขันธ์สู่พระปรินิพพานก็ดี​


    บุคคลทั้งปวง ผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส กราบไหว้บูชาอยู่แล้วก็ย่อมมีผลเสมอกันแล ฯ.​



    ชนทั้งหลายผู้ใคร่ต่อบุญ ถวายทานมุ่งตรงต่อสงฆ์

    ทานของเขาเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นทานที่ถวายดีแล้ว

    เพราะทานนั้นจัดเป็นสังฆทาน มีผลมาก มีอานิสงส์มาก

    อันสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลก ทรงสรรเสริญ




    โอวาทสมเด็จพระศรีศากยมุนีสัพพัญญูพุทธเจ้า​

    ทรงสอนพระโพธิสัตว์


    ..... เธอเห็นใหมว่า พุทธภูมิใหญ่กว่าพระอริยเจ้าขนาดใหน

    เพราะฉะนั้นเธออย่าสงสัยเลย

    การปฏิบัติอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทำด้วยจิตเป็นบุญเป็นกุศล เข้าขั้นพระศาสนาแล้ว

    จะเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอริยเจ้า หรือหวังสาวกภูมิก็แล้วแต่

    หรือว่าจะเป็นความดีทุกสิ่ง

    ทีนี้ความดีที่เกิดขึ้น มันใหญ่มันน้อยมันมากแล้วแต่กำลังของสัตว์หรือว่าช้าง

    ถ้าช้างตัวเล็กมันก็ยกของได้น้อยๆ ถ้าตัวใหญ่มันก็ยกของได้มากๆ ฯ.




    ..... การปฏิบัติบารมีจำเป็นต้องมีกำลังใจ

    การปฏิบัติอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามีกำลังใจเข้มแข็งพอสมควร

    สิ่งทั้งหลายที่ปฏิบัติย่อมสัมฤทธิ์ผลโดยเร็วไว

    ถ้ากำลังใจไม่ค่อยแน่วแน่ ขาดตกบกพร่อง

    มีมั่งไม่มีมั่ง ขาดๆเกินๆก็ต้องใช้เวลานานหน่อยล่ะ ฯ.




    ..... เพราะฉะนั้น การหวังพุทธภูมิ

    แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน ก็ได้ชื่อว่าสมควรที่จะกราบไหว้บูชา

    เพราะไม่ใช่ร่างสัตว์ธรรมดา แต่เป็นร่างของพระโพธิสัตว์ ฯ.


    (ถอดความจากเทป คำสอนพระองค์ที่ ๑๐)




    โอวาทพระครูวิหารกิจจานุการ

    ( หลวงปู่ปาน โสนันโท ) วัดบางนมโค

    ให้เร่งสะสมบุญบารมี



    ..... การบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิ

    เราจะหวังไปบำเพ็ญบารมีต่อในการเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมน่ะไม่มีทาง

    ไม่เหมือนกับสาวกภูมิ

    สาวกภูมิสามารถบำเพ็ญบารมีต่อบนสวรรค์หรือพรหมได้

    แต่ถ้าบำเพ็ญบารมีเพื่อพุทธภูมิแล้ว

    จะบำเพ็ญบารมีนอกจากความเป็นมนุษย์ไม่ได้

    ฉะนั้น ก่อนที่เราจะตายถ้าบารมีใดยังอ่อนอยู่

    ก็ควรจะส่งเสริมให้ครบถ้วนบริบูรณ์

    ถึงแม้ว่าจะไม่เต็มก็ให้ใกล้เต็มเข้าไป

    ทนลำบากเอาเพื่อพุทธภูมิ เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า


    เพราะการปฏิบัติเพื่อการเป็นพระพุทธเจ้า

    ก็เพื่อทำลายความทุกข์ บำรุงความสุขให้แก่บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายในโลก

    หรือชี้ช่องบอกทางให้พ้นอบายภูมิเป็นอย่างน้อย

    แล้วก็แนะนำให้เข้าถึงพระนิพพานเป็นที่สุด ฯ.


    พวกพุทธภูมินี่

    ถ้ายังไม่มีอารมณ์ต้องการพระนิพพาน

    แสดงว่าบารมียังอ่อนมาก

    ต้องสร้างบารมีกันอีกนานหลายอสงไขย ฯ.



    ... ปุญฺญกมฺเมน วิริยาธิกสมฺมาสมฺพุทฺโธ โหมิ อนาคเต สงฺสารโมจนตฺถาย สฺพเพสฺตเต อเสสโต ฯ.

    ... ด้วยผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพระพุทธเจ้าได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสเป็นพระพุทธมหามุนีธัมมะสามีวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เพื่อจะปลดเปลื้องเวไนยสัตว์ทั้งหลายจากวัฏฏะสงสาร ขึ้นสู่แดนเอกันตบรมสุข คือ พระนิพพาน ฯ.

    ... ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังเป็นผู้มีบารมียังอ่อน ยังจักต้องเร่ร่อนไปในชาติภพใดๆ ขอให้มีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ มีอัธยาศัยพอใจยิ่งในการให้ทาน ในการรักษาศีล ในการเจริญภาวนา มีกรรมฐาน ๔๐ สติปัฏฐาน ๔ และวิปัสสนาญาณ ๙ ตั้งมั่นอยู่ในจิตทุกชาติ ได้เป็นผู้นำในการทำนุบำรุงยกยอค้ำชูพระพุทธศาสนาทั้งขององค์พระปัจจุบัน และของพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายที่จักมาตรัสในอนาคตให้ตั้งมั่นยั่งยืนเจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน ขอความอดอยากยากจน ความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ คำว่าไม่มี และคำว่าความปรารถนาไม่สมหวัง ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างบารมี ๓๐ ทัศ ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างพระโพธิญาณและการลาพระพุทธภูมิ จงอย่าพึงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเลยนับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด.

    ... ข้าพเจ้าขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างเอาพระบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ มีองค์สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธาน พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พระมหาโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย คุณครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมา มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง พ่อแม่ครูบาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าหนองผือ ครูบาจารย์เฒ่าหลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล วัดป่าบ้านคุ้ม หลวงปู่กินรี จันทิโย วัดป่ากัณตะศิลาวาส หลวงปู่วัง ฐิติสาโร วัดถ้ำไชยมงคลภูรังกา หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง หลวงพ่ออภิญญา อาจาโร วัดป่าวิเวกอาศรม เป็นที่สุด พรหมและเทวดาทั้งหมด ปู่ย่าตายายทั้งหลาย พ่อแม่ทั้งหลาย ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ญาติสนิทมิตรสหาย ภรรยาทั้งหลาย ลูกหลานบริวารทั้งหลายของข้าพเจ้า ตั้งแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี จงมีจิตเมตตาโปรดช่วยอุ้มชูอนุเคราะห์สงเคราะห์ เกื้อหนุน เกื้อกูล แนะนำ ตักเตือน สั่งสอน และช่วยส่งเสริมในการสร้างบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ของข้าพเจ้าทุกภพทุกชาติ จนกว่าบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์สมบูรณ์ ครบถ้วน ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป และจนตราบเท่าได้สำเร็จแก่พระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสเป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกด้วยเถิด สาธุ ฯ.
    ดนัย ศิริเวช​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2014
  2. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ... ภาพสมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลสมเด็จองค์ปฐมปางพระนิพพาน ภาพพระศรีอาริเมตไตรยโพธิสัตว์ ภาพหลวงปู่พระราชพรหมยานซ้อนองค์พระปัจจุบันต้นฉบับจากวัดท่าซุง เผื่อใครอยากได้ครับ โหลดเอาไปไว้เป็นพระพุทธานุสสติกรรมฐานได้เลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ธันวาคม 2013
  3. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    " ข้าจะยิ้มแย้ม แจ่มใส
    ข้าจะให้อภัย แก่ทุกผู้
    ข้าจะทำดี แม้ศัตรู
    ข้าจะอยู่ด้วย เมตตา กรุณา "


    สำนวนของเขา แต่อยากเอามาฝาก
     
  4. zhayun

    zhayun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +425
    โมทนาบุญด้วยครับ

    ขอให้ประสบความสำเร็จที่ตั้งใจไว้นะครับ
     
  5. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +5,514
    สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายควรทำไว้ในใจให้มั่นคง
    ................................................................
    ไม่เหมือนที่สุเมธดาบสทำนะครับ งงนิดหน่อย
     
  6. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... ขอตอบข้อข้องใจคุณ boontar ครับ ที่ไม่เหมือนกันกับท่านสุเมธดาบสมหาโพธิสัตว์ อาจเป็นเพราะจริยาแต่เก่าก่อนไม่เหมือนกันมั้งครับ ที่โพสต์น่ะ หลวงพ่อวัดวิเวกท่านสอนผมมาแบบนี้ครับ

    ..... ข้อแรก ถ้าทำติดต่อกันทุกชาติจนเต็มในพุทธวิสัยแล้ว ชาติที่ได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลนั้นจะบริบูรณ์ไปด้วย ทรัพย์สินเงินทอง ข้าวปลาอาหารน้ำท่าบริบูรณ์สมบูรณ์ มีต้นกัลปพฤกษ์เกิดทุกหนทุกแห่ง มีแต่ความสุขความสบาย

    ..... ข้อสอง ถ้าทำติดต่อกันทุกชาติจนเต็มในพุทธวิสัยแล้ว ชาติที่ได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลนั้น ผู้คนจะมีอายุยืนยาว มีโรคน้อย มีอาพาธน้อย จิตใจจะแจ่มใส เข้าถึงธรรมได้โดยง่าย

    ..... ข้อสาม ถ้าทำติดต่อกันทุกชาติจนเต็มในพุทธวิสัยแล้ว ชาติที่ได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลนั้น จะมีบริวารมากมาย มนุษย์ทั้งหลายในศาสนาจะมีร่างกายงดงาม มีใบหน้าแช่มชื่น มีความเป็นอยู่อุดม เข้าถึงเจโตวิมุติได้ง่าย

    ..... ข้อสี่ ถ้าทำติดต่อกันทุกชาติจนเต็มในพุทธวิสัยแล้ว ชาติที่ได้ตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลนั้น มนุษย์ทั้งหลายจะเป็นสัมมาทิฏฐิ ในศาสนาจะไม่มีเดียรถีย์มาเบียดเบียนให้เศร้าหมอง

    ..... ข้อห้ากับข้อหก เป็นการฝึกจิตของเราไม่ให้ประมาทในชีวิต ไม่ประมาทในการสร้างบุญกุศล ทั้งยังเป็นการฝึกจิตเราให้เข้าถึงฌานสมาบัติ ซึ่งมีประโยชน์มากในการสร้างบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ เพราะฌานสมาบัติจะทำให้เรามีสติปัญญาแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้อย่างดี และตลอดการสร้างบารมี เราจะเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดหลักแหลมมาก

    คุณBOONTAR ลองเอาไปทำดูสิครับ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2013
  7. wayokasin

    wayokasin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    180
    ค่าพลัง:
    +277
    ขออนุโมทนา ในกระทู้ธรรมทั้งปวงด้วยเถิด ครับ

    แม้ยาก แม้ลำบาก ต้องลงนรกบ้าง ขึ้นสวรรค์บ้าง เกิดเป็นอะไรต่อมิอะไร หลายร้อยชาติ
    แต่สุดท้ายก็ ขอให้ได้นั่งดอกบัว โปรดเวไนยสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์ ในอาคตกาล... ก็ใช้ได้แล้ว ทางมันไกล ก็ อดทนรอหน่อย :z8:
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  8. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ... เวลานี้เราต้องการพระโพธิญาณ ปักใจไว้ที่พระโพธิญาณอย่างเดียว ...
    พระมหากัสสปะมหาเถระ

    ท่านพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านเคยสอนเกี่ยวกับการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ไว้ว่า

    ... พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ท่านเน้นการให้ทานการสงเคราะห์แก่คนและสัตว์เป็นปกติ การให้ทานจึงเป็นของจำเป็นมาก เป็นพื้นฐานของพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ ก่อนที่จะตรัสรู้นี้ให้ทานเสียจนหมดเนื้อหมดตัว คราวที่มีบารมีแก่กล้าแล้วพระโพธิสัตว์ท่านก็เสียสละจนไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัว เพราะหวังแก่พระโพธิญาณ ปรารถนาแก่พระนิพพานในกาลข้างหน้า เพราะฉะนั้น บรรดาพระโพธิสัตว์ผู้ปรารถนาพระพุทธภูมิทั้งหลายจึงหนักแน่นในการให้ทานการสงเคราะห์ช่วยเหลือแก่ประชาชน ผู้คนและบรรดาสัตว์ทั้งหลายให้มีความสุข โดยไม่ห่วงใยตัวเอง ไม่มีใครเสมอได้เลยเมื่อได้ตรัสรู้ก็ตรัสรู้จากการให้ทานนั้นแล เรื่องบารมีสิบทัศ ก็ขึ้นต้นด้วยทานบารมี ...

    ... พระโพธิสัตว์ที่จะสร้างบารมีให้เต็มเปี่ยมในพระพุทธวิสัยนั้น จึงเป็นความยากลำบาก ผิดกับพระสาวกภูมิอยู่มากมาย ด้วยต้องทำกำลังใจให้มีความเมตตาปราณีและกำลังความวิริยะอุตสาหะ ให้มีกำลังเสมอกัน ...

    ... พระโพธิสัตว์นี่ ลงว่าท่านจะทำอะไรแล้ว ท่านไม่สนใจในความทุกข์ยากลำบากนานา ไม่มีคำว่าท้อถอย ...

    ... ก่อนที่จะมีบารมีเต็มเปี่ยมในพระพุทธวิสัย พระโพธิสัตว์ท่านทรงตะเกียกตะกายมาเสียมากต่อมากไม่มีใครที่จะเกินพระโพธิสัตว์ แต่ละองค์ในการตะเกียกตะกายพระองค์เรื่อยมา ตั้งแต่ครั้งปฐมโพธิญาณ คือ เริ่มปรารถนาพระพุทธภูมิครั้งแรก นับตั้งแต่บัดนั้นมาก็ก้าวเดินตามเข็มทิศที่ตั้งความปรารถนาเอาไว้ ทุกยากลำบากขนาดไหน ก็ต้องอดต้องทนต้องต่อสู้ ต้องตะเกียกตะกายเรื่อยมา เช่นเดียวกับเราเดินทาง ทางราบรื่นเราก็ต้องไป ทางขรุขระเราก็ต้องไป ทางยากทางคดทางอ้อมที่ใหนเราก็ต้องไป ลำบากลำบนแค่ไหนเราก็ต้องไปเพราะสายทางอยู่ที่นั่น ทางสายอื่นไม่มี เพื่อจุดหมายปลายทางก็ต้องไป เพราะนี่เป็นทางสายที่จะให้ถึงความเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้าพาสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพาน ...

    ... พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ จึงทรงยกทานบารมีขึ้นต้นเลย พระพุทธเจ้าทั้งหลายเวลาปรารถนาพระพุทธภูมิ ทรงยกทานบารมีขึ้นเป็นพื้นฐานแล้ว บารมีอย่างอื่นค่อยๆตามกันมา สำหรับการให้ทานนี้ เป็นพื้นฐานของพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ เป็นบารมีที่มีความสำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้า จึงให้ความร่มเย็นแก่เวไนยสัตว์มากมายก่ายกอง โดยมีทานบารมีเป็นพื้นฐานสำคัญ ...


    พ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพงท่านเคยให้โอวาทเอาไว้ว่า

    ..... ก่อนที่ผมจะปฏิบัตินี่ คิดว่าศาสนาตั้งอยู่ในโลก ทำไมบางคนทำบางคนไม่ทำ ทำแบบนิดๆหน่อยๆ แล้วเลิกมัน อะไรอย่างนี้ ผู้ไม่เลิกก็ไม่ประพฤติปฏิบัติเต็มที่ นี่มันเป็นเพราะอะไร ก็ไม่รู้นั่นเองละ ผมจึงต้องอธิษฐานในใจว่า เอาละ ชาตินี้เราจะมอบกายอันนี้ใจอันนี้ให้มันตายไปชาติหนึ่ง จะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าทุกประการเลย จะทำให้มันรู้จักในชาตินี้ ถ้าไม่รู้จักมันก็ลำบากอีก จะปล่อยวางมันเสียทุกอย่าง จะพยายามทำ ถึงแม้ว่ามันจะทุกข์มันจะลำบากขนาดไหน ก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นก็จะสงสัยเรื่อยไป คิดอย่างนี้เลยตั้งใจทำ ถึงแม้มันจะสุข มันจะทุกข์จะลำบากขนาดไหนก็ต้องทำ ชีวิตในชาตินี้ให้เหมือนวันหนึ่งกับคืนหนึ่งเท่านั้น ทิ้งมัน จะทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจะตามธรรมะให้มันรู้ ทำไมมันยุ่งยากนักวัฏฏะสงสารนี้ ฯ.

    .....ความจริงปฏิปทาของเรานั้น เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ ธรรมดาๆของเรานั้นให้ปฏิปทาทำขนาดเดิม อย่าสนใจกับความเกียจคร้าน อย่าสนใจกับความขยัน ปฏิบัติอย่าว่าขยันอย่าว่าขี้เกียจ พระท่านไม่เอาอย่างนั้น ขยันก็ทำอยู่อย่างนั้น ขี้เกียจก็ทำอยู่อย่างนั้น ไม่สนใจมันสิ่งเหล่านั้น ตัดมันไปอย่างนี้เรื่อยๆ กลางคืนกลางวัน ปีนี้ปีหน้า เวลาใดก็ตาม ให้ทำของเราไปเรื่อยๆ ปฏิปทานี้ไม่สนใจกับความเกียจคร้าน ไม่สนใจกับความขยัน ไม่สนใจอากาศร้อนอากาศหนาว ให้ทำไปเรื่อยๆ ฯ.

    ..... ความตั้งใจนะ คือตั้งใจในการปล่อยวาง ( ขันธ์ ๕ ) ไม่ต้องตั้งใจในการผูกมัดอย่างนั้น อันนี้เราไปอ่านตำราเห็นประวัติพระพุทธเจ้าว่า ท่านนั่งลงที่ใต้ต้นโพธิ์นั้น ท่านอธิษฐานจิตลงไปว่า ไม่ตรัสรู้ตรงนี้จะไม่ลุกหนีเสียแล้ว แม้ว่าเลือดมันจะไหลออกมาอะไรก็ตามทีเถอะ ได้ยินคำนี้เพราะไปอ่านดู แหมเราก็จะเอาอย่างนั้นเหมือนกัน จะเอาอย่างพระพุทธเจ้าเหมือนกันนี่ ไม่รู้เรื่องว่ารถของเรามันเป็นรถเล็ก รถของท่านมันเป็นรถใหญ่ ท่านบรรทุกทีเดียวก็หมด เราเอารถเล็กไปบรรทุกทีเดียวมันจะหมดเมื่อไหร่ มันคนละอย่างกัน เพราะอะไรมันถึงเป็นอย่างนั้น มันเกินไป บางทีมันก็ต่ำไป บางทีมันก็สูงเกินไป ไอ้ที่พอดีๆ มันหายาก ฯ.

    .....คนดีอยู่ที่ไหน คนดีอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราดี ไปไหนมันก็ดี เขาจะนินทาสรรเสริญ จะว่าทำอะไร ทำอะไร เราก็ยังดีอยู่ แต่ถ้าเรายังไม่ดี เขานินทาเราก็จะโกรธ ถ้าเขาสรรเสริญ เราก็ยินดี ก็หวั่นไหวอยู่อย่างนั้น ฯ.



    พระพุทธภาษิต

    กิจโฉ มะนุสสะปะฏิลาโภ
    การเกิดเป็นมนุษย์เป็นของยาก

    กิจฉัง มัจจานะ ชีวิตัง
    การเลี้ยงชีวิตของสัตว์ทั้งหลายเป็นของยาก

    กิจฉัง สัทธัมมัสสะวะนัง
    การได้ฟังพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก

    กิจโฉ พุทธานะมุปปาโท
    การอุบัติของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก

    ทุลละภัง ทัสสะนัง โหติ สัมพุทธานัง อะภิณหะโส
    การเกิดมาพบพระพุทธเจ้าบ่อยๆ เป็นการหาได้ยาก



    โลกคือหมู่สัตว์ อันชรานำไปไม่ยั่งยืน

    โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีผู้ต้านทาน ไม่มีผู้ป้องกัน ไม่เป็นใหญ่จำเพาะตน

    โลกคือหมู่สัตว์ ไม่มีอะไรเป็นของตน จำต้องละทิ้งสิ่งทั้งปวงไป

    โลกคือหมู่สัตว์ พร่องอยู่เป็นนิตย์ ไม่รู้จักอิ่ม เป็นทาสแห่งตัณหา ฯ.


    รัฏฐปาลสูตร



    ด้วยผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ
    ตรัสเป็นพระพุทธมหามุนีธัมมะสามีวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต
    เพื่อจะปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลายจากสังสารทุกข์
    ขึ้นสู่แดนเอกันตบรมสุข คือ พระนิพพาน …
    ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังเป็นผู้มีบารมียังอ่อน ยังจักต้องเร่ร่อนไปในชาติภพใดๆ
    ขอความอดอยากยากจน ความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ
    คำว่าไม่มี และคำว่าความปรารถนาไม่สมหวัง
    ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างบารมี ๓๐ทัศ
    ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างพระโพธิญาณและการลาพุทธภูมิ
    จงอย่าพึงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเลย นับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป
    จนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด สาธุ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2013
  9. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    สาธุๆๆ ผมขอโมทนาบุญในการบำเพ็ญบุญบารมีของท่านด้วย ขอให้ท่านได้สำเร็จสมความปรารถนาทุกประการนะครับ
     
  10. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +5,514
    ...................................................................................
    ในพระไตรปิฎกนั้นพระโพธิสัตว์ท่านบำเพ็ญบารมี ๑๐ ครับ ไม่ใช่แค่ ๖ อย่างที่คุณ ธัมมะสามี โพสต์ไว้(และหลายข้อก็ไม่ตรงกับพระไตรปิฎก) ถ้าคุณธัมมะสามี จะให้เหลือแค่ ๖ ข้อ คุณ ธัมมะสามี ก็ควรไปแก้ไขพระไตรปิฎกเสียด้วย


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕
    ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ -พุทธวังสะ-จริยาปิฎก



    ทีปังกรพุทธวงศ์ที่ ๑
    ว่าด้วยพระประวัติพระทีปังกรพุทธเจ้า

    ฯลฯ
    พระ-
    พุทธทีปังกรผู้ทรงรู้แจ้งโลก ผู้สมควรรับเครื่องบูชาประทับยืนอยู่
    เหนือศีรษะเรา ตรัสพระดำรัสว่า ท่านทั้งหลายจงดูชฎิลดาบสผู้มี
    ตบะอันรุ่งเรืองนี้ เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกในกัปอันประมาณ
    มิได้แต่กัปนี้
    พระตถาคตชินเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีพระเกียรติยศมาก
    จักเสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ อันน่ารื่นรมย์ จักทรงบำเพ็ญ
    ความเพียรทำทุกกรกิริยา แล้วเสด็จไปประทับนั่งที่ควงไม้อชปาล-
    นิโครธทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้ว เสด็จไปยังแม่น้ำ
    เนรัญชรา พระองค์เสวยข้าวมธุปายาสที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา แล้ว
    เสด็จดำเนินตามทางราบเรียบที่เขาตกแต่งไว้ไปที่ควงไม้โพธิพฤกษ์
    แต่นั้นทรงทำประทักษิณโพธิมณฑลอันยอดเยี่ยมแล้ว จักตรัสรู้
    ที่ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์ พระมารดาบังเกิดเกล้าของพระตถาคต
    พระองค์นี้ จักมีพระนามว่ามายา พระบิดามีพระนามว่าสุทโธทนะ
    พระตถาคตนี้จักมีพระนามว่าโคดม พระตถาคตพระองค์นั้น จักมี
    พระอัครสาวกผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะมีจิตสงบระงับมั่นคง
    นามว่าโกลิตะ และอุปปติสสะ ภิกษุอุปฐากมีนามว่าอานนท์ จัก
    บำรุงพระพิชิตมารนี้ จักมีอัครสาวิกาผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ
    มีจิตสงบระงับ มั่นคง นามว่าเขมาและอุบลวรรณา ไม้โพธิ
    ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ประชาชนเรียกว่าอัสสัตถพฤกษ์
    จิตตคฤหบดี หัตถกคฤหบดีชาวเมืองอาฬวี จักเป็นอุปัฏฐากผู้เลิศ
    นันทมารดาและอุตตราอุบาสิกา จักเป็นอุปัฏฐายิกาผู้เลิศ พระโคดม
    ผู้มียศพระองค์นั้น จักมีพระชนมายุ ๑๐๐ ปี มนุษย์และเทวดา
    ทั้งหลายได้ฟังพระพุทธดำรัสนี้แล้ว ต่างก็เบิกบานใจกล่าวว่า ท่าน
    ผู้นี้จักเป็นหน่อพุทธธางกูร หมู่สัตว์ในหมื่นจักรวาลพร้อมทั้งเทวดา
    ต่างก็เปล่งเสียงโห่ร้องปรบมือ ร่าเริง ประนมอัญชลีถวายนมัสการ
    ว่า ถ้าเราทั้งหลายจักไม่ยินดีพระศาสนาของพระโลกนาถพระองค์นี้
    เราทั้งหลายจักมีหน้าพร้อมต่อหน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคต ถ้าเรา
    ทั้งปวงละพระพิชิตมารพระองค์นี้ เราทั้งปวงก็จักมีหน้าพร้อมต่อ
    หน่อพุทธางกูรนี้ในอนาคตเปรียบเหมือนมนุษย์ผู้จะข้ามแม่น้ำไม่
    ยินดีท่าน้ำเฉพาะหน้า ไปยึดเอาท่าน้ำข้างหลัง ข้ามแม่น้ำใหญ่
    ฉะนั้น พระพุทธทีปังกรผู้ทรงรู้แจ้งโลก ทรงสมควรรับเครื่องบูชา
    ทรงประกาศกรรมของเราแล้ว ทรงยกพระบาทเบื้องขวาขึ้น พระ
    สาวกของพระพิชิตมารที่อยู่ ณ ที่นั้น ได้ทำประทักษิณเราทุกๆ
    องค์ เทวดา มนุษย์ อสูร ยักษ์ อภิวาทเราแล้วพากันกลับไป
    ครั้งนั้น เมื่อพระพุทธทีปังกรผู้เป็นนายกของโลก พร้อมด้วยพระ
    สงฆ์สาวกล่วงคลองจักษุเราไป เราลุกขึ้นจากที่นอนแล้ว นั่งเข้า
    สมาธิอยู่ เราสำราญใจด้วยความสุข เบิกบานใจด้วยปราโมทย์
    และอิ่มใจด้วยปิติ นั่งเข้าสมาธิอยู่ในกาลนั้น ครั้งนั้น เรานั่งขัด
    สมาธิแล้ว คิดอย่างนี้ว่า คิดอย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มีความชำนาญใน
    ฌาน ถึงที่สุดแห่งอภิญญาในหมื่นโลกธาตุ ฤาษีผู้เสมอเหมือนเรา
    ไม่มี ในธรรมคือฤทธิ์ไม่มีใครเสมอเรา เราได้สุขเหล่านี้ ขณะที่
    เราเข้าสมาธิอยู่ เทวดาผู้สถิตอยู่ในหมื่นจักรวาล พากันเปล่งเสียง
    กึกก้องว่า ท่านผู้นี้จักได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่ นิมิตเหล่าใด ที่เคย
    ปรากฏในขณะที่พระโพธิสัตว์ในปางก่อนนั่งเข้าสมาธิอันประเสริฐ
    นิมิตเหล่านั้นปรากฏในวันนี้ ความหนาวถึงความซาบซึม และ
    ความร้อนสงบ นิมิตเหล่านั้นปรากฏในวันนี้ ท่านผู้นี้จักเป็น
    พระพุทธเจ้าแน่ หมื่นโลกธาตุเงียบเสียง สงบเสียง นิมิตเหล่านั้น
    ปรากฏในวันนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ลมพายุย่อมไม่พัด
    แม่น้ำย่อมไม่ไหล นิมิตเหล่านั้นปรากฏในวันนี้ ท่านผู้นี้จักเป็น
    พระพุทธเจ้าแน่ ไม้ดอกพันธุ์ไม้บกและพันธุ์ไม้น้ำทุกชนิด ผลิดอก
    ในขณะนั้น แม้วันนี้ดอกไม้เหล่านี้ก็บานทุกดอก ท่านผู้นี้จักเป็น
    พระพุทธเจ้าแน่ ไม้เถาหรือไม้ต้น ย่อมเผล็ดผลในขณะนั้น แม้
    วันนี้ไม้ผลทุกชนิดก็เผล็ดผลในวันนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า
    แน่ รัตนะทั้งที่อยู่ในอากาศและพื้นดินย่อมสว่างไสวในขณะนั้น
    แม้วันนี้รัตนะเหล่านั้นก็สว่างไสว ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่
    ดนตรีทั้งของมนุษย์และทิพย์ ย่อมประโคมในขณะนั้น แม้วันนี้
    ดนตรีทั้งสองอย่างนั้นก็ประโคม ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่
    ดอกไม้อันวิจิตรย่อมตกลงจากอากาศในขณะนั้น แม้วันนี้ดอกไม้
    เหล่านั้นก็ปรากฏ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ มหาสมุทรย่อม
    กระฉอกฉ่อน หมื่นโลกธาตุย่อมหวั่นไหว แม้วันนี้สิ่งทั้งสอง
    นั้นก็มีเสียงครืนๆ อยู่ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ ไฟในนรก
    หมื่นขุมย่อมดับในขณะนั้น แม้วันนี้ไฟนั้นก็ดับแล้ว ท่านผู้นี้จัก
    เป็นพระพุทธเจ้าแน่ พระอาทิตย์ย่อมปราศจากมลทิน ดาวทุกดวง
    ย่อมปรากฏแจ่มจ้า แม้วันนี้พระอาทิตย์และดาวทุกดวงก็แจ่มจ้า
    ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ โดยที่ฝนไม่ตกเลย น้ำในแม่น้ำก็
    ขึ้นในขณะนั้น แม้วันนี้น้ำในแม่น้ำก็ขึ้น ท่านผู้นี้จักเป็นพระ
    พุทธเจ้าแน่ หมู่ดาวนักษัตรในท้องฟ้า ย่อมส่องแสงไพโรจน์
    พระจันทร์วันวิสาขฤกษ์แจ่มจ้า ท่านผู้นี้จะเป็นพระพุทธเจ้าแน่ งูที่
    อยู่รูและที่อยู่ตามซอก ย่อมออกจากที่อยู่ของตน แม้วันนี้งูเหล่านั้น
    ก็ออกมาเพ่นพ่าน ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ สัตว์ทั้งหลายที่
    ไม่ยินดีไม่มี ย่อมยินดีทั่วกันในขณะนั้น แม้วันนี้สัตว์ก็ยินดีทั่ว
    กัน ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ โรคทุกชนิดเบาบางสงบ และ
    ความหิวย่อมหายไป แม้วันนี้ก็ปรากฏอย่างนั้น ท่านผู้นี้จักเป็น
    พระพุทธเจ้าแน่ ในกาลนั้นราคะย่อมบางเบา โทสะและโมหะย่อม
    เสื่อมคลาย แม้วันนี้ก็ปราศจากไปหมดสิ้น ท่านผู้นี้จักเป็นพระ
    พุทธเจ้าแน่ ในกาลนั้นภัยย่อมไม่มี แม้วันนี้ก็ปรากฏเช่นนี้ ด้วย
    นิมิตนั้น เราทั้งหลายจึงรู้ได้ว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่
    ธุลีย่อมไม่ฟุ้งขึ้นเบื้องบน แม้วันนี้ก็ปรากฏเช่นนั้น ด้วยนิมิตนั้น
    เราทั้งหลายจึงรู้ได้ว่า ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ กลิ่นเหม็น
    ย่อมปราศจากไป มีแต่กลิ่นหอมตลบไป แม้วันนี้ก็มีกลิ่นหอม
    ตลบไป ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ เทวดาทั้งปวงย่อม
    ปรากฏ เว้นแต่ที่ไม่มีรูป แม้วันนี้ก็ปรากฏทั้งหมด ท่านผู้นี้จักเป็น
    พระพุทธเจ้าแน่ ขณะนั้น นรกมีประมาณเท่าใด ก็ปรากฏหมด
    เท่านั้น แม้วันนี้ก็ปรากฏทั้งหมด ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่
    ในกาลนั้น หม้อไห บานประตู ภูเขา ย่อมไม่มีอะไรปิด แม้
    วันนี้ก็เปิดโล่ง ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้าแน่ การจุติและการ
    อุบัติ ย่อมไม่มีในขณะนั้น แม้วันนี้ก็ปรากฏเช่นนั้น ท่านผู้นี้จัก
    เป็นพระพุทธเจ้าแน่ (นิมิตเหล่านี้ย่อมปรากฏ เพื่อประโยชน์แก่
    การตรัสรู้ของสัตว์) ท่านจงบำเพ็ญเพียรให้มั่นเถิด อย่าถอยกลับ
    จงก้าวไปข้างหน้า แม้เราทั้งหลายก็รู้ท่านว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า
    เป็นแน่ เราได้ฟังพระพุทธดำรัส และคำของเทวดาในหมื่นโลก
    ธาตุแล้วก็ยินดี ร่าเริง เบิกบานใจ ได้คิดอย่างนี้ในกาลนั้นว่า
    พระพุทธชินเจ้ามีพระวาจาไม่เป็นสอง มีพระวาจาไม่เปล่าประโยชน์
    พระพุทธเจ้าไม่ตรัสคำไม่จริง เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่
    พระ-
    ดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ย่อมเที่ยงแท้แน่นอน เปรียบ
    เหมือนก้อนดินที่โยนขึ้นไปในอากาศ ย่อมตกลงมาที่พื้นดินแน่นอน
    ฉะนั้น (พระพุทธเจ้าไม่ตรัสคำไม่จริง เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าเป็น
    แน่) พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ย่อมเที่ยงแท้แน่นอน
    เปรียบเหมือนสัตว์ทั้งปวงต้องตายเป็นแน่ ฉะนั้น พระดำรัสของ
    พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด ย่อมเที่ยงแท้แน่นอน เปรียบเหมือนเมื่อ
    ราตรีสิ้นไปพระอาทิตย์ขึ้นแน่ ฉะนั้น พระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้
    ประเสริฐสุด ย่อมเที่ยงแท้แน่นอน เปรียบเหมือนราชสีห์เมื่อลุกจาก
    ที่นอน ต้องบันลือสีหนาทแน่ ฉะนั้นพระดำรัสของพระพุทธเจ้าผู้
    ประเสริฐสุดย่อมเที่ยงแท้แน่นอน เปรียบเหมือนสัตว์ทั้งหลายผู้
    ไปถึงที่หมายแล้ว ย่อมปลงภาระอันหนักลง ฉะนั้น เอาละ เราจักค้น
    หาพุทธการกธรรม จากข้างนี้ๆ ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำทั้งทิศน้อยทิศ
    ใหญ่ตลอดทั่วธรรมธาตุ ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ได้เห็นทานบารมี
    เป็นข้อที่ ๑
    ซึ่งเป็นทางใหญ่อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายแต่ปางก่อน
    ประพฤติมา
    จึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๑ นี้บำเพ็ญให้
    มั่นก่อนท่านจงบำเพ็ญทานบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุ
    โพธิญาณ ท่านเห็นยาจกทั้งชั้นต่ำ ปานกลางและชั้นสูงแล้ว จงให้
    ทานอย่าให้เหลือ ดังหม้อที่เขาคว่ำไว้ เปรียบเหมือนหม้อที่เต็ม
    ด้วยน้ำ ผู้ใดผู้หนึ่งจับคว่ำลงแล้ว น้ำย่อมไหลออกหมด ไม่ขังอยู่
    ในหม้อนั้น ฉะนั้น แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เรา
    จักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น
    เมื่อเราค้นหาอยู่ ก็ได้เห็นศีลบารมีเป็นข้อที่ ๒ ที่พระพุทธเจ้าแต่
    ปางก่อนทรงเสพอาศัย
    จึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๒
    นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อนท่านจงบำเพ็ญศีลบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะ
    บรรลุโพธิญาณ ท่านจงบำเพ็ญศีลในภูมิ ๔ ให้บริบูรณ์ จงรักษาศีล
    ในกาลทั้งปวง ดังจามรีรักษาขนหาง เปรียบเหมือนดังจามรีย่อม
    รักษาขนหางอันติดในที่ไรๆ ยอมตายในที่นั้น ไม่ยอมทำขนหางให้
    เสีย ฉะนั้น แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหา
    ธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเรา
    ค้นหาอยู่ก็ได้เห็นเนกขัมมบารมีเป็นข้อที่ ๓ ที่พระพุทธเจ้าแต่ปาง
    ก่อนทรงเสพอาศัย
    จึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๓
    นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน ท่านจะบำเพ็ญเนกขัมมบารมีเถิด ถ้าท่าน
    ปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านจงเห็นภพทั้งปวงดังเรือนจำ ท่านจง
    มุ่งหน้าต่อเนกขัมมะ เพื่อหลุดพ้นไปจากภพ เปรียบเหมือนบุรุษที่
    ถูกขังในเรือนจำ ได้รับทุกข์มานาน ย่อมไม่ยังความยินดีให้เกิดใน
    เรือนจำนั้น แสวงหาความพ้นไป ฉะนั้น แต่พุทธธรรมจักมีเพียง
    เท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณ
    อย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ได้เห็นปัญญาบารมี
    เป็นข้อที่ ๔
    ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อน ทรงเสพอาศัย จึงเตือนตน
    เองว่า ท่านจงยึดบารมีที่ ๔ นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน ท่านจะบำเพ็ญ
    ปัญญาบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ ท่านได้สอบถาม
    คนมีปัญญาตลอดกาลทั้งปวง บำเพ็ญปัญญาบารมีแล้ว จักบรรลุ
    สัมโพธิญาณได้ เปรียบเหมือนภิกษุ เมื่อเที่ยวภิกษา ไม่เว้นตระกูล
    ต่ำ ปานกลางและสูงย่อมได้อาหารเครื่องเยียวยาอัตภาพ ฉะนั้น
    แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็น
    เครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ก็ได้
    เห็นวิริยบารมีเป็นข้อที่ ๕ ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรงเสพอาศัย
    จึงเตือนตนเองว่าท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๕ นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน
    ท่านจงบำเพ็ญวิริยบารมีเถิด ถ้าท่านปรารถนาจะบรรลุโพธิญาณ
    ท่านประคองความเพียรให้มั่นไว้ทุกภพ บำเพ็ญวิริยบารมีแล้ว จัก
    บรรลุสัมโพธิญาณได้ เปรียบเหมือนสีหมฤคราช มีความเพียรไม่
    ย่อหย่อนในที่นั่งที่ยืนและที่เดินประคองใจไว้ทุกเมื่อ ฉะนั้น แต่
    พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรม อันเป็น
    เครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไปในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ก็ได้
    เห็นขันติบารมีเป็นข้อที่ ๖ ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรงเสพอาศัย
    จึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๖ นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน
    ท่านมีใจแน่วแน่ในขันตินั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ ท่านจง
    อดทนต่อคำยกย่องและคำดูหมิ่นทั้งปวง บำเพ็ญขันติบารมีเปรียบ
    เหมือนแผ่นดินอดทนสิ่งที่เขาทิ้งลงทุกอย่างทั้งสะอาดและไม่สะอาด
    ไม่แสดงความยินดียินร้ายฉะนั้นแล้ว จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ แต่
    พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่อง
    บ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ก็ได้เห็น
    สัจจบารมีเป็นข้อที่ ๗ ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรงเสพอาศัย จึง
    เตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๗ นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน ท่านมี
    ใจแน่วแน่ในสัจจะนั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณได้ ดาวประกายพฤกษ์
    เป็นดาวนพเคราะห์ ประจำอยู่ในมนุษย์โลกทั้งเทวโลก ไม่หลีกไป
    จากทางเดิน ทุกสมัยฤดูหรือปี ฉันใด แม้ท่านก็ฉันนั้น อย่าหลีก
    ไปจากแนวในสัจจะ บำเพ็ญสัจจบารมีแล้วจักบรรลุสัมโพธิญาณได้
    แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็น
    เครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่
    ก็ได้เห็นอธิษฐานบารมีเป็นข้อที่ ๘ ที่พระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทรง
    เสพอาศัย จึงเตือนตนเองว่าท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๘ นี้บำเพ็ญให้
    มั่นก่อน ท่านไม่หวั่นในอธิษฐานบารมีนั้น จักบรรลุสัมโพธิญาณได้
    ท่านจงเป็นผู้ไม่หวั่นไหวในการอธิษฐานในการทั้งปวง บำเพ็ญ
    อธิษฐานบารมี เปรียบเหมือนภูเขาหินไม่หวั่นไหว ตั้งมั่น ไม่
    สะท้านสะเทือนเพราะลมจัด คงอยู่ในที่เดิม ฉะนั้นแล้ว จักบรรลุ
    สัมโพธิญาณได้ แต่พุทธธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้น
    หาธรรมอันเป็นเครื่องบ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อ
    เราค้นหาอยู่ก็ได้เห็นเมตตาบารมีเป็นข้อที่ ๙ ที่พระพุทธเจ้าแต่ปาง
    ก่อนทรงเสพอาศัย จึงเตือนตนเองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๙ นี้
    บำเพ็ญให้มั่นก่อน ท่านจงเป็นผู้ไม่มีใครเสมอด้วยเมตตา ถ้าท่าน
    ปรารถนาจะบรรลุสัมโพธิญาณ ท่านจงเจริญเมตตาให้เสมอกัน
    ทั้งในสัตว์ที่มีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์บำเพ็ญเมตตาบารมี
    เปรียบเหมือนน้ำย่อมแผ่ความเย็น ชำระล้างมลทินธุลี เสมอกัน
    ทั้งในคนดีและคนชั่ว ฉะนั้นแล้วจักบรรลุสัมโพธิญาณได้ แต่พุทธ
    ธรรมจักมีเพียงเท่านี้นั้นหามิได้ เราจักค้นหาธรรมอันเป็นเครื่อง
    บ่มโพธิญาณอย่างอื่นต่อไป ในกาลนั้น เมื่อเราค้นหาอยู่ ก็ได้เห็น
    อุเบกขาบารมีเป็นข้อที่ ๑๐ ที่พระพุทธเจ้าทรงเสพอาศัยจึงเตือนตน
    เองว่า ท่านจงยึดบารมีข้อที่ ๑๐ นี้บำเพ็ญให้มั่นก่อน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 พฤษภาคม 2013
  11. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    อ้างอิงข้อความเดิม boontar
    ในพระไตรปิฎกนั้นพระโพธิสัตว์ท่านบำเพ็ญบารมี ๑๐ ครับ ไม่ใช่แค่ ๖ อย่างที่คุณ ธัมมะสามี โพสต์ไว้(และหลายข้อก็ไม่ตรงกับพระไตรปิฎก) ถ้าคุณธัมมะสามี จะให้เหลือแค่ ๖ ข้อ คุณ ธัมมะสามี ก็ควรไปแก้ไขพระไตรปิฎกเสียด้วย

    ..... คุณboontar ครับ ข้าผู้น้อยมิบังอาจแก้ไขพระไตรปิฎกหรือพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอกครับ ไม่อยากไปอยู่เป็นเพื่อนพระเทวทัตกับกปิละภิกขุที่อเวจีมหานรก และที่โพสต์ไว้ผมก็ไม่ได้เขียนบอกว่าเป็นบารมี ๑๐ สักหน่อย แต่เขียนว่า “ สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายควรทำไว้ในใจให้มั่นคง ” เมื่อคุณ boontar ยัดเยียดให้ที่ผมโพสต์เป็นบารมีสิบ ก็ได้ครับ ผมจะยกเอาคำสั่งสอนของท่านพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลวงปู่พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง ที่ท่านสอนเรื่องบารมีสิบเอาไว้ มาอ้างอิงเพื่อให้คุณ boontar ท่านผู้สนใจหรือผู้สงสัยในเรื่องการบำเพ็ญบารมีสิบ เก็บเอาไปพินิจพิจารณา ดังนี้ครับ

    ..... การปฏิบัติบารมีจำเป็นต้องมีกำลังใจ การปฏิบัติอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามีกำลังใจเข้มแข็งพอสมควร สิ่งทั้งหลายที่ปฏิบัติย่อมสัมฤทธิ์ผลโดยเร็วไว ถ้ากำลังใจไม่ค่อยแน่วแน่ ขาดตกบกพร่อง มีมั่งไม่มีมั่ง ขาดๆเกินๆก็ต้องใช้เวลานานหน่อยล่ะ ฯ...
    จากเทปคำสอน...เสียงธรรมจากพระองค์ที่๑๐
    (สมเด็จพระพุทธสมณะโคดมปัญญาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า)


    ..... บารมี ก็คือ กำลังใจ ยังไงล่ะท่านพุทธบริษัททั้งหลาย อย่าลืมว่าความดีในพระพุทธศาสนานี่ขึ้นอยู่กับกำลังใจอย่างเดียว เพราะท่านทั้งหลายยังคงจำได้ว่าคนเราถ้าตายไปแล้ว ที่เขาบอกว่า ไปตกนรก ไปขึ้นสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปนิพพานเขาไม่ได้ไปกันอย่างอื่น เขาเอาใจไปกัน เขาไปกันด้วยกำลังใจ

    ... ทีนี้เรามาดูการให้ทานที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาท่านกล่าวว่า ทำลายความโลภ การให้ทานนี่น่ากลัวว่าจะต้องแบ่งเป็นหลายระดับด้วยกัน มิฉะนั้นการให้ทานก็จะไม่สมบูรณ์แบบ การให้ทาน ๓ ระดับ คือ

    ... ๑. ทาสทาน เวลาที่เราให้ทาน เราก็ให้ของที่เลวกว่าของที่เรากินเราใช้

    ... ๒. สหายทาน เวลาที่เราให้ เราก็ให้ของที่เสมอกับที่เรากินเราใช้

    ... ๓. สามีทาน เวลาที่เราจะให้ เราให้ของที่ดีกว่าเรากินเราใช้

    ... นี่เป็นเครื่องวัดกำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท เราวัดใจของเราเองว่า

    ... เวลาที่เราให้ทานน่ะ การให้ทานนี้ต้องให้เพื่อการสงเคราะห์อย่างเดียว ไม่ให้เพื่อหวังผลตอบแทน

    ... ถ้าเราให้กันด้วยความเต็มใจ เราให้จริงๆเพื่อเป็นการสงเคราะห์ ทานตัวนี้ต้องมีจิตเต็มเปี่ยมไปด้วยการสงเคราะห์ ปรารถนาให้เขามีความสุขจากวัตถุที่เราให้หรือว่ากำลังใจที่เราให้

    ... แต่ทว่าเวลาให้นะบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง ถ้าเขามาขอเรา เรายังต้องแบ่งว่า

    ... ไอ้นี่ยังใช้ได้ไม่ให้ นี่ดีเกินไปเรายังไม่ได้ใช้เรายังไม่ให้ ให้เฉพาะของที่เราไม่ต้องการจะกินไม่ต้องการจะใช้ของเลวๆเราถึงจะให้

    ... ในการให้ทานประเภทนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ถือว่าบารมียังต่ำ นับเป็นบารมีต้น

    ... องค์สมเด็จพระทศพลทรงเปรียบเทียบต่อไปว่า ถ้าเราให้ทานเป็นสหายทานให้เพื่อเป็นการสงเคราะห์ เวลาที่เราจะให้ ให้ของดีของกินของใช้สม่ำเสมอกับที่เรากินเราใช้ และก็ให้ด้วยความเต็มใจ ด้วยการสงเคราะห์ไม่หวังผลตอบแทนใดๆทั้งหมด อย่างนี้องค์สมเด็จพระบรมสุคตกล่าวว่าทานของท่านจัดเป็นอุปบารมี มีความแน่นแล้ว อุป (อุ-ปะ)แปลว่าเข้าไป ใกล้ มั่น แสดงว่าเดินเข้าไปหาพระนิพพาน ไม่ถอยหลังแล้ว เดินเข้าไปใกล้ทุกทีๆไม่ถอยแล้ว

    ... ต่อไปถ้ากำลังใจของเรานี้ดีขึ้นไปกว่านั้น เวลาที่เราจะให้ทานก็ต้องดู ไอ้ของนี่มันช้ำแล้ว ให้แล้วไม่ดีเขาจะตำหนิเอา หรือประการหนึ่ง ไหนๆเราจะให้ก็ควรจะให้ของดี เพราะว่าทุกคนต้องการของดี ส่วนของบริโภคก็เหมือนกัน ปกติเรากินน้ำพริกผักต้มได้แต่เวลาเราจะทำบุญหรือเราจะให้ทาน เราต้องให้ของดีๆทำบุญด้วยของดีๆ อย่างนี้องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาทรงตรัสว่าเป็นปรมัตถบารมี ในด้านของวัตถุหรือกำลังใจอย่าลืมว่าวัตถุที่มันจะไปได้ ต้องอาศัยกำลังใจของบรรดาท่านพุทธบริษัท



    ..... การให้ทานแบบนี้เปรียบเทียบง่ายๆ ให้บรรดาพุทธบริษัทเข้าใจว่า มันอาศัยกำลังใจอย่างเดียว มันจะเต็มหรือไม่เต็ม ดูกำลังใจของเรา

    ... วัดที่วัตถุที่เราให้ แล้วก็ดูกำลังใจของเราว่า เรามีความห่วงใยในทานของเราไหม

    ... ให้แล้วเราหวังผลตอบแทนบ้างหรือเปล่าบรรดาท่านพุทธบริษัท

    ... ถ้าเราไม่หวังผลตอบแทน ให้ด้วยการตัดขาดและให้ของดีได้

    ... อย่างนี้ เป็นอันว่าใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีกำลังใจเต็มพอสมควร นี่มีความเต็มพอใช้ได้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย แต่ยังก่อนนี่มันเต็มกันแค่วัตถุ

    ... แต่ทานที่มีความสำคัญยิ่งไปกว่านี้อีกทานหนึ่ง นั่นคือ ทานที่ไม่ต้องลงทุน ทานจุดนี้เป็นทานอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย คือ อภัยทาน

    ... ทานตัวนี้มีความสำคัญมากแต่ต้องบวกกับวัตถุเหมือนกัน

    ... วัตถุทานเราต้องให้แต่ว่ากำลังใจในการให้อภัยก็ควรจะมี

    ... เพราะทานประเภทนี้นอกจากว่าจะเป็นทานที่มีกำลังสูงส่งและไม่ต้องลงทุนแล้ว

    ... องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า บวกด้วยอำนาจเมตตาบารมีนี่ เป็นอันว่าการให้ทานทั้งทีนะบรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้ากำลังใจในการให้ทานของเราเต็ม ท่านทั้งหลายจงอย่าพึงคิดว่าเราจะมีผลแต่เพียงทานบารมีเท่านั้น การให้ทานคราวเดียวบรรดาท่านพุทธบริษัทบารมี ๑๐ ประการล้อมรอบเข้ามาครบหมด นี่จะอธิบายให้ฟังเพื่อความเข้าใจง่ายของบรรดาท่านพุทธบริษัท

    ... คือว่าก่อนที่เราจะให้ทานเราก็ลองคิดดูว่า เราให้เพื่อการสงเคราะห์ไม่ใช่ให้ทานเพื่อโก้ และก็ไม่ใช่ให้ทานเพื่อหวังผลตอบแทน เป็นการตัดจริงๆ การให้ทานของเราจุดนี้เราต้องการตัดกิเลส คือ โลภะ ความโลภ เพราะความโลภเป็นตัวดึงเข้า ทานเป็นตัวขยายออก นี่บรรดาท่านพุทธบริษัทจำตัวนี้ไว้ให้ดี การให้ทานนี่เราอย่าไปสนใจกับการตอบสนองการรู้คุณ เราต้องการอย่างเดียวคือตัดกิเลสได้แก่ โลภะ ความโลภ การให้ทานเพื่อหวังในการสงเคราะห์ หวังตัดความโลภจากจิต อันนี้จึงเป็นกำลังใจตามที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรมีความประสงค์

    ... ที่เรียกว่า บารมี หรือทานบารมีนี้ ในเมื่อเราให้ทานเพราะอาศัยมีความรัก มีความสงสารเป็นปัจจัย ถ้าเราเกลียดแล้วเราก็ให้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะเรายังไม่ใช่พระอรหันต์นี่ เวลานี้เรายังบำเพ็ญบารมีอยู่จะไปเอากำลังเท่าองค์สมเด็จพระบรมครูหรือว่ากำลังใจเท่าพระอรหันต์นั้นเป็นไปไม่ได้

    ... ทีนี้เราลองคิดว่า ถ้าเราเกลียดเราจะไห้ได้ไหม ไม่ได้แน่นอน อย่าว่าแต่สละวัตถุเลยแม้แต่กำลังใจที่คิดจะให้มันก็ไม่มี ทีนี้การให้ทานเราต้องบวกอะไรเข้ามาบ้าง ก่อนจะให้หวังในการสงเคราะห์ หวังในการเกื้อกูล อาศัยความรัก ความสงสารเป็นสำคัญ

    ... ความรัก ความสงสาร เป็นอะไรท่านบรรดาพุทธบริษัททุกท่าน เป็นเมตตาบารมีเห็นหรือยัง นี่เราจะให้ทานแล้วเมตตามันเข้ามาค้ำจุน เข้ามาประคับประคอง นี่เป็นสองบารมีเข้ามาควบกันแล้ว

    ... ทีนี้ในเมื่อเมตตาบารมีปรากฏ มีเมตตาแล้วอะไรมันตามมาอีกบรรดาท่านพุทธบริษัท ตัวเมตตาเกิดขึ้นแล้วศีลบารมีมันก็ปรากฏ เพราะศีลจะมีกับใครได้นั้นต้องมีเมตตาเป็นพื้นฐาน การให้ทานเราต้องมีทั้งเมตตาทั้งกรุณาทั้ง ๒ ประการ คือรักและสงสารในเขา ศีลก็วิ่งเข้ามาช่วยประคับประคองในทานเข้าไปอีกจุดหนึ่ง

    ... การให้ทานของเรานี้นี่บรรดาท่านพุทธบริษัท เราต้องการตัดโลภะ ความโลภ เราหวังพระนิพพานเป็นปัจจัย เราไม่ได้หวังอะไรเป็นเครื่องตอบแทน จิตมันก็บริสุทธิ์ การให้ทานตัวนี้ไม่ใช่ว่าผู้ชายให้ทานแก่สตรี สตรีให้ทานแก่ชายเพื่อหวังในการร่วมรักกันในกามารมณ์นะ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าเราให้เพื่อการสงเคราะห์ ไม่ใช่ซื้อความรักด้วยการให้ทานในวัตถุ

    ... คราวนี้เนกขัมมะบารมี คือ การถือบวชมันก็ปรากฏ เนกขัมมะ ที่เขาถือกันได้ในชั้นต้นก็โดยตัดนิวรณ์ ๕ ประการ คือ

    ... ๑.ความรักด้วยอำนาจกามารมณ์

    ... ๒.ความโกรธ เรามีเมตตาเสียแล้ว จะโกรธยังไงล่ะ

    ... ๓.ตัวง่วง เราไม่โกรธแล้วตั้งใจให้ทานมันจะง่วงตรงไหน

    ... ๔.อารมณ์จิตฟุ้งซ่าน เราตั้งใจไว้แล้วว่า เราทั้งรักทั้งสงสาร จิตมันตรงแน่ว มันจะฟุ้งซ่านไปไหน

    ... ๕.ความสงสัย (ในเนกขัมมะ) มันก็ไม่ปรากฏ เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระบรมสุคตว่า การให้ทานเป็นการตัดความโลภ เป็นปัจจัยให้เข้าถึงพระนิพพาน กำลังใจเรามันเต็มเสียแล้ว ถ้าเราสงสัยเราจะให้ยังไง นี่เราไม่สงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตร เห็นไหมบรรดาท่านพุทธบริษัท การให้ทานคราวเดียว เนกขัมมะบารมีวิ่งเข้ามาชนอีก เป็น ๔ บารมีแล้ว

    ... อีกบารมีหนึ่งที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกว่า ปัญญาบารมี ลองมาคิดพิจารณากันดูให้ดีว่า คนโง่น่ะจะมีใครให้ทานไหม คนโง่เขาไม่ให้ทานหรอกบรรดาท่านพุทธบริษัทเขาเสียดายของ เพราะถือว่าของของเขาหามาได้โดยยาก ไม่มีใครเขาไห้ ไม่มีกินไม่มีใช้ก็ช่างซี ตัวอยากไม่หาทำไม แต่คนที่จะให้ทานได้ต้องอาศัยเป็นคนมีปัญญา เอาปัญญาเข้าไปพิจารณาในตอนต้น เอาแบบต่ำๆ นั่นคือ

    ... เรามาพิจารณาว่าการให้ทานเป็นการสงเคราะห์ เป็นการผูกมิตรทำจิตให้มีความสุขเราไปทางไหนก็ตามถ้าเรามีเพื่อนมาก มีคนรักมาก เราก็มีความสุข ทีนี้ปัญญาที่สูงกว่านั้น เขาคิดว่าการให้ทานนี่เป็นการทำลายความโลภ เป็นการทำลายการเกิดที่จะมาสู่คนให้รับผลความทุกข์ต่อไป นี่คนมีปัญญาใหญ่เขาก็จะพิจารณาอย่างนี้ ฉะนั้นการให้ทานสักทีก็ต้องอาศัยปัญญาเป็นเครื่องประกอบ เอาละซีบรรดาท่านพุทธบริษัท ปัญญาบารมีก็มากับทานอีกแล้ว

    ..... อีกบารมีหนึ่งที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วบอกคือ วิริยะบารมี วิริยะ แปลว่า ความเพียร คนที่จะให้ทานในระยะแรกที่มีบารมียังอ่อน ถ้าไม่มีความเพียรเข้าไปตัด มัจฉริยะ ความตระหนี่หรือความขี้เหนียว ความหวงแหนในทรัพย์สินของตน อันนี้อาตมารับรองผลเลย ถ้าไม่มีความเพียรตัดไอ้ตัวนี้ให้ทานไม่ได้ ต้องใช้ความเพียรเข้าไปตัด มัจฉริยะ คือ ความตระหนี่เหนียวแน่นให้สลายตัวไป ไม่ยังงั้นทำไม่ได้หรอกบรรดาท่านพุทธบริษัท อีกประการหนึ่ง

    ... คนที่ตั้งใจจะให้ทาน หวังผลในทานบารมี ถ้าเราจะให้ทานด้วยวัตถุ เราก็ต้องเพียรหาวัตถุเข้ามา นี่วิริยะบารมีก็ตามมา ถ้าหากว่าเราจะให้ทานเป็นอภัยทานคือกำลังใจไม่ประกาศเป็นศัตรูกับใคร เราก็ต้องมีความเพียรตัดความโกรธ ตัดความพยาบาท นี่เป็นอันว่าการให้ทานครั้งเดียว วิริยะบารมีก็วิ่งตามเข้ามาอีกแล้ว

    ... ต่อไปบารมีที่องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า ขันติบารมี คือ ความอดทน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญ วัตถุทานที่เราจะได้มาบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน เราต้องหามาด้วยความเหนื่อยยาก เราหามาด้วยความลำบากอย่างยิ่ง กว่าบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิงจะมีเงินจะมีของ ต้องเหน็ดเหนื่อยด้วยประการทั้งปวง ถ้าไม่อดทนในการหาละก็เราก็ไม่มีวัตถุในการให้ทาน นี่เรื่องของทาน ขันติบารมีวิ่งเข้ามาอีกชั้นหนึ่ง

    ... ตานี้ขันติความอดทนที่ต้องเสียทรัพย์สินที่หามาได้โดยยาก นี่มันมีความสำคัญมากบรรดาท่านพุทธบริษัท แต่ขาดขันติบารมีแล้วหยิบอะไรไม่ได้ คิดว่าแหม ของสิ่งนี้ซื้อมาแพง กว่าเราจะมีเงินซื้อก็มีแต่ความลำบากมีความยุ่งยากด้วยประการทั้งปวง จะให้เขาทำไมหนอ ใจมันก็ไม่สบาย ตอนนี้ก็ต้องเอาขันติเข้าข่มใจ อดทนเข้าไว้ ว่าเราอดเปรี้ยวเพื่อกินหวาน เราให้วัตถุทานเพื่อหวังพระนิพพานซึ่งเป็นที่มีความสุขในเบื้องหน้า อย่างนี้กำลังใจต้องมีความอดทน ต้องมีปัญญาเข้ามาปลอบ มีวิริยะความเพียรเข้ามาข่มขี่ ตัดมัจฉริยะความตระหนี่ให้มันพินาศไป

    ..... ทีนี้ต่อไป สัจจะบารมี เราตั้งใจไว้แล้วนี่ ว่าเราจะให้ทาน เราทำกิจการงานทั้งหมด เพื่อรวบรวมทรัพย์สินบริจาคทาน เพื่อหวังพระนิพพาน เพื่อหวังสวรรค์ เพื่อหวังพรหม เพื่อหวังความเป็นมนุษย์ที่ร่ำรวย เราก็ต้องให้จนได้ เราจะไม่ยอมเสียสัจจะความจริงใจ เอาเข้าแล้ว นี่การให้ทานตัวเดียวควบสัจจะเข้ามาอีก

    ... ต่อไป อธิษฐานบารมี ตัวที่ตั้งใจไว้ว่า นี่เราจะต้องให้ทานเพื่อเป็นการทำลายความโลภให้หมดไปจากใจ คือว่าเราจะให้ทานเพื่อความอยู่เป็นสุขในชาติปัจจุบัน หรือว่าเราจะให้ทานเพื่อปรารถนาว่า ผลของทานนี้จะส่งผลให้ (ได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณในอนาคต เพื่อรื้อสัตว์ขนสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่แดนเอกันตบรมสุข คือ พระนิพพาน) นี่เราตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้วว่าคุณธรรมทั้ง ๓ ประการคือ

    ... (๑.ถ้ามีบารมียังอ่อนยังจักต้องเร่ร่อนไปในชาติภพใดๆขอความอดอยากยากจน ความทุกยากลำบากเข็ญใจ คำว่าไม่มี และคำว่าความปรารถนาไม่สมหวัง ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างบารมี ๓๐ ทัศ ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างพระโพธิญาณและการลาพุทธภูมิ จงอย่าพึงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเลย นับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน )

    ... ๒.เกิดเป็นเทวดา

    ... ๓.เข้าพระนิพพาน

    ... เราตั้งจิตอธิษฐานไว้แล้ว เกิดมาชาตินี้ต้องจับจุดนี้ให้ได้ จุดใดจุดหนึ่งที่เราต้องการ เมื่อจิตอธิษฐานตั้งใจไว้จริงๆ ปักหลักให้ตรงเป๋ง อย่างนี้มันจึงจะให้ทานได้ ถ้ากำลังใจเราไม่มี คือที่คิดแล้วมันมีความโลเล ไม่ตั้งจิตตรงไว้ในกาลก่อนว่าปรารถนาในการให้ทาน ผลของทานมันก็จะกลายเป็นทานอะไรล่ะ เป็นศรัทธาหัวเต่าผลุบเข้าผลุบออก ดึงออกมาแล้วยัดเข้าไปใหม่ นี่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย การให้ทานตัวเดียว อธิษฐานบารมีก็วิ่งเข้ามาอีก

    ... เหลือตัวเดียว อุเบกขาบารมี อุเบกขาบารมีตัวนี้จะเข้ามาสนับสนุนตรงไหน ก็ตรงที่ให้ไปแล้วซิบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ถ้าความขัดข้องใจอะไรมันเกิดขึ้น เช่นเรามีเงินอยู่ ๕๐๐ บาท เราให้ทานไปเสีย ๒๐ บาท มันเหลือ ๔๘๐ บาท ทีนี้มีกิจที่จะต้องพึงทำมันเกิดขึ้นมาโดยไม่ได้คิดไว้ เกิดมีความจำเป็นจะต้องใช้เงินสัก ๕๐๐ บาท

    ... แต่ว่าจิตของเรานี้เชื่อองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถว่า ทานเป็นผลของความสุข ความเดือดร้อนมันเกิดขึ้นแล้วซิ สตางค์ ๒๐ บาท นี่มันไม่พอดีนี่ ถ้าเราไม่ให้ทานไปเสียเราก็มีจ่ายพอดี แต่นี่บังเอิญกิจนี้มันมาทีหลัง คิดให้ทานไปเสียก่อน แต่เราเชื่อองค์สมเด็จพระชินวร คิดว่า ช่างมันเถอะ ความลำบากเพียงแค่ ๒๐ บาท ไม่เป็นไร ไหนๆเราก็ตั้งใจไว้แล้ว ความทุกร้อนนิดหน่อยมันจะเป็นไร เพราะผลที่เราให้ไปมันมีประโยชน์มากกว่านั้น คือ ถ้าบุญบารมีเรายังอ่อน จะต้องเร่ร่อนไปในวัฏฏะสงสาร เราก็จะเกิดเป็นมนุษย์ที่มีความบริบูรณ์สมบูรณ์ได้ ถ้าบารมีของเรามีขึ้นหน่อยแล้วไซร้ ก็สามารถไปเกิดบนสวรรค์ได้ ฯ.


    หนังสือบารมี ๑๐ / ตอนที่ ๒ / ทานบารมี / บรรทัดที่ ๔ เป็นต้นไป
    โดย...หลวงปู่พระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (วัดท่าซุง ) อ.เมือง จ.อุทัยธานี


    ... อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วในวันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ญาติสนิทมิตรสหาย ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ลูกหลานบริวารทั้งหลายของข้าพเจ้า ตั้งแต่ชาติก่อนก็ดีชาตินี้ก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงได้รับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด

    ... และข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลทั้งหลายเหล่านี้ ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่เคยได้ล่วงเกินมาแล้ว ตั้งแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายจงได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ และขอจงได้ให้อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด

    ... และข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ ท่านเทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า ท่านเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพและท่านพระยายมราช ขอท่านเทพเจ้าทั้งหลายและท่านพระยายมราชจงได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ และขอจงได้เป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในวันนี้ด้วยเถิด

    ... และข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เป็นญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี สัมภเวสี ภูตผีปีศาจ เปรต อสุรกาย และบรรดาท่านทั้งหลายที่รอตัดสินโทษอยู่ ณ สำนักพระยายมราช ขอท่านทั้งหลายจงได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงได้รับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด ถ้าหากท่านทั้งหลายยังไม่รู้จัก ขอท่านพระยายมราชและเทวดาทั้งหลาย จงบอกสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ให้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิด

    ... อิทัง ปุญญะผะลัง ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันและจักบำเพ็ญต่อๆไปจนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ขอผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสเป็นพระพุทธมหามุนีธัมมะสามีวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เพื่อจะปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลายจากสังสารทุกข์ ขึ้นสู่แดนเอกันตบรมสุข คือ พระนิพพาน …

    ...ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังเป็นผู้มีบารมียังอ่อน ยังจักต้องเร่ร่อนไปในชาติภพใดๆ ขอความอดอยากยากจน ความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ คำว่าไม่มี และคำว่าความปรารถนาไม่สมหวัง ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างบารมี ๓๐ทัศ ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างพระโพธิญาณและการลาพุทธภูมิ จงอย่าพึงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเลย นับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด

    ... และขอผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเกิดทันในสมัยที่องค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยพุทธเจ้ากำลังประกาศพระศาสนา ขอให้ข้าพเจ้าได้ทอดกายลงเป็นสะพานให้ององค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมโลกนาถพร้อมด้วยพระอรหันตขีณาสพทั้งหลาย ได้เดินข้ามผ่าน และขอให้ได้รับพระพุทธพยากรณ์เป็นพระวิริยาธิกะพุทธภูมินิยตะบรมโพธิสัตว์ ณ แทบเบื้องพระยุคลบาทแห่งองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเถิดสาธุ ฯ...


    ..... คุณ boontar ครับ เห็นไหมว่า การทำทานบารมีข้อเดียวก็สามารถทำบารมีทั้ง ๑๐ให้ บริบูรณ์สมบูรณ์ได้ คราวนี้คุณ boontar พอใจหรือเปล่าครับ หรือว่ายังข้องใจในการสร้างบารมี ๑๐ อยู่ คุณต้องเข้าใจนะครับว่า บารมี ๑๐ อยู่ในตำราเป็นอีกอย่าง เมื่อนำมาปฏิบัติจริงแล้วเป็นอีกอย่าง อย่ายึดติดตำรามากเกินไปสิครับ อย่ายกเอาความรู้ในตำรามาทั้งดุ้นสิครับ เมื่ออ่านแล้วนำมาใคร่ครวญพินิจพิจารณาแล้วนำมาปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วไม่เข้าใจก็ไต่ถามครูบาอาจารย์ท่านผู้มีความรู้ความเข้าใจ ให้มันแจ่มแจ้งแก่ใจตน จะได้ไม่ปฏิบัติผิดๆให้เสียเวล่ำเวลาเปล่าๆ อย่าได้ประมาทชีวิต เพราะชีวิตนี้น้อยนัก ไม่นานก็ต้องแก่ ไม่นานก็ต้องตาย ก่อนร่างกายสังขารนี้จะแตกสลาย เราต้องสร้างบารมีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ชาติหน้าไม่รู้ว่าจะเกิดเป็นอะไร

    ..... จะบอกให้รู้นะครับ ที่โพสต์ สิ่งที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายควรทำไว้ในใจให้มั่นคง เป็นจริยาของท่านพระศรีอาริยเมตไตรยบรมมหาโพธิสัตว์เจ้า ท่านหลวงปู่ปาน โสนันโทบรมมหาโพธิสัตว์เจ้า วัดบางนมโคและหลวงปู่พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ผมมีความเคารพมากที่สุด และยึดถือปฏิปทาของท่านทั้ง ๓ องค์ เป็นแบบแผนในการสร้างพระโพธิญาณของผม แต่ก็อย่างว่าคนเราคิดไม่เหมือนกัน ทำไม่เหมือนกัน และได้ผลในการปฏิบัติไม่เหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2013
  12. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    การเทียบบารมี



    ..... การเทียบบารมี บารมีเขาจัดเป็น ๓ ชั้น

    ... บารมีต้น ท่านเรียกบารมีเฉยๆ

    ... บารมีตอนกลางท่านเรียก อุปบารมี

    ... บารมีสูงสุดท่านเรียก ปรมัตถบารมี



    ..... ถ้าคนมีบารมีในขั้นต้นเต็ม ท่านผู้นี้จะเก่งเฉพาะการให้ทานกับการรักษาศีล แต่การรักษาศีลของบารมีขั้นต้นจะไม่ถึงศีล๘ อย่างเก่งก็มีกันแค่ศีล ๕ ท่านผู้นี้จะไม่พร้อมในการเจริญพระกรรมฐาน

    ... ถ้าชวนในการเจริญสมาธิทำกรรมฐานท่านบอกท่านทำไม่ได้ กำลังใจไม่พอ หรือจะพูดอีกนิดว่าท่านบอกว่าท่านว่างไม่พอเวลาไม่มี นี่สำหรับคนที่มีบุญบารมีขั้นต้นจะอยู่กันแค่นี้



    ..... ถ้ามีบารมีเป็นอุปบารมี เขาเรียกว่า บารมีขั้นกลาง อุปบารมีนี่พร้อมที่จะทรงฌานโลกีย์ บารมีนี้พร้อมเรื่องฌานโลกีย์นี่ทรงได้แน่

    ... ท่านพวกนี้จะพอใจในการเจริญพระกรรมฐาน แล้วก็พอใจในการทรงฌาน แต่ว่าถ้าจะชวนในขั้นบุกบั่นในวิปัสสนาญาณ ท่านจะบอกว่าไม่ไหว โดย เฉพาะอย่างยิ่งสมาธิวิปัสสนาญาณ อาจจะมีบ้างแต่ก็ไม่เข้มแข็งนัก

    ... เพราะว่าสมถะกับวิปัสสนาญาณนี่แยกกันไม่ได้ ต้องอยู่ด้วยกัน แต่กำลังด้านวิปัสสนาญาณจะต่ำ จะเข้มแข็งเฉพาะสมถะภาวนา

    ... แล้วท่านบอกพวกนี้ถึงแม้ว่าจะพอใจในการเจริญพระกรรมฐาน ถ้าเราบอกว่าหวังพระนิพพานกันเถอะ ท่านพวกนี้ก็บอกว่าไม่ไหว กำลังใจไม่พอ จะชวนไปนิพพานขนาดใหนก็ตาม เขาจะไม่พร้อมจะไป และไม่พร้อมจะยินดีเรื่องพระนิพพาน พร้อมอยู่แค่ฌานสมาบัติ อันนี้เป็น อุปบารมี




    ..... ถ้าเป็นปรมัตถบารมี เราจะเห็นว่าอันดับแรกอาจจะไม่มีความเข้าใจเรื่องพระนิพพาน พอสัมผัสวิปัสสนาญาณขั้นเล็กน้อยพอสมควร

    ... อาศัยบารมีเก่าเพิ่มพูนหนุนขึ้นมาก็มีความต้องการเรื่องพระนิพพาน

    ... พวกที่มีจิตหวังนิพพานนี่จะไปชาตินี้ได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ เพราะการหวังนิพพานกันจริงๆ ต้องหวังกันหลายชาติ

    ... จนกว่าบารมีที่เป็นปรมัตถบารมีจะสมบูรณ์แบบ คือ ต้องหวังหลายๆชาติ

    ... ถ้าจิตหวังพระนิพพานจริงๆ พวกนี้มีหวังที่เรียกว่ามีบารมีเป็น ปรมัตถบารมี



    ..... ข้อนี้สำหรับผู้ต้องการไปพระนิพพานชาตินี้ สำหรับท่านที่มีบารมีเป็นปรมัตถบารมี

    ... บางที่จะเห็นว่ายังบกพร่องในความดีอยู่มาก ศีลก็บกพร่อง สมาธิก็ไม่ทรงตัว ปัญญาก็ไม่แน่นอนนัก

    ... ไอ้อย่างนี้มันก็ไม่แน่นอน เพราะคนที่จะไปพระนิพพานจริงๆ

    ... มันอยู่แค่หัวเลี้ยวหัวต่อ อาศัยความเคยชิน อาศัยฝึกไปบ้าง มากบ้างน้อยบ้าง ทำผิดบ้างทำถูกบ้าง

    ... แต่ว่าอารมณ์ชินของอารมณ์ดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือ ไม่ต้องการเกิด

    ... มีความรู้สึกตามความจริงว่า

    ... การเกิดขึ้นมามันเต็มไปด้วยความทุกข์ ความเกิดอย่างนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก เราจะมีความเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย

    ... วันหนึ่งถ้าคิดอย่างนี้สัก ๒ นาที คิดทุกวัน อารมณ์นี้จะชิน คำว่าชินก็คือฌาน ฌานก็คือชิน

    ... ในเมื่ออารมณ์คิดจนชินเกิดขึ้น แต่มันไม่มากนัก เห็นทุกข์วันละ ๒-๓ นาที นอกจากนั้นก็เผลอเห็นสุขหรือเมื่อมีการงานเข้ามาคั่น

    ... เขาไม่ได้นึกถึงตัวทุกข์ ก็จะหาว่าเขาเลวไม่ได้ ต่อเมื่อเวลาที่จะใกล้ตายเข้ามาจริงๆ

    ... มันป่วยไข้ไม่สบาย การป่วยไข้ไม่สบายมันบังคับจิตให้เห็นว่า

    ... ร่างกายมันเป็นทุกข์ ว่าคนป่วยไม่มีส่วนไหนของร่างกายเป็นสุข แม้แต่ลมก็มีการขัดข้องอยู่เสมอ ก็เห็นว่าการเกิดมันไม่ดีแบบนี้ ร่างกายก็ป่วยอารมณ์ก็ขัดข้อง

    ... อาศัยที่จิตคิดจนชินว่า ร่างกายเป็นของไม่ดีเป็นทุกข์อย่างนี้เราไม่ต้องการมัน จิตก็เข้าถึงความวางเฉย ไม่ต้องการร่างกายนี้อีก มันจะตายก็เชิญตาย เราจะเชิญมันตายหรือไม่เชิญมันตายมันก็ตาย ใช่ไหม

    ... ในเมื่อมันจะตายแต่เราก็ไม่หนักใจในความตาย เราถือว่าถ้าเราตายเมื่อไหร่ เราไปพระนิพพานเมื่อนั้น อารมณ์นี้ก็จะเกิด

    ... ถ้าอารมณ์นี้เกิดขึ้นมาจริงๆก่อนหน้าจะตาย ถ้าเป็นฆราวาสอารมณ์นี้จะหนักแน่นในวันนั้นแล้วก็ตายในวันนั้นจะไปพระนิพพานทันที นี่ว่าถึงพวก ปรมัตถบารมี



    ..... การเทียบบารมีทั้งพระโพธิสัตว์และพระสาวกเหมือนๆกัน ต่างแต่ว่าพระโพธิสัตว์ จะใช้เวลาสร้างบารมีต้นและอุปบารมีหลายแสนหลายล้านชาติ(นับเอาเฉพาะเวลาที่เกิดมีชีวิตในมนุษย์โลกและเกิดเป็นมนุษย์และสัตว์) ส่วนปรมัตถบารมีใช้เวลาสิบชาติติดต่อกัน


    คัดจากหนังสือบารมี ๑๐/ปกิณกะ/การเทียบบารมี
    โดย...หลวงปู่พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง

    ให้เป็นธรรมทานแก่ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิทุกท่านทุกองค์ และท่านผู้สนใจ ขอบคุณครับ


    ... ด้วยผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ
    ตรัสเป็นพระพุทธมหามุนีธัมมะสามีวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต เพื่อจะปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลายจากสังสารทุกข์ ขึ้นสู่แดนเอกันตบรมสุข คือ พระนิพพาน

    ... ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังเป็นผู้มีบารมียังอ่อน ยังจักต้องเร่ร่อนไปในชาติภพใดๆ ขอความอดอยากยากจน ความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ คำว่าไม่มี และคำว่าความปรารถนาไม่สมหวัง ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างบารมี ๓๐ทัศ ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างพระโพธิญาณและการลาพุทธภูมิ จงอย่าพึงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเลย นับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2013
  13. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    บาป-บุญ
    บุญบาปนี้เป็นคู่คือเงา เงานั้นไปตามเฮาสู่วันบ่มีเว้น
    คันเฮาพาเล่นพามันเต้นแล่น พามันแอะแอ่นฟ้อนเงานั้นแอ่นนำ
    เฮานั่งยองย่อเงาก็นั่งลงนำ ยามเฮาเอาหลังนอนก็อ่อนลงนอนด้วย
    คันเฮาโตนลงห้วยภูเขาหลายหลั่น ขึ้นต้นไม้ผาล้านด่านเขา
    เงาก็ตามเลี้ยวเกาะเกี่ยวพันธนัง บ่ได้มียามเหินห่างไกลกันได้
    อันนี้สันใดแท้ทั้งสองบุญบาป มันก็ติดต่อก้นนำส้นผู้ทำ นั้นแหล่ว
     
  14. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    สะสมทุนก่อนตาย พระธรรมเทศนาหลวงปู่พระราชพรหมยาน อยากให้ได้อ่านกันทุกคนครับ



    สะสมทุนก่อนจากไป​




    ...... เมื่อคืนพูดถึงว่าอารมณ์ของสมาธิ พูดมาได้เล็กน้อยเวลาก็หมดไป ทีนี้ก่อนที่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายจะนึกถึงอะไรทั้งหมด อันดับแรกในนึกถึงความตายเป็นอารมณ์เสียก่อนชื่อว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เรามาสร้างความดีกัน ก็เพื่อว่าได้เป็นทุนไว้เวลาที่ตาย ในการนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ พระพุทธเจ้าท่านแปลว่าเป็นมรณานุสสติกรรมฐาน จัดว่าเป็นความไม่ประมาทในชีวิต ถ้าเราคิดเสมอว่าเราตายแล้ว ตัวเราไม่เป็นพระอรหันต์เพียงใด เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏะ



    ..... นี่ก่อนจะตายก็แสวงหาความดีเข้าไว้ ความดีที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำไว้เบื้องต้น นั้นคือการให้ทาน ทานเป็นปัจจัยแห่งความรัก ทานเป็นปัจจัยแห่งการผูกมิตร นี่คนที่ให้ทานก็มีจิตเป็นสุข หมายความว่าจะไปที่ไหนก็ตาม บุคคลผู้ที่รับทานจากเราย่อมแสดงความเป็นมิตรกับเรา



    ..... คนบางเหล่าเท่านั้นที่ไม่รู้คุณ อันนี้ยกให้อำนาจของเมตตาบารมี ทีนี้เมื่อตายจากความเป็นมนุษย์แล้วคนที่ให้ทานจะไม่พบกับความยากจนเข็ญใจ ถ้าเรายังไม่ถึงนิพพานเพียงใด เราก็จะมีความสุขในการเสวยทรัพย์สมบัติ นี่ เป็นผลของทานที่เราพึงให้



    .... อีกประการหนึ่งของความดีเบื้องต้น ถ้าเราเตรียมตัวเพื่อตายคือการมีศีลบริสุทธิ์ คนที่มีศีลบริสุทธิ์ตายไปแล้วอายุยืนนานมีรูปร่างน่าตาสะสวย แล้วก็เมื่อเป็นมนุษย์จะมีทรัพย์สมบัติไม่ถูกอัคคีภัย โจรภัย อุทกภัยหรือวาตภัยทำลายเพราะอำนาจของศีลเป็นขอบเขต มีคนในปกครองก็รู้สึกอยู่ในโอวาท ไม่มีใครฝ่าฝืน วาจาเป็นที่รักของผู้อื่น สติสัมปะชัญญะสมบูรณ์นี่เป็นคนดีอันดับสองที่เราเพื่อเตรียมตัวเพื่อตาย


    ...... อันดัยที่ ๓ องค์สมเด็จพระจอมไตรให้ภาวนานึกถึงความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปฏิบัติมาเป็นต้นอันนี้องค์สมเด็จพระทศพลให้ฝึกไว้เพื่อเป็นการดึงสติสมัปชัญญะ เป็นการทรงสติสัมปชัญญะไม่ให้ลืมไม่ให้เลอะขณะที่เรากำลังจะตาย



    ..... ถ้าเวลาที่เรากำลังจะตาย ถ้าเราฝึกภาวนา เข้าไว้ อารมณ์จิตจะชินในด้านกุศล ถ้าในขณะนั้นจิตของเรานึกถึงกุศลส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือภาวนาว่า พุทโธ ธัมมา สังโฆ เป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ตาย อบายภูมิไม่มีสำหรับเรา เรามีที่ไปอยู่ อย่างเลวเราก็เป็นมนุษย์ชั้นดี มิฉะนั้นก็เป็นเทวดา ถ้ามิฉะนั้นก็เป็นพรหม



    ..... บทใดที่ภาวนาไว้จนขึ้นใจ ต่อไปถ้าไปพบองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ ท่านก็จะเทศน์อานิสงส์ของบทนั้น เราฟังเพียงจบเดียวก็ได้จะบรรลุอรหันต์ผลเข้าถึงพระนิพพานนี่ก่อนที่เราจะตาย ตั้งใจว่าเราตายไปแล้วจะไม่เป็นผู้ลำบาก เราแล้วจะไม่เป็นผู้มีทุกข์ เราจะมีความสุขตามสมควร แม้แต่ว่าเรายังไม่เข้าถึงนิพพานเพียงใดก็ตามที นี่คุณธรรมนี้ที่พระพุทธเจ้าท่านแนะนำ



    ...... ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทจดจำและปฏิบัติไว้เป็นปกติจึงจะชื่อว่าเราไม่เสียชาติเกิด เพราะถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์แล้วตายแล้วต้องไปเกิดในอบายภูมิ เป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน ได้ชื่อว่าเราก็แย่มาก เป็นการขาดทุน การสร้างความดีที่เราเรียกว่าบุญ เป็นเหตุปัจจัยให้เรามีความสุขดียิ่งๆ ขึ้น อันนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายเตรียมไว้ทุกขณะจิต




    คลิ๊กที่ลิ๊งเลย





    http://palungjit.org/threads/หลวงพ่อเล่าเรื่อง-สะสมทุนก่อนจากไป.125857/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2013
  15. Norlnorrakuln

    Norlnorrakuln เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    3,816
    ค่าพลัง:
    +15,099
    "พระพุทธมหามุณีธัมมะสามีวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้า"
    พระนามนี้ท่านได้แต่ใดมา หากไม่เหลือวิสัยใคร่ขอให้ท่านเจ้าของกระทู้เล่าประวัติความเป็นมาเพื่อสดับเป็นวิทยาทาน! :cool:
     
  16. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... สมัยเมื่อหลายสิบปีก่อนผมได้อ่านอนาคตวงศ์ประวัติพระยามาราธิราชครับ ท่านจะได้ตรัสเป็นพระธัมมะสามีพุทธเจ้า ตั้งแต่นั้นมาจิตใจของผมก็จับจิตจับใจกับชื่อนี้มาตลอด ตอนทำบุญทีไรจิตจะพาอธิษฐานว่าอย่างนี้ทุกที

    ..... " ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้วตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันและจักบำเพ็ญต่อๆไปจนกว่าจักเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ขอผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสเป็น พระพุทธะมหามุนีธัมมะสามีวิริยาธิกะสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคต เพื่อจะปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลายจากวัฏฏะสงสาร เข้าสู่แดนเอกันตบรมสุข คือ พระนิพพาน

    .....ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังเป็นผู้มีบารมียังอ่อน ยังจักต้องเร่ร่อนไปในชาติภพใดใด ขอความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างบารมี ๓๐ ทัศ ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างพระโพธิญาณและการลาพุทธภูมิ จงอย่าพึงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเลย นับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2013
  17. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    ..... เป็นเครื่องเตือนใจให้ทราบว่า

    ... การที่จะมีทรัพย์สินมากหรือน้อยก็ตามได้มาจากผลของการบริจาคทาน

    ... การให้ทานเป็นบ่อเกิดแห่งทรัพย์สินในชาติต่อไป

    ... ความจริงถ้าเป็นนักบุญที่เนื่องในการให้ทานจริงๆ

    ... ทำบุญให้ทานในเขตทานที่ให้ผลมาก

    ... ไม่ต้องทำคราวละมากๆ ทำน้อยๆ พอไม่เดือดร้อน

    ... แต่ให้ทำบ่อยๆ ให้ติดต่อกันเป็นประจำ เช่น การถวายสังฆทาน เป็นปกติ

    ... สังฆทานก็ไม่ต้องลงทุนมาก ใส่บาตรวันละองค์สององค์

    ... หรือเอาข้าวเปลือกข้าวสารใส่ที่เก็บเล็กๆ ไว้วันละนิดหน่อย

    ... ตั้งใจไว้ว่าข้าวที่เก็บไว้นี้เราจะรวมไว้ เมื่อมีมากพอสมควรจะเอาไปถวายเป็นอาหารของพระ

    ... อย่างนี้เรียกว่า " ถวายสังฆทาน "

    ... ทำอย่างนี้เสมอๆ ขอให้ค่อยๆ พิจารณาเมื่อวันเวลาผ่านไปสักปีหรือสองปี

    ... จะเห็นว่าผลของทานแม้เล็กน้อยเพียงเท่านี้ จะทำให้ความเป็นอยู่เพิ่มพูนขึ้นกว่าปกติมาก

    ... มีการหาได้คล่องตัวขึ้น ถ้าชาติหน้าจะรวยขั้นมหาเศรษฐี


    คัดจากหนังสือวิธีฝึกพระกรรมฐานด้วยตนเองแบบง่ายๆ / หน้า ๕๙
    โดย พระสุธรรมยานเถร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) วัดจันทาราม(วัดท่าซุง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 ธันวาคม 2013
  18. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    " ทานคือการเลือกให้ อันพระสุคตทรงสรรเสริญ "



    .....ทานการให้นี้เป็นของสำคัญ เป็นบารมีต้น เป็นที่พึ่ง เป็นเพื่อนสองของสัตว์ทั้งหลายผู้ยังต้องท่องเที่ยวไปในวัฏฏะสงสาร อันหาเบื้องต้นและเบื้องปลายมิได้ ดังมีพระพุทธภาษิตที่ว่า

    ... " ปุญญานิ ปะระโลกัสมิง ปติฏฐา โหนติ ปาณินันติ "

    ... บุญแลเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ผู้ท่องเที่ยวไปในปรโลก ดังนี้

    ... และผลทานที่บุคคลทำไว้ในชาตินี้ จักออกดอกผลเป็นที่พึ่งของตนในชาติต่อๆไป และเป็นผลให้ได้สำเร็จซึ่งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ ในอนาคตแล


    .....ดูกรอานนท์ นี้แล ความบริสุทธิ์แห่งทักษิณา ๕ อย่าง ฯ

    ... ๑. ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลแห่งกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนทุศีลทักษิณาของผู้นั้น ชื่อว่าบริสุทธิ์ฝ่ายทายก

    ... ๒. ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนมีศีลทักษิณาของผู้นั้นชื่อว่า บริสุทธิ์ฝ่ายปฏิคาหก

    ... ๓. ผู้ใดทุศีล ได้ของมาโดยไม่เป็นธรรม มีจิตไม่เลื่อมใส ไม่เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนทุศีลเราไม่กล่าวทานของผู้นั้นว่า มีผลไพบูลย์

    ... ๔. ผู้ใดมีศีล ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในคนมีศีล เรากล่าวทานของผู้นั้นแลว่า มีผลไพบูลย์

    ... ๕. ผู้ใดปราศจากราคะแล้ว ได้ของมาโดยธรรม มีจิตเลื่อมใสดี เชื่อกรรมและผลของกรรมอย่างยิ่ง ให้ทานในผู้ปราศจากราคะ ทานของผู้นั้นนั่นแล เลิศกว่าอามิสทานทั้งหลาย


    .....ทานการให้มีลักษณะ ๓ ประการ

    ... ๑. เจตนาทาน นั้นได้แก่บุคคลที่มีศรัทธาเลื่อมใสคิดจะให้ซึ่งทานการบริจาค

    ... ๒. วิระติทาน นั้นได้แก่บุคคลที่มีหิริความละอายชั่วโอตตัปปะความเกรงกลัวต่อบาป มีจิตคิดรักษาศีล ๕

    ... ๓. เทยยะธัมมะทาน นั้นได้แก่บุคคลมีศรัทธาให้ข้าวน้ำ ผ้านุ่งผ้าห่มแก่พระภิกษุสามเณร แลคนยากจนเข็ญใจเป็นต้น



    .....การให้ทานจะมีผลมาก มีอานิสงส์เลิศ ผู้ให้ต้องมีองค์ ๒ คือ เจตนาสัมปทาและวัตถุสัมปทา

    ...เจตนาสัมปทา (มีความตั้งใจว่าจะให้ทาน ) มีองค์ ๓ ประการ

    ... ๑. ปุพพะเจตนา มีจิตเลื่อมใสคิดจะให้ซึ่งทาน ( ก่อนจะให้ ตั้งใจไว้ก่อน )

    ... ๒. มุญจะนะเจตนา มีความเลื่อมใสในขณะที่ให้ทาน ( เวลาให้ ก็เต็มใจ )

    ... ๓. อะปะราปะระเจตนา มีความยินดีปลื้มใจเมื่อให้ทานแล้ว ( ให้แล้ว ก็มีความเลื่อมใส )


    .....วัตถุสัมปทา คือ วัตถุข้าวของที่ให้ทานนั้นต้องหามาได้โดยชอบธรรม

    ... ๑. ไม่ฆ่าสัตว์มาทำบุญ

    ... ๒. ไม่ลักล่อฉ้อโกงทรัพย์ของผู้อื่นมาทำบุญ



    .....การให้ทานในพระพุทธศาสนามี ๒ ประการ คือ

    ...๑. ปาฏิปุคคลิกทาน ให้ทานโดยเฉพาะเจาะจง มีอยู่ ๑๔ ประการ

    ... ๑.ให้ทานกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ... ๒. ให้ทานกับพระปัจเจกสัมพุทธเจ้า

    ... ๓.ให้ทานกับพระอรหันตสาวก

    ... ๔.ให้ทานกับท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอรหัตผลให้แจ้ง

    ... ๕.ให้ทานกับพระอนาคามี

    ... ๖.ให้ทานกับท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำอนาคามิผลให้แจ้ง

    ... ๗.ให้ทานกับพระสกิทาคามี

    ... ๘. ให้ทานกับท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำสกิทาคามิผลให้แจ้ง

    ... ๙.ให้ทานกับพระโสดาบัน

    ... ๑๐.ให้ทานกับท่านผู้ปฏิบัติเพื่อทำโสดาปัตติผลให้แจ้ง

    ... ๑๑.ให้ทานกับท่านผู้ที่ทรงฌานสมาบัติ

    ... ๑๒.ให้ทานกับปุถุชนผู้รักษาศีล๕ ศีล๘

    ... ๑๓.ให้ทานกับปุถุชนผู้ไม่มีศีล

    ... ๑๔.ให้ทานกับสัตว์เดรัจฉาน


    .....๒. สังฆทาน ให้ทานโดยถวายเป็นของสงฆ์หรือที่เรียกกันว่า สังฆทาน ดังมีพระพุทธภาษิตกล่าวว่า

    ... " ชนผู้ใคร่ต่อบุญ ถวายทานมุ่งตรงต่อสงฆ์ ทานของเขาเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นทานที่ถวายดีแล้ว เพราะทานนั้นจัดเป็นสังฆทาน มีผลมาก มีอานิสงส์มาก อันพระสัมมาสัมมาพุทธเจ้าทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลก ทรงสรรเสริญ "

    ... สมเด็จพระศรีศากยะมุนีผู้ประเสริฐ ทรงตรัสอานิสงส์ของการถวายสังฆทานไว้ในทักขิณาวิภังคสูตร ความว่า

    ... " ดูกรอานนท์ สังฆทานนี้มีผลมากกว่าทานทั้งปวง ที่สุดจะสิ้นศาสนา มีแต่โคตรภูสงฆ์ เอาผ้าเหลืองผูกคอและข้อมือเป็นเครื่องหมายว่าเป็นพระภิกษุ ทำไร่ทำนาค้าขาย มีบุตรภรรยา ทายกมีใจศรัทธาจะถวายสังฆทาน ไปเชิญสงฆ์เหล่านั้นมาตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตั้งใจถวายแก่พระอริยสงฆ์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ก็เป็นสังฆทาน มีผลมากเป็นอสงไขย จะนับประมาณไม่ได้ "




    .....ลักษณะการให้ทานมีอีก ๓ อย่าง คือ

    ... ๑. ทาสทาน ให้ทานด้วยข้าวของที่เลว ตนไม่กินไม่ใช้แล้ว ( ให้ของที่เป็นเดน )

    ... ๒. สหายทาน ให้ทานด้วยข้าวของที่ปกติธรรมดา (ให้ของเสมอกับที่ตนกินตนใช้ )

    ... ๓. สามีทาน ให้ทานด้วยข้าวของที่เลิศ (ให้ของที่ดีที่สุด )



    .....ทานของสัตบุรุษ ๕ อย่าง

    ... ๑. ย่อมให้ทานโดยเคารพ

    ... ๒. ให้โดยยำเกรง

    ... ๓. ให้ด้วยมือของตนเอง

    ... ๔. ให้โดยไม่ทิ้งขว้าง

    ... ๕. เห็นผลในอนาคตจึงให้



    .....อีกนัยหนึ่งทานของสัตบุรุษ มี ๕ อย่าง

    ... ๑. ให้ทานโดยศรัทธา

    ... ๒. ให้ทานโดยเคารพ

    ... ๓. ให้ทานตามกาลอันควร

    ... ๔. เป็นผู้มีจิตคิดอนุเคราะห์ให้ทาน

    ... ๕. ให้ทานโดยไม่ทำให้ตนและผู้อื่นเดือดร้อน



    .....สัปปุริสทาน ๙ ประการ

    ... ๑. ให้ของที่สะอาด

    ... ๒. ให้ของปราณีต

    ... ๓. ให้ถูกกาล

    ... ๔. ให้ของที่สมควร

    ... ๕. เลือกให้

    ... ๖. ให้เสมอ ๆ

    ... ๗. ก่อนให้ก็มีความยินดี

    ... ๘. กำลังให้ก็มีจิตให้เลื่อมใส

    ... ๙. ครั้นให้แล้วปลื้มใจยินดี

    ... สัปปุริสทาน ๙ อย่างนี้ประเสริฐยิ่งนักหนา ฯ.




    .....บุญกิริยาวัตถุ ( สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ ) ๑๐ ประการ

    ... ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน

    ... ๒. สีละมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล

    ... ๓. ภาวะนามัย บุญสำเร็จด้วยการภาวนา

    ... ๔. อะปะจายะนะมัย บุญสำเร็จด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตัวต่อผู้ใหญ่

    ... ๕. เวยยามัจจะมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบ

    ... ๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการอุทิศส่วนบุญ

    ... ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ

    ... ๘. ธัมมัสสะวะนะมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม

    ... ๙. ธัมมะเทสะนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม

    ... ๑๐. ทิฏฐุชุกัมมะ บุญสำเร็จด้วยการทำความเห็นให้ตรง



    .....พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ว่า

    ... ๑. บุคคลบางคนให้ทานด้วยตนเอง แต่ไม่ชักชวนผู้อื่น เมื่อเขาเกิดเป็นคนอีก เขาย่อมเป็นคนร่ำรวยเงินทอง แต่ไม่มีเพื่อนพ้องบริวาร

    ... ๒. ส่วนบางคนตนเองไม่ให้ทาน แต่เที่ยวชักชวนคนอื่นให้ให้ทาน เมื่อเขาเกิดเป็นคนอีก เขาก็ย่อมมีแต่เพื่อนพ้องบริวาร แต่เป็นคนยากจนเข็ญใจ

    ... ๓. ส่วนบางคนตนเองก็ไม่ให้ทาน ทั้งไม่ชักชวนคนอื่นให้ให้ทานด้วย เมื่อเขาเกิดเป็นคนอีก เขาย่อมเป็นคนยากจนเข็ญใจ อีกทั้งเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรไม่มีเพื่อนพ้อง

    ... ๔. ส่วนบางคนตนเองก็ไห้ทาน ทั้งยังชักชวนคนอื่นให้ให้ทานด้วย เมื่อเขาเกิดเป็นคนอีก เขาย่อมเกิดเป็นเศรษฐีร่ำรวยเงินทอง อีกทั้งมีญาติมิตรเพื่อนพ้องมากมาย



    ..... สมเด็จพระพุทธอังคีรสจอมมุนีทรงตรัสพระคาถาว่า

    ... " บุคคลไม่ควรดูหมิ่นบุญเล็กน้อยว่าจะไม่มาถึง แม้หม้อน้ำก็ยังเต็มด้วยหยาดน้ำที่ตกลงมาฉันใด

    ... ผู้ฉลาดเมื่อสะสมบุญแม้ทีละเล็กทีละน้อย ก็ย่อมเต็มด้วยบุญฉันนั้น "



    ... " ยาทิสัง วะปะเต พีชัง ตาทิสัง ละภะเต ผะลัง กัลยาณะการี กัลยาณัง ปาปะการี จะ ปาปะกัง "

    ... " บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้ผลชั่ว "




    ... สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทโธเจ้าตรัสว่า

    ... บุคคลให้อาหารชื่อว่า ให้กำลัง

    ... ให้ผ้าชื่อว่าให้ วรรณะ (ผิวพรรณ)

    ... ให้ยานพาหนะชื่อว่า ให้ความสุข

    ... ให้ประทีปโคมไฟชื่อว่า ให้จักษุ

    ... ผู้ที่ให้ที่พักพาอาศัยชื่อว่า ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง

    ... ส่วนผู้ที่พร่ำสอนธรรมชื่อว่า ให้อมฤตธรรม ฯ.




    ..... มัลลิกสูตร .....​



    .....พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสแสดงเทศนาแก่พระนางมัลลิกาเทวี ณ พระเชตะวันมหาวิหาร ความว่า

    ... [๑] ดูก่อนพระนางมัลลิกา มาตุคามบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธมากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่อง แสดงความโกรธความขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏ

    ... แต่เขาเป็นผู้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณะหรือพราหมณ์ และไม่เป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และบูชาของผู้อื่น ไม่กีดกัน ไม่ตัดรอน ไม่ผูกความริษยา

    ... ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นมนุษย์อย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใด ๆ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู แต่เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์

    ... [๒] ดูก่อนพระนางมัลลิกา มาตุคามบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธไม่มากไปด้วยความคับแค้นใจ ถูกว่าแม้มากก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง ไม่แสดงความโกรธความขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏ

    ... แต่เป็นผู้ไม่ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยานระเบียบ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพความนับถือ การไหว้และการบูชาของผู้อื่น เกียดกัน ตัดรอน ผูกความริษยา

    ... ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้วมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใด ๆ ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก แต่เป็นคนเข็ญใจ ยากจน ขัดสนและต่ำศักดิ์

    ... [๓] ดูก่อนพระนางมัลลิกา มาตุคามบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธ ไม่มากไปด้วยความคับแค้นใจ ถูกว่าแม้มากก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง ไม่แสดงความโกรธความขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏ

    ... เป็นผู้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป โคมไฟ แก่สมณะหรือพราหมณ์แล้ว

    ... ถ้ามาตุคามนั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว มาสู่ความเป็นอย่างนี้กลับมาเกิดในชาติใด ๆ ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่งมีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก

    ... [๔] ดูก่อนพระนางมัลลิกา นี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้ มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู ทั้งเป็นคนเข็ญใจ ยากจนขัดสนและต่ำศักดิ์

    ... อนึ่ง นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู แต่เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์

    ... นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้มีรูปงาม น่าดูน่าชมประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก แต่เป็นคนเข็ญใจยากจนขัดสนและต่ำศักดิ์

    ... อนึ่ง นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้มาตุคามบางคนในโลกนี้มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงามยิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์




    ..... องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร์ ทรงตรัสกับพระอานนท์มหาเถระ ไว้ว่า

    ... ดูกรอานนท์ บุคคลให้ทานแก่สัตว์ร้อยครั้ง ยังไม่สู้ให้ทานแก่มนุษย์ไม่มีศีลครั้งหนึ่ง

    ... ให้ทานแก่มนุษย์ไม่มีศีลร้อยครั้ง ยังไม่สู้ให้ทานแก่มนุษย์ผู้มีศีลครั้งหนึ่ง

    ... ให้ทานแก่มนุษย์ผู้มีศีลร้อยครั้ง ก็ไม่สู้ให้ทานแก่ท่านผู้ทรงฌานครั้งหนึ่ง

    ... ให้ทานแก่ท่านผู้ทรงฌานร้อยครั้ง ก็ไม่สู้ให้ทานแก่พระโสดาบันครั้งหนึ่ง

    ... ให้ทานแก่พระโสดาบันร้อยครั้ง ก็ไม่สู้ให้ทานแก่พระสกิทาคามีครั้งหนึ่ง

    ... ให้ทานแก่พระสกิทาคามีร้อยครั้ง ก็ไม่สู้ให้ทานแก่พระอนาคามีหนหนึ่ง

    ... ให้ทานแก่พระอนาคามีร้อยหน ก็ไม่สู้ให้ทานแก่พระอรหันต์ครั้งหนึ่ง

    ... ถวายทานแก่พระอรหันต์ร้อยหน ก็ไม่สู้ให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าหนหนึ่ง

    ... ให้ทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าร้อยหน ยังไม่เท่าผลทานที่ถวายแก่สมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้าครั้งหนึ่ง

    ... ถวายทานแก่สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าร้อยหน ยังไม่เท่าถวายสังฆทานหนหนึ่ง

    ... การถวายสังฆทานจึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก จะประมาณอานิสงส์นั้นมิได้เลย ดังนี้ ฯ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2013
  19. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    คำอุทิศส่วนกุศลและอธิษฐานบารมีของข้าพเจ้า​




    ..... อิทํ ปุญฺญผลํ ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และจักบำเพ็ญต่อๆไป จนกว่าจะถึงวันที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ข้าพเจ้าขออุทิศถวายส่วนบุญส่วนกุศลทั้งหลายเหล่านี้ เป็นพระพุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เป็นปัจเจกพุทธบูชาแด่พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เป็นธัมมะบูชาแด่พระธรรมอันเป็นเครื่องนำสัตว์ทั้งหลายออกจากทุกข์ และเป็นสังฆะบูชาแด่พระอริยะสงฆ์เจ้าทั้งหลาย ทั้งที่เป็นพระขีณาสพและพระเสขะบุคคล ตลอดจนพระโพธิสัตว์เจ้าทุกๆพระองค์ พรหมและเทวดาทั้งหมด



    ..... ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในส่วนแห่งกุศลผลบุญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยะสงฆ์เจ้าทั้งหลายและพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย พรหมและเทวดาทั้งหมด ที่ได้บำเพ็ญมาแล้วด้วยดี สาธุ สาธุ สาธุ ฯ.



    ..... อิทํ ปุญฺญผลํ ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และจักบำเพ็ญต่อๆไป จนกว่าจะถึงวันที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ญาติสนิทมิตรสหาย ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ภรรยา ลูกหลานบริวารทั้งหลายของข้าพเจ้า ตั้งแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอท่านทั้งหลาย จงได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงได้รับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้ด้วยเถิด ฯ.



    ..... และข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลทั้งหลายเหล่านี้ ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่เคยได้ล่วงเกินมาแล้ว ตั้งแต่ชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ขอท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จงได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ และขอจงได้ให้อโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด ฯ.



    ..... และข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ ท่านเทพเจ้าทั้งหลายที่ปกปักรักษาข้าพเจ้า และท่านเทพเจ้าทั้งหลายทั่วสากลพิภพและท่านพระยายมราช ขอท่านเทพเจ้าทั้งหลายและท่านพระยายมราช จงได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ และขอจงได้เป็นสักขีพยาน ในการบำเพ็ญกุศลของข้าพเจ้าในกาลวันนี้ด้วยเถิด ฯ.



    ..... และข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลทั้งหลายเหล่านี้ ให้แก่ท่านทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว ที่เป็นญาติก็ดี ไม่ใช่ญาติก็ดี สัมภเวสี ภูตผี ปีศาจ เปรต อสุรกาย และบรรดาท่านทั้งหลายที่ รอตัดสินโทษอยู่ ณ สำนักพระยายมราช ขอท่านทั้งหลายจงได้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ ขอจงได้รับประโยชน์และความสุขเช่นเดียวกับข้าพเจ้าจะพึงได้รับ ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด ถ้าหากท่านทั้งหลายยังไม่รู้จัก ขอท่านพระยายมราชและเทวดาทั้งหลาย จงบอกสัตว์เหล่านั้นให้อนุโมทนาส่วนกุศลนี้ด้วยเถิดฯ.



    ..... อิทํ ปุญฺญผลํ ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และจักบำเพ็ญต่อๆไป จนกว่าจะถึงวันที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ขอผลบุญทั้งหลายเหล่านี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสเป็น พระพุทธะมหามุนีธัมมะสามีวิริยาธิกะสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคต เพื่อจะปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลายจากวัฏฏะสงสาร เข้าสู่แดนเอกันตบรมสุข คือ พระนิพพาน ฯ.



    ..... ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังเป็นผู้มีบารมียังอ่อน ยังจักต้องเร่ร่อนไปในชาติภพใดใด ขอให้มีความเคารพเลื่อมใสศรัทธาในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ มีอัธยาศัยพอใจยิ่งในการให้ทาน ในการรักษาศีล ในการเจริญภาวนา มีกรรมฐาน ๔๐ สติปัฏฐาน ๔ และวิปัสสนาญาณ ๙ ตั้งมั่นอยู่ในจิตทุกชาติ มีทิพจักขุญาณและปัญญาญาณคล้ายๆพระสัพพัญญู มีสติปัญญาความรู้เฉลียวฉลาดในศาสตรทั้ง ๑๘ ประการ มีความสามารถพูดจาโน้มน้าวใจคนที่ทำชั่วให้กลับตัวเป็นคนดีได้ มีกำลังกายเท่ากับพญาช้างสารเจ็ดเชือก ได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิบ่อยๆ ได้เป็นผู้นำในการทำนุบำรุงยกยอค้ำชูพระพุทธศาสนาทั้งขององค์พระปัจจุบัน และของพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายที่จักมาตรัสในอนาคตให้ตั้งมั่นยั่งยืนเจริญรุ่งเรืองในทุกๆด้าน และขอความขัดข้องต่างๆ ความอดอยากยากจน ความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ คำว่าไม่รู้ คำว่าไม่มี คำว่าไม่สามารถทำได้ คำว่าไม่สำเร็จ คำว่าพ่ายแพ้ และคำว่าความปรารถนาไม่สมหวัง ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างบารมี ๓๐ ทัศ ความท้อแท้เหนื่อยหน่ายคลายความเพียรในการสร้างพระโพธิญาณและการลาพุทธภูมิ จงอย่าพึงบังเกิดมีแก่ข้าพเจ้าเลย นับตั้งแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด ฯ.



    .....ผลบุญใดที่ข้าพเจ้าได้กระทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และจักบำเพ็ญต่อๆไป จนกว่าจะถึงวันที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ขอผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเกิดและมีชีวิตอยู่ทันสมัยที่องค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้ากำลังประกาศพระศาสนา ขอให้ข้าพเจ้าได้พบองค์สมเด็จพระเมตไตรยบรมศาสดา และได้นอนทอดกายลงเป็นสะพาน ให้องค์สมเด็จพระพิชิตมารสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยะสงฆ์สาวกทั้งหลายได้เดินข้ามผ่าน ขอให้ได้ทำบุญถวายมหาทานแก่สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานและได้ฟังพระสัทธรรมอันพรรณาคุณพระนิพพาน แล้วมีศรัทธาอันยิ่งใหญ่ตัดเศียรเกล้าออกบูชาองค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยวิริยาธิกะสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระนิพพานธรรม พร้อมกับกล่าวคำปรารถนาวิริยาธิกะพุทธภูมิแบบอุกฤษฏ์ ณ ที่เฉพาะพระพักตร์องค์สมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า และให้ได้รับพระพุทธพยากรณ์เป็นพระวิริยาธิกะพุทธภูมินิยตะบรมโพธิสัตว์ ณ ที่เฉพาะพระพักตร์ของสมเด็จพระศรีอาริยเมตไตรยบรมศาสดาสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ ฯ.



    ..... ด้วยบุญที่ข้าพเจ้ากระทำมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบัน และจักบำเพ็ญต่อๆไปจนกว่าจะถึงวันที่ได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ขอผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ จงเป็นปัจจัยให้ในกาลสมัยที่ข้าพเจ้าลงมาตรัสเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น บังเกิดมีสิ่งเหล่านี้ คือ

    ... ขอให้ข้าพเจ้าอุบัติในสารกัป ถือกำเนิดในตระกูลแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ ร่างกายสูงใหญ่ ๘๐ ศอก มีอายุยืน ๑๐๐,๐๐๐ ปี เห็นนิมิตเทวทูต คือ คนแก่ คนเจ็บ คนตาย และสมณะแล้ว ออกมหาภิเนษกรมณ์ตอนมีอายุได้ ๑๐,๐๐๐ ปี ด้วยยานคือปราสาท ต้นปาริฉัตรเป็นพระศรีมหาโพธิ์ ใช้เวลาบำเพ็ญเพียรอยู่ ๗ วัน ก็ได้บรรลุพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสเป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก และเป็นพระพุทธเจ้าที่อายุมากเป็นพิเศษ คือ อธิษฐานให้อายุยืนถึงกึ่งกัป มีเมตตามากเป็นพิเศษ มีบริษัทบริวารมากเป็นพิเศษ มีลาภสักการะมากเป็นพิเศษ มีลาภสักการะเกิดไม่ขาดสายเหมือนคลื่นในมหาสมุทรทั้ง ๔

    ... ในกาลที่ได้ตรัสเป็นพระสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั้น ขอให้มีพระนามว่า สมเด็จพระพุทธะมหามุนีธัมมะสามีวิริยาธิกะสัพพัญญูสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มีพระฉัพพรรณรังสีพุทธรัศมีสว่างไสวแผ่ซ่านไปหาที่สุดมิได้ทั้งกลางวันกลางคืน และสว่างอยู่ตลอดอายุพระศาสนา มีฉัตรแก้ว ๙ ประการ ๙ ชั้น กว้าง ๙ โยชน์ สูง ๙ โยชน์ กางกั้นอยู่เสมอ เวลาย่างเดินขอให้มีดอกบัวผุดรองรับทุกย่างก้าว ในกาลที่ประกาศพระธรรมจักรนั้น บรรดาฝูงมนุษย์ เทวดา และพรหมทั้งหลาย ๑๖ อสงไขย ได้ดื่มกินซึ่งน้ำอมฤตรส คือ พระสัทธรรม เห็นพระนิพพานอันมิรู้แก่รู้ตาย มีพระอรหันตขีณาสพปฏิสัมภิทาญาณ ๑ โกฏิ แวดล้อมอยู่เสมอ พระศาสนาพระธรรมวินัยตั้งอยู่ ๑๐๐,๐๐๐ ปี หลังจากปรินิพพาน ตลอดศาสนายุกาลข้าพเจ้านั้นไม่มีเดียรถีย์มาเบียดเบียนพระศาสนาให้มัวหมอง ผู้คนทุกทวีปน้อยใหญ่ในโลกนับถือพระพุทธศาสนาทั้งหมด ส่วนใหญ่ ๙ ใน ๑๐ ส่วน เป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ เข้าถึง พระนิพพานหมด

    ... ในกาลที่ข้าพเจ้าตรัสเป็นพระวิริยาธิกะสัพพัญญูพุทธเจ้านั้น ขอให้มนุษย์ทั้งหลายมีร่างกายสูงใหญ่ได้ ๘๐ ศอก อายุยืนได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี หน้าตารูปกายทรวดทรงงดงาม ผิวกายละเอียดเป็นสีเหลืองคล้ายทองคำ มนุษย์ทุกคนมีศีล ๕ และ กรรมบถ ๑๐ ประจำใจ ทุกคนร่ำรวย มีความสุขกายสุขใจ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน มีต้นกัลปพฤกษ์เกิดทุกหนทุกแห่งในโลก และต้นกัลปพฤกษ์นี้ตั้งอยู่ตลอดอายุพระศาสนา ผู้คนทั้งหลายได้อาศัยต้นกัลปพฤกษ์นี้ประพฤติเลี้ยงชีวิตอยู่เป็นสุขตลอดชีวิต และมีความอุดมสมบูรณ์ด้วยน้ำท่าข้าวปลาอาหาร แก้วแหวนเงินทอง รัตนะทั้ง ๑๐ ประการ กองอยู่เดียระดาษทั่วโลก ผู้คนทั้งหลายไม่ต้องประกอบอาชีพอะไร มุ่งแต่เจริญสมถะกัมมัฎฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน เพื่อยกตนออกจากวัฏฏะสงสารกันถ้วนหน้า สมัยนั้นฝนตกทุก ๕ วัน ๗ วัน อากาศเย็นสบายเหมือนดาวดึงสเทวโลก ผู้คนมีเมตตาจิตต่อกัน สัญจรไปมาทางน้ำและทางบก ไม่มีผู้ร้ายโจรขโมย

    ... ในกาลนั้นขอให้มีพระเจ้าจักรพรรดิเป็นศาสนูปถัมภกพระศาสนาของข้าพเจ้า ผู้คนทั้งหลายไม่มีความประมาท มีจิตเคารพต่อพระรัตนตรัยแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย มีพระพุทธานุสติ พระธัมมานุสติ พระสังฆานุสติเป็นอารมณ์ มีจิตน้อมไปในพระนิพพานอยู่เนืองนิจ มนุษย์ชายหญิงทั้งหลายเมื่อกายแตกแล้วเข้าถึงพระนิพพานกันทุกคน ผู้ปฏิบัติธรรมเจริญสมถะกัมมัฎฐานและวิปัสสนากัมมัฏฐาน พอจิตเข้าถึงอัปปนาสมาธิแล้วถอนมาพิจารณาวิปัสสนาญาณนิดหน่อยก็สามารถบรรลุพระอรหัตผลเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณได้โดยง่ายตลอดพระศาสนายุกาลของข้าพเจ้า

    ... ตลอดศาสนายุกาลของข้าพเจ้า สามารถรื้อสัตว์ขนสัตว์ทั้งหลายจากวัฏฏะสงสาร ทั้งฝูงมนุษย์ เทวดาและพรหมทั้งหลาย ไปพระนิพพานมากมายเท่ากับเม็ดกรวดเม็ดทรายที่มีอยู่ในโลกใบนี้ทั้งหมด ให้อบายภูมิ เทวโลก และพรหมโลกร่อยหรอ บนเมืองแก้วกล่าว คือ พระนิพพาน แน่นขนัดยัดเยียดไปด้วยพระอรหันต์เถิด

    ... ข้าพเจ้าขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างเอาพระบารมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ มีองค์สมเด็จพระพุทธสิกขีทศพลสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธาน พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย คุณครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆ กันมา มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่พระราชพรหมยาน วัดท่าซุง พ่อแม่ครูบาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต วัดป่าหนองผือ ครูบาจารย์เฒ่าหลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล วัดป่าบ้านคุ้ม หลวงปู่กินรี จันทิโย วัดป่ากัณตะศิลาวาส หลวงปู่ครูบาวัง ฐิติสาโร วัดถ้ำไชยมงคลภูรังกา หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง หลวงพ่ออภิญญา อาจาโร วัดป่าวิเวกอาศรม เป็นที่สุด พรหมและเทวดาทั้งหมด ปู่ย่าตายายทั้งหลาย พ่อแม่ทั้งหลาย ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ญาติสนิทมิตรสหาย ภรรยา ลูกหลานบริวารทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีจิตเมตตาโปรดช่วยอุ้มชูอนุเคราะห์สงเคราะห์ เกื้อหนุน เกื้อกูล แนะนำ ตักเตือน สั่งสอน และช่วยส่งเสริมในการสร้างบารมีทั้ง ๓๐ ทัศ ของข้าพเจ้าทุกภพทุกชาติ จนกว่าบารมีเต็มเปี่ยมบริบูรณ์สมบูรณ์ ครบถ้วน ๑๖ อสงไขย กำไรแสนกัป และจนตราบเท่าได้สำเร็จแก่พระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณตรัสเป็นพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกด้วยเถิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2013
  20. ธัมมะสามี

    ธัมมะสามี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2013
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,781
    อานิสงส์รักษาศีล​


    ๑.เว้นจากการฆ่าและทรมานสัตว์ตลอดชีวิต อย่างนี้ถ้าตายไปจากชาตินี้ ก็ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม หมดบุญจากเทวดาหรือพรหมมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่จะเป็นคนมีรูปงาม ไม่มีโรคเบียดเบียน อายุยืนยาวครบอายุขัย ฯ.

    ๒.เว้นการถือเอาทรัพย์สินที่คนอื่นไม่เต็มใจให้หรือขโมยของเขาตลอดชีวิตและมีการให้ทานตามแต่จะให้ได้ ถ้ายังมีไม่พอจะให้ได้ก็คิดว่าถ้าเรามีทรัพย์เราจะให้เพื่อเป็นการสงเคราะห์ อย่างนี้ถ้าตายไปจากชาตินี้ ก็ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม หมดบุญจากเทวดาหรือพรหม มาเกิดเป็นคน จะเป็นคนร่ำรวยมาก มีความปรารถนาในทรัพย์สมหวังทุกอย่าง ทรัพย์ไม่ถูกทำลายเพราะโจร ไฟ น้ำ ลม และจะรวยตลอดชาติ ฯ.

    ๓.เว้นจากการทำชู้ ลูกเขา ผัวเขา เมียเขา ตลอดชีวิต เว้นอย่างนี้ได้ ตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม แล้วลงมาเกิดเป็นคน จะมีคนในปกครองดีทุกคน จะไม่หนักใจเพราะคนในปกครองเลย ฯ.

    ๔.เว้นจากการดื่มน้ำเมาและสิ่งเสพย์ติดที่ทำให้เสียสติต่างๆทุกประการตลอดชีวิต เว้นได้ตามนี้ตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม แล้วลงมาเกิดเป็นคนใหม่ จะไม่มีโรคปวดศีรษะ ไม่เป็นโรคเส้นประสาทไม่มีโรคบ้ามารบกวน เป็นคนมีมันสมองดีปลอดโปร่งในอารมณ์ (เป็นคนฉลาดมาก) ฯ.

    ๕.เว้นจากการพูดโกหก หลอกลวง
    ๖.เว้นจากการพูดคำหยาบคาย
    ๗.เว้นจากการพูดส่อเสียดยุยง ให้คนอื่นเขาแตกแยกกัน
    ๘.เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระไม่เป็นประโยชน์ตลอดชีวิต เว้นอย่างนี้ได้ หลังจากเป็นเทวดาหรือพรหมแล้วลงมาเกิดเป็นคน จะเป็นคนที่มีวาจาเป็นที่รักของผู้รับฟัง ไม่มีใครอิ่มหรือเบื่อในการฟัง ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านท่านเรียกว่ามีวาจาเป็นมหาเสน่ห์ หรือมีเสียงเป็นทิพย์ คนชอบฟังเสียงที่พูด การงานทุกอย่างจะสำเร็จก็เพราะเสียง ทรัพย์สินต่างๆจะเกิดขึ้นเพราะเสียง ถ้าพูดโดยย่อก็ต้องบอกว่ารวยเพราะเสียง ฯ.

    ๙.เว้นจากการคิดอยากได้ทรัพย์ของคนอื่นมาเป็นของตนเอง ข้อนี้ไม่ได้ขโมยและไม่คิดว่าจะขโมยด้วย เป็นการคุมอารมณ์ใจ ฯ.
    ๑๐.ไม่คิดประทุษร้ายจองเวรจองกรรมจองล้างจองผลาญใคร มีจิตเมตตาคือมีความรักในคนและสัตว์เหมือนรักตัวเอง ฯ.
    ๑๑.ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า และปฏิบัติตามคำสั่งสอนทุกประการ ไม่สงสัยในคำสอนและผลของการที่ปฏิบัติ ผลของการเว้นในข้อที่ ๙,๑๐,๑๑ นี้ เมื่อเกิดใหม่จะเป็นคนที่มีอารมณ์สงบสุข ไม่มีความทุกข์ทางใจอย่างใดอย่างหนึ่งเลย และเป็นผลให้เข้าพระนิพพานได้ง่ายที่สุด ฯ.

    หนังสือหนีนรก โดยพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...