หนังสือมุนีนาถทีปนี25 การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้า

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย saksit5455, 4 กันยายน 2011.

  1. saksit5455

    saksit5455 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +59
    ธรรมบรรพต

    ธรรมดาพญาเขาหิมพานต์นั้น ย่อมประกอบไปด้วยระเบียบแห่งเงื่อนเขา ยอดเขาแล้วไปด้วยศิลามากมายหนักหนา เป็นที่อยู่แห่งหมู่สัตว์นานา ประกอบไปด้วยไม้แลเครือลดาปกคลุมเป็นสุมทุมพุ่มพฤกษา มากไปด้วยซอกธารเหวท่า คณามนุษย์ คนธรรมพ์นิกร กินนร วิทยาธร ต่างสัญจรเที่ยวเล่นสำราญ อนึ่งภูเขาหิมพานต์นั้น เป็นที่อาศัยอยู่แห่งหมู่สุบรรณครุฑ นาค อสูร กุมภัณฑ์ และยักษ์ทั้งหลาย ทั้งเหล่าอสรพิษร้ายก็อาศัยอยู่มากมายหลายชนิดเหลือคณนา พร้อมทั้งโอสถต้นยาก็สารพัดจะมี แวดล้อมด้วยยอดคีรีทั้งหลาย คือตรีกูฎ ไกรลาศกูฎ สุมนกูฎ จิตตกูฏ และยุคนธรกูฏ และดูสูงชลูดขึ้นไปดุจก้อนเมฆเป็นช่อขึ้น ก็ยอดเขาหิมพานต์นั้นแลดูมีสีดุจเมฆเมื่อวันแรก หรือมิฉะนั้นเมื่อแลดูมีาัดุจทาด้วยดอกอัญชัญอันมีสีเขียวปนสีคราม สีม่วง สีหม่นทั้งหลาย บ้างก็คล้ายสีในกายแห่งนาคราชอันเขียวคล้ำ ถ้ามิฉะนั้น แลดูแวววับเหมือนกับพยับแดดเดือน ๕ งามสง่าไม่มีใดเทียม ทีนี้ มนุษย์ทั้งหลายผู้เป็นปัญญาชน เมื่อตั้งต้นไปเห็นยอดเขานั้นแต่ไกล เขาก็เข้าใจด้วยอนุมานปัญญาว่า...นี่เป็นยอดเขาหิมพานต์! หิมพานต์บรรพตปรากฎมีอยู่โดยแท้หนอ ความอุปมาที่ว่ามานี้ฉันใด

    ธรรมบรรพตภูเขาคือพระธรรมแห่งองค์สมเด็จพระบรมโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า ก็มีลักษณาการเหมือนเช่นนั้น ถือว่าธรรมและผลเป็นเอนกประการ ประดับไปด้วยยอดและแง่เงื้อม กล่าวคือ สุญญตวิโมกข์ ทางเข้าสู่พระนิพพานโดยอนัตตลักษณะ อนิมิตตวิโมกข์ ทางเข้าสู่พระนิพพานโดยอนิจจลักษณะ อัปปณิหิตวิโมกข์ ทางเข้าสู่พระนิพพานโดยทุกขลักษณะและมีทางขึ้นสู่ธรรมบรรพตนั้น กล่าวคือท่านผู้มีปัญญาทรงพระสูตร พระวินัยและพระอภิธรรม เป็นที่สถิตอาศัยอยู่แห่งท่านพระอรหันต์ อริยบุคคลผู้บรรลุพระอรหัตผล เป็นที่เที่ยวไปแห่งท่านผู้ปฏิบัติเพื่อมรรคผลชั้นต่ำมีท่านผู้ปฏิบัติเพื่อพระโสดาปัตติผลเป็นต้น และท่านผู้ทรงจีวรเศร้าหมองครองชีพด้วยสุจริตปรารถนาน้อยค่อยอยู่สุขสำราญซ่องเสพสถิตอยู่เป็นอันมาก อนึ่ง ธรรมบรรพตนี้ ย่อมเป็นที่สถิตอยู่แห่งท่านผู้ได้ไตรวิชชาและอภิญญาท่านผู้ได้ปฏิสัมภิทา และผู้ได้สำเร็จในบารมีญาณ นอกจากนั้นธรรมบรรพตนี้ ยังอาเกียรณ์มากมูลไปด้วยยาอันดับเสียซึ่งพิษร้ายที่กำซาบซ่านในใจสัตว์ ทั้งยังมีโอาสถอันจะบำบัดดับโรคทุกข์ทั้งปวงและรักษาอายุให้เจริญ เช่นประกอบไปด้วยจันทน์ กล่าวคือ ศีล โอสถกล่าวคือสมถะั กฤษณากล่าวคือปัญญา กลิ่นกล่าวคือสันโดษอันบริสุทธิ์เป็นต้น อนึ่ง ธรรมบรรพตนี้มียอดคีรีภูเขาธรรมอันประเสริฐเป็นบริวารแวดล้อมอีกด้วย ซึ่งได้แก่ภูเขาคือพระสติปัฏฐาน ภูเขาคือพระสัมมัปปะาน ภูเขาคือพระอิทธิบาท ภูเขาคืออินทรีย์ ภูเขาคือพละ ภูเขาคือโพชฌงค์ และภูเขาคือพระอัฏฐังคิกมรรค ภูเขาคีรีเหล่านี้เป็นบริวารแวดล้อมธรรมบรรพตนั้น และประการที่สำคัญก็คือว่า ธรรมบรรพตมียอดสูงเยี่ยมนัก สุดที่อันตรายอื่นใดจักล้างผลาญได้ ยอดบรรพตนี้คือพระนิพพานอย่างไรเล่า พระนิพพานอันดับเสียซึ่งความอยากและความกระวนกระวายถอนเสียซึ่งความอาลัยทำให้สิ้นไปเสียซึ่งความยินดี คือราคะ ทำให้สิ้นไปเสียซึ่งยินร้ายคือโทสะ และโมหะ มีสภาวะเยือกเย็นเป็นสุขคือไม่รู้เกิด ไม่รู้ตาย เป็นมหาสุญญตา เงียบสูญสงบสุดในโลก นี่แลเป็นยอดธรรมบรรพต สมเด็จพระสุตตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นทรงสร้างธรรมบรรพตอันประเสริฐนี้แล้ว ก็ทรงบ่ายพักตรเข้าสู่เขตภูมิอันเกษมสานต์ เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป

    ฝ่ายบัณฑิตชนคนมีปัญญาในสมัยหลังมา ครั้นได้ข่าวธรรมบรรพตมีอยู่ ก็สู้อุตสาหกรรมปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี เมื่อถึงที่เห็นธรรมบรรพตนั่นเข้าแล้ว ย่อมไม่แคล้วที่จะตะลึงงันด้วยความอัศจรรย์ใจตน ทุกคนถึงแม้จะเกิดในกาลสุดท้ายภายหลัง ไม่ทันได้เห็นพระรูปกายของพระพุทธเจ้าก็จริง แต่เมื่อได้เห็นสิ่งสำคัญคือธรรมบรรพตที่พระสุคตทรงสร้างไว้นี่แล้วย่อมจะอนุมานด้วยปัญญา อุท่านออกมาว่า "โอ้..อัศจรรย์จริงหนอ ธรรมบรรพตอันแสนประเสริฐนี้ไม่มีใครอีกแล้วที่จะมีปัญญาสามารถสร้างไว้ได้ นอกจากพระผู้ห่างไกลจากกองกิเลสคือ สมเด็จพระโลกเชษฐอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น สมเด็จพระภควันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้ว ทรงปรากฎขึ้นแล้วในโลกเรนี้โดยแท้เป็นแม่นมั่น"

    ฝ่ายท่านที่มีบุญน้อยด้อยวาสนา หรือว่าผู้มีปัญญาเขลามัวเมาไปด้วยทิฐิมานะอหังการ์ ไม่เห็นคุณค่าแหงพระศาสนา แม้ว่าพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระชินวรพุทธเจ้ายังปรากฏอยู่ ก็มิสู้จะปลงใจให้เชื่อลงได้ ให้มีอันเป็นคิดวิจารณ์ไปต่างๆ ตามประสาคนที่ยังมีทิฐิกิเลสและวิจิกิจฉากิเลสอยู่ บูชาความคิดเห็นของตน อันค่อนข้างจะใช้ไม่ได้เป็นใหญ่ มิใคร่จะเชื่อฟังในพระโอวาทานุสาสนี หรือมิฉะนั้นก็ตีความดูประหนึ่งว่าพระพุทธพจน์อันลึกล้ำคัมภีร์ภาพของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงอบรมบ่มพระสัมโพธิญาณมานานช้า อยู่ภายใต้ปัญญาความดีของตนเท่านั้นเอง เลยเป็นเหตุให้ไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง เมื่อไม่มีการปฏิบัติอย่างจริงจังแล้ว การบรรลุมรรคผลอันเป็นวิเศษเบื้องสูง ซึ่งสามารถขจัดความสงสัยในพระรัตนตรัย จักบังเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อวิจิกิจฉา ความสงสัยยิ่งมากมูลอากูลอยู่ในจิตสันดาน ก็เลยมักให้พาลคิดไปว่า "ฮึ...พระธรรมคำสั่งสอนมีค่าควรแก่การปฏิบัติจริงหรือ... พระพุทธศาสนาเป็นนิยยานิกธรรมนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้จริงหรือ... ที่ว่าพระพุทธเจ้านี่ มีจริงหรือๆ ว่าเป็นเรื่องราวที่มนุษย์อะไร ใครคนหนึ่งเสกสรรเป็นทำนองเทพนิยายปรัมปราเรื่องหนึ่งดอกกระมัง?" ให้คิดสงสัยวนเวียนอยู่อย่างน่ากลุ้มใจแทนอยู่เช่นนี้ ก็เพราะขาดสิ่งสำคัญอยู่อย่างเดียว คือขาดการปฏิบัติ จึงอาจเห็นธรรมบรรพตปรากฎอยู่โดยแท้ แต่ก็ไม่อาจจะรู้จะเห็นได้ ตาบอดตาใส เลยถูกความสงสัยสะกิดใจอยู่เืนืองๆ ว่า พระพุทธเจ้ามีปรากฎในโลกจริงฤา?


    ธรรมเมฆ

    ธรรมดา มหาเมฆหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า จตุทีปกะ เมื่อตั้งขึ้นจะให้ฝนตกใหญ่นั้น ท่านผู้ได้ฌานชำนาญฤทธิ์ทั้งหลายย่อมจะเห็นนิมิตบังเกิดขึ้นเป็นสำคัญก่อน คือเบื้องบนอากาศจะปรากฎเป็นกลุ่มก้อนห้อยย้อยดุจสร้อยสังวาลย์ และปรากฎมีดอกไม้สวรรค์บันดาลตกลงมามากมาย มีมหาวาตลมอ่อนละเอียดค่อยพัดมาเรื่อยๆ เย็นน้อยเฉื่อยชื่นสบาย มนุษย์นิกรทั้งหลายก็สโมสรชื่นชมยินดี อนึ่ง ย่อมมีเสียงอึงมี่แห่งหัตถีโปดก ลูกช้างและอัสสโปดกลูกม้าทั้งสองร้องโกญจนาท ทั้งสกุณชาติทั้งหลาย ก็มาบินวะ่อนร่อนร่าปราโมทย์ยินดี สายอสุนีฟ้าแลบแปลบปลาบไปทั่วทิศา มีกลิ่นมหาเมฆมากมายกว่าหมื่นพันสีสันต่างๆ บ้างก็เขียว บ้างก็เหลือง บ้างก็แดง บ้างก็ขาว บ้างก็เป็นสีหงสบาท มีสีอ่อนแซมซ้อนสลับกัน พลันก็มีคฤโฆษอื้ออึงกึกก้องไปด้วยเสียงฆ้องกลองสวรรค์ บังเกิดเป็นมหันตนิมิตเอนกจะนับจะประมาณมิได้! เมื่อจตุทีปกะมหาเมฆนี้บันดาลฝนตกลงมา ฝ่ายมนุษย์นิกรแลส่ำสัตว์ทั้งหลายทั่วโลกา เห็นฝนตกลงมาที่โกรก ตรอกซอกธาร ละหานห้วยหนองคลองบึงบางบ่อและสระ ทุกสถานที่เต็มเปี่ยมด้วยน้ำ และทั่วพื้นปฐพีแผ่นดินชุ่มคล่ำไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าใหญ่น้อยเขียวชะอุ่มเป็นคราบอยู่ดูร่มเย็น หมู่มหาชนครั้นได้เห็นกาลนี้ ก็ย่อมจะมีความรู้อนุมานด้วยปัญญาได้ว่า "ฝนนี้เป็นฝนห่าใหญ่ ตกลงมาแล้วหนอ" ข้อนี้มีอุปมาฉันใด

    สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า่ เมื่อเสด็จมาอุบัติและตรัสพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณในโลกเรานี้แล้ว องค์พระประทีปแก้วก็ทรงยังธรรมเมฆให้ตกลงมาเหมือนกัน ด้วยว่าสมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยังโลกสวรรค์และโลกมนุษย์ให้เอิบอิ่มเกษมสานต์หรรษาด้วยห่าฝนคืออมตธรรม ส่ำสัตว์ทุกแหล่งหล้า เมื่อถูกหยาดห่าฝนของพระองค์ราดลงในดวงจิต บางหมู่ก็สถิตตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ และศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ บางหมู่ก็บวชเป็นพระภิกษุภาวะในพระบวรพุทธศาสนาทรงพระปาติโมกข์สังวรศีล บางหมู่ผู้มีวาสนามิได้บรรลุถึงธรรมวิเศษ สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นพระโสดาบันชั้นพระสกิตทาคามีและชั้นพระอนาคามี บางหมู่มีวาสนาสูงสุด จัดเป็นพุทธบุตรผุ้วิเศษ ได้บรรลุธรรมวิเศษเป็นพระอรหันต์อริยบุคคลพ้นจากราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฐิ กำจัดเสียซึ่งเครือลดากล่าวคือความยินดีในกามคุณ ๕ ประการ ให้พินาศขาดจากสันดาน บรรลุพระนิพพานอันเกษมสานต์สิ้นทุกข์ทั้งมวล เช่นนี้เป็นจำนวนมากกว่ามาก ครั้นสมเด็จพระูผู้มีพระภาพอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยังธรรมเมฆให้ตกลงมาให้ประชาสัตว์ได้รับอมตธรรมชุ่มฉ่ำในดวงหฤทัยอย่างนี้แล้ว ก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานล่วงไป

    ฝ่ายบัณฑิตชนคนมีปัญญาในสมัยหลังต่อมา ได้เห็นวารีคือธรรมของพระชินสีห์ อันเกิดจากธรรมเมฆห่าฝน ยังเปี่ยมล้นปรากฎอยู่ในโลกา ก็สู้อุตส่าห์ปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนีจนสามารถที่จะนำเอาธรรมวารีนั้นมาดื่มกิน แต่พอกระแสสินธุ์คืออมตธรรมนั้นตกลงถึงดวงฤทัยก็พลันให้เกิดมหํัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้น ถึงแม้ว่าตนจะเกิดมา ณ โอกาสสุดท้ายภายหลังมิทันได้เห็นสมเด็จพระพุทธองค์เจ้าก็ตาม แต่เมื่อได้ดื่มอมตธรรรม มีธรรมวารีซาบซ่านอยู่ใในหฤทัยบัดนี้ ย่อมจะอนุมานได้ด้วยปัญยาเป็นอันดีว่า "โอ้หนอ! ธรรมวารีอันเป็นอมตรสนี้ ใครผู้ใดฤา จักสามารถให้ปรากฎมีขึ้นได้ นอกจากพระผู้ห่างไกลจากกองกิเลสคือองค์สมเด็จพระโลกเชษฐสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์เดียวเท่านั้น สมเด็จพระภควันต์ทรงยังธรรมเมฆให้ปรากฎแล้ว ประทานอมตธรรมคือฝนห่าใหญ่ สำหรับดับไฟ คือกองทุกข์ของส่ำสัตว์ในโลกนี้ โอ... สมเด็จพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นในโลกนี้จริงแล้วหนอ" ดังนี้

    ฝ่ายผู้ที่มีบุญน้อยด้อยวาสนา หรือผู้ที่มีปัญญาโฉดเขลามัวเมาไปด้วยทิฐิมานะ ไม่เห็นคุณค่าพระพุทธศาสนา แม้ว่าธรรมวารีอันเกิดจากธรรมเมฆ ยังปรากฎอยู่เปี่ยมล้นเต็มโลกอยู่ขณะนี้ แทนที่จะเกิดปิติยินดีรีบวักรีบตักมาดื่มกินให้รู้รสกระแสสินธุ์ คืออมตะรรมว่าล้ำเลิศวิเศษสุดปานใด แต่ก็ให้มัวเมาตกอยู่ในความประมาท ขาดการปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี เมื่อไ่ม่มีการปฎิบัติคือการกระทำแล้ว ปฏิเวธความดี การบรรลุธรรมวิเศษอันเปรียบเสมือนการนำเอาธรรมวารีมาอาบใจหรือดื่มกินให้รู้รส จักมีได้แต่ที่ไหน เมื่อไม่รู้รสธรรมวารี ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนเหลือเกิน คนโซปัญญาทรามเหล่านี้ จักไม่มีโอกาสได้มองเห็นความสามารถแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้า พระองค์ผู้ทรงบันดาลธรรมเมฆยังธรรมวารีให้ตกลงมาในโลกนี้ได้เลยอย่างแน่นอน คราใด ที่อนุสรณ์ถึงพระพุทธศาสนา ก็มักให้มีวิจิกิจฉาความสงสัย ผุดขึ้นในใจอยู่เสมอว่าพระพุทธเจ้าปรากฎขึ้นแล้วจริงฤา?


    ธรรมนที

    ธรรมดาว่าคงคาทั้งหลาย ย่อมไหลมาแต่ป่าเขาใหญ่แล้ว และไหลหลั่งลงมาทางพื้นภูมิภาคฝ่ายใต้ลงสู่มหาสมุทรทะเลใหญ่ในคราวที่มหาเมฆมโหฬาร บันดานฝนให้ตกลงมาเป็นห่าใหญ่ ท่วมบ่อสระสถานที่ทั้งหลายแล้ว ก็เป็นน้ำป่า พัดพาเอาขอนไม้ใหญ่น้อย และรากใบเป็นสวะลอยไป สัตว์จตุบท ทวิบาททั้งหลายเช่นแมลงปอ ตะขาบ มด หนู งู พังพอน สุนัข กระต่ายและเสือป่าเป็นอาทิ ก็พากันหนีอุทกภัยขึ้นไปอาศัยบนดอย สัตว์ที่มีกำลังน้อยน่าสงสารหนีไม่พ้น น้ำฝนก็ท่วมตายและไหลพัดพาไปสู่มหาสมุทร ใช่แต่เทานั้น อุทกขันธ์คือห้วงน้ำอันมีกระแสเชี่ยวแกร่งกล้าเป็นน้ำป่ายังพัดพาเอาสิ่งโสโครกบรรดามีให้ไหลไปหมดสิ้น ชำระท้องถิ่นผืนปฐพีให้สะอาดหมดลามก และน้ำนั้นก็ไหลไปสู่มหาสมุทรจนแห้งหมดไม่เหลือเลยในไม่ช้านาน กาลต่อมา มนุษย์นิกรได้สัญจรมา ณ ประเทศที่นั้น ครั้นได้เห็นคราบน้ำปุ่มเปือกติดอยู่ตามกอหญ้าและตามยอดไม้ และเห็นรวงรังของสัตว์ที่เคยอยู่พื้นดิน มันขึ้นไปทำรังอาศัยอยู่ตามเชิงซุ้มพุ่มไม้อันเป็นที่สูง ก็ย่อมจะจูงใจให้เกิดความคิด อนุมานด้วยปัญญาแห่งตนโดยไม่ต้อมีใครบอกก็ได้ว่า "นั่นแน่ ที่นี้เคยมีห้วงน้ำไหลมาท่วมแล้ว ดูซิ...ที่กอหญ้าก็มีคราบน้ำ หรือที่ยอดไม้ก็มีคราบน้ำท่วมขึ้่นไปถึง สกุณีปักษีชาติไม่อาจอยู่พื้นที่ต่ำได้ อุตส่าห์ขึ้นไปทำรังอยู่บนต้นไม้สูง ต้องมีคงคาสายน้ำป่าใหญ่ไหลผ่านประเทศที่นี่แล้วเป็นแม่นมั่น" ข้อความที่เสกสรรมานี่มีอุปมาฉันใด

    สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถศาสดาจารย์เจ้า เมื่อได้ตรัสรู้สำเร็จพระปรมาภิเษกสัมโพธิญาณแล้ว องค์พระประทีปแก้วก็ทรงยังธรรมนทีสายน้ำคือธรรมอันโอฬารยิ่งใหญ่ ให้หลั่งไหลออกมาจากพระโอษฐ์สำเร็จเป็นพระพุทธพจน์รวมกันทั้งหมดมีจำนวนมากมายถึง ๘ หมื่น ๔ พันพระธรรมขันธ์ ก็ธรรมนทีของพระองค์นั้น เมื่อไหลมาโดยลำดับกัน ย่อมไหลลงสู่ สาครปากอ่าว กล่าวคือพระนิพพาน ซึ่งเป็นสถานที่ปัจจยาการประชุมตกแต่งมิได้ มิรู้แก่ มิรู้ตาย มีสภาวะเป็นสุขสบายยิ่งนักหนา ด้วยว่า เมื่อสมเด็จพระมหากรุณาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยังธรรมนทีให้หลั่งไหลอยู่นั้น ก็ทรงยังโพไธยยกสัตว์ที่ได้สร้างบารมีมาแก่กล้าสมบูรณ์ ให้ได้รู้ธรรมวิเศษสำเร็จกิจแห่งพรหมจรรย์ ทรงยังชาวโลกสวรรค์หมู่อมรแลมนุษย์นิกร ให้อิ่มเอิบด้วยธรรมปิติเป็นอันมาก ให้กำัจัดเสียซึ่งราคะ โทสะ มานะ และมักขะคือความกระด้าง หลู่คุณท่านผู้อื่น ด้วยสันดาลพาลเขลาคิดว่าตนดีกว่า และให้กามคุณอารมณ์เป็นที่สุขสบายน่าพอใจชอบใจ พยาบาทความยินร้ายไม่พอใจในอารมณ์ที่ไม่ถูกกับใจตน สักกายทิฐิ ความเข้าใจผิดในรูปนามว่า เป็นตัวตน อันเปรียบเสมือนหอกปักอก ให้วงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยไม่เชื่อลงไปได้ในพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตน์ พระธรรมรัตน์ พระสังฆรัตน์ และตัณหาอันรกชัฏ มิไใช่น้อยให้ลอยเสียซึ่งอกุศลธรรมปาปกรรมอันพิลึกต่างๆ ให้ล่วงเสียซึ่งเปือกตม กล่าวคือโมหะ มานะ และลาภสักการะ ให้เปลื้องเสียให้พ้นจากอกุศลทั้งปวง ให้ล่วงพ้นจนถึงเป็นพระอรหันต์ในที่สุด สมเด็จพระพุทธเจ้าทรงยังธรรมนที ให้ไหลหลั่งพัดพาประชาสัตว์ไปสู่นิพพานสาครแล้วองค์สมเด็จพระชินวรก็เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไป

    ฝ่ายบัณฑิตชนคนมีปัญญาซึ่งเกิดในสมัยหลังต่อมา ครั้นได้เห็นรอยธรรมนทีของสมเด็จพระชินสีห์สัพพัญญูเจ้านั้นแล้วก็ดีใจดังได้แก้วไม่ประมาทชักช้าให้เสียเวลา ด้วยเกรงว่า ตนนี้เกิดมาจะเสียชีวิตเกิดเสียเปล่า เฝ้าอุตสาหะปฏิบัติดำเินินตามรอยธรรมนมทีนั้นไปมิได้เห็นแก่การเหนื่อยยาก พยายามถอนตนจากเปือกตมโคลนเลน คือโมหะ มานะ และลาภสักการะค่อยดำเนินไปๆ แล้ว ในที่สุด เมื่อมาถึงปากอ่าวเห็นนิพพานสาครเข้า ก็ให้ตะลึงงันอัศจรรย์เป็นล้นพ้น อุทานออกมาว่า "โอ้หนอ นิพพานสาครนี่แสนมหัศจรรย์นัก ใครเล่าหนาจักเป็นผู้สามารถมาพบมาเจอก่อนเป็นคนแรกได้ นอกจากสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเป็นไม่มี สมเด็จพระชินสีห์ทรงพบแล้วทรงแสดงธรรมนทีพัดพาให้สัตว์ทั้งหลายมาถึงนิพพานสาครนี่แล้วโดยมาก บัดนี้หากพระองค์ดับขันธ์นิพพานแล้วก็จริง แต่สิ่งสำคัญคือร่องรอยแห่งธรรมนทียังมีอยู่ ผู้ใดปฏิบัติตามธรรมนทีแล้ว ต้องมาถึงพระนิพพานสาครนี่แน่นอน โอ้...อัศจรรย์แท้ พระผู้ปล่อยกระแสธรรมนที คือองค์สมเด็จพระชินสีห์ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลกจริงเป็นแม่นมั่น"

    ฝ่ายมิจฉาทิฐิชนและคนที่มีปัญญาโฉดเขลาทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้มีบุญน้อยด้อยวาสนา มีดวงตาเสียเปล่าแต่หามีแววไม่ ไร้ปัญญามองไม่เห็นคุณค่าอันประเสริฐของพุทธศาสนา แม้ว่าขณะนี้ รอยธรรมนทีแห่งพระพุทธองค์เจ้ายังปรากฎอยู่ในโลกนี้ แทนที่จะรับดำเนินตามไป ด้วยการปฏิบัติตามพระโอวาทานุสาสนี ก็ให้มีอันเป็นเกิดทิฐิวิบัติ มีความเห็นขัดๆ ขวางๆ ไปว่า " พระพุทธศาสนามิได้เป็นนิยยานิกธรรม คือนำสัตว์ออกจากทุกข์มิได้ ไม่ควรที่ใครจะปฏิบัติตามให้เหนื่อยยากไปเปลาๆ นิพพานอะไรกันเล่า? นิพพานไม่มี ที่ว่าพระนิพพานๆ นั้น มันเป็นเพียงสภาวะเหลวไหลอย่างหนึ่ง ซึ่งใครคนไหนก็ไม่รู้ในยุคก่อน บัญญัติชื่อขึ้น แล้วสอนว่าเป็นสุขสบาย เพื่อให้คนทั้งหลายปฏิบัติตามไปอย่างโง่งมงายเท่านั้นเอง ตัวเราอยู่ทุกวันนี้ก็สุขสบายดีแล้ว จักต้องไปแสวงหาสวรรค์นิพพานอะไรที่ไหนกันอีกเล่า" เมื่อโง่เขลาเบาปัญญาไปเสียเช่นนี้ ศรัทธาที่จะดำเนินตามรอยธรรมนทีก็ย่อมไม่มีที่สุดในชาตินี้ ก็ไม่มีโอกาสได้เห็นปากอ่าวแห่งธรรมนที คือพระนิพพาน ชีวิตก็เป็นหมันไปชาติหนึ่ง เมื่อถึงคราวสิ้นชีพตายไปจากโลกนี้ หากยังมีดวงจิตเฝ้าดูถูกดูหมิ่นธรรมนทีแห่งองค์สมเด็จพระชินสีห์เจ้า ว่าไม่เป็นนิยยานิกธรรมแล้วไซร้ ผู้บ้าใบ้ตาบอดเพราะทิฐิวิบัติเหล่านี้ ย่อมมีคติไปอุบัติในดิรัจฉานภูมิ คือเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะมีจิตสันดานมากไปด้วยโมหะกิเลส ถึงขึ้นนี้แล้วก็จะอาเพศวิปริตไปกันใหญ่ คือการที่เขาจะได้มีโอกาสเห็นพระคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ย่อมเป็นโอกาสสุดแสนจะยากนัก ก็จะไม่ยากอย่างไรได้เล่า เพราะเขาพลาดท่าเสียไปเกิดในภูมิที่ต่ำทรามซึ่งมีสันดานโง่นัหนา ไม่รู้พระพุทธฎีกาอันเป็นภาษามนุษย์เสียแล้ว อย่างนี้ก็ไม่แคล้วที่จะมีวิจิกิจฉาเกิดความสงสัยไปอีกนานไม่รู้ว่ากี่ชาติต่อกี่ชาติว่า พระพุทธเจ้านั้นมีจริงฤา!


    <!-- google_ad_section_end -->
     

แชร์หน้านี้

Loading...