หนังเรื่องInterstellar กับทฤษฎีของ ไอสไตน์ และ พระพุทธศาสนา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Pattarakorn2010, 9 พฤศจิกายน 2014.

  1. Pattarakorn2010

    Pattarakorn2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2014
    โพสต์:
    461
    ค่าพลัง:
    +1,725
    อาจจะไม่เกี่ยวกับหนังซะทีเดียว นะครับ แต่ผมว่าบางอย่างมันสอดคล้องกัน ก่อนที่หนังเรื่องInterstellarจะเข้าฉาย หรือก่อนที่จะสร้างด้วยซ้ำ ผมได้ศึกษาเกี่ยวกับ รูหนอน หลุมดำ และการบิดกาลเวลามานานแล้ว จากที่ศึกษาธรรมมะ เรื่องของสวรรค์ นรก และการที่บางคนตายแล้วฟื้น และบอกว่าได้ไปสวรรค์นรกมา และไปในเวลาไม่นานเพราะ เวลาบน สวรรค์และนรก จะช้ากว่าบนโลก ไปแล้วต้องรีบกลับ ตามทฤษฎีของ ไอสไตน์ คือหากเราต้องเดินทางด้วยความเร็วแสง วัตถุต้องมีขนาดเล็กมากๆแต่มีมวลและพลังงานมหาศาลสิ่งที่ ไอสไตน์ พบ แต่ไม่ทราบว่ามันคืออะไร ตามศาสนาพุทธแล้ว มันคือจิตของเรานั่นเอง คือหากเราต้องการเดินทางไปอนาคตหรือย้อนกลับไปในอดีต ก็สามารถจะไปได้แค่จิตเท่านั้น และไม่สามารถกลับไปเพื่อแก้ไขอะไรได้
    เพราะมันไปแค่จิต แต่จิตนั้นมันมีพลังคืออาจจะสามารถสื่อสารทางจิตกับคนใน อดีตหรือ อนาคตได้ ก็เหมือนในหนัง Interstellar ที่พ่อนางเอก หลุดเข้าไปในหลุมดำ และไปอยู่ในมิติที่5 ก็คือการสื่อสารทางจิตนั่นเอง ความแปลกและพิสดารของเวลาและจิตนั้น หลายคนอาจเคยสัมผัสและเจอมาแล้ว แต่ไม่ได้เก็บเอามาคิดนั้นก็คือ ความฝัน เคยสังเกตุบ้างมั้ยครับ เวลาในความฝันบางครั้ง นานกว่าเวลาที่เรานอน บางทีเราอาจจะนอนตอน 22.00น. และฝันไป ในฝันอาจจะไปทำกิจกรรมหลายอย่าง หลายวัน แต่พอตื่นขึ้นมา อาจจะเป็นเวลาแค่ 02.00น. เพราะฉะนั้น เครื่องมือที่ไอสไตน์ จะใช้เดินทางข้ามเวลาหรือมิติได้และไอสไตน์ ยังค้นพบไม่เจอ ก็คือจิตนั่นเอง ซึ่งพระพุทธเจ้าค้นพบมาแล้วหลายพันปี และตามคำสอนคือ เราไม่สามารถกลับไปแก้ไขอดีตได้
    เพราะเราย้อนไปได้แค่ดวงจิต ย้อนไปดูเหตุการ์ณที่ผ่านมาแล้ว เหล่านี้มันก็คือกฏของธรรมชาติ
     
  2. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,756
    ค่าพลัง:
    +1,919
    ครับ ผมก็เห็นด้วยอย่างนั้น
     
  3. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +2,161
    อยากรู้ให้ตั้งใจฝึกสมาธิ เอาแค่ตาทิพย์ก็ได้ ถ้าจะให้ดีถอดจิตได้เลยยิ่งดี แล้วก็ไปกราบพระพุทธเจ้าขอพระบารมีพระองค์ช่วยสงเคราะห์ให้รู้เห็นสิ่งที่สงสัย แล้วก็ถ้ารู้อะไรมาแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องไหน ก็มาหาข้อมูลเทียบเคียงว่าสมเหตุสมผลจริงไหม กับสิ่งที่รู้มา ถ้ารู้พอก็จะประติดประต่อเรื่องต่าง ๆ เข้าด้วยกันเป็นเรื่องเดียวกันได้หมด ไม่ว่าจะออกแนวลึกลับ เทคโนโลยีสุดล้ำ จนถึงจิตวิญญาณศาสนา ทุกอย่างสอดคล้องกันหมด ไม่ได้มาโม้นะครับ ทำแล้วปฎิบัติแล้ว ถึงทราบ แต่ก่อนตอนรู้ใหม่ ๆ ก็โม้ไว้เยอะสุดท้ายไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร รู้ความจริงเรื่องของโลกและจักรวาลมันก็แค่นั้น มันก็แค่รู้นะครับ ถ้าอยากรู้ต้องกล้าที่จะหาคำตอบ ลองดูครับ
     
  4. Pattarakorn2010

    Pattarakorn2010 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2014
    โพสต์:
    461
    ค่าพลัง:
    +1,725
    ผมไปโพส เรื่องนี้ในเว็ปพันทิป จะให้ผมเขียนเป็นสูตรวิทยาศาสตร์ให้ได้ ก็อธิบายไปว่า มันเกี่ยวกับ ฤษฎี เกี่ยวกับจิต เค้าก็จะพูดประมาณว่ามันพิสูจน์ไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ ให้หาแนวทางสูตร บทความมายืนยัน ....ผมไม่เข้าใจว่าพวกที่วิทยาศาสตร์จ๋านี่ เค้ามีศาสนาเปล่า อย่างถ้าเราทำบุญแล้วใจสงบได้บุญเค้าก็จะให้หาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มายืนยัน จะบ้าตายกับพวกนี้
     
  5. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +2,161
    ไม่มีประโยชน์หรอกครับ เขาไม่ได้ปฎิบัติสมาธิจนถึงไปพิสูจน์เองได้ เรื่องเหล่านี้พระพุทธเจ้าสอน แค่ต้องตั้งใจทำให้ถูกต้อง เรื่องพวกนี้ยังแค่เศษ ๆ จากความเป็นจริงของโลก เขายังทำไม่ถึงเลย ผมเคยนั่งอธิบายกับน้องเรียนสายวิทย์เกี่ยวกับโลกและจักรวาล ตั้งแต่ระดับสภาวะนามไล่จนถึงเป็นวัตถุ ให้เหตุผลทั้งทางธรรมชาติและหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบ เขายังไม่เชื่อเลย และอีกหลาย ๆ คนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง บอกผมว่าเพราะไม่ได้สัมผัสเองก็ทำใจให้เชื่อยาก ก็เลยสรุปว่าเราแค่มาบอกทำให้คนเชื่อตามไม่ได้ เขาต้องรู้เห็นเอง มันเหมือนกับความเชื่อที่นักวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ สรุปและสร้างสรรสิ่งต่าง ๆ มาให้เห็นตอนนี้ คนเชื่อเพราะสิ่งที่เขาสัมผัสได้ เห็นได้ เขาถึงจะเชื่อครับ

    แต่ก็ดีครับ เมื่อเรารู้ว่าโลกนี้จริง ๆ เป็นอย่างไร เราก็จะหายสงสัย ใครจะโชคดีจะซวยขนาดไหน เราเห็นละเอียดกว่าสภาพที่ปรากฎ มันไม่ต้องลังเลสงสัยอะไรอีกเลย ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยเหตุผลเสมอ ไม่ว่าเราจะเก่งขนาดไหน จะเสกสิ่งของ เหาะได้ ทำอะไรที่เกินคนปกติทำ ก็ล้วนหนีไม่พ้นกฎของธรรมชาติอยู่ดี ที่เรายังรู้สึกแย่ เพราะเรายอมรับความจริงไม่ได้ต่างหากที่ทำให้เราพยายามสร้างโน่นนี่ไม่รู้จบ
     
  6. Anti-God

    Anti-God เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +377
    ...อัตราเร็วแสงในสุญญากาศ หรือ มีนิยามว่าเท่ากับ 299,792,458 เมตรต่อวินาที หากมีวัตถุหรือยานอวากาศ หรือ สิ่งใดๆก้อตามที่สามารถเดินทางได้เร็วกว่าแสงได้ ก้อจะสามารถเห็นภาพในอดีตที่แสงเคยผ่านตกกระทบภาพเหตุการ์ณสิ่งต่างๆที่ผ่านมาแล้วได้ในอดีตเท่าที่แสงก่อเริ่มต้นจนจากไป (ซึ่งก้อนาแสนนานเป็นอนันต์) แต่ความเป็นจริงแล้วไม่มีวัตถุใดๆหรือยานใดๆที่มีความสามารถทำได้ตามหลักทางวิทยาศาสตร์จึงมีแต่เพียงแค่ทฤษฎีอิงสมมุุติฐาน ...ไอสไตน์มีความศรัทธาในปรัชญาของพุทธ อยู่บทหนึ่ง ที่ว่าด้วยเข้าสู่สมาธิขั้นสูงโดยกำหนดเอาจิตเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ณ ที่แห่งไหนจะไกล้หรือไกลแค่ใดก้อตาม จิตจะพาเดินทางไปในชั่วเพียงแค่พริบตา ซึ่งแน่นอนล่ะครับว่านักวิทยาศาสตร์ไม่มีทางเชื่ออยู่แล้วเพราะมันเป็นสิ่งที่ หาข้อสูจน์มาหักล้างไม่ได้ คือประมาณว่า ''อย่ามาบอกว่ามีอยู่จริงหากหาหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันและจับต้องไม่ได้มาพิสูจน์ให้ประจักษ์'' ประมาณนี้ เหมือนหนังเรื่อง Contact ที่แสดงโดย Jodie Foster ที่อธิบายถึงสิ่งที่มีจริงเกิดขึ้นจริง แต่ไม่อาจหาสิ่งอธิบายหรือหลักฐานอะไรใดๆได้เลย นอกจากคำบอกเล่าของผู้ที่ได้ไปผานพบมาจริงๆ ....ไม่ว่าจะอย่างไรก้อตามผมเชื่อว่า คำพูด คำสอน และการปฏิบัติทั้งหมดทั้งสิ้นของ องค์สมเด็จพระสัมสัมพทธเจ้า เป็นสิ่งที่เห็นได้จริงยิ่งกว่าความเป็นวิทยศาสต์ที่พร้อมด้วยหลักฐานและข้อพิสูจน์ ทั้งหมดทั้งสิ้น
     
  7. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +2,161
    เรื่องของมิติเวลานี่จริง ๆ เราเข้าใจผิดไปเยอะ เวลาไม่ได้เดินเป็นเส้นตรง แต่เป็นแบบเกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัย เพียงแต่ระบบของธรรมชาติจะสร้างระบบที่อยู่บนระบบอื่นอีกที อย่างเรื่องของกาลเวลา ก็ต้องพูดถึงทฤษฎีสัมพันธภาพ จริง ๆ หลักการไม่ได้มีอะไรซับซ้อน สิ่งที่ไอสไตน์ค้นพบไม่ผิดอะไร เพียงแต่อธิบายเหตุการณ์บางอย่างไม่ได้จริงทั้งหมด มันเลยเป็นช่องว่างของทฤษฎี อย่างเรื่องการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วจะมีผลทำให้เวลาของผู้ที่เคลื่อนทีช้าลงเมื่อเทียบกับผู้ที่อยู่เฉย ๆ ถ้าคิดแบบโง่ ๆ ถามแบบโง่ ๆ ก็ได้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราอยู่นิ่ง จริง ๆ ทุกอย่างในเอกภพไม่มีอะไรอยู่นิ่ง ๆ มันเป็นเพียงการวัดเปรียบเทียบค่าความต่างของระดับพลังงานของวัตถุแต่ละตำแหน่งมากกว่า เมื่อมีการเคลื่อนที่ระดับพลังงานในมวลของวัตถุนั้น ๆ ทั้งหมดจะมีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งค่าที่เปลี่ยนแปลง จะเปลี่ยนไปตลอดเวลา เอาแค่ตัวเรายืนแกว่งแขนเฉย ๆ ส่วนที่เป็นแขนเราก็จะมีค่าความเปลี่ยนแปลงเฉพาะตำแหน่งน้อยลง

    เปรียบให้เห็นชัด ๆ เรานั่งอยู่บนโลก โลกก็ไม่ได้อยู่นิ่ง ๆ โคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็วสูง พอในระดับสุริยะจักรวาลของเรา ก็โคจรรอบแกแลคซี่ ความเร็วยิ่งเป็นทวีคูณ ยิ่งพอเป็นระดับแกแลคซี่ด้วยแล้วความเร็วที่วัดได้จากผู้สังเกตบนโลกต่างกันมากมายมหาศาลมาก

    เวลาจึงไม่เป็นแบบมิติใดมิตินึงโดยเฉพาะ แต่เป็นแบบเปลี่ยนแปลงเฉพาะตำแหน่งสถานที่ เป็นเหตุผลว่าทำไม นรก สวรรค์ ถึงมีค่าความต่างของเวลามากมายต่างกับโลกขนาดนั้น

    อย่างปัจจุบันระบบ GPS ที่อาศัยค่าความต่างของเวลาหาตำแหน่งได้ เพราะการเคลื่อนที่เปลี่ยนระดับพลังงานของมวลวัตถุนั้น ๆ ทั้งหมด ในระดับย่อยถึงระดับอนุภาค เมื่อมวลมีการเคลื่อนที่ย่อมเกิดพลังงาน กระแสพลังงานที่เกิดขึ้นนี่แหละ ที่ทำให้ค่าการเปลี่ยนแปลงน้อยลง หรือจะพูดให้ชัดคือมวลนั้น ๆ จะมีอายุยืนยาวขึ้น

    แต่ปัญหากลายเป็นว่าเรายึดติดกับค่าความเร็วของแสงเกินไป การที่แสงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่บนมวลวัตถุที่มีความเร็วเท่าใด นั่นเพราะอนุภาคของแสงที่อาศัยพาหะตัวนำที่มีความเร็วจำกัด แต่ถ้าเราสามารถสร้างสภาวะการเปลี่ยนพลังงานการเคลื่อนที่และใส่พลังงานให้มันได้มากกว่าที่จะเป็นได้ เราก็สามารถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือแสงได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่ UFO ใช้หลักการนี้ในการเดินทางข้ามดวงดาว โดยที่ยังคงสภาวะเวลาไว้ที่จุดอ้างอิงในปัจจุบันได้

    ไปเรื่อยเปื่อยแล้ว เอาแค่นี้ก่อนนะครับ
     
  8. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,756
    ค่าพลัง:
    +1,919
    เพราะคิดและเชื่อว่าสิ่งที่เราทำเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นประโยชน์ ใจมันเลยสงบ
    (อาจจะมีกระบวนการเคมีในร่างกาย หรือจากสมอง ทำให้เราเกิดภาวะสงบ อิ่มเอมขึ้นมา)
    เผลอๆอาจจะทำชั่วแล้วเชื่อว่าเป็นบุญใจยังสงบก็มีเลย


    ดูง่ายๆ อย่างกระแสไฟฟ้าที่ใช้ในบ้าน เรายังไม่เห็นรูปร่างมันเลย แต่รู้ถึงความมีอยู่ รู้ถึงพลังงานของมัน เว้นแต่จะอยู่ในสภาพแวดล้อมเหตุปัจจัยที่พอเหมาะถึงหรือมีเครื่องมือช่วย ถึงเห็นรูปร่างของมัน หรือเอานิ้วไปแหย่ก็จะเห็นถึงพลังของมัน

    แล้วมันใช้รูปร่างที่แท้จริงของไฟฟ้าเป็นแบบไหน ?? เป็นลำแสง หรือเป็นคลื่น ? แล้วถ้าเป็นคลื่นถึงใช้ไรถึงจะมองเห็น ???
    แล้วมันประกอบไปด้วยอะไร ?? อะไรเป็นเหตุที่จะทำให้มันเกิดขึ้นมาได้มั้ง ?? วิทยาศาตร์ก็จะตอบ แบบที่เรียนจำๆเพื่อให้รู้ไว้สอบมาว่า อิเล็คตรอน ซึ่งเป็นส่วนนึงของอะตอม บลาๆๆๆๆๆ
    แล้วถ้าถามแบบสงสัยแบบวิทยาศาตร์ต่อไปว่า แล้วอิเล็คตรอน มันเกิดมายังไง มันประกอบจากอะไร หรือสสารต่างๆเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
    มันคงอาจต้องใช้เวลาที่วิทยาศาสตร์จะหาคำตอบได้ ว่ามั้ย
     
  9. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    562
    ค่าพลัง:
    +2,161
    เรื่องของความรู้สึก สิ่งที่มองไม่เห็น พิสูจน์ในรูปแบบการวัดค่าไม่ได้ ไม่ต้องไปใส่ใจอธิบายหรอกครับ ขอบเขตของความเชื่อของแต่ละคนไม่เท่ากัน ต่อให้อธิบายได้หาเหตุผลเชื่อมโยงได้ ความคิดคนก็จะมองว่าคนที่อธิบายเป็นใคร ทำอะไรได้หรือมีดีเด่นอะไรอีก สรุปว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

    เอาแค่ความรู้สึก รัก ชอบ เกลียด จะให้อธิบายคงพอได้ในทางวิทยาศาสตร์ ก็ว่ากันตามระบบกายภาพไป เอาแค่เรื่องของความรักฐานะอะไรก็ได้ ถามว่าจะเอาอะไรมาพิสูจน์ว่าความรักมีอยู่จริง การกระทำเหรอ ความคิดเหรอ ทั้งๆ ทีไม่มีใครเลยที่รักไม่เป็น ยังไงก็ต้องมีสักฐานะนึงแน่นอน แต่เขาเหล่านั้นกลับตอบไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็รู้อยู่แท้ ๆ ว่ามันมีอยู่จริง
     
  10. yothin4213

    yothin4213 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +63
  11. comfx22

    comfx22 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2011
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +234
    จินตนาการกันไปก็น่าจะทำกันได้นะครับ ถ้าโลกที่เราเห็นนี้เป็นแค่เรื่องสมมุติจริงๆล่ะก็
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=vMbOCaQmq7k]How To Time Travel - YouTube[/ame]
     
  12. อภิธีโร49

    อภิธีโร49 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +2
    เมื่อก่อนตั้งแต่จำความได้ มักจำเสมอการตายคือหลับแต่ไม่ฝัน เดี๋ยวก็ไปอยู่อีกโลกอื่น พอเป็นผู้ใหญ่ ได้สัมผัสกับสิ่งน่าอัศจรรย์หลายอย่าง โดยเฉพาะตอนบวช ก็ยากที่จะไม่เชื่อ. ความจริงจักรวาลของเราไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาลอะไรเลย ทุกมิติมันซ้อนทับกันอยู่ตลอดเวลา ต้องเห็นด้วยจิตละเอียด. ชีวิตหลังความตายเป็นเรื่องน่าอภิรมย์ ต้องถึงเวลาอย่าบังคับหรือฝืน
    ก็จะพบคำตอบที่คนมีกายอยู่อยากรู้ ใครดีก็ไปอยู่โลกเหมือนสวรรคฺ ใครชั่วก็ไปอยู่ในโลกอสุรกาย
     
  13. SegaMegaHyperSuperCyberNeptune

    SegaMegaHyperSuperCyberNeptune "โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านกระทู้ผม"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2011
    โพสต์:
    4,111
    ค่าพลัง:
    +3,402
    อย่าพยายามรีบคิดครับเรื่องพวกนี้ เกือบๆอจินไตยนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...