หน้าที่คือธรรมะ.............พุทธทาสภิกขุ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย picko, 29 กรกฎาคม 2017.

  1. picko

    picko เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2014
    โพสต์:
    635
    กระทู้เรื่องเด่น:
    97
    ค่าพลัง:
    +2,126
    4.jpg

    ต้องการให้ทุกคน มองเห็นว่าธรรมะ คือ หน้าที่ หรือให้เห็นว่า หน้าที่ นั่นแหล่ะ คือ ธรรมะ
    ที่แล้วมาหรือที่เป็นอยู่ก็ตาม คนไม่ได้คิดว่าหน้าที่คือธรรมะ เค้าทำหน้าที่เพราะความจำเป็นบังคับเพราะว่าถ้าไม่ทำไม่มีอะไรจะกิน มันก็เลยทำหน้าที่ด้วยความจำเป็นบังคับ มันก็ฝืนความรู้สึกมันก็มีความทุกข์พลาง ทำหน้าที่พลาง อย่างนี้เราเรียกว่า ตกนรกไปพลางทำงานไปพลางตกนรกไปพลาง ทำงานไปพลาง ไม่น่าชื่นใจอะไร


    ขอให้คนที่ทำหน้าที่ทั้งหลายเหล่านี้รู้เสียใหม่ว่า ไอ้หน้าที่น่ะ คือ ตัวธรรมะ ธรรมะคือสิ่งที่จะช่วยให้คนเรารอด เพราะว่ามันเป็นสิ่งเดียวกัน เค้าว่าพระเจ้าช่วยให้รอด เราบอกว่าหน้าที่ต่างหาก ที่ช่วยให้รอ ถ้าไม่ทำหน้าที่แล้ว " พระเจ้า " สักกี่พระเจ้าก็ช่วยไม่ได้ เมื่อทำหน้าที่แล้ว ไอ้หน้าที่แหล่ะ มันก็กลายเป็น " พระเจ้า " ขึ้นมา ก็ช่วยให้รอดความหมายมันก็เลย ตรงกับคำว่า " ธรรมะ "ผู้ใดมีธรรมะ ผู้นั้นรอด ผู้ใดทำหน้าที่ ผู้นั้นก็รอด

    นี่ขอให้สังเกตุให้ละเอียดถี่ยิบไปเลยว่าหน้าที่อะไรบ้าง ขอให้เป็นธรรมะไปให้หมดไม่ต้องเพิ่มเติมอะไรอีก หน้าที่เท่าที่ทำอยู่แล้วทุกวันทุกวันนั่นแหล่ะ แต่เดี๋ยวนี้ ! ให้มันเป็นว่า ถ้าจะทำหน้าที่อะไร ขอให้มองเห็นว่า เป็นธรรมะ และตั้งอกตั้งใจ มีสติ สัมปัชชัญญะอย่างยิ่ง ทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด ให้ถูกต้องที่สุด แล้วมีความพอใจในหน้าที่นั้น มีความสุขตลอดเวลา ที่ทำหน้าที่เหล่านั้น มันก็เกิดมีผลขึ้นมาว่า ธรรมะตลอดทุกอิริยาบถ มีความสุขทุกอิริยาบถ เพราะว่ามันเป็นธรรมะ

    คนไม่ต้องทำหน้าที่อะไรเพิ่มเติม จากที่เคยทำกันอยู่แล้ว แต่ขอให้เปลี่ยนมามีความรู้สึกว่า " หน้าที่ " คือ
    " ธรรมะ " ต้องทำให้ดีที่สุด จนพอใจ พอใจก็เป็นสุข เป็นสุขตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ ทำหน้าที่ ทั้งวัน เป็นสุขทั้งวัน ทำหน้าที่ทั้งเดือน เป็นสุขทั้งเดือนทั้งปีนี้ล่ะก็ มีความสุข ทุกอิริยาบถ เพราะสามารถทำให้หน้าที่นั้น มันเป็นธรรมะขึ้นมา ด้วยความรู้สึกที่ถูกต้อง

    ก่อนนี้มันไม่รู้สึกนี่ เมื่อพูดว่าหน้าที่แล้วมันก็รู้สึกว่าเหนื่อยแล้ว มันก็รู้สึกในทางว่า ทำหน้าที่เพื่อมีสิทธิที่จะได้รับอะไรตอบแทน แม้อย่างนี้ มันก็ฝืน ฝืนทำ ฝืนทำด้วยความทนทุกข์ ทำหน้าที่ไปเพื่อสิทธิ์เรียกร้องนี้ เราไม่เอาอย่างนั้น หน้าที่ทำเถิด แล้วก็พอใจ แล้วก็เป็นสุขเมื่อทำหน้าที่นั้นเองเมื่อทำหน้าที่อยู่นั่นเอง เป็นสุข เป็นสุข ในหน้าที่ ทำหน้าที่ทั้งวัน เป็นสุขทั้งวัน ทำหน้าที่ทั้งปี เป็นสุขทั้งปี นี่คือผลที่สรุปได้ว่า " หน้าที่ " คือ " ธรรมะ " ขอให้ทุกคนทำหน้าที่ด้วยความรู้สึกอย่างนี้ แล้วมันก็จะพอใจ มันก็จะอิ่มใจ ก็เรียกว่าเป็นสุขไปพลาง ทำงานไปพลาง ตรงกันข้ามกับที่แล้วมาว่า ตกนรก
    ไปพลาง ทำงานไปพลาง อย่างนี้ขึ้นสวรรค์ไปพลาง ทำงานไปพลาง

    ขอให้ทุกคนมองเห็นอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ ทำหน้าที่ให้กลายเป็นสวรรค์ หน้าที่กับสวรรค์ ก็เลยกลายเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่ต้องลงทุนเพื่อสวรรค์อะไรอีก ทำหน้าที่และได้รับความพอใจ และก็เป็นสุข เมื่อทำหน้าที่ เป็นสุขที่แท้จริง ชื่นใจตัวเอง เคารพตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ เป็นสุขที่สุด เพราะเหตุนี้ ทีนี้ผลงาน ผลหน้าที่ ก็ไม่ไปไหนเสียมันก็ได้มาตามเรื่อง จะไปใช้อะไรก็ได้ เอาไปใช้ให้ถูกต้อง ใช้ที่มีประโยชน์อย่างอื่นเถอะ แต่ว่าไอ้ความสุขนี้ มันได้ไปแล้ว เมื่อกำลังทำหน้าที่ ตลอดถึงหน้าที่เล็ก ๆ น้อย ๆ หน้าที่ตื่นขึ้นมาแปรงฟัน ล้างหน้า ก็เป็นสุข ตลอดเวลาที่ล้างหน้า


    แต่คนโง่ไม่เคยได้รับ ก็ใจมันลอย ใจมันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันไม่ได้ตั้งใจทำ ไอ้การล้างหน้า ในฐานะเป็นธรรมะ ทำดีที่สุดพอใจเป็นสุข ตลอดเวลาที่ล้างหน้า มันไม่คนโง่มันทำไม่ได้ เว้นไว้แต่คนที่มันมีสติปัญญาเห็นว่า แม้แต่การล้างหน้าก็เป็นหน้าที่
    เป็นธรรมะ ได้ภูมิใจในการล้างหน้าให้ดีที่สุดถูกต้องที่สุด พอใจ เป็นสุขตลอดเวลาที่ล้างหน้า ทีนี้ก็เปลี่ยนไปอาบน้ำ เข้าห้องน้ำ
    ก็อย่างเดียวกันอีกน่ะ ตั้งแต่วินาทีแรก เห็นหน้าที่เป็นธรรมะ พอใจ ทำดีที่สุด ถูกต้องที่สุด อาบน้ำทุกระยะ พอใจเป็นสุข แปลว่า
    มีความสุขตลอดเวลาที่อาบน้ำ ซึ่งคนโง่มันทำไม่ได้ ก็รู้เองก็แล้วกัน ว่าใครมันคิดอย่างนี้บ้าง แล้วไปห้องถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ทำมันก็ตาย ทำดีที่สุดพอใจ พอใจ ถูกต้องที่สุด ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะเนี่ย ทำให้ถูกต้อง พอใจที่สุด แล้วก็มีความสุข ความพอใจ ตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะเนี่ย คนโง่มันทำไม่ได้ เพราะคนโง่มันไม่ทำด้วยจิตใจอย่างนี้ เราก็เป็นสุขตลอดเวลาที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ มากินข้าวก็ตลอดเวลาที่กินข้าว แม้ที่สุดก็ไปช่วยล้างจาน ถ้าตั้งใจล้างจานอยากจะช่วยล้างจาน ก็พอใจ ทำหน้าที่ล้างจาน เป็นสุขเมื่อล้างจาน ตลอดเวลาที่ล้างจาน ไปช่วยกวาดบ้าน ไปช่วยถูเรือนก็เป็นสุข ตลอดเวลาที่กวาดบ้าน ตลอดเวลาที่ถูเรือน คนโง่มันทำไม่ได้ คนโง่ทั้งหลายที่กำลังทำอยู่บัดนี้ มันทำไม่ได้ มันไม่มีความรู้สึกอย่างนั้น


    เพราะมันไม่มีความรู้ ไม่รู้ว่า " หน้าที่ " คือ " ธรรมะ " พอรู้ว่า หน้าที่คือ ธรรมะ มันก็พอใจ พอใจ พอใจ ยินดี

    พอใจ พอใจ ก็เป็นสุข นี่ไม่ต้องถาม เป็นธรรมชาติ เมื่อนั้นเค้าก็เป็นสุขไปหมด นับตั้งแต่ว่า ล้างหน้า อาบน้ำ ถ่ายอุจจาระ
    ปัสสาวะ กินข้าว กวาดบ้าน ถูเรือน แต่งตัวไปทำงาน ยิ่งทำงานที่อ๊อฟฟิต ก็ยิ่งถูกต้องและพอใจ ทำดีที่สุด เป็นสุข ตลอดเวลาที่ทำงาน กลับมาบ้านก็อย่างเดียวกันอีก ไปทำอะไรที่ไหน ก็เหมือนกัน เลยเป็นคนมีความสุข ทุกอิริยาบถ ซึ่งเป็นคำพูดที่เค้าจะไม่ยอมเชื่อว่า เราอาจจะมีธรรมะทุกอิริยาบถ เค้าไม่เชื่อว่า เราอาจจะมีความสุขทุกอิริยาบถนั่นเขาไม่เชื่อ ... ก็ตามใจเด่ะ !

    ก็ขอร้อง ให้ไปพิจารณาดู ให้ดีสิถ้ามันมองเห็นจริง เห็นความจริงข้อนี้ แล้วมันก็พอใจ พอใจมันก็เป็นสุข ชาวนาทำนาให้เป็นสุข ชาวสวนทำสวนให้เป็นสุข คนค้าขายค้าขายให้เป็นสุข พวกราชการทำราชการให้เป็นสุข พวกกรรมกรอาบเหงื่ออยู่ ก็เป็นสุขเยือกเย็น ขอทานนั่งขอทานอยู่ ก็เป็นสุขและเยือกเย็น ไม่มีใครที่จะมีความทุกข์หรอกถ้าเห็นว่า " หน้าที่ " คือ " ธรรมะ " ธรรมะคือ หน้าที่ เราได้ทำดีที่สุดแล้ว ดีที่สุดแล้วถูกต้องที่สุดแล้ว พอใจที่สุดแล้ว ก็เป็นสุขเมื่อเป็นความจริงขึ้นมาว่า เราสามารถทำหน้าที่ได้ทุกอิริยาบถ สามารถมีธรรมะทุกอิริยาบถ สามารถมีความสุขทุกอิริยาบถ เรื่องมันก็เท่านี้แหล่ะ
    " ธรรมะ " คือ " หน้าที่ " ... หน้าที่ คือ ธรรมะ

    พุทธทาส ภิกขุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...