หรือว่านี่คือการถอดจิต

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย กตเวที, 21 มิถุนายน 2011.

  1. กตเวที

    กตเวที สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +20
    ดิฉันเริ่มนั่งสมาธิมาได้ปีกว่าๆ ก่อนเข้านอนเมื่อหลายคืนก่อนมีความคิดแว่บเข้ามาว่าอยากเห็นพระจุฬามณีบ้างจัง (คิดแว่บเดียวจริงๆค่ะ) ถ้าคืนนี้ฝันถึงคงจะดี ขณะล้มตัวลงนอน หลับตาแล้วบริกรรมพุทโธไปตามปกติ เพียงไม่ถึงนาทีดิฉันเห็นแสงไฟดวงเล็กๆ เหมือนดาวที่เห็นในท้องฟ้าจำลอง จากนั้นมีความรู้สึกว่าตัวเองเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ เหมือนนั่งอยู่ในยานอวกาศที่ กำลังจะ Take-off แล้วเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเห็นแสงไฟเป็นสายยาว จนการเคลื่อนไปข้างหน้าเป็นไปอย่างเร็วมากๆ แต่แปลกว่าไม่มีแรงปะทะหรือแรงเฉื่อยเลย รู้สึกเหมือนตัวเองไร้น้ำหนัก ดิฉันตามดูไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าความเร็วใกล้จะถึงที่สุดแล้ว จิตก็บอกตัวเองว่า "กลัวอะ" จากนั้นความเร็วก็ลดลงจนในที่สุดก็หยุดนิ่ง ดิฉันลืมตาขึ้นแล้วเกิดความรู้สึกหวืดๆที่ขา เหมือนขาขยายใหญ่ขึ้น ดิฉันทั้งกลัวทั้งสงสัยว่าอะไรขึ้น วูบนึงก็จิตก็คิดไปว่า หรือว่านี่คือการถอดจิต (เคยอ่านเจอแถวๆนี่ค่ะ) แต่ก็ไม่แน่ใจ เพราะขณะนั้นเพิ่งบริกรรมพุธโธไปได้ไม่กี่คำ สมาธิไม่น่าจะถึงระดับนั้น แล้วดิฉันไม่มีความต้องการที่จะถอดจิต..แค่อยากฝันว่าได้ไปเที่ยวที่พระจุฬามณีเท่านั้นเองค่ะ

    ดิฉันขอความอนุเคราะห์ท่านที่มีประสบการณ์ช่วยไขข้อข้องใจด้วยค่ะ

    1) เหตุการณ์ดังกล่าวคืออะไร และมีท่านใดเคยประสบกับเหตุการณ์แบบนี้บ้างค่ะ...
    2) หากเกิดขึ้นอีกดิฉันควรปฎิบัติอย่างไร ควรหยุดเหมือนครั้งนี้หรือ ควรปล่อยไปจนถึงที่สุด..
    3) แล้วจะมีอันตรายหรือไม่คะ
    4) การถอดจิตมีประโยชน์อย่างไรคะ

    ขอบคุณค่ะ
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    โหมด ใกล้เคียงฌาน 4 หยาบๆ ไม่เป็นไรหรอกครับ รายละเอียดปลีกย่อยรอท่านอื่นแล้วกันครับ..
     
  3. panup

    panup Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +57
    น่าจะเป็นของเก่า

    ของผมก็เป็นเหมือนกับคุณ เป็นเฉพาะเวลานอน มีอาการสั่นคล้าย ๆ กับเครื่องบินกำลังขึ้น เสียงวี๊ดจนสุด แต่เหมือนกับว่าจะไม่สุด สุด เพราะว่ามันจะขาดใจตายไปซะก่อน

    ถามผู้รู้ครับ ว่า กำลังใจยังไม่พอใช่ใหม เป็นคำถามที่ ๑

    แต่ก็หลุดไปทุกครั้ง แบบว่าหลุดแบบมีความรู้สึกตัวอยู่ ตั้งแต่เป็นมาครั้งแรกนับถึงตอนนี้ก็ ๗ - ๘ ปีแล้ว มีอาการอย่างว่าประมาณ ๑๐ กว่าครั้ง ไปมาหลายที่จนเฉย ๆ แล้ว

    ไม่ได้อยาก หรือ ไม่อยากไปอีก แต่ว่า กำหนดไปเองไม่ได้ครับ เป็นคำถามที่ ๒

    แต่สิ่งที่ได้ติดตัวมา คือ ความเชื่ออย่างไม่ลังเลสงสัยเลย ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โลกแห่งวิญญาน

    คำตอบของ จกขท อยู่ข้างบนนะครับ เพียงแต่ผมมีคำถามเพิ่มเติมเท่านั้น

    ความจริงผมก็อยากจะปล่อยจนสุดเหมือนกัน แต่ว่ามันมีสุดของสุดของสุดไปอีก เลยไม่รู้ว่าสุดสุดอยู่ตรงที่ใหน เป็นคำถามที่ ๓ ครับ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    เอาเป็นว่าผมเพียงแต่เล่าให้ฟังแบบเคร่าๆนะครับ....
    ..1) เหตุการณ์ดังกล่าวคืออะไร และมีท่านใดเคยประสบกับเหตุการณ์แบบนี้บ้างค่ะ...
    เป็นกิริยาของจิตครับ..คุณภาวนาพุทโธ ลองสังเกตุการมองเห็นดูได้นะครับ ว่าคุณจะมองเห็นแบบเป็นจอสี่เหลี่ยมแต่ว่าที่มุมทั้ง 4 ด้านยังมืดๆอยู่เลยทำให้ดูเหมือนว่าเป็นคล้ายวงกลม...ส่วนใครมีประสบการณ์แบบนี้ จะบอกว่านับไม่ถ้วนครับ..คือมีแบบเกิดขี้นแล้วไม่สนใจ เกิดขึ้นแล้วสงสัยว่าคืออะไร เกิดขึ้นแล้วไม่รู้ว่าคืออะไรแล้วก็ปล่อยไปจนลืม แล้วเกิดขึ้นแล้วเริ่มสนใจธรรมะแล้วก็เลิกสนใจภายหลัง หรือเกิดขึ้นแล้วโชคดีได้รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อจากช่องทางใดช่องทางหนึ่ง ประมาณนี้ครับ ณ จุดนี้นะครับ....
    2) หากเกิดขึ้นอีกดิฉันควรปฎิบัติอย่างไร ควรหยุดเหมือนครั้งนี้หรือ ควรปล่อยไปจนถึงที่สุด..
    คุณอยู่ในท่านอนแล้วคุณเข้าจุดนี้ได้เร็ว..ต่อไปคุณก็ใช้ท่าเดียวกันเลยครับ วางมืออย่างไร หรือ ท่าทางสุดท้ายอย่างไรก็ใช้ท่านั้นเลยครับ..ลองดูว่าถ้าคุณอยู่ลักษณะนี้แล้วคุณสามารถทำได้ทุกครั้งก่อนที่คุณจะนอนหรือเปล่าโดยคุณไม่ต้องใส่ใจว่าคุณเคยฝึกอะไรมาก่อนและไม่ต้องใส่ใจเรื่องเวลานะครับว่ามันจะหลับปุ๊บแล้วเข้าได้ปั๊บ..ถ้าได้อีกทุกครั้งก็พอจะเล่าเรื่องให้ฟังต่อได้ว่าควรจะทำอย่างไร..
    3) แล้วจะมีอันตรายหรือไม่คะ
    ไม่อันตรายหรอกครับต่อให้คุณไปดาวดวงอื่นๆ ก็ไม่เป็นไรครับ คุณไ่ม่ได้ไปพร้อมกับกายละเอียดไม่มีอะไรน่ากลัวครับเพราะคุณจะได้เห็นเฉยๆแต่เข้าไปดูรายละเอียดลึกๆของสถานที่นั้นๆหรือเข้าไปมีส่วนร่วมไม่ได้จึงไม่น่ากลัว คุณแค่คิดได้ในขณะนั้นว่ากำลังทำอะไร หรือ มีอะไรรบกวน กำลังใจคุณจะตกและคุณจะกลับมาทันทีทันใด....
    4) การถอดจิตมีประโยชน์อย่างไรคะ
    ถ้าในทางธรรมลองฟังคำตอบคุณ panup ดู แต่ถ้าแบบขำๆ ก็สนุกดี ได้รู้ ได้เห็นอะไร ที่เป็นเพียงเรื่องเล่า ตำนาน. ท่องเที่ยวๆไปในที่ๆคุณจะได้ เพียงแต่ว่าช่วงนี้ คุณจะบังคับสถานที่ๆคุณจะไปยังไม่ได้ดังใจเท่านั้นเอง แต่คุณจะเห็นได้ในหลายๆสถานที่..
    ส่วนนี้ของคุณ panup นะครับ ผมเพียงแต่เล่าให้ฟังนะครับ...
    1. ถ้ามีเสียงเหมือนเครื่องบินขึ้น แต่ผมคาดว่าเป็นเสียงคำเดียว แต่ว่าลากยาวไปเรื่อย อาการตัวคุณเหมือนๆคล้ายได้ยินเสียงเหมือนมีประจุไฟฟ้าอ่อนๆ..แล้วจิตก็ไปได้เรื่อยๆ พอคิดถึงสถานที่อื่นจิตเค้าก็ไปได้ทันที อาการแบบที่จะขาดใจตายผมไม่ทราบแน่ชัด แต่การที่อยู่ไม่นาน เพราะกำลังใจตกนั้นนะใช่ครับ..เพราะว่าอารมย์เปลี่ยน(เช่นเกิดความสงสัย ความระแวง ความกังวล ความตกใจ หรือแม้แต่เผลอไปใช้คำภาวนาใดๆก็ตาม ประมาณนี้ครับ)และอารมย์นี้อยู่ในระดับที่ทางสมมุติเค้าเรียก ฌาน 4
    2.ไม่ได้อยากไป แต่เผลอรักษาและเก็บเป็นอารมย์ไว้ จิตเค้าจะไปเอง คือจุดนี้เป็นการทำได้โดยที่คนส่วนมากจะไม่รู้ตัว เพราะการไม่อยากไปเลยไม่มีความอยาก คุณเองก็ไม่ได้สนใจ แต่จิตเค้าจำได้ พอถึงอารมย์นั้นเค้าก็เลยไปของเค้าเองเพราะธรรมชาติของจิตเค้าชอบท่องเที่ยวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ 7-8 ปีถ้าคุณเคยเป็นแค่ 10 ครั้งถ้าไม่ได้คิดจะไปแล้วมาเดินปัญญาก็ไม่เป็นไรครับ ถือว่าข้ามจุดนั้นมาแล้วส่วนมากมาจุดนี้จะไปได้อยู่แต่ไม่ค่อยสนใจเท่าไร..แต่ถ้าคุณยังจะทดสอบว่าคุณทำได้อีกหรือเปล่า ต่อให้กำลังเดินปัญญาอยู่ ควรจะทำได้ทุกครั้งนะครับ และทุกวันที่ทำด้วยถ้าปัจจุบันนี้คุณรักษาศีล 5 เป็นปกติเพราะการไปสถานที่บางแห่งจะพอจะวัดระดับความบริสุทธิของศีลคุณได้ แต่ก็ยังไม่นับว่าระดับจิตระเอียดเท่าไร เดี๋ยวไปว่ากันข้อต่อไปนะครับ...
    3.ถ้าอยากจะสุดๆกว่านี้ คือ ต้องกำหนดสถานที่ๆจะไปได้ กำหนดสิ่งที่อยากจะเห็นได้ และที่สำคัญสามารถพูดคุยกับอีกภพภูมิได้ตามปรารถนา(ไม่ใช่ถามไปแล้วได้รับคำตอบบ้างไม่ได้รับบ้างหรือแค่เห็นได้เฉยๆนะครับ หรือได้รับคำตอบโดยยังไม่ถามนะครับ)จุดนี้เป็นจุดที่พอวัดได้ว่าความละเอียดของจิตในจุดที่เข้าใกล้จุดหมายปลายทางแล้วหละครับ....
    และจุดนี้แถมครับ..ถ้าคุณมาในระดับหนึ่งพอหลับตาจิตเค้าไปทันที แล้วไปตลอดแก้ได้โดยฝึกกสิณกองใดก็ได้แบบลืมตาครับ..หรือถ้ายังหลับตาอยู่แต่ไ่ม่ใช่ท่านอน ก็ฝึกจนสามารถควบคุมจิตให้อยู่ในร่างกายให้ได้ ประมาณนี้ครับ..
    *** จุดนี้เป็นเรื่องเล่าเสริมๆนะครับ เรื่องภพภูมิซักพักคุณอาจจะสามารถมองเห็นได้แม้ในขณะที่คุณลืมตาได้ ถ้าคุณข้ามจุดที่สามารถกำหนดสถานที่ๆคุณจะไปได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะพูดคุยได้ดังใจนะครับ จุดนี้ความละเอียดของจิตต้องพอสมควร***

    ปล.ที่กล่าวมาเป็นเพียงเรื่องเล่าในส่วนของสมาธินะครับ..ไม่ได้พูดเรื่องวิปัสสนาแต่อย่างใด ถ้าคุณข้ามไปเดินปัญญาแล้วจุดที่ผมเล่าให้ฟังก็ไม่จำเป็นเท่าไรครับ....
     
  5. กตเวที

    กตเวที สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +20
    ขอบคุณคุณ Nopphakan ค่ะที่ให้ความกระจ่าง
    ที่ผ่านมาเจอเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้งแต่ในรูปแบบต่างๆกัน

    บางครั้งเห็นเป็นอุโมงค์ที่มีแสงสว่างจ้า แล้วอุโมงค์นั้นก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนเราเดินเข้าไปใกล้ๆ แต่ด้วยความกลัวจึงหยุดดูและลืมตาขึ้น

    บางครั้งก็เห็นเป็นแสงสว่างจ้าทั้งจอทั้งๆที่ทั้งห้องมืดสนิท

    เมื่อคืนก็เห็นอีกค่ะ...เป็นหมอกสีขาวนวลๆ หมุนเหมือนกับพายุงวงช้าง.. แต่หมุนช้าๆนะคะ..แล้วก็เกิดความรู้สึกสั่นจากเอวลงไปขาจนถึงปลายเท้า+มีการกระตุกเบาๆ ครั้งนี้เป็นคร้งที่สั่นแรงและรู้สึกชัดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ไม่รู้สึกเจ็บหรือทรมานอะไรนะคะ..ด้วยความกลัว (อีกแล้ว) จึงรีบลืมตาขึ้น

    น่าแปลกตรงที่อาการแบบนี้ไม่เคยเกิดขณะนั่งสมาธิแต่จะเกิดเฉพาะตอนทำสมาธิในท่านอน ก่อนหลับค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มิถุนายน 2011
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    ขอบคุณนะครับคุณ panup ที่ฟังเรื่องเล่าผม..ผมก็เล่าให้ฟังให้ต่อแล้วกัน เพราะคงไม่มีอะไรไปสอนคุณได้หรอกครับ..เพียงแต่เล่าให้ฟังเฉยๆ ...เพราะจุดนี้เป็นเรื่องเฉพาะตัวถ้าครูบาร์อาจารย์สายวิปัสสนา เพื่อละกิเลสเลยจะไม่สอนเรื่องความสามารถพิเศษอะไรต่างๆให้เลย.เพราะท่านมองจุดหมายปลายทางอย่างเดียว....
    คือต้องมาเดินปัญญาเพื่อละกิเลสในส่วนละเอียดพอนึกออกแนวทางออกไม่ครับ เช่น จะทานข้าวให้ดับความอยากทานเพราะเห็นว่าอาหารนี้อร่อย หรือ จะไปไหนดับความอยากที่จะไป แล้วใช้สติพากายไป จุดนี้พอคาดคะเนได้นะครับ...เพราะส่วนมากทั่วไปมักจะไปดับที่ตัวใหญ่ๆก่อนแต่มักจะลืมเรื่องเล็กๆน้อยๆโดยไม่รู้ตัว....
    จุดต่อมา สมาธิก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมี เพื่อรักษาเป็นกำลังส่งเสริมในการช่วยกำจัดกิเลสต่างๆในการเดินปัญญา เหมือนๆกับน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าประมาณนี้ ขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ได้..
    ช่วงนี้ อกุศเราไม่ทำ บุญเราสร้าง แต่ไม่ยึด ต้องไม่เอาทั้งกุศล ทั้งบุญ กรรมใหม่เป็นเพียงกิริยา เพื่อยอมรับตามความจริง(ในปัจจุบัน)และวิ่งไกลจากบุญและบาป(ในอดีต)ทั้งนี้ต้องยังสมมุติ(ในปัจจุบัน)ให้ถึงพร้อมไปในขณะเดียวกันด้วย...
    ที่นี้แนวทางเดินเพื่อความละเอียดของจิตมี 2 เส้นทางให้เลือก
    1.เดินปัญญาเพื่อตัดขันธ์ 5 เพื่อให้จิตหลุดพ้นไม่ยึดติด สังเกตุดูว่า ปัจจุบันมีความคิดที่ไม่ได้ตั้งใจอะไรผุดขึ้นมาหรือไม่ ถ้าตัดได้จริงๆ ความคิดลักษณะนี้จะไม่มีเลย(เป็นปลายทางแรกก่อน)..แล้วจิตเค้าจะละเอียดของเค้าเอง.และเรื่องความสามารถต่างๆจะค่อยๆกลับมากเอง.จุดนี้ประสบการณ์ที่พบคนลักษณะนี้ นั่งสมาธิแล้วยกกายไป โดยใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที..แต่ยังมี กิเลสที่ละเอียดมากๆที่ต้องตัดอยู่ แบบเส้นยาแดงผ่าแปดเฉียดๆ ผู้ไม่มีกิเลส..เพราะเหลือวาง สติ ปัญญา(ซึ่งตอนนี้ทำงานพร้อมกัน)และ จิต....
    2.เดินปัญญาไปด้วย เจริญสมาธิไปด้วย(เนืองจากเรื่องภพภูมิเข้ามาเกี่ยวข้องแบบว่ามาเอง มาให้เห็นเองแบบไม่ได้คิดว่าจะเห็น หรือว่าไปเองได้ยังไงเพราะไม่เคยคิดจะไป หรือแม้แต่ว่าบางครั้งสามารถกำหนดได้ แต่ตัวเราสังเกตุได้ว่าใจเราไม่ได้ยึดติด)
    ก็ยังต้องเดินปัญญาเพื่อตัดขันธ์ 5 ต่อไป ฝึกสมาธิเพื่อให้ได้ความสามารถพิเศษบางอย่างเพื่อการบังคับได้..เห็นได้ พูดคุยได้ ตามใจ(เป็นเป้าหมายอีกทาง) มีวิธีฝึกเลือกเองตามจริตที่ชอบ เลือกอาจารย์ที่ถูกโฉลก.ในจุดนี้จะเร็วขี้นถ้าสามารถพิจารณาตัดกายในโหมดอรูปฌานได้(แต่ยากหน่อย).จะทำให้เรื่องภพภูมิ สัมผัสได้มากขี้น(จนมองเป็นปกติ)อาจไม่ได้ดังใจทั้งหมด แต่ดีขี้น เห็นได้บ่อยขึ้น พูดคุยได้มากขึ้น จนสุดท้ายได้ดังใจทุกกรณี..แต่การเจริญสมาธิและวิปัสสนาต้องควบคู่กันเหมือนเดิม...
    ผ่านข้อ 1และ 2 แม้ยังไม่ผ่าน 100 % ก็มีอะไรสนุกอีกเยอะ ช่วยเหลือสังคมได้หลายเรื่อง ตลอดจนช่วยบางคนในภพภูมิพอได้..ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมการเห็น หรือวิธีการเห็น..จะไม่เทียบเท่าพระอริยเจ้าก็ตาม...
    สุดท้ายเป้าหมายปลายทางเดียวกัน. เล่าตั้งนานเกือบลืมเรื่องเวลา ขี้นอยู่กับความเพียรเป็นหลักคงไม่มีใครบอกได้(ยกเว้นอาจารย์จะบอกได้แต่ก็เสี่ยงกับความประมาทในจิตใจถ้าเราทราบก่อน).เลือกตามความชอบเลยครับ
    ปล...เพียงแต่เล่าให้ฟังเฉยๆนะครับ...
    อนุโมทนาสาธุครับ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2011
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    คุณ panup คับ จะถึงขั้นที่บังคับได้ในตอนนี้คงจะบอกกล่าวหรือแนะนำได้อยากแล้วครับ..เพราะจุดนี้ไม่น่าจะมีใครบอกชี้ชัดได้นอกจากจะแนะนำเป็นแนวทาง เพราะถ้าคุณเคยได้รับคำสอน จากผู้เป็นเลิศทางสามภพแล้ว..การขอบารมีท่านเพื่อให้จิตเราละเอียดก็ไม่สามารถและไม่ควรและไม่มีใครช่วยเราได้อีกต่อไปแล้ว..นอกจากว่า ณ จุดนี้.เราจะมองเรื่องภพภูมิต่างๆที่เข้ามาเป็นธรรมดา(เพราะถ้าเล่าของแต่ละคนผมว่าอีก 3วันก็ไม่จบ) แล้วมาเดินปัญญาเพื่อละกิเลสละเอียดจนกระทั่งไม่มีเลย.(คือไม่มีความคิดแบบไม่ได้ตั้งใจลักษณะความคิดแบบที่เราแทรกแซงไม่ได้ บังคับการขึ้นมาก็ไม่ได้ บังคับเรื่องที่จะขึ้นมาก็ไม่ได้ ทั้งเรื่องอารมย์ต่างๆหรือเรื่องที่เป็นเหตุการณ์หรือแม้กระทั่งเป็นเพลงทั้งในอดีตและในอนาคต )จนไม่มีผุดหรือเกิดขึ้นมาอีกเลย ซึ่ง ณ จุดนี้ทุกคนต้องใช้เวลาและแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยกันทั้งนั้น..แต่มีวิธีหนึ่งพอจะเป็นเส้นทางลัดสำหรับคุณที่ผมพอเห็นได้คือ จุดที่คุณบอกว่าเห็นชีพจรหรือเห็นหัวใจเต้นได้..ถ้าคำว่าเห็นของคุณนั้น....เป็นการเห็นโดยที่มีสติเป็นตัวบังคับและควบคุมดวงจิตของเราเอง(ในรูปวิญญานนะครับ)ในโหมดอรูปฌาณ..ให้ดวงจิตเค้าวิ่งดูอวัยวะภายในร่างกาย การดูการเห็นของดวงจิตนั้นจะเหมือนตอนที่เ้ค้าออกไปท่องเที่ยวดูโน้นดูนี่นั่นหละครับลักษณะเดียวกันและเป็นเครื่องชี้วัดได้ว่ากำลังสติเรามากพอจะบังคับให้เค้าไปดูไปเห็นได้ด้วย ณ จุดนี้.จะเป็นอวัยวะชิ้นส่วนใดก่อนก็ได้แล้วให้ดวงจิตเค้ามองเห็นเค้าดูโดยใช้สติบังคับเค้า ให้ดูอวัยวะชิ้นส่วนนั้นให้เห็นตั้งแต่ การเกิด และมองไปถึงการดับ คือใช้สติบังคับให้ดวงจิตเค้ามองจนลงไตรลักษณะได้นั้นหละครับ..จุดนี้แค่เห็นชิ้นละเอียดก็จะเกิดความเบื่อหน่ายจนแทบจะเบื่อโลกนี้แล้ว ถ้าทำได้เพียงแค่ชิ้นเดียวอย่างที่เล่าให้ฟังนะครับ.อนุโมทนาสาธุล่วงหน้าก่อนเลยครับ....
    แต่จุดนี้ก็มีของแถมสนุกๆ(ตามจริต ขำๆ)..เพิ่มเติ่มมาด้วย ถ้าสมมุติว่าร่างกายเราเป็นอะไรซักอย่างที่ยังรักษาไม่หายขาดซักที หรือเป็นเรื้อรังมานาน ถ้าบังคับดวงจิต(ในรูปวิญญาน)ให้เค้าไปดูตรงอวัยวะชิ้นนั้นได้.ณ จุดนั้นจะเกิดการระเบิดสลายตัวของเชื้อหรือต้นเหตุที่เป็นสาเหตุให้เราเป็นและ รับรองว่าหายขาดไม่เป็นอีกเลย ดีกว่าวิ่งเล่นในอุโมงค์ที่เป็นโพรง(จุดนี้จะเข้าเองครับถ้าเริ่มดูได้จริงๆในโหมดที่ว่า)และที่เล่าให้ฟังนี้ถ้าทำได้..ทุกเรื่องที่สงสัยอยู่ภายใจจิตจะหมดสิ้นและพบแนวทางได้ด้วยตัวเอง....
    ผมแค่เพียงแต่เล่าให้ฟัง...
    ขอบคุณครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2011
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,428
    ค่าพลัง:
    +35,035
    อนุโมทนาสาธุครับ..เมื่อเกือบชั่วโมงที่แล้วผมทำบุญตักษาตรอยู่ครับ..
     
  9. Kieam

    Kieam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +5
    ผมตอบแจกแจงที่ผมเคยพบมานะครับ
    1.) มีจุดแสงสีต่าง วิ่งไปวิ่งมา ในความมืด
    2.) พุ่งลงในอุโมงค์ที่มืด ข้างๆ อุโมงค์รู้สึกว่ามีมือมาคอยจับ เพื่อไม่ให้ลงพุ่งลงไป แต่จับไม่โดนตัวลง

    ผมขอสรุปว่า ทั้งหมดที่ผ่านมานี้ เป็นแค่อาการปิติ และนิมิตที่เกิภายใต้จิตใต้สำนึกยังไม่ถึงสมาธิระดับ 4 ครับ

    เพราะถ้าถึงระดับ 4 แล้วเราต้องการทราบอะไร ก็สามารถโน้มจิต เพื่อไขกระจ่างได้ครับ แต่ถ้าไม่มี หรือไม่เคยทำมาก่อนในอตีดชาติ ก็จะไม่สามารถทำได้ แต่สามารถสร้างในชาตินี้ได้ครับ หรือเราสามารถขอบุญบารมีที่สูงกว่ามาไขกระจ่างได้ครับ (ผมใช้คำพูดต้องการ ไม่ใช่คำว่า อยากนะครับ นั้นหมายถึงว่า เป็นความต้องการที่ปราศจากตัวกิเลส หรือนิวรณ์ เช่นอยากเห็นเลข กับต้องการเห็นเลขหวย นี้ความหมายต่างกันครับ)

    ส่วนเรื่องอธิฐานจิตนี้ เท่าที่รู้มาจากตำรา ยังไม่เคยทำถึงสักที คือการที่เราต้องนั่งสมาธิให้ได้ระดับ 4 ก่อนและถอนมาที่ระดับ 2 แล้วอธิฐานเมื่ออธิฐานความต้องการแล้ว จึงจะนั่งสมาธิไปที่ระดับ 4 อีกครั้งครับ
     
  10. Kieam

    Kieam สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +5
    จากประสบการณ์ขั้นต้น ในข้อ 2
    เมื่อผมพุ่งไปเรื่อยๆ ถ้าถามผมว่าภาวะน่ากลัวไหม ผมตอบได้ว่าน่ากลัว แต่ไม่มีความกลัวครับ เหมือนเราจะทราบได้ว่า ปลายอุโมงค์มีทางออกเองครับ เมื่อถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ก็จะปรากฏว่า ดวงแก้ว (ในประสบการณ์ของผมนะครับ แต่ผมคิดว่าน่าจะเป็นภาพนิมิต) และภาวะดังกล่าวก่อนเห็นดวงแก้ว มันจะสงบมากครับ เป็นกึ่งหลับกึ่งตื่น ยืนไม่ใช่ นอนไม่ใช่ มีความสงบเป็นทึ่ตั้ง ความคิดหรือลมหายใจแทบไม่มี มีแต่ความรู้ตัวอย่างเดียวเท่านั้น ความกลัวไม่มีนะครับ (การนั่งสมาธิมี ความกลัว ความอยาก ความลังเล ไม่ได้นะครับ สมาธิจะถดถอยทันที)

    หวังว่าคงช่วยผู้อ่านได้บ้างนะครับ
     
  11. telwada

    telwada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กันยายน 2004
    โพสต์:
    1,862
    ค่าพลัง:
    +1,818
    ถ้าข้าพเจ้าตอบไป ก็อย่าคิดว่าข้าพเจ้าทำลายความเชื่อของคุณเลยนะขอรับ เพราะข้าพเจ้าจะตอบคุณตามตรงเลยว่า
    ๑. เหตุการที่คุณกล่าวมา ข้าพเจ้าก็ประสบอยุ่บ่อยครั้ง แต่เมื่อพิจารณาและวิเคราะห์ดูแล้ว มันเป็นเพียงความฝันอันเกิดจากความต้องการหรือความอยากที่อยู่ในส่วนลึกของสมองและจิตใจเท่านั้นขอรับ

    ๒.หากเกิดขึ้นอีก ก็ช่างมันขอรับ เพียงแต่หากคุณรู้สึกตัวแล้วก็อย่าหลงกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณเพราะนั่นไม่ใช่ความจริง ข้าพเจ้าเอง ก็เคยลอยไปเหาะไปเมื่อตอนนอนหลับ เพื่อไปดูพระเจดีย์ จุฬามณี อะไรนั่น เห็นแต่ สัตว์กึ่งเทวดาบางชนิด ตอนนี้จำไปค่อยได้ เพราะเกิดขึ้นเมื่อประมาณ ๓๗ ปี(สามสิบเจ็ด) มีอยู่ ๒ถึง๓ ตัวเท่านั้น นอกนั้นก็มีเจดีย์และความว่างเปล่าเงียบสงัดไม่มีเสียงอะไรเลยขอรับ และยังมีอีกหลายครั้ง บางครั้งไม่ใช่นอนหลับก็ยังมีเลย แต่ข้าพเจ้าไม่เคยติดหลง เพียงจำไว้เป็นประสบการณ์ และเป็นความรู้ขอรับ

    ๓.ไม่มีอันตรายอะไรดอกขอรับ ถ้าคุณไม่ติดหลง ให้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาของ ภวังคจิต คือ ระบบการทำงานของร่างกาย อย่าหลงคิดว่าได้เห็นได้พบ ก็ย่อมไม่ทำให้คุณเพ้อเจ้อขอรับ

    ๔. มนุษย์ถอดจิตไม่ได้ขอรับ แต่ถ้าฝึกตนหรือปฏิบัติธรรมจนถึงชั้น อรห้นต์ จะสามารถแยกดวงจิตได้ขอรับ คำว่าแยกดวงจิตหมายถึงการแบ่ง หรือบังคับให้ดวงจิตหรือนิวเคลียสภายในร่างกาย เคลื่อนไหลออกจากร่างกายไปสู่จุดหมายได้ ข้าพเจ้าเคยทดลองทำหลายครั้ง ครั้งที่สำคัญที่สุด ข้าพเจ้าได้ทดลอง แบ่งแยกดวงจิตและเคลื่อนย้ายเข้าสู่หัวใจของ แม่ยายข้าพเจ้าที่นอนป่วยอยู่ และดูเหมือนจะรักษาไม่ได้แล้ว เพราะเส้นโลหิตและโลหิตในสมองอุดตันหรือแข็งตัว พอข้าพเจ้าเปล่งฉัพพรรณรังสี แม่ยายของข้าพเจ้าก็เปล่งฉัพพรรณรังสีตามข้าพเจ้า ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้ว่า แม่ยายข้าพเจ้าเสียชีวิตไปแล้ว แต่อยู่ได้เพราะใส่เครื่องหายใจไว้เท่านั้น เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาล เชียงรายฯ เมื่อประมาณเกือบ ๒๐ ปี(ยีสิบ) มีพยาบาลที่เข้าเวรอยู่มองเห็นด้วยขอรับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2012

แชร์หน้านี้

Loading...