เรื่องเด่น หลวงตา:พระราชปัญญาเมธีแนะเรียนรู้ธรรมะจากน้ำ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 2 สิงหาคม 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    86929_th.jpg


    หลวงตา:พระราชปัญญาเมธีแนะเรียนรู้ธรรมะจากน้ำ

    เรียนรู้ธรรมะจากน้ำ(Comprehension of Dharma from Water)

    I. นำเรื่อง


    “น้ำ”เป็นของเหลวเอิบอาบและซึมซาบอยู่ในทุกสิ่ง ไม่ว่าสิ่งมีชีวิต เช่น คน และสัตว์ แร่ธาตุ และวัสดุสิ่งของที่มีชีวิต และไร้จิตวิญญาณ ทั้งในสัตว์นานาชนิด ต้นไม้ และแร่ธาตุหลากชนิด พูดในแง่ภูมิศาสตร์ พื้นที่ดินในโลกนี้ ประกอบด้วยพื้นที่ๆเป็นน้ำ นับว่ามากกว่าพื้นดินถึง ๑ ใน ๓ ตามสัดส่วน


    ในร่างกายของคนเรานั้น ท่านว่าประกอบขึ้น หรือสร้างขึ้นมา ด้วยธาตุ(สิ่งทรงอยู่ คงอยู่ตามสภาวะของตนเอง) ๔ อย่าง คือ ปฐวีธาตุ-ธาตุดิน อาโปธาตุ-ธาตุน้ำ วาโย-ธาตุลม และ
    เตโชธาตุ ธาตุไฟ- อุณหภูมิ ความร้อน ฯ


    สังคมมนุษย์ในยุคแรก ๆนั้น ยึดอาชีพการเลี้ยงปศุสัตว์บ้าง ทำการเกษตรเพาะปลูกพืชพรรณธัญญาหารบ้าง ทั้งสองงอาชีพนี้ ล้วนแต่ต้องการน้ำ หรือแหล่งน้ำเข้ามาสนับสนุนทั้งสิ้น หากขาดซึ่งแหล่งน้ำเสีย การประกอบสัมมาอาชีพดังกล่าวก็เป็นไปไม่ได้ ดังนั้น เราจึงเห็นได้ว่า ชุมมนุษย์ในยุคต้น ๆประวัติศาสตร์ จะพากันตั้งรกรากกันตามที่ราบแถบแม่น้ำสำคัญ ๆของโลก ไม่ว่า ลุ่มแม่น้ำฮวงโห ในประเทศจีน ลุ่มแม่น้ำสินธุ แม่น้ำคงคา ในอินเดีย และลุ่มแม่น้ำไทกรีส ยูเฟรติส ในตะวันออกกลาง


    II.น้ำกับร่างกายคน


    ดังกล่าวมาบ้างแล้วว่า ร่างกายของคนเรา ประกอบด้วยธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ บางครั้งก็เติม”ธาตุรู้” คือ จิต หรือ วิญญาณ เข้าไปด้วย
    ในส่วนธาตุน้ำ หรือ อาโปธาตุ นี้ ท่านว่าได้แปลงตัวกลับไปเป็น”น้ำ”ที่มีลักษณะเหลวไหล อยู่ในร่างกายยาววาหนาคืบนี้ คือ มันได้เปลี่ยนไปเป็น “น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ น้ำมันข้น น้ำตา น้ำมันเหลว น้ำลาย นำมูก ไขข้อ มูตร”


    ในร่างกายของเรานี้ ตามหลักการแพทย์ปัจจุบันว่า มีน้ำอยู่ประมาณ ๗๐-๘๐ % หรือประมาณ ๒ ใน ๓ เช่น ปอดมีน้ำอยู่เกือบ ๙๐ % สมอง ๗๕ % และตามผิวหน้ามีน้ำอยู่ ๓๕ %
    “น้ำ”ดังว่ามานี้ ท่านเรียกว่า”สาร” ซึ่งประกอบด้วย ไฮโดรเย็น ๒ อะตอม กับ อ๊อกซิเยน ๑ อะตอม ๑ เขียนเป็นสูตรทางเคมีว่า “H2O”


    คงเป็นเป็นสารประกอบอย่างนี้กระมัง ที่ทางพระอภิธรรม ท่านแสดงทัศนะไว้ว่า”อาโปธาตุ”แท้ ๆนั้น ไม่อาจจะสัมผัสถูกต้องได้ เพราะว่ามันมีความละเอียดประณีตเกินไป


    IV. ธรรมชาติของน้ำ


    ธรรมของน้ำนี้ แม้จะมีลักษณะเหลว และไหลลงสู่ที่ต่ำ ๆ ไม่มีพัก(ถ้าเราไม่กักกันมัน) ดู ๆมันก็เหมือนสรรพสังขาร –สิ่งที่เกิดจากเหตุปัจจัย และจิตใจของคนเรา


    นอกจากนี้ เราอาจพอสังเกตเห็นลักษณะพิเศษ เฉพาะของน้ำอยู่บ้าง ผู้เขียนจะขอลองประมวลมาพิจารณาดูกันสัก ๗– ๘ ข้อ ดังนี้


    ๑. น้ำรักษาพื้นหน้าไว้สม่ำเสมอตลอดเวลา ไม่สูงไม่มีต่ำกว่ากันเลย(สมตา)


    ๒. น้ำมีธรรมชาติเยือกเย็น และสดชื่นเสมอ(เมตตา-กรุณา)


    ๓. น้ำมีศักยภาพในการชำระล้างและกำจัดสิ่งสกปรกโสโครก(สุจิ/สุจริต)


    ๔. น้าจะไม่แยกแตกจากกัน แม้จะถูกก้อนหินทุ่มลงไป เพียงประเดี๋ยวเดียว มันก็จะกลับมารวมกันเหมือนเดิม และเวลาเราเอาไม้ขีด หรือ มีดตัดฟัน ก็จะแบ่งแยกมันไม่ได้เลย(สามัคคี)


    ๕. น้ำ นั้นมีพลังเชื่อมประสานอย่างอัศจรรย์ เช่นกรณีการเชื่อมเหล็ก ปูน ทราย และหินเข้าเป็นแท่งเดียวกัน อย่างแข็งแรงที่สุด(สมัคคานัง ตะโป สุโข)


    ๖.น้ำมีลักษณะรักษาระดับให้เท่ากันตลอดเวลา เช่นเวลาเราจะหาระดับพื้นอาคาร หรือ พื้นบ้านเรือน เราเอาสายพลาสติกยาวพอวัดจากหัวไปหาท้ายได้ นำมากรอกน้ำจนเกือบเต็ม แล้ว

    เราก็ดึงสายกันคนละข้าง สุดสถานที่จะเทพื้นนั่นแหละ น้ำในสายพลาสติกทั้งสองข้าง มันหยุดตรงไหน นั่นแหละระดับที่เท่ากัน


    ๗.น้ำมีลักษณะที่ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเก่งที่สุด เมื่อเราเอาน้ำใส่เข้าไปในภาชนะใด ๆ เช่นขวด โหล ถัง รูปร่างอย่างใด น้ำมันก็เปลี่ยนรูปร่างของมันไปตามภาชนะนั้น ๆ


    ๘.น้ำนี่แม้อ่อน ๆนี่แหละ แต่มีพลังมหาศาลเลยแหละ มันสามารถกัดเสาะทำลายภูเขาได้ทั้งลูก ถ้าทำช่องบีบมันให้เล็กลง ๆ มันก็ยิ่งมีพลัง จนเราสามารถนำพลังนี้ไปหมุนไดนาโม ผลิตไฟฟ้าพลังน้ำได้เป็นล้าน ๆเม็กกะวัตต์เลยทีเดียว


    การที่เราทำกับน้ำได้อย่างนี้ ก็เพราะเรารู้จักธรรมชาติของมันนะ เหมือนเราจะจัดการกับใจเราได้ เราก็ต้องรู้ต้องรู้ต้องเข้าใจธรรมชาติของทุกข์ และธรรมชาติของตัวเราด้วย


    V. ระวังและจัดการกับน้ำที่ท่วมใจเราโดยเร็ว


    พูดไปทำไมมี พวกเรานี้ก็เป็นคนป่วย ป่วยด้วยโรคน้ำท่วมใจตลอดเวลา หลายคนก็เป็นมาไม่กี่ปี หลายคนก็เป็นมาเป็นสิบ ๆ ปี หลายคนก็เป็นมาจนค่อนชีวิตเข้าไปแล้ว แต่ไม่คิดจะเยียวยารักษามันจริง ๆเสียที ใช่หรือเปล่า?


    พระพุทธเจ้าตรัสว่า พวกเราถูกน้ำพิษ น้ำสารพัดพิษนี้ ท่วมใจเราอยู่ ๔ ตัวด้วยกัน คือ


    ๑.กาโมฆะ-ห้วงน้ำพิษคือ การความรักใคร่ติดอกติดใจใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่น่าหลงใหลติดพัน แกะไม่ออก สลัดอย่างไร ๆก็ไม่หลุดได้สักที ตกเป็นทาส เป็นเบี้ยล่างให้มันกระทำย่ำยีอยู่ตลอดเวลา


    ๒.ภโวฆะ –ห้วงน้ำคือ ภพภูมิที่เต็มไปด้วยกามารมณ์ที่เป็นทิพย์เป็นสวรรค์ กระตุ้นให้เราอยากไปเกิดในดินแดนนั้น ๆ


    ๓.ทิฏโฐฆะ-ห้วงน้ำคือความเห็นผิด เข้าใจผิด แล้วนำไปสู่ความเห็นว่าเที่ยงแท้ สวยงาม มั่นคงยั่งยืน และผู้เห็นก็เต็มไปด้วยความทะยานอยาก และความยึดติดอย่างเหนียวแน่น ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวางเอาเลย


    ๔.อวิชโชฆะ- ห้วงน้ำคือความลุ่มหลง ความโง่ ความไม่รู้ความจริง ไม่รู้ตามที่เป็นจริง ที่สำคัญก็คือ ไม่รู้จักอดีต-ที่มาของเรา ไม่รู้จักอนาคต-ที่จะไปของเรา ไม่รู้จักปัจจุบันว่า เราแท้จริงคือใคร?ควรจะทำอะไร? ปฏิบัติอย่างไร?และควรจะได้อะไร?


    และข้อที่สำคัญที่สุด ก็คือ ไม่รู้ ไม่เข้าเรื่อง อริยสัจ ๔ ประการ


    ตัวโอฆะ –ห้วงน้ำท่วมใจเหล่านี้แหละ เป็นต้นเหตุใหญ่ที่ทำให้เราทุกคนต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่ร่ำไป ไม่รู้หยุดรู้หย่อนเอาเลย


    สุดท้าย-ท้ายสุด พระพุทธเจ้าจึงทรงพระเมตตาบอกพวกเราให้วิดน้ำพิษเหล่านี้ออกจากเรือ คือใจของเราเสียที แล้วพวกเราประสบความสงบสุขที่แท้จริงกัน ดังพระบาลีว่า
    “สิญจะ ภิกขุ อิมัง นาวัง สิตวา เต ละหุเมสสะติ,
    เฉตวา ราคัญจะ โทสัญจะ ตะโต นิพพานะเมหิสิฯ”
    “ภิกษุ เธอจงวิดน้ำ(คือกิเลส)ออกจากเรือนี้ เรือที่เธอวิดน้ำ
    ออกแล้ว จักเบา แล้วจะแล่นถึงจุดหมายปลายทาง
    เมื่อเธอตัดราคะ โทสะ(และโมหะ) เสียแล้วจะถึงพระนิพพานฯ”(ธ.บ.๓๖๙)

    -----------------------------------------
    นโม พุทธาย
    หลวงตา:พระราชปัญญาเมธี-กุสลจิตโต (อดีตรองอธิการบดีฝ่ายกิจการต่างประเทศมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทราลัย) ๒๙ กรกฎาคม ๖๐ เวลา ๒๑.๐๗ น.

    ----------
    ขอบคุณที่มา
    http://www.banmuang.co.th/news/education/86929
     
  2. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,916
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,494
    ผู้จะเรียนธรรมะ เข้าใจธรรมะ ฟังธรรมะได้บ้าง ปากท้องต้องอิ่มก่อน ในตำรามีเรื่องเล่าไว้ ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเล็งเห็นอุปนิสัยคนเลี้ยงโคที่จะรู้ธรรมะได้ แต่เขาตามหาโคทั้งวันข้าวปลาไม่ได้กินหิวจนตาลาย พระพุทธเจ้าสั่งให้คนวัดพาเขาไปกินอาหารก่อนแล้วค่อยมาฟังธรรม (คร่าวๆประมาณเนี่ย) อาหารกาย คือ คำข้าว อาหารใจคือธรรมะ
     
  3. tharaphut

    tharaphut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,721
    ค่าพลัง:
    +5,211
    สาธุ สาธุ สาธู อนุโมทนามิ
     

แชร์หน้านี้

Loading...