หลวงพ่อของเราลาพุทธภูมิ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 29 มกราคม 2008.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    หลวงพ่อลาพุทธภูมิในสมัยที่มาอยู่ชัยนาทนั้น พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านยังมุ่งหน้าปรารถนาพุทธภูมิ ทำทุกอย่างเพื่อความบรรลุมรรคผลเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล กำลังใจมุ่งมั้นประกอบความดีหลายประการ ทุกอย่างที่คิดว่าดีตามที่ครูบาอาจารย์สอน คำว่าครูบาอาจารย์สอนที่ก็หมายความว่า ตั้งแต่พระพุทธเจ้าลงมาตามพระธรรมวินัย คือตามตำรับตำราบ้าง ตามคำสอนของครูบาอาจารย์บ้าง ตามปฏิปทาที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนบ้าง ทำทุกอย่าง เสียสละทุกอย่าง ตนเองจะไม่มีกินไม่มีใช้ไม่เป็นไร ขอให้บรรดาภิกษุสามเณรที่อยู่ด้วยกันมีความสุข ชาวบ้านมีความสุข ที่อยู่อาศัยของตนปล่อยรกเหมือนรังกา แต่ที่อยู่ของคนอื่นต้องสั่งสร้าง สั่งทำความสะอาด สร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นทั้งภายในวัดของตนเองแล้วก็ภายนอกแต่ทว่าท่านไปสร้างความดีที่ไหนก็ถูกเขาด่าที่นั่นเป็นเรื่องปกติ สร้างโบสถ์วิหาร สร้างศาลาการเปรียญให้เขา สร้างที่อยู่อาศัยให้เขา สร้างความสุขความเจริญทั้งฝ่ายโลกของฝ่ายธรม อะไรที่ไหนที่เป็นส่วนสาธารณประโยชน์ ความสุขของท่านเองไม่เคยคิด คิดอย่างเดียวว่าจะมุ่งมั่นเพ่อพระโพธิญาณ มีความต้องการอย่างเดยวจะสร้างสรรค์บุคคลอื่นให้มีความสุข ความลำบากแค่นี้ไม่มีความหมาย ต่อไปจะทำให้ยิ่งๆขึ้นไปเพื่อพระโพธิญาณหลวงพ่อโดนทั้งฆราวาสโดนทั้งพระ พระทั้งที่มีความรู้ดีในด้านปริยัติ บางท่านก็มีศักดิ์ศรีสูง มียศมีตำแหน่งสูง ต่างคนต่างก็รวมกันกินโต๊ะท่าน หาทางประนามกลั่นแกล้งด้วยประการทั้งปวง จนกระทั่งตัวท่านเองเคยเล่าให้ฟังว่า เคยคิดว่าคนพวกนี้น่าเก็บเอาไว้ใต้ดินดีกว่า แต่เข้ามามองดูตัวเห็นว่าห่มผ้าเหลือง คลำดูหัวเห็นว่าผมสั้น คลำๆดูคิ้ว ไม่มี ก็มาตัดสินใจว่าเมื่อเขาเลวเราก็จงอย่าเลวตอบ คนจะดีเกินพระพุทธเจ้านั้นไม่มีท่านคิดว่าองค์สมเด็จพระภควันต์ถูกมาแบบนี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ไม่ทรงท้อถอยกลับมุ่งมั่นสงเคราะห์บุคคลทั้งหลายให้มีความเข้าใจในเรื่องของความสุขและความทุกข์ แล้วเรานี่ถูกประทุษร้ายด้วยวาจา ด้วยการกลั่นแกล้งจากบรรดาภิกษุสามเณร และฆราวาสที่เราสร้างสถานที่ให้อยู่อาศัย ให้ปัจจัยเป็นเครื่องบริโภคมีความสุข ที่เราถูกนี้ไม่ถึงพระพุทธเจ้า ขนาดพระนางมาคันทิยาจ้างคนติดตามด่า จะไปเทศน์ที่ไหนก็ยืนด่าที่นั่น บิณฑบาตที่ไหนก็ยืนด่าที่นั่น ทำอย่างนี้องค์สมเด็จพระภควันต์ก็ยังไม่ท้อถอย ทำไมเราจึงคิดจะไปทำลายล้างบุคคลประเภทนั้น ท่านคิดต่อไปว่า คนชั่วไม่มีที่ไหน ที่นั้นก็หาคนอยู่ไม่ได้เพราะต่างคนต่างมีความสุขเสียแล้ว ขึ้นชื่อว่าสุขในปัจจุบันเป็นเครื่องพอ ก็ไม่แสวงหาความสุขยิ่งไปกว่านี้ จึงมาตัดสินใจว่าคนชั่วเหล่านี้เป็นครูของเรา เมื่อตัดสินใจแบบนี้แล้วก็วางภาระไม่สนใจกับคำด่า ไม่สนใจกับคำสรรเสริญ พยายามมุ่งมั่นทำความดีต่อไปแต่ต่อมาหลังจากนั้นแล้วก็มีความเบื่อหน่ายจริงๆ คิดว่าชีวิตเดียวกับเราเท่านี้ โลกยังสร้างความทุกข์ให้เราขนาดนี้ ถ้าหากว่าถ้าเราปรารถนาพระโพธิญาณต่อไป ก็จะต้องเกิดอีกกี่แสนกัปก็ไม่รู้ แต่ละกัปอาจจะเกิดหลายครั้ง แต่ละคราวก็จะเกิดเรื่องราวแบบนี้นี่ท่าทางไม่ดีพระอุปัชฌาย์บอกแล้วว่าหลังจากบวชแล้วยี่สิบปีไป ความปราถนาทุกอย่างที่เธอตั้งไว้จะสำเร็จผล ฉะนั้น จงคิดว่าการที่จะทำตนให้ถึงพระโพธิญาณต่อไปไม่เป็นเรื่อง ขอลาพระโพธิญาณ เมื่อจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยลาพระโพธิญาณ ในขณะนั้นเองก็ปรากฏว่ามีพระลอยมาในอากาศมีฉัพพรรณรังสีหกประการพวยพุ่งออก เข้ามายืนใกล้ก็ทราบว่าพระองค์นั้นเป็นใคร พระองค์แย้มพระโอษฐ์แล้วตรัสว่า เธอปราถนาพระโพธิญาณมามีบารมีเต็มเกือบบริบูรณ์แล้ว ถ้าเธอจะลาทำไมไม่ลามาเสียตั้งหลายร้อยชาติมาแล้ว เพราะอารมณ์สาวกภูมิของเธอเต็มมานานแล้ว เวลานี้เลยเข้ามาจนจะบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ชาติที่จะพึงเกิดต่อไปเพียงเจ็ดชาติเท่านั้นไม่ได้หรือ ขอให้ทนต่อไป....พอฟังคำเท่านั้นใจก็อ่อน ปรารถนาพระโพธิญาณต่อไปมุ่งมั่นปฏิบัติต่อไปตามจริยาของพระโพธิสัตว์มาอีก ๑ ปีมันไม่ไหวอีก บรรดาพระบรรดาฆราวาสรุกรานเต็มที่ เอ้าลาใหม่ ท่านก็ตรัสอย่างนั้น ตั้งต้นกันใหม่ ว่าไปอีก ต่อมาในครั้งหลังสุดที่ไม่ต้องการพระโพธิญาณ นั่นก็คืองานคณะสงฆ์ เกิดขึ้นในจังหวัดชัยนาทที่เป็นความร้ายแรงที่สุด เพราะว่าพระที่ทรงศักดิ์เขตจังหวัดนั้นรุกรานพระผู้น้อย เข้าปล้นทรัพย์สินของวัดต่างๆ โดยใช้อำนาจของตนที่มีอยู่ ยึดทรัพย์สินต่างๆ ของวัดต่างๆ ถ้าเจ้าอาวาสวัดไหนฝ่าฝืนก็สั่งถอดเสียบ้าง สั่งพักเสียบ้าง จับสึกบ้าง โดยที่เจ้าตัวไม่เต็มใจจะสึก เมื่อโดนเข้าแบบนี้ก็เห็นว่า โอหนอ ทำไมพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจึงมีจริยาเลวอย่างนี้น้าที่ที่จะต้องปฏิบัติอยู่ในงานนั้นเป็นหน้าที่โดยตรง จึงหาทางสืบสวนว่าพระที่ทำหน้าที่เป็นโจรท่านนี้เอาอำนาจมาจากไหนรุกรานเขา ยึดทรัพย์สมบัติทั้งหมดอันเป็นของสงฆ์ เอามาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัว ซื้อขายแจกจ่าย ทำแบบฆราวาส ขุดกรุบ้าง ทำลายพระพุทธรูปเสียหายบ้าง ทำทุกอย่างที่มันจะพึงได้ประโยชน์ แต่เขาไม่มีโทษ ถูกฟ้องร้องเข้าไปเมื่อไรก็ปรากฏว่าท่านผู้นี้ได้รับเลื่อนยศเมื่อนั้น สืบไปสืบมามีต้นต่อใหญ่ มีตำแหน่งใหญ่ในการบริหารคณะสงฆ์ พอทราบกิจนี้จิตก็ตกลง กำลังใจตก คิดว่าปราถนาพระโพธิญาณต่อไปไม่ได้แล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วทรงยับยั้งนั้นเป็นความดี แต่ทว่าเพียงแค่นี้เพียงชีวิตเดียว เราก็ประสบกับความชั่วขนาดนี้ ถ้าต้องเกิดอีกเจ็ดครั้งมันไม่ยิ่งไปกว่านี้หรือนี่ นี่ชีวิตเดียวเท่านี้คงทนไม่ไหว ในขณะนั้นจึงได้ตั้งใจจะลาพระโพธิญาณต่อไปอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ตัดสินใจเด็ดขาด ถึงแม้องค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถจะเปล่งฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการมาปรากฏเฉพาะ ยับยั้งเพียงใดท่านก็ไม่ยอม เพราะว่าเพียงชีวิจนี้ชีวิตเดียวยังทนไม่ไหว ถ้าพระเน่าอย่างนี้ชาตินี้ชาติเดียวไม่เป็นไร ชาติหน้าถ้าพบพระเน่าอย่างนี้อีกดีไม่ดีกลายเป็นสัตว์นรกไป เพราะท่านที่ปราถนาพระโพธิญาณไม่มีโอกาสเป็นพระอริยเจ้ายังฆ่าคนได้ ยังทำอันตรายชีวิตเขาได้ ถ้าบังเอิญนิสัยเก่ามันกลับมาเมื่อไหรก็หมายถึงเมื่อนั้นแหละจะเข้าคุกเข้าตะรางกัน เวลาตายก็จะลงเอวีมหานรก ขอลาไม่อยู่ต่อในเมื่อตั้งใจจริงๆ องค์สมเด็จพระบรมครูก็ไม่ขัด จึงได้มีพระพุทธดำรัสตรัสว่า สัมพเกสี เธอปราถนาพระโพธิญาณมา ฉะนั้น เมื่อลาก็ต้องทำกิจส่วนตัวของเธอให้จบ ถ้ากิจนั้นจบเมื่อไรแล้ว จงทำกิจของพระโพธิญาณต่อไปอีก ๑๒ ปี ภายใน ๑๒ ปี นี้จะตายไม่ได้ ก็ได้แต่แปลกใจมีแต่เขาให้ตาย นี่ห้ามตาย ก็คิดว่ามันจะเป็นได้ก็ช่าง ระยะ ๑๒ ปีปีดีกว่า ๗ ชาติ เพราะหนึ่งชาตินี่มันหลายสิยหลายร้อยปี ถ้าเกิดต้นกัปก็เกิดมีอายุเป็นหมื่นๆ ปีก็แย่ ก็รับคำ เมื่อรับคำแล้วก็มีพระพุทธบัญชาว่า "สัมพเกสี นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กลางวันเธอจะมีกิจอะไรก็ตามที กลางคืนมักจะมีแขกคุยดึกๆ เธอจงละกิจนั้นเสีย เมื่อถึงเวลาสี่ทุ่ม จงเลิกการติดต่อกับแขก เข้าทำกิจส่วนตัวให้เคร่งครัด"ท่านได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิ์ว่า ลาพุทธภูมิแล้วโอกาสจะบรรลุมรรคผลขั้นที่สุดมีไหม องค์สมเด็จพระจอมไตรตรัสว่า เวลานี้เธอเทียบสัตตักขัตตุง คำว่าสัตตักขัตตุง ก็หมายความว่า จะต้องเกิดอีก ๗ ชาติ ในทีนี้ความหมายว่า พระโสดาปัตตัผลเบื้องต้น พระโสดาบันมี ๓ ชั้น คือ เอกพีชี อันดับสูงสุดจิตละเอียดที่สุด เกิดมาเป็นมนุษย์อีกชาติเดียว โกลังโกละ จิตละเอียดระดับปานกลาง เกิดเป็นมนุษย์อีก ๓ ชาติ สัตตักขัตตุง เกิดเป็นมนุษย์อีก ๗ ชาติก็เป็นอันว่าจิตเทียบเข้าพระโสดาปัตติผลอันดับต้น กราบทูลองค์สมเด็จพระทศพลต่อไปว่า ถ้าจะปฏิบัติไปแล้วกิจในพระพุทธศาสนาจะจบลงเมื่อไหร ภาพนิมิตขององค์สมเด็จพระจอมไตรกล่าวว่า ถ้าเธอขยันหมั่นเพียรดี ทำจิตให้พอดี คือเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ขยันเกินไปไม่ขี้เกียจเกินไป อย่างเร็วเธอจะได้บรรลุจบกิจของเธอภายในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ ถ้ากำลังใจของเธอย่อหย่อน เธอจะจบกิจของเธอภายในเดือนพฤศจิกายนปีหน้า เดือนที่ท่านลาพุทธภูมินั้น เป็นกลางๆ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๕๐๖"ขอบารมีที่ข้าพระพุทธเจ้า ได้บำเพ็ญมาแล้ว ๑๖ อสงไขยกับแสนกัป ทั้งนี้ก็เพื่อปราถนาที่จะรื้อขนสัตว์ ให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน และเจตนาใดที่ข้าพระพุทธเจ้า ได้ตั้งมโนปณิธานเพื่อพระโพธิญาณ ข้าพระพุทธเจ้าขอลาพระโพธิญาณตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เพื่อปราถนาที่จะได้อรหันตผล และจะเป็นกำลังในองค์สมเด็จพระทศพลสืบอายุพระศาสนาให้ครบห้าพันปี นับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป"(สามารถอ่านแบบเต็มได้ที่หนังสือพระราชพรหมยาน)จากหนังสือพระราชพรหมยาน ที่มา เวปแดนพระนิพพาน
     
  2. {ผู้ชนะสิบๆทิศ}

    {ผู้ชนะสิบๆทิศ} เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2006
    โพสต์:
    221
    ค่าพลัง:
    +917
    ยิ่งฟังเสียงท่านมากเท่าใด ยิ่งคิดถึงท่านมากเท่านั้น

    เรานี่มันบารมีน้อยจริงๆ มารู้จักท่าน ท่านก็ไปเสียแล้ว แต่ดีใจมากๆ ที่ได้ยินเสียงท่าน

    ชื่นใจทุกครั้งที่ได้ยินเสียงท่าน สาธุ
     
  3. tendosuji

    tendosuji เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +228
    เรียนท่านผู้ตั้งกระทู้ บทความนี้ ทางเวปแดนนิพพาน เขาสงวนใว้ให้กับสมาชิกของเขาเท่านั้น ทั้งนี้เนื้อหาบทความเสี่ยงต่อการปรามาสหลวงพ่ออย่างยิ่ง มิสมควรเผยแพร่ ที่สาธารณะแบบนี้เลยมิควร ในความคิดผมนะ ...

    และอีกอย่างท่านเอง ปรารถนา พุทธภูมิ สาย วิริยะธิกะ

    http://palungjit.org/printthre...?t=1417&pp=100

    ตามข้อมูล แต่ท่านเองทำไม มักง่ายไม่ทำบารมีเองไป copy คนอื่นเขามา ทั้งที่คนเขากว่าจะพิมพ์เสร็จก็ใช้เวลาจัดเรียงตัวหนังสือ ไม่อายเหรอ ทำแบบนี้แบบนี้ คงมิใช่วิสัยพุทธภูมิ สาย วิริยะกะ แน่นอน มันต้องทำเองไอ้เรื่องเล็กๆ น้อยที่อยากจะทำบารมีแค่นี้ ทำไม่ได้เรื่องใหญ่ ในการเลื้อขนสัตว์มันยากกว่านะ และคนที่โมทนาก็ต้องโมทนาด้วยปัญญาด้วยนะ ถ้าโมทนากับคนผิดก็ไปที่ผิดตามระวังให้ดีนะ ... ถ้ามิอยากให้ใครปรามาสหลวงพ่อ อย่าเอาบทความแนวนี้มาโพสอีก มันจะเป็นโทษต่อคนปรามาสนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...