หลวงพ่อขี้งัว

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 29 มกราคม 2008.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    หลวงพ่อขี้งัวประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๗ - ๒๔๘๘ ในเขตอำเภอสองพี่น้องกับเขตอำเภอบางปลาม้า ได้ยินข่าวเล่าลืออยู่เสมอว่า มีพระพิเศษมาเที่ยวนั่งอยู่ตามกลางทุ่ง ห่มจีวรกลัก แล้วก็มีย่ามลูกใหญ่ บางทีเอาผ้าคลุมโปง เวลาเดินไปที่ไหนเจอะขี้งัวเหลวๆ ก็หยิบใส่ย่ามแล้วนั่งซุ่มๆ เวลาเด็กเลี้ยวงัวเลี้ยงควายเห็นเข้าเดินเข้าไปใกล้ ท่านก็เดินหนีเสียทีนี้เจ้าพวกเลี้ยงงัวเลี้ยงควายนี่ ก็เป็นคนไม่ค่อยจะเหมือนคนเหมือนกัน บางคราวมันก็นึกฮึตๆ ขึ้นมา มันนึกว่าเป็นพระบ้าพระบอ มันก็วิ่งไล่กวด ท่านก็วิ่งหนี แล้ววิ่งไปได้ไม่นาน ทั้งๆ ที่เป็นกลางวันแล้วก็กลางทุ่ง ปรากฏว่าไม่เห็นพระองค์นั้น ทำแบบนี้กันอยู่หลายวันวันหนึ่งเจ้าภาพนิมนต์อาตมาไป เทศน์ที่ตำบลสองพี่น้อง ที่บ้านบางสะแก แล้วก็วัดบางสะแกหรืออะไรนี่ ไอ้วัดนั้นไม่ทราบว่าชื่อวัดอะไร แต่กลุ่มบ้านนั้นเขาเรียกว่าบ้านบางสะแก เมื่อเวลาเทศน์จบก็ต้องค้างคืน เพราะเขานิมนต์มาฉันเช้า ค้างกันอยู่ ๓ องค์ด้วยกัน ไปเทศน์ ๓ องค์ เวลากลางคืนก็มาค้างที่บ้านพอตกกลางคืนเขาก็พูดให้ฟังถึงความมหัศจรรย์ของพระองค์นั้น บอก จะไปหาว่าท่านเป็นพระบ้าพระบอมันก็ไม่ได้ ความจริงรู้สึกว่าจะเป็นพระที่มีความสำคัญอยู่ เมื่อเวลาเขาพูดให้ฟัง อารมณ์จิตมันคิดอยู่อย่างหนึ่งนี่ไม่ใช่อาตมาเป็นหมอดูนะ หรือไม่ใช่เป็นพระมีฌานมีญาณพิเศษอะไร เป็นพระธรรมดา ยักบวชที่ใช้อะไรไม่ค่อยจะได้นี่แหละเรียกว่าขาวๆ ดำๆ ขาวๆ ลุ่มๆ ดอนๆ เอาเรียบร้อยอะไรไม่ได้ บางทีก็เป็นพระ บางทีก็เป็นคน บางอารมณ์ก็เป็นเปรต บางคราวก็เป็นสัตว์นรกไปก็มี นี่พระแบบนี้เชื่อถืออะไรไม่ค่อยจะได้ เอาดีไม่ได้ จะไปเชื่อได้ยังไง พระมันบวชมาจากคนนี่ บางทีก็เลวก่าชาวบ้านเสียอีก บางครั้งเห็นชาวบ้านเขามีปฏิปทาดี รู้สึกเลื่อมใสในเขา นี่เป็นยังงั้น อัตตนา โจทยัตตานัง พระพุทธเจ้าสั่งสอนให้เตือนตนเอง นี่บางทีไปนั่งเตือนชาวบ้านเขาเพลินไป เลยลืมเตือนตนเอง อย่างนี้พระยายมยิ้ม ชอบ ยังไงๆ ก็คงได้เป็นลูกศิษย์พระยายมแน่ ถ้าไม่กลับตัวให้ดีกว่านี้ เอ้า...เล่าเรื่องของพระองค์นั้นต่อไปเมื่อเขาเล่าเรื่องให้ฟัง ความรู้สึกมันเกิดขึ้นมาว่าพระองค์นี้ต้องเป็นพระอริยเจ้า และอย่างเลวที่สุดต้องเป็นอภิญญาหก พระอภิญญาหกนี่มีหูทิพย์ ตั้งแต่อภิญญาและปฏิสัมภิทาญาณนี่ พูดอะไรไม่ได้ ได้ยิน สำหรับพระวิชชาสามนี่ต้องใช้ญาณเป็นเครื่องกำหนดรู้ ถ้าไม่กำหนดจิตเพื่อรู้ ถ้ากำหนดจิตเพื่อรู้จริงๆ ใครเขาพูดทิ้งไว้ตั้งหลายๆ ปีก็รู้ว่าเขาพูดว่ายังไง นี่มันคนละอย่าง พระวิชชาสามเหมือนกับคนมีตำรา ต้องเปิดตำราจึงรู้ แต่พระอภิญญาหกขึ้นไป ไม่เหมือนกับคนมีตำรา เหมือนคนที่รู้เอง พูดที่ไหนก็ไม่ได้ นินทาไม่ได้ นินทาเมื่อไร รู้เมื่อนั้นพิสูจน์ภูมิธรรมก็เลยบอกเจ้าของบ้านว่า ทดลองกันดีกว่าว่าพระองค์นั้นจะเป็นพระอะไร ก็เลยพูดดังๆ ว่าพระองค์นั้น ถ้าหากว่าเป็นพระอริยเจ้าจริง พรุ่งนี้ตอนเช้าก็โปรดมาพบที่บ้านนี้ เพราะชาวบ้านพร้อมทั้งพระ คือคณะอาตมาด้วย ต้องการนมัสการ ถ้าหากว่าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็จงอย่ามาทีนี้ก็ไม่ยาก ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าก็รู้ไม่ได้ พูดเท่านั้นชาวบ้านเขาก็ตั้งใจพนมมืออธิษฐานเหมือนกัน เพราะนั่งอยู่หลายสิบคน บ้านใหญ่มาก เขาก็เลยพูดตาม ทุกคนเขาว่าตามแล้วเขากราบไปที่ธูปเท่านั้นเองคุยกันไปดึกประมาณ ๒๔ น. ต่างคนต่างก็ลากลับ พระก็นอน ชาวบ้านก็นอน หรือใครจะไม่นอนบ้างก็ไม่ทราบ ถึงเวลาเช้าตรู่เวลาประมาณ ๖ น. ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาทางหลังบ้าน เสียงโวยๆ ว่าใครวะ ใครมันท้ากูตีวะ มันเก่งจริงมันลงมาซิวะ เก่งจริงไม่ต้องไปท้ากันกลางคืนโว้ย เสียงเอะอะมา แล้วก็มาที่หน้าบ้านหลังนั้น มายินกวักมือท้าเหวยๆ บอก เฮ้ย...ใครวะเมื่อคืนมันท้ากูตีวะ เก่งจริงโดดลงมาซีหว่า กูคนเดียวละ พวกมึงเท่าไรก็ตามมาตีกะกู เป็นอันว่ามาแล้ว แต่ก็มาแบบนักเลงโต อาตมากับเพื่อนก็เลยลงไปข้างล่าง ยกมือไหว บอกว่านิมนต์ขึ้นข้างบนเถอะขอรับ ทำแบบนี้ไม่มีผลหรอก ชาวบ้านเขาจับได้แล้ว อย่ามาปลอมแปลงเป็นคนบ้าเลย จะทำให้ชาวบ้านเขาบ้าไปด้วยท่านนิ่งประเดี๋ยว มองหน้า เอาผ้าที่เคียนศีษระลง ผ้าจีวรน่ะ เคียนศีษระเสียใหญ่เบ้อเร่อเชียว เอาลง ลงแล้วก็ห่มเป็นปริมณฑลเรียบร้อย แล้วก็เดินขึ้นบ้านแบบสงบ นั่งเฉย ยิ้มแฉ่ง ตอนนี้นั่งดูแล้วสีเปลี่ยน เปลี่ยนจากดำเป็นค่อยๆ ขาวไปทีละน้อย จนท่านขาว แล้วก็ออกเหลือง หน้าตาอิ่มเอิบ ชาวบ้านเขารู้กันเร็วจริงๆ ประเดี๋ยวเดียวคนเต็มหมดทุกคนมาถึงแล้วก็มากราบแบบสนิท ท่านก็ยิ้มแย้มแจ่มใส คุยด้วยดี ก็เป็นอันว่ารู้กันแล้ว ว่าพระองค์นี้เป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่ขั้นอภิญญาหกขึ้นไป แต่จะเป็นขนาดไหนไม่รู้ จะเป็นปฏิสัมภิทาญาณหรือเปล่าก็ไม่ทราบเหมือนกันเพราะอธิษฐานไว้แบบนั้นเวลาท่านฉันข้าวเสร็จ ท่านก็ให้พร เสียงเพราะมาก เวลาให้พรเสร็จท่านก็บอกว่า ใครมีสำรับกับข้าวมาถวายพระบ้าง ให้เอาถ้วยไปล้างให้สะอาดคนละลูก รายละลูกแล้วส่งมาให้ท่านทุกคนปฏิบัติตามส่งถ้วยไปแล้ว ท่านก็ควักขี้งัว ในย่ามของท่านเต็มไปหมด ใครก็ตามสีปาก เอาขี้งัวนี่นะสีปากแล้วพูด ชาวบ้านรักชาวบ้านชอบ ว่าเข้าแบบนั้น ชาวบ้านก็คงจะสะอึก พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ลากลับ เวลาลากลับ ท่านเดินลงไปบันได พอพ้นบันไดลงไป ปรากฏว่าคนข้างล่างก็ไม่เห็นท่าน คนข้างล่างไม่เห็นท่านลงไป แต่คนข้างบนเห็นท่านลง เป็นอันว่าข้างบนก็ไม่มี ข้างล่างก็ไม่มี ข้างล่างก็ไม่มี หายไปเสียแล้วชาวบ้านเขาก็บอกว่าของในถ้วยนี่นะ เขาไม่เรียกขี้งัว ก็ดีเหมือนกัน ถ้าไปเรียกขี้งัวเข้ามันจะเป็นขี้งัวเพราะอำนาจฤทธิ์ของท่าน ถามว่าของในถ้วยนี่จะทำยังไง ก็บอกว่า ประเดี๋ยวก่อนซิ สำรวจดูก่อน จริยาของท่านไม่เหมือนพระอื่นนะ เวลาท่านมาท่านแสดงรกรักรุงรัง แสดงท่าเอะอะโวยวาย แต่เวลาเราพูดดีเข้า ท่านเรียบร้อยดี เสียกว่าพวกฉันเสียอีก กิริยาท่านกลับไปเรียบร้อย เข้าใจว่าขี้งัวจะเป็นอย่างอื่นถ้าขี้งัวเป็นขี้งัวตามเดิม ก็แสดงว่าพระองค์นี้ไม่ใช่พระอรหันต์ขั้นฉฬภิญโญขึ้นไป ถ้าหากว่าขี้งัวเป็นอย่างอื่น ก็แสดงว่าเป็นพระอรหันต์ขึ้นฉฬภิญโญขั้นอภิญญาหกขึ้นไป พอว่าเท่านั้นชาวบ้านต่างคนต่างก็เปิดฝาถ้วยดู เจ้าขี้งัวทั้งหมดกลายเป็นสีผึ้งสีปากหอมกรุ่น เรียกว่าหอมมากกว่าสีผึ้งธรรมดา เรื่องนี้ก็จบกัเท่านี้ แล้วเขาจะไปใช้สีผึ้งทำอะไรมันเรื่องของเขา ท่านสั่งแล้ว...จากหนังสือธรรมปฏิบัติ เล่ม ๑๑ ที่มาเวปแดนพระนิพพาน
     
  2. tendosuji

    tendosuji เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2007
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +228
    เรียนท่านผู้ตั้งกระทู้ บทความนี้ ทางเวปแดนนิพพาน เขาสงวนใว้ให้กับสมาชิกของเขาเท่านั้น ทั้งนี้เนื้อหาบทความเสี่ยงต่อการปรามาสหลวงพ่ออย่างยิ่ง มิสมควรเผยแพร่ ที่สาธารณะแบบนี้เลยมิควร ในความคิดผมนะ ...

    และอีกอย่างท่านเอง ปรารถนา พุทธภูมิ สาย วิริยะธิกะ

    http://palungjit.org/printthre...?t=1417&pp=100

    ตามข้อมูล แต่ท่านเองทำไม มักง่ายไม่ทำบารมีเองไป copy คนอื่นเขามา ทั้งที่คนเขากว่าจะพิมพ์เสร็จก็ใช้เวลาจัดเรียงตัวหนังสือ ไม่อายเหรอ ทำแบบนี้แบบนี้ คงมิใช่วิสัยพุทธภูมิ สาย วิริยะกะ แน่นอน มันต้องทำเองไอ้เรื่องเล็กๆ น้อยที่อยากจะทำบารมีแค่นี้ ทำไม่ได้เรื่องใหญ่ ในการเลื้อขนสัตว์มันยากกว่านะ และคนที่โมทนาก็ต้องโมทนาด้วยปัญญาด้วยนะ ถ้าโมทนากับคนผิดก็ไปที่ผิดตามระวังให้ดีนะ ... ถ้ามิอยากให้ใครปรามาสหลวงพ่อ อย่าเอาบทความแนวนี้มาโพสอีก มันจะเป็นโทษต่อคนปรามาสนะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...