หลวงพ่อพระราชพรหมยานสอนว่าอย่าหลงตัวคิดว่าร่างกายเป็นของสะอาด

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 27 ธันวาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    [​IMG]
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสอนให้รู้จักว่าร่างกายมันสกปรก นี่ไม่ใช่ว่าท่านสร้างสรรค์มาสอนนะ หรือแสร้งแต่งขึ้นมา แสร้งพูดขึ้นมาว่าร่างกายมันสกปรก ที่มาบอกกับพวกเราก็เพราะว่าพวกเรามันฉลาดเกินไป ฉลาดเกินไป ลืมความสกปรกคิดว่าสะอาด ถ้าหากว่าเราหลงว่าร่างกายของเราสะอาด เมื่ออาการสกปรกมันปรากฏ มันจะเป็นสุขหรือว่าเป็นทุกข์ เราไม่ต้องการให้มันสกปรก แต่เมื่อเราเดินไม่ได้ อาบน้ำไม่ได้ หาเครื่องชำระกายไม่ได้ ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หาเครื่องชำระไม่ได้ แค่เพียงเท่านี้เองตัวระยำเหงื่อไคล อุจจาระ ปัสสาวะก็ติดกาย เราไม่ชอบใจ อาการอย่างนี้มันก็เกิดเป็นความทุกข์

    พอเกิดการเป็นทุกข์ ไอ้อาการทุกข์ก็เกิดความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ การที่เราพิจารณา เห็นว่าร่างกายสกปรกไม่มีประโยชน์เพราะว่าจิตใจของเราจริงๆ เราต้องการความสะอาด เราไม่ต้องการความสกปรก นี่เรามาอาศัยร่างกาย ก็เพราะว่าเราคิดว่าร่างกายของเราสะอาด

    เรามาพูดคำว่า "เรา" ก่อน คำว่าเราคือใคร ถ้าเราพูดกันทั่วๆ ไป คำว่าเราคือจิต เราพูดกันโดยทั่วๆ ไปนะ พอพูดถึงจิต ก็เลยบอกว่าจิตนี่มันเป็นตัวลวง ถ้าพระที่เขาได้เจโตปริยญาณขึ้นไป ไม่มีใครเขาเรียกคำว่าเราคือจิต เขาต้องเรียกว่าเราคืออทิสมานกาย เป็นกายกายหนึ่งที่มาอาศัยอยู่ในกายเนื้อ ไอ้กายสกปรกนี่ ฟังให้ดีนะ พูดเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า อทิสมานกาย คือเป็นกายที่เราไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเนื้อ แต่ทว่าถ้าเราได้ทิพญจักขุญาณเมื่อไร เราจะเห็นกายนี้ทันที แล้วแต่คนใดได้ทิพญจักขุญาณเห็นได้สบายมาก

    เมื่อเราเห็นกายภายใน เราจะรู้ว่ากายภายในนี้ว่า กายภายในของเราเวลานี้ เป็นกายสัตว์นรก หรือว่าเป็นกายเปรต กายของสัตว์เดรัจฉาน กายของคน หรือว่ากายของมนุษย์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่ามันเห็นชัด ถ้าคนเขาจะตกนรก ถ้าเราได้เจโตปริยญาณ ถ้าได้ทิพยจักขุญาณแล้ว พอได้ยินชื่อคนเท่านั้น เราจะรู้กายภายใน เพราะกายนี้เราจะทราบได้เพราะความเป็นทิพย์ของจิตเท่านั้น พอได้ยินชื่อปั้บ ว่านาย ก. นาย ข. ก็รู้ได้ทันทีว่า นาย ก. นาย ข. เวลานี้ ถ้าตายเวลานี้ มีความดีหรือความชั่ว ไม่ยิ่งไปกว่านี้ อาจจะต้องไปนรก ไปสวรรค์ ไปพรหม หรือไปนิพพาน เพราะว่ากายในมันบอกชัด กายนี้เขาไม่ได้ดูกายเนื้อ

    คำว่าเราในที่นี้คือกายภายในที่เรียกว่าอทิสมานกาย จำให้ดีนะ พระพุทธเจ้าท่านรู้ ในเมื่ออทิสมานกายของเรามันเข้ามาอาศัย ในกายเนื้อ กายเนื้อนี่เราอาศัยชั่วคราวเท่านั้น นี่เราจำต้องมาอยู่ในดินแดนของความสกปรก คิดกันง่ายๆ ว่าเวลานี้เรานั่งอยู่ในส้วม ไอ้ส้วมที่เราถ่ายลงไปแล้ว ที่เขาเก็บอุจจาระ ปัสสาวะ มันสิงอยู่ในนั้น ในร่างกายของเรา ร่างกายที่เรามองเห็นด้วยตาเนื้อนี่ มันสิงอยู่ในนั้น ก็เรียกมันเสียว่าอยู่ในส้วม ในนั้นเต็มไปด้วยความสกปรก ความจริง กิเลส ตัณหา อุปทาน อกุศลกรรม มันให้มา มันไม่ได้มาเอง

    ทำไมจึงต้องมา สมมติว่าก่อนที่จะต้องมาเป็นเทวดา สมมตินะถ้าเรามาจากเทวดาหรือว่า มาจากพรหม ความจริงเทวดากับพรหมนี่รังเกียจร่างกายของมนุษย์ เพราะว่าร่างกายของมนุษย์นี่มันสกปรกบอกไม่ถูก ถ้ามนุษย์นี่ไม่มีความสำคัญจริงๆ ไม่ต้องการสงเคราะห์จริงๆ เดินห่างร้อยโยชน์มันยังเหม็นสาบอยู่เลย จะทนไม่ไหว ที่ต้องมาก็เพราะจำเป็นจำใจจะต้องมา เพราะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อาศัยความดีอย่างหนึ่งเพื่อตั้งใจสงเคราะห์

    เช่นนี้จะเปรียบได้กับมารดา แม่ของลูกที่ลูกกำลังเดินไม่ได้ ช่วยตัวเองไม่ได้ เวลานี้ลูกขี้ออกมา แม่เช็ดขี้ของลูก ชำระขี้ของลูกได้อย่างสนิทใจไม่เคยรังเกียจ ลูกขับถ่ายปัสสาวะออกมา ก็ทำได้ทุกอย่าง สิ่งที่เราเรียกว่าสกปรก ความจริงไม่ใช่มารดาหรือแม่ไม่ได้รังเกียจอุจจาระ ปัสสาวะ แต่ว่าที่ทำไปเพราะความเมตตาปรานี เพราะความรักลูก ปรารถนาจะให้ลูกมีความสุข ตัวเองจะต้องแตะต้องกับสิ่งที่สกปรกก็ยอม นี่ที่เทวดาเขามาใกล้คน เขามาเพื่อการสงเคราะห์ อย่าไปนึกว่า เทวดาเป็นทาสรับใช้นะ ดีไม่ดีเกณฑ์เทวดาให้ทำอะไรต่ออะไรส่ง มันก็เกินพอดีไป เอาแค่พอเหมาะพอดี

    ทีนี้ถ้าเราเป็นเทวดา การที่จะเกิดเป็นคนที่รู้ ว่าร่างกายของคนมีแต่ความสกปรกทั้งหมดแล้ว มาทำไมไอ้ที่มานี่ไม่ได้มาเอง รังเกียจ แต่ว่ากิเลสความเศร้าหมองของจิต ที่มันมีอำนาจเหนือใจ ตัณหาความทะยานอยากที่มีอำนาจเหนือใจ อุปทานตัวดึงใจ ใจที่เคยมีกำลังเหนือ อกุศลกรรมความชั่ว ๔ ตัวนี่มันเสือกไสไล่ส่งบังคับให้มา ถ้าจะถามว่าทำไมท่านจึงบังคับ ก็เพราะว่าเราเป็นทาสของมันในสมัยที่มีร่างกาย

    พระพุทธเจ้าบอกว่า รักษาศีลเป็นของดี เราจะได้พ้นจากอำนาจของกิเลสอันดับแรก เราก็ไม่ยอมรักษา ให้ทาน มีเมตตาเข้าไว้มันเป็นของดี เราก็ไม่ยอมทำ บางทีทำบ้างแต่ว่าเพียงสักแต่ว่าทำ ทำบ้าง ไม่ทำบ้าง ให้สร้างความดีกันไว้ อย่าสร้างความชั่วกันมาก แต่นี่ความดีที่เราทำมันน้อย เพราะเอาแต่นั่งพักเป็นเทวดา เป็นพรหม

    พอหมดจากอำนาจของความดี เจ้ากิเลสความมีอารมณ์เศร้าหมองไม่ยอมเชื่อพระพุทธเจ้า ตัณหาความทะยานอยาก อยากจะสวย อยากจะงาม อยากจะรวย อยากจะมียศฐาบรรดาศักดิ์ อยากมีลูก อยากมีหลาน อยากมีทรัพย์สินต่างๆ ไม่อยากตาย มีอารมณ์อย่างนี้แล้ว เข้าใจว่าการเกิดเป็นคนเป็นของวิเศษ นึกว่าจะไม่แก่ จะไม่เจ็บ จะไม่ตาย อกุศล คือความโง่ ทำด้วยอำนาจของความโง่ ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ควรทำ ไอ้ตัว ๔ อย่างนี้แหละที่มันเสือกไสไล่ส่งให้เรามาเกิด ทั้งๆ ที่เรารู้แล้วว่าไม่ควรจะมาแล้ว ร่างกายมันสกปรก จำไว้ให้ดีนะว่าที่เรามาเกิดเต็มไปด้วยความทุกข์ เราทุกข์อยู่ในดินแดนที่มีแต่ความสกปรก มีแต่ส้วมเคลื่อนที่ ก็เพราะสาเหตุ ๔ ประการ มี กิเลส ตัณหา อุปทาน อกุศลกรรม

    นี่เราจะพ้นกิเลสนั้นได้อย่างไร ในมหาสติปัฏฐานสูตร ท่านบอกว่า พวกเธอทั้งหลายจงกำหนดจิตรู้ไว้ สักแต่เพียงว่ารู้ว่ากายนี้ จงรู้ว่าเป็นกายของเราสักแต่ว่าเป็นกาย เราจะไม่คบมันต่อไป ถือว่ากายนี้มันสกปรก เวลานี้เราพ้นมันไม่ได้ เราจะอาศัยมันชั่วคราว จิตของเราในปัจจุบันพร้อมอยู่เสมอที่จะปล่อยมันทั้งหมด เลิกคบกันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์สมเด็จพระชินสีห์ได้สอนให้ปล่อยไปเป็นทาน นี่ว่ากันตามมหาสติปัฏฐานสูตร
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#99ccff>ขึ้นชื่อว่าทรัพย์สินต่างๆ ที่มีอยู่ในโลก เราไม่ต้องการมัน อารมณ์ใดๆ ก็ตาม อารมณ์แห่งความรักก็ดี อารมณ์แห่งความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ในโลกทั้งหมดชื่อว่า เป็นสมบัติของโลก โลกธรรมทั้ง ๘ ประการ ความมีลาภ ความมียศ สรรเสริญ สุขในกามารมณ์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เราตั้งใจไว้เสมอว่า เราไม่ต้องการมันอีก

    ชาติก่อนกว่านี้หลายอสงไขยกัปมาแล้วเราโง่ แต่ว่าเวลานี้กำลังจิตใจหรือว่าปัญญาของเราพอที่จะสลัดมันได้แล้ว เวลานี้เราขอเชื่อองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ว่าร่างกายของเรานี้สกปรกและเต็มไปด้วยความทุกข์ และเราไม่ต้องการมันอีก และขึ้นชื่อว่าสมบัติของโลกทั้งหมด ไม่มีอะไรสิ่งที่เรามองเห็นในโลกเราไม่ต้องการมันอีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายสำหรับเรา ที่จะมีร่างกายเป็นสัตว์ หรือว่าเป็นมนุษย์ เราจะมีบ้านใหญ่โต ทรัพย์สินต่างๆ ก็เพียงชาตินี้ ชาติต่อไปจากนี้ไม่มีสำหรับเรา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะอย่างนี้ ก็หมายความว่า ให้บรรดาท่านพุทธบริษัททำอารมณ์เข้าสู่พระนิพพาน ความจริงเราไม่ต้องนึกว่าเราจะไปนิพพาน ตั้งใจไว้แบบสบายๆ ว่าร่างกายนี้สกปรก ในเมื่อมันสกปรกแล้วเราจะต้องการร่างกายบุคคลอื่นใดที่สกปรกมาร่วมกายเราอีก เราเองก็สกปรกพอแล้ว สกปรกแล้วยังไม่พอ มันยังใช้เราเป็นทาสบำรุงบำเรอมัน นอกจากนั้นความคงทนถาวร การทรงตัวมันก็ไม่มี เต็มไปด้วยความทุกข์

    ทรัพย์สินทั้งหลายทรัพย์สมบัติทั้งหลายในโลกก็เช่นเดียวกัน ความจรรโลงที่เราสร้างไว้ เข้าใจว่าดีแล้ว ประเสริฐแล้ว ถาวรแล้ว ก็ยังมีแต่ความเก่าพังไป อาคารทุกหลังที่ไม่มีความสกปรกไม่มี วัตถุทุกชิ้นในโลกที่ไม่มีความสกปรกไม่มี ขึ้นชื่อว่าดินแดนที่เต็มไปด้วยความสกปรกอย่างนี้เราไม่ต้องการ

    แล้วต่อจากนั้นไปก็นึกถึงคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระพิชิตมารว่า ร่างกายมันจะแก่ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายมันจะป่วยถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ร่างกายมันจะตายก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ของรัก ของชอบใจพลัดพรากจากเราไปถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดามันเป็นอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน ถ้าร่างกายพังเมื่อไร เราไปนิพพานเท่านั้น

    ตั้งใจไว้เพียงเท่านี้หากว่าชาตินี้ท่านไม่สามารถไปนิพพานได้ ผมอยากจะให้สัญญากับท่าน ถ้าอารมณ์ใจท่านเป็นอย่างนี้ อย่างดีท่านไปพักอยู่แค่เทวดาหรือพรหมไม่กี่วัน เพียงแค่พระศรีอาริย์ตรัส เห็นหน้าพวกท่านเข้า พระพุทธเจ้าจะเทศน์กายคตานุสสติกรรมฐานหรือปฏิกูลบรรพทันที เพราะองค์สมเด็จพระชินสีห์รู้ทุนเดิมของคน ถ้าฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระทศพลครั้งเดียว เลวที่สุดได้พระโสดาบัน นี้เรียกว่าเลวที่สุด ถ้าฟังซ้ำอีกทีก็ได้อรหัตผล ตัวอย่างมีเยอะที่ปรากฏมา
    จบปฏิกูลมนสิการบรรพในกายานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน
    [​IMG]
    จากหนังสือ ธรรมะปกิณกะ ๒ (แนวมหาสติปัฏฐานสูตรโดยละเอียด) พระมหาวีระ ถาวโร วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี
    ที่มาhttp://www.geocities.com/4465/samadhi/maha414.htm [​IMG]
     
  2. rux

    rux เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    308
    ค่าพลัง:
    +990
    หลวงพ่อคงสอนว่า "แม้อาหารที่เราชอบที่สุด เพียงเอาเข้าภายในปากยังไม่ต้องเคี้ยวหรอก แล้วคายออกมา แค่นี้ก็ไม่อยากจะกินต่อแล้ว แม้ถูกต้องกายอันเปลื่อยเน่านี้แล้ว ย่อมกลับกลายเป็นของน่าเกลียดอย่างยิ่ง"
     
  3. บัวพ้นน้ำ

    บัวพ้นน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    437
    ค่าพลัง:
    +198
    จิงๆอย่างที่หลวงพ่อว่า

    ร่างกายของคนเรานั้น ไม่ได้สะอาดอย่างที่คิด มันเป็นสิ่งสกปรกมากมายซะด้วยซ้ำ เส้นผมที่คิดว่าสวย ถ้าตกลงไปในจานอาหาร มันจะยังสวยอยู่มั้ย ลองถามตัวเองดู
     

แชร์หน้านี้

Loading...