หลวงพ่อพระราชพรหมยานสอนเรื่องบารมีกับอริยสัจ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 22 กุมภาพันธ์ 2008.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#99ccff>[​IMG]
    เรื่องบารมีผมเคยบอกแล้ว "บารมีเขาแปลว่ากำลังใจ" มีบารมีแก่กล้า คือมีกำลังจิตเข้มข้น นั่นเอง ต่อสู้กับอารมณ์ที่เข้ามาต่อต้าน มีบารมีอย่างกลางอารมณ์มันเข้มข้นเหมือนกัน แต่ว่ามันเข้มบ้างไม่เข้มบ้าง เดี๋ยวก็จริงบ้าง เดี๋ยวก็ไม่จริงบ้าง ย่อๆ หย่อนๆ ตึงบ้างหย่อนบ้าง อย่างนี้ต้องใช้เวลาประมาณ ๗ เดือน หรืออาจจะไม่ถึง ๗ เดือน ท่านบอกภายใน ๗ เดือน ทีนี้มีบารมีย่อหย่อนเปาะแปะๆ ตามอัธยาศัย ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง ปล่อยตามอารมณ์ อย่างนี้ไม่เกิน ๗ ปี นี่ผมพูดถึงว่าคนที่ทรงฌาน ๔ ได้ และก็ฉลาดในการใช้ฌาน ๔ ควบวิปัสสนาญาณถ้าโง่ละก็ดักดานอยู่นั่นแหละ กี่ชาติก็ไม่ได้เป็นอรหันต์

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ทีนี้ต่อมา เมื่อทรงสมาธิได้แล้ว ก็ใช้ปัญญาเป็นเครื่องตัด ตัดกิเลส อันนี้ไม่ยากง่ายนิดเดียว นี่ง่ายมากถ้าทำถึงฌาน ๔ ทรงฌาน ๔ ได้แล้วของกล้วยๆ กล้วยสุกไม่ใช่กล้วยดิบ ง่ายบอกไม่ถูก เราจะมีความรู้สึกเลย แหมทำถึงปฐมฌานนี่มันยากกว่าตัดกิเลสเป็นไหนๆ อีตอนนี้ผมเคยพูดแล้วนะว่า ถ้าใครสามารถทรงฌานได้ดี เวลาเจริญวิปัสสนาญาณนี่มันรู้สึกว่าง่ายบอกไม่ถูก ใช้เวลาไม่นาน เพราะกำลังเราดีแล้ว เหมือนกับกิเลสทั้งหมดเราจับมัดเสียหมดแล้ว กระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ดิ้นไม่ได้เลย

    ทีนี้เราจะสับฟันตรงไหนก็ได้ตามอารมณ์ ตอนนี้ทรงฌาน ๔ แล้ว เราก็เข้าฌาน ๔ เต็มอารมณ์ เราจะใช้วิปัสสนาญาณ เมื่อเข้าฌาน ๔ เต็มอารมณ์แล้ว ก็ถอยหลังมาถึงอุปจารสมาธิ เราจะตัดตัวไหนล่ะ ตัดราคะ ความรัก รักสวยรักงาม เราก็ยกอสุภกรรมฐานขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ ยกกายคตานุสสติกรรมฐานขึ้นมาเป็นเครื่องเปรียบ เปรียบเทียบกันว่าไอ้สิ่งที่เรารักน่ะ มันสะอาดหรือมันสกปรก กำลังของฌาน ๔ นี่ เป็นกำลังที่กล้ามาก และปัญญามันเกิด พอถึงฌาน ๔ ปัญญามันเกิดเอง เกิดชัด มีความหลักแหลมมาก

    คุณยังไม่ถึงยังไม่รู้ ผมพูดไว้เผื่อคุณจะทำถึง ประเดี๋ยวเดียวมันเห็นเหตุเห็นผลชัด พอมันตัดได้แล้วมันไม่โผล่น่ะ เดินเห็นคนเน่าหมด ไม่เน่าอยู่คนเดียวเรา หรือไง แต่ความจริงมันเห็นเราเน่าก่อน มันเบื่อตัวเราก่อนแล้วก็ไปเบื่อคนอื่น รู้สภาพเรายอมรับนับถือสภาพความเป็นจริงหมด เห็นคนปั๊บ ไม่ต่างอะไรกับส้วมเดินได้ จะเอาเครื่องหุ้มห่อ สีสัน วรรณะขนาดไหนก็ตาม มันบังปัญญาของท่านพวกนี้ไม่ได้ นี่ไม่กี่วัน ๒ - ๓ วันเห็นชัด เห็นแล้วไม่ตกด้วยนะ

    พิจารณาขันธ์ ๕ ว่าขันธ์ ๕ เต็มไปด้วยความสกปรก ยกเอาอสุภกรรมฐาน กับ กายคตานุสสติกรรมฐานของสมถะเข้ามาควบ เอามาควบ คนที่ทำได้เขาเก่ง เขาเก่งกันแบบนั้น เขาต้องควบเก่ง มาถึงด้านโลภะความโลภ ไปนั่งนึกว่าไอ้คนมันเน่าแล้ว ไอ้เราก็ตายเราก็เน่าจะไปโลภมันทำไม มีก็กิน ไม่มีก็แล้วไป มีเท่านี้ใช้เท่านี้ ใครเขาไม่ให้ต่อเราก็ใช้มันเท่านี้หมดก็หมดไป จะตายเราก็เชิญตาย เราเป็นทาสของกิเลส ตัณหามานานแล้ว ตายเมื่อไรสบายเมื่อนั้น แต่ฌาน ๔ เฉยๆ ไม่มีวิปัสสนาญาณ ก็ไปนอนตีเขลงเป็นพรหมดีกว่าเป็นคนตั้งเยอะ

    ตานี้มาว่าถึง โลภะ ตัดราคะได้ โลภะมันก็เจ๊ง ตัดโลภะ ราคะมันก็ไป ความจริงมันตัวเดียวกัน มันไม่ใช่ ๒ ตัว ผมพูดแยกเป็น ๒ ตัวส่งเดชไปอย่างนั้น ให้เข้าใจง่าย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=210>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>ตอนนี้พอจะมาตัด โทสะ ความจริงเราระงับมันได้ กดคอมันได้ตั้งแต่เจริญฌานแล้วมันก็เป็นของไม่ยาก แล้วก็มาเปรียบเทียบกับขันธ์ ๕ ร่างกายนี่มันจะตายอยู่แล้ว มันจะพัง ไปนั่งโกรธมันอยู่ มีประโยชน์อะไร ไอ้คนที่มันชอบทำให้คนอื่นโกรธ มันคนจัญไร มันทำลายความดีของตัว ทำลายความสุขของตัว คนประเภทนี้เป็นคนน่าสงสาร ไม่ใช่น่าโกรธ เพราะตัวเขาเองยังหาความสุขใจไม่ได้ ยังมีทุกข์ ตายแล้วก็ไปอบายภูมิ มันก็เกิดเป็นอภัยทาน ความโกรธมันก็หาย</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เมื่อถึงฌาน ๔ แล้วมันกล้วยจริงๆ วิปัสสนาญาณ นี่ผมบอกให้นะทำฌาน ๔ ก็ไม่ยาก เดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็ได้ ถ้ามันจะได้เสียอย่าง มันไม่ได้ก็แล้วไป ถ้าเราทำใจสบายเดี๋ยวมันก็ได้ ถ้าเราอยากได้มันจะไม่ได้เพราะตัณหาเข้าไปขวางใจ

    ตานี้มา โมหะ ความหลง มันไม่มีอะไรถ้าตัดได้ตัวเดียว อีก ๒ ตัวมันไม่มีเพื่อนแล้ว ไปดูไอ้โต๊ะ ๓ ขา นี่หักเสียขาตั้งอยู่ไหม พอตัดได้ตัวเดียวตัวราคะก็โลภะก็ตัวเดียวกัน พอตัดเจ้านี่ได้ตัว อีก ๒ ตัวหมดแรงเลย ความจริงเรามัดมันแล้ว เรามัดมันไว้แล้ว แรงมันก็สู้เราไม่ได้ พอเอามีดมาฟันเข้ามันก็หมดสิ้นไม่มีทางดิ้น โมหะความหลง มันจะมาหลงยังไง คนก็เน่า สัตว์ก็เน่า เป็นของน่าเกลียด ทรัพย์สินต่างๆ ไม่สามารถจะทรงความสุขให้เราเกิดได้ เพราะเป็นปัจจัยของความทุกข์ อารมณ์มันเห็นแล้ว

    ถ้าเราจะโกรธ เราจะฆ่าเขา มันก็ไม่มีประโยชน์ เป็นการสร้างโทษให้เกิดแก่ตัว เป็นการทำลายความสุขนั่งเฉยๆ ดีกว่า ไอ้คนที่เราจะฆ่ามัน เราไม่ต้องไปฆ่า ไม่ฆ่ามันก็ตาย ฆ่ามันก็ตาย ไม่ฆ่าดีกว่า เหนื่อย เราจะไปแกล้งเขาให้มีความทุกข์มันเรื่องอะไร เราไม่แกล้งเขา เขาก็มีความทุกข์ เมื่อเราแกล้งเขา เขาก็มีความทุกข์ เราไม่ต้องแกล้งดีกว่า มันทุกข์ของมันอยู่แล้วหมดเรื่อง

    ทีนี้หันเข้ามาหาตัว หันเข้ามาหาตัว อะไรที่เป็นการทรงตัวที่เป็นเราเป็นของเรามีตรงไหน เรามีบ้าน ชาวบ้านเขาปลูกบ้านอย่างเรา บ้านมันพังไปกี่ร้อยหลัง แล้วเรามีผัว มีเมีย มีลูก มีพี่ มีน้อง มีพ่อ มีแม่ ไอ้คนที่เขามีอย่างเราแล้ว มันตายไปในโลก มันมีประมาณเท่าไหร่ แล้วเราจะมาถือว่านี่พ่อของเรา แม่ของเรา อย่าอกตัญญูพ่อแม่เข้านะ ความดีของท่านข้ามไม่ได้นะ นี่หมายถึงร่างกาย ร่างกายของท่านจะทรงอยู่ตลอดไป มันจะเป็นได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ ในที่สุดท่านก็ต้องตายเมื่อถึงเวลาที่ท่านจะตาย ก่อนที่ท่านจะตายเราก็ต้องทำความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

    แกไม่ต้องไปนั่งรำพึงรำพันว่าพ่อตายเสียแล้วยังไม่ได้สนองคุณ แม่ตายเสียแล้วยังไม่ได้สนองคุณ ไอ้คนแบบนี้มันคนจัญไรไม่ใช่คนดี เวลาอยู่ไม่ให้เวลาพอตายเสือกคิดถึง ใช้ไม่ได้ เป็นยอดของคนเลว เราตั้งใจสนองคุณท่านตามกำลังที่เราพึงสนองได้ ไม่ใช่ต้องไปกอบโกยกู้ยืมเขามา ไม่ใช่อย่างนั้น อันนี้เราก็ต้องมานั่งคิด พ่อก็ต้องตาย แม่ก็ต้องตาย ลูกเราก็ต้องตาย เมียก็ต้องตาย ผัวก็ต้องตาย ญาติพี่น้องก็ต้องตาย ไอ้เราก็ต้องตาย เราเห็นตัวเราเองว่าจะตายเสียอย่าง คนอื่นทั้งหมดก็ไม่มีความหมาย
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=99>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>ในเมื่อคน ในเมื่อเลี้ยงตัวได้ยังต้องตาย ยังต้องพัง ทรัพย์สินทั้งหลายเหล่านี้จะทรงตัวอยู่ได้อย่างไร หากว่าเราจะยึดถือว่ามันเป็นเราเป็นของเราอยู่ เราจะเกิดมาอย่างนี้มันก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เกิดเป็นเด็ก แล้วก็เป็นหนุ่มเป็นสาว แล้วก็แก่ แล้วก็ตาย แล้วทรงความทุกข์ตลอดเวลา อันนี้จะเกิดประโยชน์มาจากไหนใช่ไหม ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ ผลที่สุดก็เห็นว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา แม้แต่ร่างกายนี้มันก็ไม่ใช่ของเรา ถ้ามันเป็นเราจริงๆ มันจะแก่เราไม่ให้มันแก่มันก็ต้องอย่าแก่ซิ เราไม่ให้มันตาย ไม่ให้มันป่วย มันก็ต้องไม่ป่วย เราไม่ให้มันตาย มันก็ต้องไม่ตาย นี่มันเชื่อเรารึเปล่า ร้อนจัดเราต้องการให้มันไม่ร้อนมันก็ต้องจะร้อน หนาว เราไม่ต้องการให้มันหนาวมันก็จะหนาว</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เป็นอันว่าเราบังคับมันไม่ได้ ในที่สุดเราไม่ต้องการให้มันตายมันก็จะตาย เราจะไปนั่งรำพึงรำพันเพื่อประโยชน์อะไรว่ามันเป็นเราเป็นของเรา และความปรารถนาในความเกิด เราจะต้องการมาเพื่ออะไร เราเกิดมาเพื่อทุกข์ เราทุกข์แค่นี้มันก็เหลือกำลังที่จะทน

    พระพุทธเจ้าบอกว่า ภาราหเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระอันหนัก อันนี้ในเมื่อมันหนัก เรารู้ว่ามันหนัก แล้วเราจะต้องกลับมาแบกมันอีกหรือ เราก็โง่ซิ เราก็เลิกไม่แบก ทำยังไง ตอนนี้เราก็ใช้ช่างมันใช่ไหม มันจะแก่ก็ช่าง ธรรมดาของมัน มันจะป่วยก็ช่างมัน มันจะตายก็ช่างมัน อีตอนที่มันจะเกิดนี่ไม่ช่างมันแล้ว ถ้าไม่เกิดอีกเพราะอะไร ข้าบังคับแกไม่ได้ เอ็งนี่มันหัวดื้อหัวด้าน อกตัญญูไม่รู้คุณ เลี้ยงเท่าไหร่ๆ มันไม่จำ อยากจะกินเปรี้ยว หาเปรี้ยวให้ อยากกินเค็ม หาเค็มให้ อยากกินหวาน หาหวานให้ อยากจะแต่งตัวแบบไหนหาให้ อยากจะนั่งรถก็ซื้อให้ มันยังแก่ ยังป่วย ไอ้นี่คบไม่ได้เลิกกัน

    เตสํ วูปสโม สุโข นึกถึงความดีที่พระพุทธเจ้าทรงเตือนว่าการเข้าไปสงบกายนั้นชื่อว่าเป็นสุข เป็นอันว่าความปรารถนาในกายไม่มีสำหรับเรานับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แล้วก็ใจทรงแบบนั้นเป็นเอกัคคตารมณ์ ความสุขความทุกข์ใดๆ เกิดขึ้นถือว่าเป็นกฎของกรรม เป็นเรื่องธรรมดา เราจะต้องทนสู้ต่อไป ในระยะไม่ช้าเราก็จะมีความสุขถ้าร่างกายนี้พัง แค่นี้ก็จบแล้ว เป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ พระอรหันต์นี่สังคมกับใครได้ทุกชั้น ทำตัวเสมอกัน แต่ถ้าจะให้อารมณ์ของท่านเข้าไปจับเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ถือว่าเป็นเราเป็นของเรา ผูกมัดท่านไม่มีโอกาส เวลานี้มันก็จบแล้ว ชื่อว่าจบอริยสัจเพียงแค่นี้นะ
    จบสัจจบรรพในธัมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน
    จบธัมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน
    [​IMG]
    ที่มา http://www.geocities.com/4465/samadhi/maha445.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...