หลวงพ่อพระราชพรหมยานอธิบายเหตุผลที่พระพุทธเจ้าสอนปฏิกูลบรรพ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 25 ธันวาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    [​IMG]
    ปฏิกูลบรรพ คำว่าปฏิกูลบรรพก็หมายความว่า เป็นบรรพเฉพาะ หรือตอนเฉพาะที่พระพุทธเจ้าได้สอนถึงอาการ ๓๒ เกี่ยวเนื่องกับร่างกายโดยเฉพาะ ถ้าหากว่าในวิสุทธิมรรค ท่านเรียกว่า กายคตานุสสติกรรมฐาน สำหรับในมหาสติปัฏฐานก็เรียกว่า ปฏิกูลบรรพ คำว่าปฏิกูลหมายความว่าสกปรก ในพระบาลีก็มีว่า อตฺถิ อิมสฺมิ กาเย มีอยู่ในกายนี้ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารเก่า อาหารใหม่ น้ำดี น้ำเสลด น้ำเหลือง น้ำเลือด น้ำเหงื่อ น้ำมัน น้ำมันข้น น้ำตา แล้วก็น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร นี่เป็นส่วนที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่าที่มีอยู่ในร่างกาย คำว่าร่างกายอันนี้เราประกอบไปด้วยธาตุ ๔ แต่อยู่ในธาตุบรรพ จะพูดในภายหลัง

    ส่วนในร่างกายทั้งหมดที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นกาย ที่เราเรียกว่ากาย ก็มีอาการ ๓๒ ดังที่กล่าวมา เราถือว่าเป็นแท่งทึบ มองกันด้วยตาเปล่า เราจะเห็นว่าร่างกายชิ้น ส่วนแท่งเดียวเท่านั้น มองตั้งแต่ปลายผมลงมาถึงฝ่าเท้า ก็ไม่เห็นสิ่งแตกต่าง แต่ทว่าพระพุทธเจ้าทรงทราบว่าร่างกายนี่ความจริงแล้วก็มีเครื่องส่วนประกอบอยู่หลายอย่าง ที่ใช้เป็นเครื่องประกอบให้เกิดขึ้นมาเป็นร่างกาย แล้วก็ใช้งานตามประสงค์ ไอ้ร่างกายนี้ที่เราถือกันว่า ร่างกายของเราสะอาดเป็นความเข้าใจของบรรดาประชาชนทั้งหลาย จะพูดแต่ประชาชนอย่างเดียวก็ไม่ได้ ประชาพระก็เหมือนกัน พระนี่ร้ายนักล่ะนึกว่าร่างกายสะอาด

    แต่ความจริงพระพุทธเจ้ากล่าว อย่าลืมนะว่า ข้อนี้เรียกว่าปฏิกูลบรรพ คำว่าปฏิกูล หมายถึงความสกปรก ความเห็นของพระพุทธเจ้าบอกว่า ร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหมด มีแต่ความสกปรก แต่ความเห็นของเราว่าสะอาด ก็ค้านกับของพระพุทธเจ้า เรามานั่งดูกันว่าพระพุทธเจ้าน่ะ เป็นพระ หรือว่าเป็นคนโบราณถือว่าร่างกายสกปรก ถ้าพระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่เวลานี้ ก็จะมีชีวิตอยู่ ได้ ๒,๐๐๐ ปีเศษ การที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์บอกว่า ร่างกายนี้สกปรกมันเป็นความจริงหรือไม่จริง

    การเจริญพระกรรมฐานนะ เขาเจริญเข้าหาความจริง นี่เราเจริญเข้าหาความจริงเพื่อประโยชน์อะไร ก็เพราะว่ายึดถือว่าร่างกายของเรามันดี ร่างกายของเรามันวิเศษ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเป็นอย่างไง เต็มไปด้วยความทุกข์ ตั้งแต่วันเกิดถึงวันตาย นี่เราหาความสุขกันไม่ได้ แต่ทว่าอาศัยคนที่บูชากิเลสเป็นสรณะ จึงยังเห็นความทุกข์เป็นปัจจัยของความสุข คิดดูให้ดีนะ คนเราที่ยอมรับนับถือกิเลส ตัณหา อุปทาน เป็นสรณะ คำว่าสรณะก็คือที่พึง แปลว่าที่พึ่ง จึงได้เห็นว่าเรามีความสุข เพราะร่างกายของเรานี่เต็มไปด้วยความสกปรกทุกส่วน

    แล้วก็กิเลสก็สอนเราให้รู้จักว่าร่างกายมีความสะอาด แทนที่มันจะบอกว่าสกปรกมันก็บอกว่าสะอาด ของที่สกปรกเขาบอกว่าสะอาดแล้วเราก็เชื่อว่าสะอาด เราคิดว่าเราเป็นคนโง่ หรือว่าเราเป็นฉลาด นี่ลองนั่งคิดดู สมมติว่าเรามีแก้วอยู่สักลูกหนึ่ง แล้วนำเอาโคลนบ้าง อุจจาระบ้าง และก็วัตถุต่างๆ ที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นบ้าง มีความสกปรกนานาประการยกมาให้เรา แต่ว่าเขาเอาเครื่องหุ้มห่อห่อเข้าไว้มิดเลย แล้วเขาบอกว่า แก้วลูกนี้สะอาด แล้วเราก็หลงเชื่อตามเขา เดินทางตามเขา พิจารณาคิดว่าแก้วลูกนั้นสะอาด เราก็มาคิดดูว่า เราเป็นคนฉลาดหรือว่าเป็นคนโง่ ถ้าหากว่าเราจะไม่เข้าข้างตัวเอง เราก็จะมีความรู้สึกว่าเราโง่น่ารัก ไอ้คำว่าโง่น่ารักคือโง่ไม่รู้จักฉลาด ไม่มีความคัดค้าน มันน่ารักจริงๆ แล้วใครรักล่ะ กิเลสมันรัก กิเลสรักด้วย พญายมก็รักด้วย

    ต่อมา พระพุทธเจ้ากล่าวว่า นับตั้งแต่ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตับ ไต ไส้ ปอด ไม่ต้องพรรณนากันมาก มันสกปรก อันนี้จริงหรือไม่จริงก็นั่งนึกดู ผมของเราเอาของที่มองเห็นความสกปรกยากสักหน่อย ผมนี่มีความแข็งน่าดู วัตถุที่เป็นสิ่งสกปรกจึงเข้าไปในเนื้อได้ยาก แต่ทว่าถ้าเราจะไม่สระ เราจะไม่สาง เราจะไม่ชำระ เราไม่ทำความสะอาด ๗ วัน แล้วเราก็ใช้จิตเป็นธรรม มานั่งพิจารณาผม ลองเอาผมของเรามาพิสูจน์ เราก็เริ่มเห็นว่า ผมของเรานี่มันเริ่มสกปรกเสียแล้ว มีอาการเหม็นสาปสางชักจะไม่น่าดู นี่ประการหนึ่ง ผมของเราถ้าปรับปรุงให้มันอยู่ในระเบียบก็แลดูสวยงาม แต่ว่าเราไม่ปรับปรุงสักวันสองวันเท่านั้น เราเองก็ไม่อยากส่องกระจก เมื่อส่องกระจกแล้วก็ไม่อยากดูผม เพราะมันยุ่งเหยิงด้วยประการต่างๆ<TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=310>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>ต่อมา ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ แค่หนังจะดีกว่า หนังเป็นเครื่องหุ้มห่อความสกปรกภายใน อันนี้พระพุทธเจ้ากล่าวเปรียบเทียบเหมือนกับคนที่เขามีไถ้ หรือว่ามีหนัง มีไถ้ มีหนัง ขังสิ่งภายในไว้

    ภายในมีของต่างๆ หลายอย่างหลายประการ แต่สิ่งต่างๆ ทั้งหลายเหล่านั้นเต็มไปด้วยความสกปรก แต่ว่าเขาทำถุงบ้างทำถังบ้าง ปิดบังสิ่งที่สกปรกเข้าไว้ แล้วก็ฉาบทาไว้ด้วยสีสวยสดงดงาม ยกถังอันนั้นมาให้เรา ถ้าเราไม่พิจารณาแล้ว เราก็เข้าใจว่าถังอันนั้นมันสะอาด ถ้าเราเปิดถังออกดู ก็จะรู้ว่าของภายในถังนี่สกปรก
    * ไถ้ : ถุงยาวๆ สำหรับใส่เงินหรือสิ่งของ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    มาเทียบกับร่างกายของเรา เวลานี้จุดหนึ่งว่าหนังของเรานี้คนที่เราเห็นว่าสวยสดงดงามสะอาด ไม่สะอาด มันมีส่วนอยู่นิดเดียว คือหนังกำพร้า หนังกำพร้าความจริงมันหนาเท่าไหร่ หนังนี่มันหนานิดเดียว บางเต็มที ส่วนที่เราเห็นว่าดีสักนิดหนึ่ง ผิวหนังคนนี้ขาว คนนี้ดำ คนนี้เกลี้ยง คนนี้ขรุขระ เรามองเพียงแค่หนังว่าคนนี้ผิวดีบ้าง คนนี้ผิวไม่ดีบ้าง อย่างนี้เป็นต้น เรามองดูแต่หนัง

    ตานี้เรามาดูคนที่มีผิวดี ผิวที่สะอาดสุด เป็นผิวที่น่ารัก ตอนฉาบไป ฉาบมา หรือว่าอาบน้ำมาใหม่ๆ นี่มันดีเหมือนกันเราไปอยู่ใกล้ๆ เขาซิ แล้วก็นั่งอยู่สัก ๒ - ๓ วัน บอกว่า ตัวทำไมสวยเหลือเกิน ลองไม่อาบน้ำสัก ๗ วันซิ ความจริงฤดูร้อนนี่ไม่ต้อง ๗ วันหรอก วันเดียวพอ เพียงเท่านี้ก็จะปรากฏว่าสิ่งที่ไม่สะอาดโผล่ขึ้นมาจากข้างในออกมาทางหนัง นั่นก็คือน้ำเหงื่อ ความจริงมีหนังปิดอยู่แล้ว มันยังซึมออกมา เหงื่อที่ซึมออกมาทางร่างกาย เจ้าของเองก็มีความรังเกียจ เหงื่อนี่มีความสกปรก เมื่อมันซึมมามากๆ นี่เราก็ทนไม่ได้ ต้องอาบน้ำชำระร่างกาย เพราะพอเหงื่อที่ซึมออกมา เรารู้ว่ามันสกปรก ความจริงจิตของเรายังไม่คิด พระพุทธเจ้าทรงสอนปฏิกูลบรรพก็ด้วยเหตุนี้
    ที่มา http://www.geocities.com/4465/samadhi/maha414.htm
     
  2. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    โมทนาสาธุ ก่อนจะขึ้น บรรพไดก่อน ปฐมบรรพคืออานาปานบรรพนะครับ ต้องทำก่อน
     

แชร์หน้านี้

Loading...