หลวงพ่อฤาษีลิงดำขึ้นธุดงค์กับหลวงพ่อจง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย watnatangnok namai, 22 มกราคม 2013.

  1. watnatangnok namai

    watnatangnok namai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +3,986
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ตรงกับ วันที่ 14 สิงหาคม 2534 ก็จะขอคุยเรื่องธุดงค์ คราวนี้ขอเล่าธุดงค์ภาคอีสานต่อไป เพื่อให้จบเรื่องภาคอีสาน และภาคเหนือเป็นอันว่า เมื่อถึงเวลาธุดงค์ เวลานั้นเป็นพรรษาที่ 4 หลวงพ่อปานมรณภาพแล้ว เมื่อหลวงพ่อปานมรณภาพแล้ว ท่านสั่งว่า ถ้าฉันตาย เธอก็ไปขึ้นธุดงค์กับหลวงพ่อจงก็แล้วกัน (ท่านเรียก หลวงพ่อจง แต่ว่าหลวงพ่อจงเรียกหลวงพ่อปานว่า ท่านปาน ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าหลวงพ่อปานอ่อนกว่าหลวงพ่อจง 3 ปี เศษนิดหน่อย) เมื่อไปถึงหลวงพ่อจงไปขอขึ้นธุดงค์กับท่าน ไปกราบ ๆ ท่าน

    ท่านถามว่า เตรียมกลดไปไหน ก็กราบเรียนบอกว่า จะมาขึ้นธุดงค์ครับ ท่านหัวเราะฮิ ๆ ตามนิสัยของท่าน บอก จะขึ้นไปถึงไหนละพ่อคุณ ไอ้การขึ้นธุดงค์ ก็คือการเรียนวิชาการธุดงค์ ไม่ใช่จะมาขึ้นแบบต้นไม้ ปีนตรงนั้น ปีนตรงนี้ ไม่ใช่อย่างนั้น เขาขึ้นกันทีเดียวทีหลังไปไหนก็ไปเองได้ ก็เลยบอกว่า เวลานี้หลวงพ่อปานตายแล้วครับ ไปเองก็ไปได้ แต่ว่าผมก็ต้องพึ่งหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อก็ดี หลวงพ่อปานก็ดี เคยสงเคราะห์ผมในป่าอยู่เสมอ ท่านก็ยิ้ม ไม่พูดว่าอย่างไร
    ก็เลยถามท่านว่า วันไหนเป็นวันดีครับ หลวงพ่อจงบอก วันจริง ๆ มันดีทุกวัน ของฉันฤกษ์ดีทุกวัน และทุก ๆ วัน เวลา เวลานี้ก็ดี เธอจะขึ้นธุดงค์เวลานี้ไหมล่ะ ก็บอก ขึ้นครับ ท่านก็นำสมาทานกรรมฐาน และแนะนำแนวเดียวกับหลวงพ่อปาน เพราะท่านเรียนมาด้วยกัน ท่านบอกว่า ท่านปานกับฉันนี่ เรียนกรรมฐานมาด้วยกัน จากหลวงพ่อสุ่น และก็หลวงพ่อปั้น แต่ว่าหลวงพ่อปานแยกไปทำการก่อสร้าง ฉันไม่เอา ฉันทำกรรมฐานอย่างเดียว

    ก็เลยถามว่า ถ้าอย่างนั้น หลวงพ่อก็จบแล้วใช่ไหมครับ ท่านบอกว่า จบ ฉันจบมานานแล้ว ถามว่า จบอะไร ท่านบอกว่า ทีแรกก็เรียนจบ ก.ไก่ ข.ไข่ ต่อมาก็จบ ก.กา ข.ขา ก็ถามว่า เวลานี้หลวงพ่อจบอรหันต์แล้วหรือยังครับ ท่านบอก ข้าจะไปรู้หรือโว้ย ก็ในเมื่อไม่มีคนอื่นพยากรณ์ ข้าก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ข้าไม่รู้เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขึ้นธุดงค์กันดีกว่า แล้วท่านก็นำกรรมฐาน

    ท่านนำกรรมฐานเสร็จ ก็นั่งกรรมฐานกันประมาณ 10 นาที ลืมตามา ท่านหัวเราะฮิ ๆ ท่านบอกไปคราวนี้ดีนะ อันดับแรกไปดงพระยาเย็น (เวลานั้นยังเป็นป่าทึบ ที่ปากช่องเป็นป่าทึบมาก ๆ ที่นั่นจะพบผีมาก เพราะผีสมัยกบฏบวรเดช รบกันตายที่นั่นมาก เขาจะมาเยี่ยมเธอ ความจริงก็เป็นญาติกัน เป็นญาติร่วมชาติกัน

    และหลังจากนั้น เธอก็ไปที่โน่น ภูเขาภูกระดึง ด้านทิศตะวันตก ที่นั้นเป็นดินแดนที่มีความสำคัญมาก เธอต้องไปตามนี้นะ เธอต้องไปตามฉันพูด ที่ไหนมีอันตรายมากจงไปที่นั้น ที่ไหนมีอันตรายน้อย หลบไป พักชั่วคราว แล้วก็ไปเสีย ทั้งนี้เพราะเราต้องการไปเอาดีกัน ก็กราบเรียนถามท่านว่า อันตรายจะมากขนาดไหนครับ ท่านเลยบอกเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เมื่อไปถึงแล้วจึงค่อยรู้กัน
    เป็นอันว่า วันพรุ่งนี้เช้า หลังจากฉันเช้าเสร็จ เธอออกเดินทาง คืนนี้นอนที่นี่หนึ่งคืน ก็เป็นอันว่านอนอยู่กับท่าน ท่านจัดที่หอสวดมนต์ให้นอน ตอนเช้าไปบิณฑบาต ฉันข้าวเสร็จก็กราบลาท่านออกเดินทาง ท่านบอกว่า เดี๋ยวก่อนจะไปก้มหัวมาสิ ท่านก็เป่ากระหม่อมคนละ 3 พรวด ทั้ง 3 องค์ ท่านบอกว่า เธอจงเดินเหมือนฉันนะ (คำว่า เดินเหมือนฉัน พวกเราเองก็สงสัย บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท ว่าเดินเหมือนท่านมันเดินอย่างไร แต่ความจริง ท่านเดินช้า ๆ แต่เร็วมาก ถ้าท่านเดินรู้สึกเดินเนิบ ๆ ก้าวช้า ๆ พวกเราต้องวิ่งตาม) ตั้งแต่ไปจนกระทั่งกลับ เธอจงเดินเหมือนฉัน

    เมื่อสมัยก่อนฉันไปเดินธุดงค์ ไปที่ภูเขาภูกระดึง นี่เป็นจุดหมายปลายทางจุดหนึ่ง ท่านปานก็เคยไป เพราะที่นั่นต้องต่อสู้อันตรายหนัก ที่ไหนหนัก เราต้องไปที่นั้น ฉันไปวันแรกก็ถึงดงพระยาเย็น และพักที่ดงพระยาเย็น 3 คืน หลังจากนั้นแล้วก็เดินตรงไปทางด้านจังหวัดเลย ด้านขอนแก่น มุ่งหน้าตัดลงมาจังหวัดเลย และก็ไปอยู่ที่ภูเขาภูกระดึง และก็อยู่ที่นั่นตลอด จนกว่าจะถึงเวลากลับ
     
  2. watnatangnok namai

    watnatangnok namai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +3,986
    ที่นั่นมีของดี ๆ เยอะ คือ ช้าง ช้างก็เยอะ (พอพูดถึงช้าง พวกเราก็ชอบใจ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเจอะช้างที่ไหนสบายใจที่นั่น เสือก็เยอะ สัตว์ต่าง ๆ เยอะแยะมาก น่าชม น่ารักมาก แต่ทว่าพระธุดงค์ตายมาหลายองค์แล้ว (นี่ท่านลงท้าย) พวกอาตมาก็ยิ้ม เรื่องตายเป็นของเล็ก เพราะทราบอยู่ว่า ความตายมีกับเราทุกขณะ ตามที่ พระพุทธเจ้าทรงสอน ถ้าตายเมื่อไร ก็ไปพรหมเมื่อนั้น

    ก็ความความว่า ตั้งใจตัดสินใจเดินทางไป ความจริง จากวัดหน้าต่าง ไปปากช่องวันเดียวไม่น่าจะถึง ก็เดินไปเรื่อย ๆ คุยกันไปเรื่อย ๆ ตามสบาย แต่ว่าสิ่งที่เราทิ้งไม่ได้ นั่นคือ

    ท่านอินทกะ เมื่อชุมนุมเทวดาเสร็จนึกถึงท่าน ท่านก็มา ท้าวมหาราชท่านก็มา ท่านมอบหมาย ท่านอินทกะ ท่านอินทกะท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไรครับ ไปวันนี้ เดินตามแบบหลวงพ่อจงท่านว่าอย่างนั้น
    เมื่อเดินไปสักครู่หนึ่ง เวลาประมาณ 3 โมงเย็นเศษ ๆ ต้องเริ่มปักกลด เพราะป่าทึบมาก น้ำค้างเริ่มตก ถามท่านอินทกะว่า ที่นี่ที่ไหน ท่านบอก ที่นี่คือที่เขาเรียกกันว่า ดงพระยาเย็น หรือดงพระยาไฟ ตามธรรมดาแล้ว เดินธรรมดา วันหนึ่งจะไม่ถึงที่นี่ ต้องเดินถึง 3 วัน แต่นี่หลวงพ่อจงท่านบอกให้เดินแบบท่าน ก็ต้องเดินตามท่าน ก็ถามว่า ที่มาถึงไวนี่อาศัยอะไร อาศัยท่านอินทกะช่วยใช่ไหม ท่านบอกไม่ใช่ หลวงพ่อจงช่วย

    ในที่สุดก็หาที่ปักกลด ก็ได้ภูเขาลูกหนึ่ง มีเงื้อมชะโงกออกมา ข้างในเป็นถ้ำเล็กน้อย พอที่จะบังน้ำค้างได้ดี อาศัยร่มบังน้ำค้าง ก็ปักกลดใต้เงื้อมเขานั้น พอปักกลดเรียบร้อยแล้ว ก็มานั่งสงสัยว่าเราจะมีน้ำที่ไหนกิน น้ำที่ไหนใช้ ท่านอินทกะท่านก็บอกว่า ในสถานที่ปักกลดนี่ น้ำใช้น้ำกินไม่ยาก อยู่ใกล้ ๆ ท่านก็ชี้ให้ดู ก็เดินไปตามมือท่านชี้ ก็เจอะบ่อน้ำใส เป็นธารน้ำตก และเป็นอ่างน้อย ๆ น้ำขังอยู่ น้ำตกก็ไม่แรงนัก อาบกินกันแบบสบาย ๆ ก็มีความสุข

    พอถึงเวลาก็เข้าที่พัก ท่านอินทกะท่านก็หายไป ความจริงเทวดาท่านจะมาแสดงอยู่เสมอก็ไม่ได้ เพราะว่างานของท่านก็มี เมื่อถึงเวลาใกล้ค่ำ ความจริงเวลาก็ไม่นานประมาณสัก 4 โมงเย็นกว่า ๆ ก็เริ่มค่ำเพราะตะวันลับยอดไม้ เวลานั้นต้นไม้สูงมาก ต้นไม้มีเยอะเป็นป่ารกชัฏ จุดภายในโปร่งบ้าง รกบ้าง ตามสภาพของป่า ไม่ใช่ป่าเต็งรัง

    เมื่อปักกลดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งกรรมฐานกัน อาบน้ำเสร็จ ก็นั่งกรรมฐานกัน พอนั่งกรรมฐานกันเรียบร้อยดี ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ก็รู้สึกว่า มีคนจำนวนมากแบกปืนมา เป็นปืนเล็กยาวของทหาร แต่งตัวเหมือนทหารทุกคน มาเป็นจำนวนร้อย มาด้วยกัน ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายทางเหนือก็มา ฝ่ายใต้ก็มา มาถึงเข้า ต่างคนต่างปะทะกัน ยิงกันขนาดหนัก และหูเราก็ได้ยินเสียงเป็นขนาดหนัก แต่ก็ไม่ตกใจ ถือว่า ภาพ ก็คือ ภาพ เราจะห้ามภาพไม่ให้เกิดไม่ได้
    ในเมื่อเขาอยากจะยิง ก็ยิงกัน ก็ถือว่า โลกนี้เป็นของธรรมดา ก็นึกในใจเวลานั้น ตามแบบฉบับกรรมฐาน (ตามแบบฉบับกรรมฐานมี 2 อย่าง คือ มีอารมณ์ทรงตัว กับอารมณ์คิด) ก็มีการใคร่ครวญว่า การเกิดเป็นคนนี่มันไม่ดี คนทั้งสองฝ่าย ที่ยิงกันเวลานี้ไม่รู้จักกันเลย ไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยโกรธเคืองกันมาก่อน ต่างฝ่ายก็ต่างมายิงกัน ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา และก็มีการล้มตายกันหลายคน

    ในที่สุด ภาพนั้นก็หายไป (กว่าภาพจะหายไป บรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาก็เกือบจะตีสอง) ในเมื่อภาพนั้นหายไปเรียบร้อยแล้ว ก็ปรากฏภาพ เป็นภาพอีกภาพหนึ่ง เป็นภาพคนเจ็บ คนตาย เดินเข้ามาหา ก็ถามว่า พวกเธอทำไมถึงยิงกัน เขาก็บอกว่า เพราะเขาสั่งให้ยิง ถามว่า ใครสั่งให้ยิง คนหนึ่งบอก ผู้บังคับหมู่สั่งให้ยิงครับ อีกคนหนึ่งบอก ผู้บังคับกองสั่งให้ยิงครับ ถามว่า ยิงกันทำไม เขาก็บอกว่า อาศัยในการรบ

    เมื่อสมัย พ.ศ.2476 ถาม พวกเธอตายไปหลายปีแล้วนี่ ยังไม่ไปไหนหรือ เขาบอก พวกผมเป็น สัมภเวสี ครับ ถามเวลานี้ เธอมาทำไม บอก มาขอส่วนบุญ ขอส่วนบุญแล้ว ทำไมต้องทำท่าแขนร่องแร่งกันบ้าง แผลเลือด ไหลบ้าง อะไรบ้าง
     
  3. watnatangnok namai

    watnatangnok namai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +3,986
    เธอก็บอกว่า ในลักษณะการตายของผม ผมตายแบบนี้ครับ บางคนก็หูขาด บางคนก็ตาทะลุไปข้างหนึ่ง ลูกปืนเข้าลูกตา บางคนก็ขาเป๋ ขาโขยกเขยก ถูกยิงขาบ้าง ถูกยิงแขนบ้าง ถูกยิงตามตัวบ้าง นึกสังเวชสลดใจ ก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เธอต้องการ บุญอะไร เท่าที่ฉันมีอยู่นี่ ฉันไม่ปิด ฉันไม่ขัดข้อง ให้หมดทุกอย่าง

    เขาบอก เอาอย่างนี้ก็แล้วกันครับ บุญใดที่ท่านบำเพ็ญมาแล้ว ตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน จะพึงมีผลแก่ท่านเพียงใด ผมขอโมทนาบุญนั้นครับ บอก เออ.. ถ้าอย่างนั้นก็สบาย ง่าย ๆ สั้น ดีนะ ก็บอกว่า เธอจงตั้งใจนะ เขาก็นั่งพนมมือ ก็อธิษฐานใจว่า ผลบุญใด ที่ข้าพเจ้าทำมาแล้ว ตั้งแต่ชาติอดีต ชาติต้นที่ทำบุญ จนกระทั่งปัจจุบันนี้ สะสมตัวกันมากแล้วเพียงใดนี้ จะพึงให้ประโยชน์ความสุขกับข้าพเจ้าเพียงใด ขอบุญนี้ จงได้แก่พวกเธอทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด ขอเธอจงโมทนา

    เธอก็โมทนา เธอกราบไปครั้งหนึ่ง รูปร่างก็เหมือนเดิม กราบเป็นครั้งที่สอง รูปร่างก็เหมือนเดิม กราบเป็นครั้งที่สาม รูปร่างเป็นเทวดาหมด ปรากฏว่าที่เป็นเทวดาเวลานั้น ประมาณ 60 คน ก็เป็นเทวดาทั้งหมด แต่ว่าเทวดาพวกนั้น ท่านก็แน่เหมือนกัน เมื่อเป็นเทวดาแล้ว สภาพต่าง ๆ ก็ค่อยหายไป (คือเป็นภาพเดิม) ย่องไปอีกสองกลด ไปขอตามเดิม เขาก็ให้เหมือนกัน เป็นอันว่า ยิ่งให้ก็ยิ่งสวยขึ้น ๆ ถึงกลดที่สาม สวยสดงดงามมาก

    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัท ที่ใครเขาบอก ตายแล้วสูญ ๆ นี่มันก็ต้องสงสัยเหมือนกัน เป็นอันว่า กว่าจะหมดเวลาจริง ๆ หยิบนาฬิกาขึ้นมาดูเป็นเวลาตี 4 ทุกคนก็ออกจากกลด มานั่งพบกัน เล่าความเป็นมา ก็เหมือนกันหมด ทั้งสององค์ก็บอก ก่อนที่เขาจะมาหาท่าน ผมก็เห็นว่าเขายิงกัน แล้วเขาก็มาหาท่าน และในที่สุดเขาหามาผม และไปหาอีกองค์หนึ่ง ก็รวมความว่า เขาขอบุญทั้ง 3 องค์ คือ ตาคนนี้ได้กำไรมาก นั่งคิดดูอีกที ก็น่าคิดเหมือนกัน

    บรรดาท่านพุทธบริษัท ปัตตานุโมทนามัย นี่แหละ บรรดาญาติโยมทั้งหลาย จงอย่าทิ้ง การโมทนาความดีของคน คนที่เขาทำความดี ที่เขาใส่บาตรก็ดี เขาให้ทานก็ดี เขารักษาศีลก็ดี เขาฟังเทศน์ก็ดี เขาเจริญกรรมฐานก็ตาม เขาทำงานก่อสร้างก็ตาม ขึ้นชื่อเป็นความดี ถึงแม้ว่าเป็นความดีที่ทำกับพ่อกับแม่ ที่เขามีความกตัญญูรู้คุณเราพลอยยินดีกับเขา ความดีนั้นก็สนองตัวเรา ดูตัวอย่างเทวดาทั้ง 60 คน

    อาตมามานั่งคิดว่า แกได้เปรียบกว่าเราเสียอีก เขาเอาอาตมาไปหมดทุน และขออีก 2 องค์ อีกองค์ละหมดทุน แกได้สามหมดทุน ก็ลืมถามว่า เป็นเทวดาชั้นไหน และก่อนจะไปแกหันกลับมาบอกว่า ผมขอลาละครับ เมื่อกี้ลืมลาไป ไปขออีก 2 องค์

    เป็นอันว่า ทั้ง 3 องค์ก็คุยกัน คุยไปคุยมา ก็เวลาใกล้สว่าง ก็เป็นอันว่า คืนนั้นไม่ได้นอนกัน นั่งกรรมฐานคุยกับผีให้ผลกับผี เวลาใกล้สว่าง ก็ปล่อยให้สว่าง นั่งคุยกันประเดี๋ยวหนึ่งนั่งทำจิตสงบ เลิกคุยกัน ทำกรรมฐานอีกนิดหนึ่ง นั่งให้ใจสบาย ๆ พออารมณ์สบาย ๆ จิตสงบดีแล้ว ปรากฏว่าหลังจากพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว พระอาทิตย์ขึ้นใหม่ ๆ ก็ลืมตาขึ้นมา ลืมตาพร้อมกัน ถอนกรรมฐานพร้อมกัน

    คิดว่าจะไปบิณฑบาตทางไหน ก็เห็นบรรดาเทวดาทั้ง 60 องค์ ท่านมาในภาพเทวดาเลย ท่านมาถึงกราบ ๆ ท่านบอกว่า ท่านขอรับ ไม่ต้องไปบิณฑบาตที่ไหน พวกผมได้รับผลบุญ ความดีจากท่าน มีความสุข เดิมทีเดียวผมมีความทุกข์มาก ผมตายเป็นสัมภเวสี การรบราฆ่าฟันนี่เป็นของไม่ดี แต่จำเป็นจะต้องรบ เพราะเราอยู่ใต้บังคับบัญชา เลยถามว่า เท่าที่มากัน เมื่อคืนนี้ มาฝ่ายเดียวหรือสองฝ่าย บอก มาทั้งสองฝ่ายครับ ต่างคนต่างตาย ต่างคนก็ต่างมา ถามว่า ตายเวลานั้นจริง ๆ เท่าไร ท่านบอกว่า เห็นจะเป็นร้อยคน เพราะต้องปะทะกันมาก แต่ก็บางส่วนเขาไปที่อื่น แต่พวกผมทราบว่าท่านจะมา ผมเลยดักอยู่ที่นี่

    ก็ถามว่า วันนี้มีอะไรมาถวายบ้างล่ะ บอก มีข้าวมาถวายครับ ต่างคน ไม่มีขันทองคำ มีเป็นขันแก้ว สวยมาก แพรวพราวเป็นระยับ ตักข้าวใส่บาตรใส่ทั้ง 60 คน แต่บาตรไม่เต็มได้ประมาณครึ่งบาตร เวลาใส่ก็เต็มทัพพี ตักเต็มที่ใส่เต็มที่ เมื่อใส่เสร็จ พวกแกก็นั่งอยู่ที่นั่น (มาเต็มอัตราของเทวดานะ มีชฎาแหลมเปี๊ยบ สดชื่นมาก แต่ว่าขาดนางฟ้า ที่ขาดนางฟ้า เพราะว่าการรบกับ เขาไม่ได้เอาผู้หญิงไปรบด้วย)

    ฉะนั้นเมื่อเธอใส่บาตรเสร็จ พวกเราก็ฉัน ฉันเสร็จก็โมทนา เมื่อโมทนา เธอทั้งหลายก็ตั้งใจรับโมทนาอีกครั้งหนึ่ง บรรดาท่านพุทธบริษัท พอโมทนาจบ ภาพเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นผ่องใสกว่าเดิมขึ้นมาก มีแสงสว่างขึ้นมาก
     
  4. watnatangnok namai

    watnatangnok namai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +3,986
    ท่านก็เลยบอกว่า นิมนต์อยู่ที่นี่ 3 คืนครับ ผมขอรับเลี้ยง ถามถึงอันตราย บอกไม่มีครับ ไม่มีแน่นอน พวกผมทั้ง 60 นี่ขอยืนยันว่า จะไม่มีอันตราย พอดีท่านอินทกะก็โผล่ ท่านอินทกะ ท่านก็บอกว่าพวกนี้เขาจะป้องกันได้ดีครับ เพราะเขาเป็นลูกน้องผม เมื่อเขาเป็นสัมภเวสีอยู่ เขาก็เป็นลูกน้องผม ในเมื่อผมมา เขาก็มากับผม แต่เขาไม่ให้ท่านเห็น เวลานี้เขาเป็นเทวดาแล้ว เขามีอานุภาพมากขึ้น เขาก็ต้องเลี้ยงชดใช้ท่านบ้าง แล้วก็ต้องติดตามท่านไปด้วย ในเมื่อผมไป เขาก็ต้องไปด้วย ก็ถามเทวดาองค์นั้น ถามว่า ไปไหม ท่านบอกว่า ไป

    ในเมื่อฉันข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่รู้จะไปเดินเที่ยวที่ไหนดี ถามท่านอินทกะว่า จะไปเดินที่ไหนให้มันหายเมื่อย ท่านอินทกะบอก เมื่อคืนนี้ไม่ได้หลับทั้งคืนนะครับ นิมนต์จำวัดดีกว่า ก็เลยนอนใต้กลด นอนใต้ชะโงกเขา มีความเย็นดีมาก นอนไปนอนมา ปรากฏเจ้านกยูง 2-3 ตัว มันเดินเข้ามาหา มาถึงก็มองหน้า พอจ้องหน้าก็รำแพนป้อ อวดความสวยของเธอ

    นึกในใจ เจ้านกยูงนี่ไม่รู้จักคนนะ ถ้าไปเจอคนจริง ๆ เข้านกยูงก็นกยูงเถอะ จะเหลือแต่ขนหางเท่านั้นแหละ ขนหางเท่านั้นที่เหลือ นอกนั้นนกยูงจะไม่เหลือ แม้แต่เนื้อ หรือกระดูกในที่สุด ก็นอนอยู่ที่นั้น 3 คืน เทวดาคณะนั้นก็ใส่บาตรทั้ง 3 วัน เธอมาปฏิบัติ แม้แต่น้ำก็ไม่ต้องไปตัก ท่านไปตักให้ ท่านทำทุกอย่าง ให้ความสะดวกทุกอย่าง

    เมื่อออกจากดงพระยาเย็นแล้ว บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็มุ่งหน้าเดินทางต่อไป ถามท่านอินทกะว่า เราจะไปไหน ท่านอินทกะก็วางแผนที่วางทิศทาง มุ่งหน้าตัดตรงตามนี้ครับ ไปภูเขาภูกระดึง ตามที่หลวงพ่อจงสั่ง ก็เดินทางจากดงพระยาเย็น ไปประมาณครู่เดียวประมาณ สัก 3 โมงเย็น ก็ถึงภูเขา เป็นเขาลาด ลาดมาก มีป่าทึบ ยอดเขามองไม่เห็น ต้นไม้มากเหลือเกิน ท่านบอก ที่นี่เขาเรียก ภูกระดึงด้านทิศตะวันตก ครับ ถ้าทิศตะวันออกจะเป็นที่ชันขึ้นยาก แต่คนจะขึ้นทางนั้น (เวลานั้นไม่มีคนขึ้น ยังไม่มีคนไปถึงภูกระดึง จะมีบ้างก็พรานป่า)

    ท่านอินทกะก็บอกว่า ภูเขาภูกระดึงลูกนี้ เดิมทีเดียวอยู่ในทะเล จมอยู่ในทะเลหลายล้านปีมาแล้วครับ ต่อมาน้ำก็เหือดแห้งไป ถ้าเราจะพิสูจน์กันเอาไว้วันข้างหน้า หากว่ามีโอกาส ผมจะพาท่านขึ้นไปยอดเขาภูกระดึง ท่านจะได้ชมหลักฐานว่า ภูเขาลูกนี้เคยเป็นทะเล มันเป็นจริงหรือเปล่า จะมีรอบคราบน้ำทะเล จะมีหอย มีปู เป็นต้น จะเป็นคราบหมด มันตายแล้ว

    ก็รวมความว่า วันนั้นก็นอนที่นั่น ไปหาที่ภูเขาภูกระดึง ก็ไปพบผา ๆ หนึ่ง เป็นผาชะโงกเป็นที่น่าอยู่ ร่มรื่นดีมาก มีความสุข ฝนตกก็ไม่เป็นไร เพราะเป็นหน้าผาสูง ท่านอินทกะก็บอกว่า นิมนต์อยู่ที่ตรงนี้นะครับ อยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลากลับ แต่ว่าการอยู่ที่นี่ถือว่าเป็นที่อยู่เราตั้งแต่ทีแรก ต่อไปผมจะพาเที่ยวในที่ต่าง ๆ ในที่นี้มีพระหลายองค์ ไม่ใช่มีแต่พวกเรา เวลานี้ปัจจุบันก็มีพระกำลังอยู่ที่ภูเขาภูกระดึงนี่หลายองค์ด้วยกันครับ แต่ว่าหลายองค์ที่ก่อนมาแล้วก็ตายเยอะเหมือนกัน เพราะมีความประมาทในชีวิต
     
  5. watnatangnok namai

    watnatangnok namai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    293
    ค่าพลัง:
    +3,986
    หลวงพ่อจงเป่าหัว 3 ครั้ง ท่านถามว่า การท่องเที่ยวไปภพต่าง ๆ ได้ ที่เธอทำได้ เพราะอาศัยใครรู้ไหม บอก รู้ครับ ท่านถามว่า อาศัยใคร ก็บอกว่า อาศัยหลวงพ่อปานหนึ่ง เป็นองค์ต้น ประการที่สอง เข้าถึงพระพุทธเจ้า ประการที่สามเข้าถึงพระอรหันต์ องค์ที่สอนให้ไปเที่ยวภพต่าง ๆ ได้จริง ๆ นั่นคือ พระโมคคัลลาน์ ท่านก็เลยหัวเราะ รูปทั้งกายเป็นพระโมคัลลาน์ทันที

    บอก นี่จำไว้นะว่า ลีลาพระอรหันต์ เมื่อกี้เธอคิดผิด ฉันมาสอนเธอ อย่าไปคิดสิว่า พระอรหันต์จะต้องเรียบร้อยทุกองค์ ดูตัวอย่าง พระสารีบุตร พระสารีบุตรท่านเคยเป็นลิงมาก่อน ขนาดเป็นอัครสาวก เจอะลำรางยังขัดเขมรกระโดดข้าม ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า พระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา แต่ว่าเคยเป็นลิงมาก่อน และนิสัยลิงก็ติดมา นี่ก็เช่นเดียวกัน พวกเธอก็มานั่งวาดภาพ

    พอหลวงพ่อปานบอก มีพระอรหันต์มาก ก็คิดว่าต้องเรียบร้อย มันไม่ใช่อย่างนั้น ก็ถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ผมอยากจะเป็นพระอรหันต์บ้าง ท่านบอกว่า เป็นได้ จะเป็นอะไรไป ถ้าเธออยากจะเป็นจริง ๆ เว้นไว้แต่ว่าเธออยากจะไม่เป็น เธออยากเป็นพระครูไหม บอก ไม่อยากเป็นครับ อยากเป็นเจ้าคุณไหม ไม่อยากเป็นครับ อยากเป็นสมเด็จไหม ไม่อยากเป็นครับ อยากเป็นสังฆราชไหม ไม่อยากครับ

    ท่านถามว่า ทำไมจึงไม่อยากเป็น ก็บอกว่า ที่ไม่อยากเป็นไม่ใช่ไม่มีใครเขาตั้ง เขาจะตั้งไม่ตั้ง ผมก็ยังไม่ทราบ เพราะว่าเกณฑ์วิชาความรู้ความสามารถผมไม่ถึง เอาเป็นแต่เพียงว่า ถ้าเป็นก็ตาย ไม่เป็นก็ตาย เวลานี้มาคิดอย่างเดียวว่า เราจะตายแล้วเราจะไปไหนกัน บอก เออ..ดีแล้ว เธอคิดว่าจะไปไหน ก็กราบเรียนท่านบอกว่า เวลานี้กำลังผมอยู่แค่พรหมครับ ผมก็อยากจะไปพรหม

    ท่านบอกดีไปพรหมก็ดี ตั้งใจต่อนิพพานเลยก็แล้วกันนะ ก็ถามท่านว่า จะตั้งใจต่อได้อย่างไรครับในเมื่อผมปรารถนาพุทธภูมิ ท่านบอก เรื่องพุทธภูมิ ก็เรื่องพุทธภูมิสิ นิพพาน ก็นิพพานสิ ถ้าเราบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็เป็นพระอรหันต์ไป มันไม่มีการจำกัดจำเขต ไม่มีการบังคับ อย่างพระมหากัจจายนะ

    ท่านก็มาจากพุทธภูมิ ท่านมีบารมีเต็มแล้ว แต่ท่านไม่อยากจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าใหม่ ท่านก็ตัดสินใจลาพุทธภูมิ เป็นสาวกภูมิไป ก็เป็นอาจารย์ของเธอใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ครับ ที่ท่านสอนด้านปฏิภาณ แล้วท่านก็ถามใหม่ว่า พวกเธอต้องการอะไรอีก บอกไม่ต้องการครับ มีความต้องการรู้อย่างเดียวว่า พระที่นี่มีอรหันต์กี่องค์ ท่านบอก ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ 16 องค์ เป็นอรหันต์ทั้งหมดทั้ง 16 องค์

    ถาม จริยา ท่านบอก ที่ฉันมานี่เพื่อจะให้พวกเธอรู้นะ ถ้าไปพบท่านบางองค์ ท่านแสดงอะไรผิดปกติ อย่าไปนึกแปลกใจนะ ให้เข้าใจว่าทุกองค์เป็นพระอรหันต์ พร้อมใจไหว้ไว้ และไม่ใช่อรหันต์ปกติ เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด เธอมานี่ทุกองค์รู้ พร้อมที่จะสอนเธอ ทุกองค์ตั้งใจสอนพวกเธอทั้งหมด ฉันจึงมาบอกเธอไว้ อาจารย์ปานท่านไม่ได้บอกไว้ครบ ฉันมาบอกเธอ ถามว่า ต้นไม้ต้นนี้ล่ะครับ

    ท่านบอก ไม่ยาก เดี๋ยวฉันจับโยนไว้ที่เดิมก็แล้วกัน แล้วท่านก็จับปั๊บ โยนไปปักที่เดิม ตามรูปเดิม ไปหารอยดินก็ไม่ได้ ก็รวมความว่า หลังจากนั้น ท่านก็ลากลับไป เวลากว่าที่ท่านจะกลับก็ค่ำ พวกเราก็จำวัด นอนตามสบาย เช้ากินข้าวเทวดา ตอนสายก็เดินไป ประมาณสักชั่วโมงเศษ ๆ ก็พบถ้ำ ๆ หนึ่ง พบพระองค์หนึ่ง สวยมาก องค์นี้พระจริง ๆ ยังเป็นมนุษย์อยู่ คือว่า พระโมคคัลลาน์

    ท่านบอก เป็นอรหันต์หมด หลวงพ่อปานก็บอก เป็นอรหันต์หมด และเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเสียด้วย เมื่อเข้าไปใกล้ท่าน ท่านก็นั่งเรียบร้อย องค์นี้เรียบร้อยมาก เหมือนผู้หญิง ท่าทางคล้ายผู้หญิง ผ้าผ่อนเรียบร้อยดี เข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า มากราบทำไม ก็บอกว่า สุปฏิปันโนครับ พระคุณเจ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ผมก็อยากจะไหว้ อยากจะดีเหมือนพระคุณเจ้า

    ไม่ต้องเรียนกันอีกก็ได้มั้ง ที่มาหาแก้ข้อข้องใจนิดหน่อย ฉันก็สอนตามเดิม พวกเธอนี่สนใจอย่างเดียวว่า อรหันต์เขาเป็นกันอย่างไรใช่ไหมล่ะ บอกใช่ครับ ท่านบอก อรหันต์ไม่ได้หมายความว่า ต้องเหาะได้ทุกองค์ ไม่ต้องหายตัวได้ทุกองค์ ไม่ต้องแปลงตัวได้ทุกองค์ อรหันต์มีตั้ง 4 อย่าง สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ถามท่านบอกว่า พระที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดเป็นปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมดใช่ไหม

    ท่านบอกว่า ใช่ ถามว่า พระคุณเจ้าฉันข้าวกับอะไรครับ กับเทวดา หรืออยู่ด้วยธรรมปีติ ท่านบอก อยู่ด้วยธรรมปีติ ถามว่า ไม่ไปสงเคราะห์คนในบ้านในเมืองหรือครับ ท่านบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่หน้าที่ของฉันคือ บรรลุแล้วก็อยู่ในป่า คอยพระที่มาในป่า เมื่อไรพระเข้ามาในป่า ฉันก็สอน ก็เลยบอกว่า เวลานี้ผมต้องการรับคำสอนครับ รับคำสอนอย่างที่ชอบใจมากที่สุด ทานถามว่า ชอบใจใคร

    บอก ชอบใจพระคุณเจ้าครับ ดูท่าทางยังหนุ่มมาก ยังไม่แก่ ท่านก็ยิ้มบอก ชอบใจฉันนะ บอก ครับ ท่านเลยบอก เธอจงอย่าสนใจในรูป ขึ้นชื่อว่ารูปทั้งหมดเป็น อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง รูปทั้งหมดเป็น ทุกขัง เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ เป็นทุกข์ทั้งหมด รูปทั้งหมดเป็นอนัตตา ตายทั้งหมด พังทั้งหมด อย่าสนใจในรูป จะเป็นคนดีก็ดี จะเป็นสัตว์ก็ดี จะเป็นนางฟ้าจะเป็นเทวดา

    จะเป็นพรหมก็ดี มีสภาพจุติทั้งหมด ไม่มีการทรงตัว สภาพที่ทรงตัวมีที่เดียว คือนิพพาน จงจำไว้ว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จงอย่าสนใจในรูป เห็นรูปแล้วจงคิดไม่ใช่เอาตาหลบรูป เอาตาสู้รูป ตาสู้รูป ใจก็สู้รูป ตาสู้รูป ก็หมายความว่า ตาเห็นรูป จงคิดว่า รูปนี้มันเป็นธาตุ 4 แล้วแบ่งเป็นอาการ 32 เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ต้องมีความทุกข์เพราะรูป ต้องหาเลี้ยงรูป ในที่สุดรูปก็ตาย

    ตายแล้วมีสภาพเป็นผี เมื่อสภาพเป็นผีแล้ว ไม่สามารถจะเอารูปไปได้ ต้องทิ้งรูปไว้ไปเสวยสุข เสวยทุกข์ตามธรรมดา ถ้าเธอไม่สนใจในรูป เธอก็เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าเธอยังสนใจในรูปอยู่ เธอก็เป็นอรหันต์ไม่ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • k028_1.jpg
      k028_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      28.2 KB
      เปิดดู:
      363
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,479
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018

แชร์หน้านี้

Loading...