หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน ผจญช้างโพธิสัตว์ ธุดงค์ไปนครสวรรค์

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 9 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน ผจญช้างโพธิสัตว์
    ธุดงค์ไปนครสวรรค์
    [​IMG]
    ท่านพุทธบริษัททั้งหลายวันที่บันทึกเป็น วันที่ 16 สิงหาคม2533 วันนี้ก็มาคุยกันถึงเรื่องธุดงค์ การไปธุดงค์คราวนี้ออกจากตาคลีไปนครสวรรค์

    การเดินทางเวลานั้นบรรดาท่านพุทธบริษัท เดินทางแบบสบายๆ เพราะเป็นป่าใหญ่ป่าทึบ การเดินทั้งหมด เข้าป่าทั้งหมดเพราะว่าไม่ต้องการพบบ้าน พอไปถึงเขตนครสวรรค์ ก็ไม่ทราบว่าตำบลอะไรมันเลยเมืองนครสวรรค์ไปใกล้กำแพงเพชร หลวงพ่อปานก็สั่งปักกลดเมื่อปักกลดเรียบร้อยแล้วก็หาน้ำอาบกันหาบ่อน้ำอาบหลวงพ่อปานท่านมีความชำนาญมากท่านบอกว่าที่อาบน้ำบ่อน้ำมีทางโน้นเป็นน้ำใสท่านเคยมา

    เมื่ออาบน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ท่านก็บอกว่าทุกองค์พักให้หายเหนื่อยเมื่อพักหายเหนื่อยดีแล้วก็เขียนระยะทางที่เราผ่านมาบันทึกภาพใช้อตีตังสญาณใครจะพบใครสมัยไหนไม่มีความสำคัญใครเห็นอะไรพ บอะไรเขียนมาแล้วฉันจะพิสูจน์วันพรุ่งนี้เช้าฉันจะรับมาพิสูจน์ ( นี่เป็นปกติธรรมดาบรรดาท่านพุทธบริษัทการเดินทางธุดงค์ท่านไม่ต้องการให้เดินเฉยๆ ให้ใช้กำลังฌานกำลังฌานที่จะพึงได้เป็นการฝึกกันไม่ใช่เป็นผู้ชำนาญ )

    ทุกคนก็ต่างคนต่างเขียน เมื่อเข้ากลดของตัวแล้ว ก็เขียนเท่าที่จำได้ หรือนึกออกแต่ส่วนใหญ่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่เขียนนี่ไม่ได้ใช้กำลังใจของตนเอง ถามเทวดาที่เดินมาด้วย เพราะการเดินทางมา เทวดาท่านก็มาด้วย เทวดานี่ท่านมีความเมตตาปรานีจริงๆเห็นท่านตลอดเวลาทำให้เราไม่เหงา เดินถึงที่ตรงนั้นถึงที่ตรงนี้ท่านก็ชี้ว่าในสมัยนั้นมีอะไร สมัยนี้มีอะไร สถานที่ตรงนี้เขารบราฆ่าฟันกัน ที่นี่มีบ้านมีเมือง มีใครเป็นบุคคลสำคัญท่านก็เล่าให้ฟังเรื่อย เวลาเดินกันมาจริง บรรดาท่านทั้งหลายทั้ง 4 องค์นี่ เงียบกริบ ไม่มีใครพูดกันที่ไม่มีใครพูดกันต่างคนต่างฟังเทวดาท่านเล่าให้ฟัง และบางสมัยเรา เองก็เกิดแถวนั้นเหมือนกัน เดินทางผ่านแถวนั้นเหมือนกันและในสมัยนั้นมีสภาพเป็นเป็นอย่างไรท่านก็ชี้ให้ดูภาพ ทำภาพเหมือนกับเราดูของจริง

    เมื่อต่างคนต่างเขียนเสร็จก็ทำวัตรสวดมนต์กันตามธรรมดาทำวัตรสวดมนต์ก็ใช้อะไรไม่มาก ส่วนใหญ่ใช้การเจริญกรรมฐานให้หนัก การเจริญกรรมฐานเป็นของปกติถ้าถามว่าทำอย่างไรก็ไม่ต้องถามเพราะกรรมฐานก็มีเป็นประจำอยู่แล้ว

    อันดับแรกต้องมีพรหมวิหาร 4 พรหมวิหาร4นี่ต้องเป็นฌานสมาบัติ

    ประการที่ 2 นิวรณ์ทั้ง 5 ประการอย่าให้เข้าประจำใจ ถ้าขืนปล่อยให้นิวรณ์ทั้ง5ประการเข้าประจำใจเช้าจะอดข้าว

    ประการที่ 3 เราก็นั่งใคร่ครวญพิจารณาร่างกายตัวเอง ว่าร่างกายนี่มันมีสภาพตายในที่สุดเมื่อเราตายแล้วร่างกายไม่ได้ไปด้วยจิตใจมันไปที่เรียกว่าอทิสมานกาย

    ก็ย่อๆ แบบนี้ตามธรรมดาที่ผ่านมาเพราะว่าเคยกินข้าวจากเทวดาแบบไหนก็ทำแบบนั้นเพราะกลัวอดถ้าถามว่านักพรตคือนักเจริญกรรมฐานกลัวอดด้วยหรือก็ต้องตอบว่ากลัวอดแน่ๆทั้ งนี้เพราะอะไรก็เพราะว่าร่างกายมันต้องการอาหาร

    ในเมื่อถึงรุ่งเช้า ก็เอารายงานไปส่งหลวงพ่อปาน พอส่งท่านแล้ว ก็ออกบิณฑบาตตามปกติ ไปตามธรรมดาๆ กำหนดว่า จากต้นไม้ต้นนี้ถึงต้นไม้ต้นโน้น เราจะรับบิณฑบาตถ้าไม่มีใครใส่บาตร เดินไปแล้วเดินกลับ เราจะอยู่ด้วยธรรมปีติ ก็เป็นเรื่องธรรมดาจริงๆว่า ธรรมดาก็มีคนใส่ให้ คนที่ใส่ให้ก็ไม่ใช่รูปร่างเหมือนเทวดา เป็นรูปร่างชาวบ้าน แต่ว่าสังเกตข้าวข้าวเหมือนกันทุกวัน ข้าวสีเหลืองน้อยๆ รสหวานหน่อยๆ มีดอกไม้สวยๆ นี่เป็นเรื่องธรรมดาๆ ก็ไม่ควรจะซ้ำซากกัน

    พอฉันข้าวเสร็จ หลวงพ่อปานก็เรียกประชุม ท่านก็แนะนำด้านวิปัสสนาญาณว่าสมถภาวนา น่ะใช้กันจนชินได้ดีแล้ว วิปัสสนาญาณอย่าทิ้ง จงอย่าคิดว่า เราจะได้กลับวัดคิดไว้เสมอว่าวันนี้มันอาจจะตายไว้เสมอ ถ้าเราตายเราจะไปไหน ร่างกายนี้มันไม่ใช่ของดีมันของเลว มันเป็นเครื่องนำมาแห่งความทุกข์ อย่าไปสนใจในมันให้มากเกินไป ร่างกายจะตายที่ไหน ก็ปล่อยมันตายที่นั่น เราจะไปตามทางของเรา เราจะไปสวรรค์ หรือไปพรหมโลก หรือจะไปนิพพานก็ตามใจ

    หลังจากที่ท่านอบรมตามสมควร ท่านพูดดีมาก หลวงพ่อปานพูดเพราะ อธิบายจนเข้าใจแจ่มแจ้งทุกอย่าง ต่างคนก็ต่างพักในกลด เข้ามาในกลดสักครู่หนึ่ง เสียงหลวงพ่อปานก็ร้องบอกว่า เอ้า.ใครอยากจะเดินชมอะไรบ้าง ก็ไปได้ตามอัธยาศัย ทุกองค์ทั้ง 3 คนก็ไปกราบท่าน ขออนุญาตเดินเข้าป่า

    ตอนเดินเข้าป่านี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท เดินเข้าไปสักครู่หนึ่ง ก็พบต้นไม้ใหญ่ๆ มีต้นยางบ้าง โดยมากเป็นป่าสัก ยางก็มีน้อยกว่าสัก ต้นสักมีมาก เป็นต้นเปลาๆ ข้างล่างเตียนโล่งสบายๆ เดินไปแบบสบายๆ พอไปถึงต้นไม้ต้นสักต้นหนึ่ง มีแสงแดดส่องลงมาบ้างก็มีเสือดำนอนอยู่ 2 ตัว

    ยังนึกในใจว่า เจ้าหมาดำนี่ ทำไมตัวมันใหญ่นัก ตัวมันยาวนักคล้ายเสือ ( แต่ความจริงนึกว่า หมา ยังไม่รู้จักคำว่า เสือดำ รู้จักแต่เสือลายพาดกลอนบ้างเสืออะไรต่ออะไรบ้าง เขาเล่าให้ฟัง ก็ไม่รู้จักจริง คำว่า เสือดำ ไม่มีใครเขาพูดให้ฟัง ก็คิดว่าเป็นสุนัขธรรมดาๆ หรือเป็นหมาป่าธรรมดา ) ก็คิดว่า คงไม่เป็นไร พอเข้ามาใกล้ เจ้าเสือดำมองดู มันก็ลุกขึ้นมองเฉยๆ แล้วก็เดินไปเฉยๆ ไม่แสดงอาการท่าทางดุร้าย จึงนึกในใจว่าหมา 2 ตัวนี้ มันเหมือนเสือจริงๆ แต่หน้าตาทำไมเหมือนเสือ แต่พวกเราก็คิดว่าเป็นหมา

    แล้วก็เดินทางต่อไปอีก คราวนี้ก็ไปพบคนๆ หนึ่ง นุ่งขาวห่มขาว นั่งภาวนา ชักลูกประคำ ก็คิดในใจว่า นี่ฆราวาสเขาก็มาธุดงค์เหมือนกัน แล้วท่านผู้นั้นเองก็ไม่มีบาตรไม่มีอะไรทั้งหมด มีแต่ผ้านุ่ง กับผ้าห่ม จึงนึกในใจว่า ท่านดีกว่าเรามาก เข้าไปใกล้ท่านนึกอยากจะกราบท่าน แต่ก็กราบไม่ได้เพราะผ้ากาสาวพัสตร์ แต่จิตใจนึกกราบท่านด้วยความเคารพ พอเข้านั่งใกล้ท่านก็ลืมตาขึ้น ท่านถามว่าพวกท่านมาธุระอะไร ก็เรียนว่าอาตมามาเดินเล่น ท่านถามว่า เดินเล่นนี่ จิตคิดอย่างไร ก็ตอบท่านว่าจิตคิดถึง พุทโธ คือ นึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นภาพพระพุทธเจ้าเป็นปกติ ท่านก็บอกว่า ดีแล้ว อย่างนั้นก็ดีแล้ว เห็นภาพพระพุทธเจ้า แล้วคิดไหมว่า มันอาจจะตาย ก็เลยบอกว่า คิดตั้งแต่เช้า ท่านบอกว่า เรื่องความตายนี่ ควรจะคิดไว้เสมอๆ จะได้มีความมั่นใจในพุทโธ

    เมื่อท่านจะผ่านมาหาผม ท่านเจอะสุนัข 2 ตัวไหม บอกกับท่านว่า เจอะท่านถามว่าสีอะไร ก็ตอบว่า สีดำ ท่านถามว่า คุณเข้าใจว่ามันเป็นสุนัขจิ้งจอก หรือเป็นสุนัขป่า หรือว่าเป็นสุนัขอะไร บอกให้ทราบได้ไหม ก็เลยบอกว่า บอกไม่ได้ เพราะไม่เคยรู้จักสุนัขแบบนี้ รูปร่างหน้าตามันคล้ายเสือ ท่านก็เลยบอกว่า นั่นแหละ เขาเรียก เสือดำ เจ้าเสือดำนี่ มันดุกว่าเสือลายพาดกลอนมาก ที่พวกคุณทั้ง 3 ผ่านมาได้เพราะอาศัย พรหมวิหาร 4 และพุทธานุสสติ ฉะนั้นของ 2 อย่างนี้ จงอย่าลืม ถามท่านว่า ท่านอยู่ที่ไหน ท่านก็ตอบว่า ที่อยู่ในเมืองมนุษย์ของผมไม่มี

    พอท่านบอกเท่านั้น บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็นั่งจ้องหน้าท่าน ท่านบอก เอ้า..ดูนานๆ สิว่า ตามันกระพริบไหม (ก็เป็นอันว่า ตาไม่กระพริบ) ท่านถามว่า ในเมื่อท่านเห็นว่าตาผมไม่กระพริบ ท่านเข้าใจว่าผมเป็นอะไร ทีนี้กลิ่นตัวของท่านสิ บรรดาท่านพุทธบริษัท กลิ่นตัวคล้ายๆ กับธูปหอม ถ้ากลิ่นแบบนี้เป็นกลิ่นของพรหม ถ้ากลิ่นตัวเทวดาแล้วเป็นกลิ่น เหมือนดอกไม้ดอกไม้สด หรือกระแจะ คล้ายคลึงกันทั้ง 2 อย่างก็เลยตอบท่านว่า ท่านคือพรหมใช่ไหม ท่านก็บอกว่า ใช่ ถามว่า ท่านเป็นพรหมชั้นไหน

    ท่านก็ตอบว่า ผมคือ สหัมบดีพรหม ก็ตกใจ นึกอยากจะไหว้ท่าน ท่านบอกว่าเอาแค่นึกนะ (พอนึกอยากจะไหว้ท่าน ท่านบอกเลยว่า เอาแค่นึกนะ) อย่าไหว้นะ เพศอย่างนี้ ไม่ควรจะยกมือไหว้ฆราวาสก็ถามท่านบอกว่า ท่านมานั่งนี่ท่านมีความประสงค์อะไร ท่านบอกว่า ผมรู้ว่าคุณทั้ง 3 องค์จะมาที่นี่ ก็ถามว่า แล้วมีอะไรจะบอกไหม ท่านบอกว่า ผมจะบอกกับพวกคุณอยู่อย่างเดียว คือ ตั้งใจจะบอกว่า ดินแดนที่คุณเดินผ่านมานี่ คุณเกิดมาแล้วหลายครั้ง หลายชีวิต เอากันตั้งแต่สมัยสุพรรณบุรีก็ได้ สมัยสุโขทัยก็ได้ สมัยเชียงแสนก็ได้ ท่านผ่านมาหลายชีวิตท่านเกิดแล้วตายตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายตายแล้วเกิดมาหลายชีวิตแต่ละชีวิตของท่านไม่ได้มีความสุข

    ก็ขอดูภาพๆ หนึ่งเป็น สมัยเชียงแสน สมัยนั้นเป็นภาพที่มีความแร้นแค้นมากที่สุด เพราะพ่อถูกขอมขับเข้าไปอยู่ป่า มีความอดอยากมาก แต่ทว่าอาศัยมานะทิฏฐิ และจิตใจเป็นคนไทย เมื่อโตขึ้นมาก็รวบรวมกำลังไพร่พล (ใช้คำว่า ไพร่พล ก็ไม่ถูก รวบรวมกำลังชาวบ้านด้วยกัน เป็นชาวบ้าน) ตั้งเป็นกองทัพ พอถูกพวกขอมรุกรานหนัก ข่มเหงทุกอย่างลูกเขาเมียใคร ต้องการเมื่อไร ก็ได้เมื่อนั้น

    ทรัพย์สินของใคร ต้องการเมื่อไร ก็ได้เมื่อนั้นถ้าไม่ให้ก็ทำร้ายร่างกายเสียบ้างฆ่าเสียบ้างไม่มีความผิดตามกฎหมายขอม เขาถือว่า คนไทยไม่ต้องการให้มีชีวิตอยู่ เขาต้องการทำลายคนไทยทั้งหมด ก็มีความจำเป็น เมื่อถูกกดหนักก็ต้องเด้งขึ้นต่อสู้ แล้วในที่สุด ชีวิตนั้นก็ตาย ไม่ใช่รบกันตายรบชนะขอมแล้ว อยู่นานแล้วก็ตาย

    ต่อมาก็เกิดใหม่อีกก็เกิดโผล่ขึ้นที่ สุโขทัย ขึ้นมาที่สุโขทัย โผล่ขึ้นมาแล้ว ไม่ช้าไม่นานก็ตายอีก คราวนี้ตายเป็นพระ แล้วต่อมากโผล่ขึ้นมาอีก โผล่มาในเขตของสุโขทัยเหมือนกันแล้วก็มา สุพรรณบุรีแล้วก็มาอยุธยา นี่ตามกันมาตามพวกกันมานะ แล้วในที่สุด ก็มาถึง กรุงเทพฯ ในที่สุดก็มาถึงชีวิตสุดท้าย ตอนนี้

    รวมความดูแล้ว ดูทุกสมัยที่เกิด ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ มีการรบราฆ่าฟันซึ่งกัน และกันรุกรานแผ่นดินซึ่งกัน และกัน แย่งแผ่นดิน แย่งอำนาจแย่งความเป็นใหญ่ แต่จะใหญ่ขนาดไหน ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกัน คิดแล้วก็สลดใจ จึงกราบเรียนท่านว่า ชีวิตนี้มันเต็มไปด้วยความทุกข์ ท่านก็เลยบอกว่า เข็ดในการเกิดหรือยัง ก็ตอบท่านบอกว่า เข็ดในการเกิดแล้ว

    ท่านถามว่า เมื่อก่อนบวชเคยคิดอย่างนี้บ้างไหม ก็กราบเรียนท่านบอกว่าเมื่อก่อนบวช ชีวิตเมามันมาก มีความประมาทในชีวิตมาก ไม่เคยคิดว่าจะตาย เห็นคนอื่นเขาตาย ก็คิดว่าเขาตาย ไม่ใช่เราตาย เห็นคนอื่นเขาแก่ ก็คิดว่า เขาแก่ คิดว่าเราไม่แก่ ทั้งๆ ที่ ตัวเราเคยมีการป่วยไข้ไม่สบาย แต่ก็ไม่เคยคิดถึงความป่วยไข้ไม่สบาย คิดว่าตนเองมีความสุขทั้งๆที่มีความเหนื่อยยาก ต้องทำการงานเสี่ยงชีวิต ทุกอย่างมีความเหน็ดเหนื่อย ทุกอย่างมีความทุกข์ ทุกอย่างมีความแร้นแค้น ทุกอย่างมีความขัดข้อง แต่ก็ไม่เคยคิดถึงความทุกข์เวลานี้รู้จักความทุกข์แล้ว ท่านก็บอกว่า เป็นความดีคิดอย่างนี้เป็นความดีอาจารย์ของท่านน่ะ ท่านรู้ทุกอย่างนะที่ท่านปล่อยให้ท่านมาเที่ยวเพราะท่านทราบว่าจะมาพบกับผมที่นี่ผมบอกอาจารย์ของท่านว่า ผมจะมาคอยท่านที่นี่ จะอธิบายให้ฟัง

    แล้วท่านก็ชี้ให้ดูสภาพชีวิตของคน ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ละสมัยๆ ดูแล้วก็เพลินการรบราฆ่าฟันซึ่งกันและกันแต่ละคราวๆ ต่างคนต่างก็เจ็บ ต่างคนต่างก็ตาย ต่างคนต่างมีความทุกข์ ทหารก็แสนจะลำบาก กินข้าวอิ่มบ้าง ไม่อิ่มบ้าง บางทีกำลังจะกินข้าว ข้าศึกเข้ามาก็ต้องรบกับข้าศึก ทั้งๆ ที่ท้องไม่อิ่ม แล้วที่พัก ที่หลับที่นอนอยู่ในกลางป่ากลางดงไม่เหมือนบ้าน การรบสมัยนั้นไม่มีพาหนะ มีช้าง ม้าวัว ควาย ก็อาศัยอะไรได้ยาก นอนกับดิน กินกับทรายการรบแพ้ หรือชนะก็ไม่ทราบ พลทหารทั้งหมด แพ้ก็แค่นั้น ชนะก็แค่นั้น (ก็หมายความว่าฐานะก็ยากจนตามเดิม) ไม่มีอะไรเป็นกรณีพิเศษ เงินเดือนเงินดาวน์ก็ไม่มี เบี้ยเลี้ยงที่เป็นสตางค์ก็ไม่มี มีแต่อาหารกิน แล้วหมอก็มีไป แต่ว่าก็เป็นหมอแผนโบราณ แต่ก็ดีมาก

    แพทย์แผนโบราณจะว่าไป เลือดออกนี่เขาชะงัดมาก บางรายเลือดออกมาปั๊บ หมอจับปั๊บ เป่าพรวดเดียว แผลหาย เขาเรียกว่า ประสานแผล อันนี้เขาเก่งมาก วิชาเวลานี้ไม่มีบางรายก็ใช้ใบตองปิด เป่า 3 ทีแผลหาย แต่หมอประเภทนี้ก็มีไม่มากนัก เมื่อทหารถูกฟันเข้ามาแล้ว มีการบาดเจ็บมาก กระดูกหัก กระดูกแตก หมอประเภทนี้สามารถต่อกระดูกได้ทันทีทันใด สามารถประสานแผลได้ทันทีทันใด เมื่อแผลหายแล้ว ทหารลุกขึ้นรบใหม่ต่อไปได้อีก แต่ว่าทหารส่วนใหญ่เวลานั้นก็ หนังเหนียว ขนาดแทงด้วยหอกกระเด็นออกมาไม่มีความรู้สึก วิ่งเข้าไปใหม่ ฟันเจ้าของหอกตาย อย่างนี้ก็มี

    รวมความว่าท่านทำให้ดู ท่านบอกว่า คนทุกคนที่ท่านมองเห็นเวลานี้ เขาตายไปหมดแล้ว และในกลุ่มนั้น กลุ่มนี้ ตัวท่านเองก็มีส่วนอยู่ด้วย ท่านก็ชี้ให้ดูตัวว่า นั่นคือท่านคนนี้คือคนนั้น คนนั้นคือคนนี้ เวลานั้นรู้สึกว่ามีความดุดันมากสำหรับกับข้าศึก แต่ถ้ากับคนไทยด้วยกันใจดีมาก ยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะเห็นอกเห็นใจกัน ก็สรุปแล้วผลที่สุดก็แก่ตายมองแล้ว ก็สลดใจ

    ก็ถามท่านบอกว่า อาตมาทั้ง 3 องค์นี้ ตายแล้วจะไปไหนท่านก็ตอบว่า ในเมื่อท่านมีอาจารย์ดีขนาดนี้แล้ว ท่านยังจะไปนรกผมก็ช่วยท่านไม่ได้ แต่จะให้ผมพยากรณ์ ผมพยากรณ์ไม่ได้ ก็สุดแล้วแต่กำลังใจของท่าน เมื่อท่านรักดี ท่านก็ไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมโลกก็ได้ ไปนิพพานก็ได้ ท่านรักชั่ว จะตกนรกก็ได้ เป็นเปรตก็ได้ เป็นอสุรกายก็ได้ เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ตามใจท่าน ถามถึงวิธีการสอนของหลวงพ่อปาน ท่านสอนจบหรือยัง ท่านบอก วิชาความรู้ทุกอย่างที่ท่านเรียนมา จบหมดแล้ว หลวงพ่อปานก็ดี หลวงพ่อเนียมก็ดี หลวงพ่อโหน่งก็ดี ท่านสอนมา แต่ละองค์สอนให้จบหมดแล้ว เว้นไว้แต่ท่านจะทำให้จบ หรือไม่จบเท่านั้น

    แล้วหลังจากนั้นท่านก็บอกว่า ทรัพย์สินต่างๆ เดิม ของท่านทั้งหลาย ฝังแถวนี้ก็มีท่านต้องการไหม ก็บอกว่า ถ้าต้องการ มันก็เกิด ถ้าไม่ต้องการ มันก็ไม่เกิด ท่านตอบว่า ถูกแล้ว ตัดสินใจถูกทรัพย์ทั้งหลายเหล่านั้น ท่านที่มีอยู่แถวนี้ ท่านก็ชี้ให้ดู นี่ ทองคำ นี่เป็นของท่านตุ่มเงินนี่เป็นของท่าน แต่ว่าเจ้าทองคำ กับตุ่มเงินตุ่มนี้

    ในสมัยนั้น รูปร่างท่านเป็นอย่างนี้ ท่านก็สร้างภาพให้ดู มีบ้านมีเรือน มีข้าทาสหญิงชายรับใช้ มีบุตรธิดาภรรยาสามี กันเยอะแยะ ในที่สุดก็แก่ตัวไปทุกวันๆ ตายแล้วชีวิตมันก็ไปที่อื่น ทองคำกับเงินก็ไม่มีความหมาย ท่านบอกว่า ทรัพย์สินทั้งหลายมันมีประโยชน์เฉพาะสิ่งที่มีชีวิตในขณะที่มีชีวิตก็มีความจำเป็นต้องใช้มัน แต่ว่าถ้าตายไปแล้วก็เป็นอย่างนี้แหละ ไม่ช้าคนอื่นเขาก็มาขุดไปทองคำมันก็ไม่มาก เงินมันก็ไม่เยอะ ก็ถามท่านบอกว่า ในป่าลึกอย่างนี้จะมีใครมาขุดหรือ ท่านบอกว่า ป่านี้ไม่ช้ามันก็เตียน ในชีวิตของคุณนี่แหละ ไม่ช้านานนักในที่สุดคุณก็มาเห็นเป็นทุ่งโล่ง เวลานี้เป็นป่าชัฏ

    เมื่อคุยกับท่านพักหนึ่ง ก็ลาท่านกลับ ก่อนที่ท่านจะกลับ ท่านก็ให้พร ท่านบอกว่า คุณธรรมใดที่ท่านปรารถนา ขอจงได้คุณธรรมนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ ท่านบอกว่า ถ้ามีอะไร ให้นึกถึงผม ผมคือสหัมบดีพรหม แต่ก่อนที่พวกคุณจะกลับไป ผมจะแสดงตนให้ทราบ หลังจากนั้นท่านก็เป็นพรหมสวยสดงดงามมาก เครื่องประดับประดาเหลืองอร่าม ท่านบอกว่า การเดินทางกลับของคุณไม่ต้องเดินมากหรอก เพียงแค่หันหลังไปหาทางเดินก็ถึงแล้ว พอหันหลังมาจะเข้าทางเดิน ก็ปรากฏว่าถึงกลดพอดี (อันนี้เป็นกำลังของพรหมนะ ไม่ใช่กำลังของอาตมา)

    เมื่อมาถึงกลดแล้ว หลวงพ่อปานก็เรียกไปถาม ถามว่า พวกคุณไปที่ไหนมา ก็ตอบว่าผมบอกตำบลไม่ได้ขอรับ เพียงแต่เดินทางไปในทิศนี้ไปในดงสัก ต้นไม้สักมาก แล้วก็ไปพบเสือดำ เสือดำนี่ความจริงเข้าใจว่าเป็นหมา แต่เมื่อลุกไปแล้วไม่ใช่หมา หน้าตาคล้ายเสือแต่มันไม่ดุไม่ดัน ท่านบอกว่าเสือดำ 2 ตัวนี่ความจริงไม่ใช่เสือแท้ มันเป็นเสือเทวดา เขาจะลองใจคุณ

    เพราะว่าตามธรรมดา แม้จะไม่ใช่เสือดำก็ดี ถ้าเป็นหมาป่า มันก็มีความดุร้ายกำลังใจของคุณจะมีความเข้มแข็งไหมในเมื่อคุณเดินตรงเข้าไป คุณไม่กลัว เขาก็เลยเดินหนีไปหายไป นั่นเขาเป็นเทวดา แล้วเดินต่อไปอีก ไปเจอะคนนุ่งขาวห่มขาวใช่ไหม ก็กราบเรียนท่านว่า ใช่ แล้วทราบไหมว่าเป็นใคร ก็เลยบอกท่านบอกว่า ท่านบอกว่าท่านเป็นสหัมบดีพรหม หลวงพ่อปานก็บอกว่าใช่ สหัมบดีพรหมองค์นี้เป็นพระอรหัตมรรค ใกล้จะนิพพานอยู่แล้ว ท่านสอนอะไรบ้าง ก็บอกกับท่านว่า ท่านสอนทุกอย่าง (ตามที่เล่ามา)

    หลวงพ่อปานก็บอกว่า นั่นแหละเป็นของจริง ฉันอยากจะให้เธอรู้ความเป็นจริงว่าการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นของธรรมดา และการเกิด แก่ เจ็บ ตาย นี้มันมีสภาพไม่สูญ ที่ใครเขาว่าสูญเป็นเรื่องของเขา เราเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จงมีความเข้าใจตามพระพุทธเจ้าสอน เชื่อพระพุทธเจ้า อย่าเชื่อคนที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าคนที่หันหลังให้พระพุทธเจ้า ก็ดูตัวอย่างเทวทัต

    เทวทัตหันหลังให้พระพุทธเจ้า ฌานสมาบัติก็เลยสลายตัว ในที่สุด เทวทัตก็ลงอเวจีมหานรก ฉันใด คนทั้งหลายในปัจจุบันก็เช่นเดียวกัน บางคนห่มผ้ากาสาวพัสตร์ มาในนามของพระสงฆ์ในนามของพระพุทธศาสนา เมื่อเวลาบวชก็ดี เชื่อพระไตรปิฎก แต่เวลาบวชนานหนักเข้าๆ มรลาภสักการะมาก มีคนขึ้นมาก มีคนนิยมมาก ก็ชักจะทิ้งพระไตรปิฎก ถือความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ คุณจงอย่าเอาอย่างนั้นนะ

    เป็นอันว่า วันนี้เราก็นอนกันที่นี่ กลางคืนจงอย่าลืมเจริญกรรมฐาน ก็กราบเรียนท่านบอกว่า กรรมฐานผมไม่ขาดเลยขอรับ ท่านบอกว่า ดี ท่านถามว่า นิวรณ์กวนใจบ้างไหม ก็เลยบอกว่า ตั้งแต่ออกเดินทางมาถึงวันนี้ นิวรณ์ยังไม่เคยกวนใจเลย ท่านบอกว่าดีมาก

    ความจริง บรรดาท่านพุทธบริษัท การอยู่ในป่าดีกว่าอยู่ในบ้านในเมืองมาก อยู่ในวัดวาอารามมีนิวรณ์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อารมณ์ฟุ้งซ่านจากเสียงของคนอื่น ไม่เป็นของดีรูปโฉมโนมพรรณของบุคคลทั้งหลาย บางทีจะเตือนใจเราว่า ควรจะสึก ควรจะเป็นคู่ครองของคนนั้น ควรจะเป็นคู่ครองของคนนี้ มันอาจจะมีกับเรา ดีไม่ดีเห็นเขามีทรัพย์สินมากๆ ก็อยากจะร่ำรวยเหมือนเขา แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ลวงเราให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเป็นของไม่ดี ก็ความความว่า การไปนครสวรรค์คราวนี้ เราก็ไปดูหนังเก่ากัน (ดูหนังเก่านั่นก็หมายความว่า ท้าวสหัมบดีพรหม ท่านฉายหนังให้ดู)

    เมื่อคุยกับหลวงพ่อปานเสร็จ ก็กราบลาท่าน กลับมาที่กลด เมื่อถึงเวลาเย็น ก็จะไปอาบน้ำ พอเข้าไปใกล้ที่น้ำ ก็ปรากฎว่า มีกลุ่มช้างกลุ่มหนึ่ง ฝูงใหญ่มาก แต่ก็เป็นที่อัศจรรย์พอเห็นเข้า ช้างทุกตัวย่อเข่าทั้งหมด แล้วก็ยกงวงชูขึ้นแสดงเคารพ แล้วหัวหน้าก็ชี้งวงไปที่บ่อน้ำ เหมือนจะบอกว่าบ่อน้ำอยู่ที่นั้น เราก็ไปกันแล้วช้างทั้งหมดนั้นก็มายืนล้อมบ่อน้ำหันหน้าออก

    เมื่ออาบน้ำเสร็จกลับมาหาหลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานถาม ก็บอกตามความเป็นจริงท่านบอกว่า ที่นี่เสือดุมาก อันตรายมาก ในเวลาที่คุณจะไปอาบน้ำ นั่นมันเวลาที่ใกล้เสือจะออกเดินทาง ใกล้พลบค่ำเต็มที ฉะนั้น ช้างทั้งหมดจึงได้ล้อมบ่อน้ำหันหน้าออก ถ้าเสือเข้ามาช้าง ก็จะจัดการกับเสือ

    ก็เป็นอันว่า ก็เลยถามว่า ช้างที่เห็นนี่ ช้างจริงๆ หรือช้างเทวดาขอรับ ท่านบอกว่า ช้างจริงๆ แต่ช้างเขามีอารมณ์ใจเป็นทิพย์ เราพูดอะไรทุกอย่างนี่ ช้างได้ยินหมด รู้หมด เขาจะอยู่ไกลแสนไกลขนาดไหนเขาก็รู้เวลานี้ เขารู้ว่าเรามีพรหมวิหาร 4 ตั้งอยู่ในจิตเมตตาอยู่ในความรัก กรุณา ความสงสาร เป็นต้น และประการที่สอง เราเดินดง ตั้งใจธุดงค์ เป็นการทำความดี ช้างเขารู้ ก็เลยถามท่าน บอกว่า ถ้าอย่างนั้น กำลังใจช้างก็ดีกว่าคนท่านบอกว่าไม่แน่นัก คนที่ดีเขาก็มีคนที่ดีกว่า ช้างก็มีคนที่ดีเสมอช้างก็มี คนที่เลวกว่าช้างก็มี แต่ขึ้นชื่อว่า หูทิพย์ใจ ทิพย์กันแล้ว ช้างดีกว่าคนมาก
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญ...พุทธรูปเพื่อมอบให้โรงเรียน-เหลือ89กอง.560840/
     

แชร์หน้านี้

Loading...