หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน พระสอนในป่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 1 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,438
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน พระสอนในป่า
    [​IMG]
    ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ตอนนี้ก็เป็น วันที่ 22 พฤษภาคม 2533 ก็มาคุยกันถึงป่าศรีประจันต์ ตอนนี้ก็จบกันเสียที ป่าศรีประจันต์ ตอนป่าศรีประจันต์นี่เป็นการซักซ้อมธุดงค์แบบอุกฤษฏ์ แต่ความจริง เรื่องธุดงค์แบบอุกฤษฏ์นี่ ทางภาคอีสานท่านเก่ง ลูกศิษย์หลวงพ่อมั่นท่านเก่ง เอากันจริง ๆ จัง ๆ แต่ทางด้านลูกศิษย์หลวงพ่อปานก็มีบ้าอยู่ 3 องค์ ทางด้านอุกฤษฏ์ นอกจากนั้นก็เป็นธุดงค์ปกติ แต่ว่าค่อนข้างอุกฤษฏ์ก็มี ท่านก็ดี ๆ กันทั้งนั้น

    ทีนี้ก็มาคุยกันถึง ป่าศรีประจันต์ มาอยู่ที่ภูเขาชั่วคราว (ไปมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ เมื่อสิ้นเดือนมกราคม 2533 ภูเขาชั่วคราวไม่มีแล้ว ภูเขาระยำอะไรมันหายไปเร็วจริง ๆ) อยู่ที่ภูเขาชั่วคราวก็มีความสุข นั่งกินนอนกินแบบสบาย ๆ ถึงเวลาก็บิณฑบาต ทีหลังก็ชักกำเริบเอาใหม่ ประเภทที่แขวนต้นไม้ไม่เอาแล้ว เรามาตั้งใจกัน 3 คน บอกว่า เราเอากันอย่างนี้นะ เราจะเดินบิณฑบาตกัน จากต้นไม้ต้นนี้ไปถึงต้นไม้ต้นโน้น จากต้นโน้นกลับมาถึงต้นเดิม ถ้าไม่มีใครใส่บาตร เราจะอยู่ด้วย ธรรมปีติ

    นั่นก็หมายความว่า (คำว่า ปีติ แปลว่า ความอิ่มใจ) เราจะอิ่มใจในธรรม ถ้าบังเอิญมันจะตายเวลานี้ เราก็พร้อม พร้อมในการตาย เพราะความตายขึ้นชื่อว่า เกิด แล้ว มันต้องตาย แต่ว่าเราจะตายเพราะกำลังบุญกุศล เราจะเสียดายอะไรกับร่างกาย ร่างกายเป็นอนิจจัง มันเป็นของไม่เที่ยง ร่างกายเป็นทุกขัง มันเป็นทุกข์ ร่างกายเป็นอนัตตา มันต้องตายแน่สักวันหนึ่งข้างหน้า เราจะตายอยู่กับธรรม

    เมื่อตัดสินใจแบบนั้นแล้ว พอตื่นขึ้นเช้าเริ่มทำสมาธิ

    อันดับแรก ตั้งอารมณ์ พรหมวิหาร 4 ก่อน ให้ครบถ้วนบริบูรณ์อารมณ์จริง ๆ

    หลังจากนั้นก็จับ อานาปานสติ ควบกับ พุทธานุสสติ จับนิมิตเห็นภาพพระพุทธเจ้าตามที่เคยเห็น อีก 2 องค์นั่นเขาเก่งกว่า คือว่าเทวดาท่านบอกว่า อีก 2 องค์นั่น เขาตัดสังโยชน์ 3 ได้แล้ว เขาคงจับนิพพานเป็นอารมณ์ สำหรับอาตมาเวลานั้น อยู่ในเขตพระโพธิสัตว์ ยังปรารถนาพุทธภูมิ ก็จับพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ลุกขึ้นคว้าบาตรสะพาย

    เวลาออกเดินเราก็ไม่ภาวนาว่า พุทโธ ใช้ อิติปิโสฯ ตามเดิม ไม่สนใจใครจะใส่บาตรหรือไม่ใส่บาตร ไม่สนใจ ฉันจะเดินจากต้นไม้ต้นนี้ไปถึงต้นโน้น ก้าวไปก้าวมาก็รู้สึกถึงอิติปิโสฯ เป็นลำดับ พอเดินไปถึงครึ่งทาง ก็ปรากฏว่าเจอะเทวดา แต่งตัวเป็นเทวดา เจอะนางฟ้า แต่งตัวเป็นนางฟ้า ถือขันคนละใบ มีดอกไม้คนละ 3 ดอก ใส่บาตร พอใส่บาตรเสร็จท่านยกมือไหว้ ก็ให้พรท่านว่า เอวัง โหตุ กลับมาที่เดิม ข้าวก็กินพอดี ๆ ดอกไม้เราก็บูชาพระ

    หลังจากนั้นก็อยู่กันแบบสงบ ก็คุยกันบ้าง อะไรกันบ้าง ตามธรรมดา ๆ แต่ว่าก่อนจะกลับ ถึงวันใกล้ที่จะกลับ ก็ปรากฏว่ามีพระ 2 องค์ ก็ไม่ทราบว่ามาจากไหน กำลังนั่ง ๆ คุยกัน ก็ปรากฏปุ๊บปั๊บ มานั่งร่วมวงเฉย ๆ ท่านถามว่า คิดจะกลับหรือ

    ก็กราบเรียนท่านบอกว่า จะกลับขอรับ ท่านบอกว่า จำทางได้ไหม ก็เลยบอกว่า จำไม่ได้ เพราะเวลามานี่เทวดานำมา จากป่าศรีประจันต์ด้านทิศตะวันออกใกล้อำเภอผักไห่ มาถึงดอนเจดีย์นี่มันก็ไกลแสนไกล ท่านเดินประเดี๋ยวเดียวก็ถึง ผมจำทางไม่ได้ แต่ว่าผมจะถือเอาทิศตะวันออกเป็นเกณฑ์ เดินไปตามสายทิศตะวันออก มันจะถึงเมื่อไรก็ช่างมัน

    ท่านบอกว่าไม่เป็นไร คนที่เขาพามา เขาก็พากลับเวลานี้ทั้งผี ทั้งเทวดา มีความชื่นชมในท่านทั้ง 3 มาก แต่ว่า ผมยังเห็นว่า ท่านทั้ง 3 นี่ยังมีอารมณ์หยาบอยู่ นี่ได้ครูแล้ว ผมคิดว่าจะมาแนะนำท่านสักหน่อยหนึ่ง ท่านจะรับฟังไหม ก็เลยกราบท่านด้วยความเคารพจริง ๆ

    ถ้าจะถามว่า จำได้ไหม พระ 2 องค์นี่ พระอะไร ก็บอกว่า ไม่รู้หรอก จำไม่ได้ ไม่ใช่ลีลาหลวงพ่อปาน ไม่ใช่ลีลาหลวงพ่อจง แล้วก็ไม่ใช่ลีลาหลวงพ่อจาด สุ้มเสียงก็ไม่ใช่ นุ่มนวลเหลือเกินองค์หนึ่งน่ะสวยงามมาก หนุ่มไม่แก่มองแล้วมีแสงสว่างออกจากกาย อีกองค์หนึ่งก็สวยงามเหมือนกัน แต่ว่าท่าทางผิวจะคล้ำกว่ากันนิดหนึ่ง แต่มีแสงสว่างจากกายเหมือนกัน

    ท่านก็สอนบอกว่า การเจริญกรรมฐานของพวกคุณทั้ง 3 องค์นี่ หนักสมถภาวนามากเกินไป ควรจะให้พอดี ๆ กัน สมถภาวนา กับวิปัสสนาภาวนา เรื่องศีลไม่กังวล ผมไม่กังวลเรื่องศีล เพราะผมเห็นคุณแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณนี่ปรารถนาพุทธภูมิ แต่มันก็ไปไม่รอดหรอก

    ในที่สุดคุณก็ต้องลาพุทธภูมิ ถามท่านว่า เป็นเพราะอะไรครับ ท่านบอกว่า สัญญาน่ะมีอยู่ ก่อนที่คุณจะลงมานี่ คุณมีสัญญานะว่า จะมาช่วยงานกันตามกำลังที่คุณจะช่วยได้ ในกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง คือเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ว่ามีปริมาณไม่น้อยกว่า 4 แสนคนเป็นกลุ่มไม่ใหญ่ คุณตั้งใจว่าจะมาช่วยคนกลุ่มนี้ให้พ้นจากอบายภูมิ ถึงแม้ว่าตัวเองจะป่วยไข้ไม่สบายก็ตาม จะลำบากยากแค้นอย่างไรก็ตาม คุณจะช่วยเขา ทีนี้การช่วยเขาด้วยกำลังพุทธภูมินี่ไม่สมบูรณ์แบบ คำว่า ไม่สมบูรณ์แบบนั่นก็หมายความว่าเรามีอารมณ์ขาดพระนิพพาน เพราะพระนิพพานเราคิด แต่เราไม่รู้จักพระนิพพานจริง ถ้าอย่างอีก 2 องค์นี่เขารู้จักนิพพานจริง เพราะว่าเขาปรารถนาสาวกภูมิ

    ทีนี้ 3 องค์เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วิปัสสนาญาณน่ะ เราเอากันง่าย ๆ อย่าให้มันยาก ถ้ายากตามตำราละ คุณไม่มีทางจะได้อะไรหรอก ตามที่อาจารย์คุณสอนน่ะ ถูกต้อง แต่คุณเอง ทั้ง 3 คน ก็ไม่ค่อยจะเอาตามแบบอาจารย์นัก ไปติดอารมณ์ตำรามาก ทีนี้คนเขียนตำราน่ะ คุณก็ต้องดูว่าเป็นพุทธพจน์หรืออรรถกถาจารย์ หรือว่า ฏีกาจารย์ เกจิอาจารย์ ฏีกาจารย์ กับเกจิอาจารย์นี่ คุณถือเอาเป็นเรื่องจริงเรื่องจังไม่ได้ วางเสียหน่อยหนึ่ง ดูไปบ้าง อันไหนถ้ามันเป็นประโยชน์จริง ๆ ง่าย ๆ สั้น ๆ ละก็เอา ที่เขาเขียนถูกก็มี เขาเขียนผิดก็มาก

    แต่ว่าถ้าอรรถกถาจารย์ก็ต้องดูเหมือนกัน อรรถกถาจารย์ที่ท่านเขียนองค์นั้น เป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ถ้าอรรถกถาจารย์ไม่ใช่พระอรหันต์ เราก็อ่านเราก็ฟัง จับเอาเฉพาะจุดที่มีเหตุมีผลตามพุทธฏีกาจริง ๆ ถ้าอรรถกถาจารย์ส่วนใดเป็นอรหันต์เขียนไว้ เชื่อได้เลย ก็ถามท่านบอกว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า อรรถกถาจารย์องค์นั้นเป็นอรหันต์ ท่านบอกว่า อรรถกถาจารย์ที่เป็นอรหันต์ ต้องไม่ทิ้งอารมณ์พระพุทธเจ้าสอน แนวทางที่พระพุทธเจ้านี่ไม่ทิ้งแล้วสอนง่าย ๆ

    เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เวลานี้ผมจะบอกคุณว่า เอาบังสุกุลทั้ง 2 อย่าง เป็นพื้นฐานวิปัสสนาญาณ ถาม บังสุกุลอะไรครับ ท่านก็บอก บังสุกุลเป็นกับบังสุกุลตายเอา บังสุกุลตายก่อนว่า

    อนิจจา วต สังขารา สังขาร คือ ร่างกาย ไม่เที่ยงหนอ มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นไม่ความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด

    อุปปาทวยธัมมิโน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไป มันแก่ทุกวัน นั่งคิดอย่างนี้

    อุปปัชชิต์วา นิรุชฌันติ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ตาย ดับไป

    เตสัง วูปสโม สุโข การไปถึงนิพพาน นั่นคือ สงบกาย การสงบกาย หมายความว่า ไม่มีร่างกายอย่างนี้ เป็นสุข นั่นคือ นิพพาน

    เอาจิตคิดอย่างนี้ไว้ทุกวัน ลืมตาขึ้นมาปั๊บบูชาพระเสร็จคิดอย่างนี้ และให้นึกต่อไปว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง เราอาจจะตายได้ทุกขณะ ที่นั่งคุยเวลานี้ คุณอาจจะตายทันทีทันใดก็ได้ อย่าไปรอความป่วย ความป่วยไข้ไม่สบายเป็นของไม่แน่นอนมันป่วย หรือไม่ป่วย มันก็ตาย เวลาคุณจะตาย

    และอีกประการหนึ่งก็ใช้บังสุกุลเป็นว่า อจิรัง วตยัง กาโย ปฐวิง อธิเสสสติ ฉุฑโฑอเปตวิญญาโณ นิรัตถังวะ กลิงครัง ร่างกายนี้อีกไม่ช้าไม่นานนัก ก็จะมีวิญญาณไปปราศแล้ว (คือ จะหมดวิญญาณ) มันก็จะตาย ร่างกายนี้เวลาที่เราอยู่ คนนั้นก็บูชา คนนั้นก็รักคนนี้ก็ชอบ ถ้าเราตายแล้วจริง ๆ แม้แต่เท้าเขาก็ไม่อยากเขี่ยร่างกายของเรา เขาเห็นสภาพร่างกาย เป็นของน่าเกลียด เขามีความรังเกียจในร่างกาย มันก็สู้ไม่ท่อนที่ไร้ประโยชน์ไม่ได้ ไม้ท่อนดีกว่า จงคิดว่า ร่างกายไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไร ขอไปนิพพานจุดเดียว ทั้ง 3 องค์คิดอย่างนี้เหมือนกันหมดนะแล้วก็ดูอารมณ์ว่า

    1. สักกายทิฏฐิ เรายังมีความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา เรามีในร่างกาย ร่างกายมีในเราไหม

    2. วิจิกิจฉา สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ไหม หรือเลิกสงสัยแล้ว ถ้าเห็นว่าร่างกายเป็นเรา เป็นของเราสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ใช้ไม่ได้ มีความรู้สึกว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราไว้เสมอ

    3. สีลัพพตปรามาส รักษาศีลเคร่งครัดไหม

    4. กามฉันทะ เห็นว่าร่างกายของคนเพศตรงข้ามมันสวยไหม แต่ความจริงมันสกปรกแสนสกปรก เราเห็นว่า สวยไหม ถ้าเห็นสวย ใช้ไม่ได้ จิตระงับไหม เมื่อเป็นความสวยสดงดงามของผิวพรรณ และความอวบของผิวพรรณ ถ้าจิตไม่สนใจใช้ได้

    5. ปฏิฆะ อารมณ์ไม่พอใจมีไหม ให้ถือกฎของกรรมว่า คน และสัตว์ทั้งโลกเกิดมาเพื่อหวังความดี ที่ทำดีไม่ได้ ก็เพราะกฎของกรรมที่เป็นอกุศลบังคับ

    และหลังจากนั้น รูปราคะ อรูปราคะ การหลงในรูปฌาน และอรูปฌาน มีไหม อย่าหลงมันรูปฌาน และอรูปฌาน เป็นแต่เพียงสักแต่ว่า เป็นกำลังให้วิปัสสนาญาณเกิดเท่านั้น

    แล้วก็ มานะ การถือตัวถือตนมีไหม หมากับคนต้องคุยกันได้ คบกันได้ แม้แต่หมาขี้เรื้อน เราก็ต้องคบได้ ไม่ควรจะถือตัว เพราะมีสภาพเหมือนกัน

    อุทธัจจะ จิตเลี่ยงจากนิพพานมีไหม ถ้ามีใช้ไม่ได้ ให้จับนิพพานโดยตรง

    อวิชชา ก็มีความรู้สึกว่า ความพอใจในมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีในเรา มนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก สวย ไม่มีในเรา เราต้องการนิพพานจุดเดียว

    จำไว้ให้ดีนะคุณนะ ทั้ง 3 องค์นี่ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของคุณแล้ว ถือบทนี้เป็นสำคัญ วิปัสสนาญาณแค่นี้พอเหลือแหล่กินเหลือใช้ เพียงเท่านี้ท่านจะไปไหนมันก็ไปไม่ได้แล้วนอกจากนิพพานแห่งเดียว ก็ถามว่า เมื่อไรผมจะลาจากพุทะภูมิ ท่านบอก ถึงเวลาก็รู้เอง ถามว่า พระเดชพระคุณทั้งสองเป็นใครขอรับ ท่านบอกว่า ผมทั้งสองเป็น อัครสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านก็ลาไป
    ที่มา http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญหล่อพระพุทธรูปหน้าตัก๖๐นิ้วปิดทอง-ขณะนี้เหลือ47ชุด.559915/
     

แชร์หน้านี้

Loading...