หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน ไปพักที่ภูเขาภูกระดึง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 16 กุมภาพันธ์ 2016.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กับ ธุดงควัตร ตอน ไปพักที่ภูเขาภูกระดึง
    [​IMG]
    ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็น วันที่ 14 สิงหาคม 2534 ก็ขอคุยถึง เรื่องภูเขาภูกระดึง ก็เป็นอันว่า หลังจากปักกลดเสร็จ ที่นี่ไม่ควรจะใช้คำว่า ปักกลด คือกางร่มกันน้ำค้าง และก็เป็นภูเขาลึก เป็นถ้ำลึกเข้าไปหน่อย สบายมาก มีธารน้ำเย็นไหลผ่าน มีความสะดวก ธารน้ำใสไหลยาว และมีเป็นห้องเป็นหับ น่าอยู่มาก ท่านอินทกะท่านก็บอกว่า ที่นี่กำลังมีพระธุดงค์อยู่

    ท่านบอกว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้ามีความจำเป็น ผมจะมาหาท่าน ถ้าไม่จำเป็น ผมก็จะไปทำงานของผม ก็บอกว่า ตามสบายเถอะ หลังจากท่านไปแล้ว พวกเราก็เข้าเจริญกรรมฐาน การเจริญกรรมฐาน บรรดาท่านพุทธบริษัท ถามว่า ทำอะไรบ้าง ก็ขอตอบง่าย ๆ ว่า 1. อานาปานสติ 2. มรณัสสติ (คำว่า มรณัสสติ หมายความว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เราอาจจะตายที่ตรงนี้ก็ได้)

    นึกถึงความตายไว้เสมอ หลังจากนั้นก็มี พุทธานุสสติ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธัมมานุสสติ นึกถึงพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสติ นึกถึงพระสงฆ์เป็นอารมณ์ หลังจากนั้นก็ อุปสมานุสสติ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ก็รวมความว่ากรรมฐานทุกบท ก็ทำกันหมด กายคตาสติ ก็ต้องทำ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา

    เป็นวิปัสสนาญาณข้อต้น เป็นสังโยชน์ข้อต้น ต้องทำเป็นประจำ ถ้าถามว่า คิดอย่างนี้เป็นพระอรหันต์หรือยัง ก็ต้องตอบว่า ถ้าเป็นอรหันต์ก็ไม่ต้องมาธุดงค์กัน อย่านึกว่า เป็นผู้เลิศ ผู้ประเสริฐมากเกินไป เห็นว่า ทำผีเป็นเทวดาได้ นี่เป็นของธรรมดา ๆ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายก็เคยให้คนเป็นเทวดามาแล้วนับไม่ถ้วน โดยที่ท่านไม่รู้ นั่นหมายความว่าที่พระมาบิณฑบาต ท่านใส่บาตรพระเป็นทาน

    เป็นการถวายทานกับพระสงฆ์ เป็นสังฆทาน บุญใหญ่มาก บางท่านใส่บาตรพระเสร็จก็กรวดน้ำที่ตรงนั้น พระเดินไปแล้ว บางท่านก็กลับบ้านมากรวดน้ำ ขณะที่กรวดน้ำ หรืออุทิศส่วนกุศล บรรดาท่านพุทธบริษัท บุญใหญ่ของท่าน มีบรรดาพวกเปรตก็ดี อสุรกายก็ดี สัมภเวสีก็ตาม มาโมทนากันเป็นอันมาก เมื่อมาโมทนาแล้ว พวกที่มีบุญญาธิการมากหน่อย (คือ บาปน้อยหน่อย กรรมเหลือน้อย)

    เขาก็เป็นเทวดาทันทีทันใด (เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า) กรรมเหลือมากนิด กรรมก็ผ่อนคลายไป เขาก็มีความสุข การทำผีให้เป็นเทวดานี่ ทำกันเป็นทุกคน ทุกคนทำมาแล้วทั้งหมด แต่ก็น่าเสียดาย ที่บางท่านไม่เคยเห็นผีที่ท่านให้ และหลาย ๆ ท่านที่ได้กรรมฐาน ได้ทิพจักขุญาณ ก็สามารถเห็นได้ เป็นเรืองที่ไม่ใช่ของแปลก อย่าไปคิดว่า พวกอาตมานี่วิเศษวิโสกว่าใคร ไม่ใช่อย่างนั้น ยังก่อน ดูก่อน

    หลังจากฉันข้าวเช้าเสร็จ ตามเทวดาสัญญา ตอนนี้มีนางฟ้ามาด้วย นางฟ้าก็ไม่แปลงเทวดาเขาไม่แปลง เขามาเป็นเทวดาชัด นางฟ้าก็เป็นนางฟ้าชัด ๆ ถ้าถามถึงความรู้สึกว่าเห็นสาวชาวฟ้าเป็นอย่างไร ก็ต้องตอบว่า อย่าลืมว่า เธอเป็นผี เธอจะเป็นอย่างไรนั้นไม่สำคัญ สำคัญเรา นึกถึงตัวเราเองเป็นสำคัญว่า ตัวเราจะตาย เวลานี้เรากำลังจะตาย ความตายมีอยู่แค่ปลายจมูก เมื่อเลิกลมหายใจเมื่อไร ก็ตายเมื่อนั้น

    เสือกัดเมื่อไรก็ตาย ช้างกระทืบก็ตาย ขาดอาหารก็ตาย ขาดลมก็ตาย รวมความว่า เรานึกถึงแค่ตัวเราว่า ทุกท่านที่มานั่งทั้งหมดนี่ เป็นคนมาแล้วทั้งหมด แต่อาศัยที่เป็นคนที่สร้างความดี จึงเป็นเทวดาได้ เป็นนางฟ้าได้ ถ้าญาติโยมจะย้อนถามว่าบรรดาเทวดาที่มานั่งทั้งหมด 60 องค์กว่า มีความดีจากพวกท่านใช่ไหม ก็ต้องตอบว่า ใช่ แต่ต้องถือว่า เป็นความดีของเขาด้วย ถ้าเขาไม่ดีเขาก็ไม่มาขอโมทนา

    เพราะบุญเดิมของเขาดีมีอยู่แล้ว แต่กรรมบางอย่างคือ กรรมปาณาติบาต เป็นต้น เป็นเหตุให้เขาต้องมาฆ่ากันตายในระหว่างชีวิต ชีวิตยังไม่ถึงอายุขัยก็ฆ่ากันตายเสียแล้ว และต้องรอทนมาจนกว่าจะพบคณะอาตมา เมื่อรับบุญจากคณะอาตมาไปแล้ว บุญเก่าของเขาก็เกิดขึ้น ของเราก็รวมตัวกัน เขาก็ต้องเป็นคนมีบุญ รวมความว่า ที่เขาเป็นเทวดาได้เพราะความดีของเขาด้วย ของเราด้วยรวมกัน

    ถ้าเขายังไม่มีดี หรือดียังไม่ถึงเขา เขาก็ไม่มาหาพระ เขาก็ต้องเร่ร่อนต่อไป ก็รวมความว่า ที่มาหาพระได้ เพราะว่าเขามีดีแล้ว ดีมาถึงเขาแล้ว ทีนี้จะนึกถึงภาพเทวดา นางฟ้า เทวดาไม่เป็นไร นางฟ้าสวย ๆ เห็นหน้าเธอแล้ว ก็มีความรู้สึกว่า สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ เธอมีรูปร่างอย่างไร ก็เห็นภาพเดิมของเธอ บางคนก็แก่ตายบ้าง บางคนก็สาวตายบ้าง บางคนก็ตายสมัยเป็นเด็กบ้าง แต่เวลาเป็นนางฟ้า

    ก็เป็นสาวเหมือนกันหมด เมื่อฉันข้าวเสร็จ โมทนาให้พวกเธอ เธอรับโมทนา มีความสว่างมากขึ้น เธอก็กลับไป หลังจากนั้นแล้ว ก็ชวนกันเดินเที่ยว จำทิศทางไว้ว่า ป่ารกชัฏขนาดนี้ เราไม่เคยมาเป็นป่ารกมาก เวลานี้ภูกระดึงด้านนั้น ก็เป็นป่ารกชัฏมาก แต่ว่าจะบางไปมากแล้ว ยังมีเสือ ยังมีช้างอยู่ เวลานั้นมีสัตว์ทุกอย่าง สิ่งที่น่ารักจริง ๆ ก็คือกล้วยไม้ กล้วยไม้สวยมาก เกาะอยู่ตามต้นไม้

    เดินไปทางทิศตะวันออก สูงขึ้นไปนิดหน่อย ไปเจอะถ้ำ ๆ หนึ่ง มีพระองค์หนึ่ง ท่านนั่งอยู่ที่นั่นองค์เดียว พอเข้าไปใกล้ท่าน ท่านก็ลืมตาขึ้น ท่านกำลังนั่งกรรมฐาน ก็นั่งลงกราบท่านบอกว่า ขอประทานอภัยขอรับ กระผมมารบกวนท่าน ท่านบอกว่า เปล่า ฉันนั่งคอยเธอ ถามว่า คอยทำไม ก็บอกว่า คอยเธอตั้งแต่ก่อนมา ฉันมาคอยอยู่ที่นี่ บอกหลวงพ่อจงแล้ว บอกให้ส่งเธอมาที่นี่ มองไปมองมา

    ท่านก็ยิ้ม ๆ ทีแรกจำไม่ได้แน่ชัด เป็นพระหนุ่มมาก ยิ่งมองไป ๆ แก่ลงไปทุกที ๆ เป็นหลวงพ่อปาน หลวงพ่อมาคอยผมที่นี่หรือขอรับ บอก ใช่ ป่านี้สำคัญมาก เป็นป่าตัดเชือก ชีวิตของพวกเธอ เธอรอดจากป่านี้ไปได้ ก็หมายความว่า ต่อไปข้างหน้าเธอเอาดีได้ ถ้าเธอรอดไปไม่ได้ เธอไปตามกรรมของเธอ ตั้งใจไว้ให้ดีนะว่า

    ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง การเกิดเป็นมนุษย์ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ จงอย่าอาลัยในชีวิต มันจะตายเมื่อไรก็ช่างมัน เอาดีเข้าไว้ ดีนั่นคือ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้คิดว่า ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นเพียงธาตุ 4 เข้ามาประชุมกัน มีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มันปั้นเป็นก้อนขึ้นมา เขาแยกเป็นอาการ 32 ในไม่ช้าก็ตาย

    ฉันเป็นอาจารย์ของเธอ ฉันก็ตายมาแล้ว ถามว่า หลวงพ่อเวลานี้อยู่ที่ไหนครับ ท่านบอกว่า เธอถามทำไม เวลานี้ฉันนั่งคุยกับเธอ บอก ไม่ใช่ครับ ชั้นที่หลวงพ่ออยู่ ท่านบอก เธอก็รู้แล้ว อยู่ชั้นดุสิต ที่เธอไปหาฉัน เธอไปหาฉันที่ไหน ฉัน ก็อยู่ที่นั่น แต่วันนี้ฉันมาคอยเธอที่นี่ เพราะจะบอกเรื่องให้ฟัง ถามว่า เรื่องอะไรขอรับ ท่านบอก เรื่องอนิจจังของดินแดนนี้มันมีมาก เดิมทีเดียวในที่นี้เป็นทะเลลึก

    ภูเขาลูกนี้จมอยู่ก้นทะเลลึกมาก ต่อมาน้ำค่อย ๆ แห้งไป ๆ ทีละน้อย ๆ นับเป็นเวลาล้านปี ยอดเขาลูกนี้ก็โผล่ขึ้นพ้นจากน้ำ บนยอดลูกนี้ในที่โล่งที่ราบจริง ๆ ที่ไม่มีต้นไม้ คือ ต้นไม้ห่าง ๆ นาน ๆ ต้น มีประมาณพันไร่เศษ แต่ว่าที่ที่เป็นป่ารกชัฏนี่สามพันไร่เศษ ถ้าเธอเดินขึ้นไปข้างบน เธอจะพบว่าต้นไม้ที่เขาปลูกไว้ มันเป็นระเบียบ นั้นคือคนปลูกต้นไม้ดอกสีเขียว พันธุ์เดียวกัน อยู่เป็นแถว

    แต่ละแถว ๆ สวยมาก และก็ยังมีต้นสน ต้นไม้ต่าง ๆ จะมีสระโบกขรณี (คำว่า สระโบกขรณี นี่มันเป็นสระที่เขาสมมุติขึ้น) มีธารน้ำตกไหลไปทางด้านทิศตะวันออก เป็นต้นของแม่น้ำพอง หรือแม่น้ำอะไรไม่ทราบ (อาจจะเป็นที่มาของแม่น้ำพองก็ได้นะ ถ้าจำไม่ผิดนะ) ท่านก็เล่าความเป็นมาให้ฟัง ในที่สุดท่านก็สรุปว่า เธอจงคิดว่าเวลาหลายล้านปี สัตว์นับจำนวนไม่ถ้วน อยู่บริวณนี้ ตายหมด

    ตายไม่เหลือ ถูกเขาฆ่าตาย ก็ตาย ที่ไม่ถูกฆ่าตายก็หมดชีวิตตาย ต่อมา เมื่อสถานที่นี้เป็นดินแดนของคน คนชาวเกาะคือ เป็นเกาะใหญ่ มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นพ่อค้าชาวเรือ ต่างคนต่างก็มีความสุข ไปหากินทางเรือกัน เขากลับมาถึงที่เดิม อาหารการบริโภคก็มีความสุขมาก ผลหมากรากไม้ก็มี ผักปลาไม่ต้องหามาก เพียงแค่ถือสวิง ถือแห ไปตักเอาข้าง ๆ ชาย ๆ เขา ก็ได้กิน มีความสุข

    และเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็ตายหมด สุขของเขาไม่สุขจริง สุขในสมัยที่มีชีวิต คือ เอาชีวิตของผู้อื่นมาเป็นชีวิตของตน แต่ในที่สุดตนเองก็ต้องตาย ตายแล้วก็ต้องไปชดใช้หนี้ชีวิตของเขา แต่ที่เป็นเทวดา ที่เป็นนางฟ้าก็มี ขอเธอจงอย่าลืมว่า ที่นี่เขาตายกันมามากแล้ว และเราเอง เราก็ต้องตายตามเขา อย่าลืมความตายเป็นสำคัญ ท่านบอกว่า หลังจากนี้ไป ภัยอันตรายทั้งหลายไม่มีแน่

    เพราะว่าเทวดาเขาคุม พวกบรรดาสัตว์ทั้งหลายเห็นเธอ เขาจะทำเป็นไม่เห็น บางทีเขาไม่เห็นจริง ๆ เพราะว่าเทวดากันหน้า แต่ที่นี่มีพระสำคัญ ๆ อยู่หลายองค์ ที่ท่านตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ อยู่ถึง 2-3 พรรษาก็มี ถามว่า ท่านอยู่อย่างไรขอรับ ท่านก็เลยบอกว่า บางองค์ก็อยู่อย่างเธอ กินข้าวกับเทวดา บางองค์ก็อยู่ด้วยธรรมปีติ เธอจงอย่าประมาท ถ้าพบพระทุกองค์ให้เคารพท่าน

    ถือว่าท่านเป็นรุ่นพี่ ถ้าหากว่าท่านสอน ถือว่าท่านเป็นครู ถามท่านบอกว่า พระที่จะสอนผิดมีไหม ท่านบอก ไม่มีหรอก พระที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด ฉันขอบอกให้พวกเธอทราบว่า เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด (ตายจริง เรานึกในใจว่า ตายจริง มาเจอแดนพระอรหันต์เข้าแล้ว) หลวงพ่อปานบอก ฉันบอกเธอเท่านี้นะ ฉันจะลากลับ แล้วท่านก็กลับไป พวกเราก็กราบ แล้วก็ตามท่านไป ไปถึงวิมานของท่าน

    เมื่อถึงวิมานของท่าน ท่านเข้าที่แล้ว ก็กราบลากลับ ก็นึกในใจ มาปรึกษากัน 3 องค์ว่า เวลานี้เราเจอะของดีแล้ว เจอะพระอรหันต์ทั้งหมด พระอรหันต์จริง ๆ ท่าทางน่าจะเรียบร้อย คิดในใจนะ เป็นพระที่มีความสงบเสงี่ยม ห่มผ้าห่มผ่อนต้องเรียบร้อย พูดจาเรียบร้อย แต่ทว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กิเลสนั่นตัดได้ แต่นิสัยตัดไม่ได้ เรื่องนี้พวกอาตมาเวลานั้นพลาดไป ไม่ได้คิดถึง

    คิดถึงว่า พระทุกองค์ต้องเรียบร้อย ก็กลับมาที่เดิม เมื่อกลับมาที่เดิม ก็มาถึงที่พักใต้ต้นไม้ นั่งกรรมฐานแบบสบายใจ เวลาประมาณบ่ายสัก 2 โมงเศษ ๆ (นาฬิกาต้องคอยไขตามเวลา ไม่อย่างนั้นเวลาจะพลาด) บ่าย 2 โมงเศษ ๆ ก็มีพระองค์หนึ่ง ถือต้นไม้ต้นใหญ่ ถือมาทั้งราก ทั้งโคนเสร็จ แบกเดินเทิ่ง ๆ เข้ามา (ตัวใหญ่) มาถึงใกล้ ท่านถามว่า แถวนี้ใครเป็นนักเลงบ้างโว้ย ถ้าเก่งจริงมาตีกับกูสิหว่า

    มึงจะเอาต้นไม้ต้นไหนมาตีกับกูก็ได้ กูใช้ต้นนี้ต้นเดียว ทั้ง 3 องค์ก็พากันมองหน้า ต่างคนก็ต่างยิ้ม ที่ยิ้มนี่ไม่ใช่อะไร บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ลองคิดดูว่าคนตัวเล็กนิดเดียว แบกต้นไม้ขนาดต้นยางมาหนึ่งต้น แล้วก็เอามาทั้งรากเหมือนกับถอนรากถอนโคนมาเลย แล้วก็มาท้าตีกัน ถ้าเราจะคิดว่า สุครีพ เวลานั้นที่รบกับกุมภกรรณ ก็ไม่ผิด ถ้าหากว่าเราจะคิดถึง สุครีพก็เป็นอันว่า สุครีพนี่โง่กว่ากุมภกรรณ

    เพราะว่ากุมภกรรณเวลานั้นรู้สึกว่าสุครีพมีฤทธิ์มาก มีกำลังมาก หลอกให้ถอนต้นพญารัง เมื่อถอนต้นพญารังมาแล้ว กุมภกรรณเห็นว่าสุครีพอ่อนเพลีย ก็เลยเข้าโจมตีทันที ในที่สุดก็จับสุครีพไป ข้อนี้ฉันใด พระองค์นี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าจะถือว่าเป็นคนเก่ง ก็ต้องเก่ง เพราะถอนต้นพญารังได้ ความจริงไม่ใช้ต้นพญารัง เป็นต้นพญายางไป ต้นยาง ต้นใหญ่มาก ทั้งที่ตัวเล็กนิดเดียว แบกต้นไม้ใหญ่ได้

    ถ้าคิดไปทีหนึ่ง อย่างน้อยที่สุด ต้องเป็นอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ หรือขั้นอภิญญา แต่พวกอาตมาก็โง่อีกแหละว่า อรหันต์ทำไมต้องมาท้ากันแบบนี้อีกล่ะ ลืมอดีตที่เคยถูกพระท้ามาแล้ว เมื่อท่านท้า 2-3 คำ ท่านเห็นพวกเรายิ้ม ท่านก็วางต้นไม้ ถามว่า พวกมึงหาว่ากูบ้าหรือย่างไรวะ ก็เลยยกมือขึ้นกราบ ไหว้ท่านแล้วก็กราบ บอก ผมยังไม่เคยคิดเลยครับ คิดแต่เพียงว่า สุครีพโง่กว่าพระยากุมภกรรณ แต่ว่าเวลานี้พวกผมไม่ใช่พระยากุมภกรรณครับ

    เป็นพระธุดงค์เดินมาเพื่อหาความสุข ทราบข่าวจากหลวงพ่อปานว่า ที่นี่มีเฉพาะพระอรหันต์ แต่พระแบกต้นไม้หลวงพ่อปานไม่ได้บอกไว้ เลยถาม อรหันต์แบกต้นไม้ไม่ได้หรือวะ ก็บอกว่า การถอนไม้ ทำต้นไม่ให้พรากจากกัน เช่น ตัดกิ่ง ตัดใบ เป็นต้น พระพุทธเจ้าปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ท่านบอกว่า นี่กูไม่ได้พรากต้นไม้นี่หว่า กูเอามาทั้งรากทั้งโคนเสร็จ (เอากับท่านสิ) กูจะเป็นอาบัติได้อย่างไร

    ก็ตอบว่า ถึงอย่างไรผมก็ไม่สู้หรอกครับ ในเมื่อพระคุณเจ้าเก่งขนาดนี้ ผมไม่สู้ ต้นยางนี่ผมก็ยกไม่ไหว ท่านบอกว่า เพราะพวกมึงยกไม่ไหว กูจึงมา ถ้าพวกมึงยกไหว กูก็ไม่มา ก็เลยกราบ นิมนต์ให้ท่านนั่ง ท่านเห็นท่าพวกเราไม่เถียงท่านด้วยวาจาหยาบ ท่านก็นั่ง ก่อนจะนั่งก็ห่มผ้าเรียบร้อยและก็ยิ้ม ก็ถามท่านว่า ขออภัย ครับ ท่านอยู่ที่ไหนครับ เออ..ไอ้เรื่องบ้านอย่าถามกันเลยวะ พวกที่อยู่บ้านโน่น

    เขานั่งแถวโน่น เขามีบ้านอยู่กัน ข้าไม่มีบ้านอยู่หรอก ถามว่า อยู่ที่ไหนถ้าไม่มีบ้านอยู่ อยู่กับอะไร อยู่กับต้นไม้ ท่านบอก ไม่ใช่ ต้นไม้ก็ไม่ใช่ ถามว่า เพราะอะไร ข้าตายก่อนพระพุทธเจ้าตั้งหลายปี (เอาแล้ว พอฟังเท่านี้ก็เริ่มตกใจ นึกแปลก เอ๊ะ พระตายก่อนพระพุทธเจ้าตั้งหลายปีนี่มาได้อย่างไร) บอกเท่าที่มานี่เธอจำได้ไหมว่า การเดินทางที่เร็วนี่ใครสอนเธอ ก็บอกไม่มีใครสอนครับ

    หลวงพ่อจงเป่าหัว 3 ครั้ง ท่านถามว่า การท่องเที่ยวไปภพต่าง ๆ ได้ ที่เธอทำได้ เพราะอาศัยใครรู้ไหม บอก รู้ครับ ท่านถามว่า อาศัยใคร ก็บอกว่า อาศัยหลวงพ่อปานหนึ่ง เป็นองค์ต้น ประการที่สอง เข้าถึงพระพุทธเจ้า ประการที่สามเข้าถึงพระอรหันต์ องค์ที่สอนให้ไปเที่ยวภพต่าง ๆ ได้จริง ๆ นั่นคือ พระโมคคัลลาน์ ท่านก็เลยหัวเราะ รูปทั้งกายเป็นพระโมคัลลาน์ทันที

    บอก นี่จำไว้นะว่า ลีลาพระอรหันต์ เมื่อกี้เธอคิดผิด ฉันมาสอนเธอ อย่าไปคิดสิว่า พระอรหันต์จะต้องเรียบร้อยทุกองค์ ดูตัวอย่าง พระสารีบุตร พระสารีบุตรท่านเคยเป็นลิงมาก่อน ขนาดเป็นอัครสาวก เจอะลำรางยังขัดเขมรกระโดดข้าม ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า พระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา แต่ว่าเคยเป็นลิงมาก่อน และนิสัยลิงก็ติดมา นี่ก็เช่นเดียวกัน พวกเธอก็มานั่งวาดภาพ

    พอหลวงพ่อปานบอก มีพระอรหันต์มาก ก็คิดว่าต้องเรียบร้อย มันไม่ใช่อย่างนั้น ก็ถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ผมอยากจะเป็นพระอรหันต์บ้าง ท่านบอกว่า เป็นได้ จะเป็นอะไรไป ถ้าเธออยากจะเป็นจริง ๆ เว้นไว้แต่ว่าเธออยากจะไม่เป็น เธออยากเป็นพระครูไหม บอก ไม่อยากเป็นครับ อยากเป็นเจ้าคุณไหม ไม่อยากเป็นครับ อยากเป็นสมเด็จไหม ไม่อยากเป็นครับ อยากเป็นสังฆราชไหม ไม่อยากครับ

    ท่านถามว่า ทำไมจึงไม่อยากเป็น ก็บอกว่า ที่ไม่อยากเป็นไม่ใช่ไม่มีใครเขาตั้ง เขาจะตั้งไม่ตั้ง ผมก็ยังไม่ทราบ เพราะว่าเกณฑ์วิชาความรู้ความสามารถผมไม่ถึง เอาเป็นแต่เพียงว่า ถ้าเป็นก็ตาย ไม่เป็นก็ตาย เวลานี้มาคิดอย่างเดียวว่า เราจะตายแล้วเราจะไปไหนกัน บอก เออ..ดีแล้ว เธอคิดว่าจะไปไหน ก็กราบเรียนท่านบอกว่า เวลานี้กำลังผมอยู่แค่พรหมครับ ผมก็อยากจะไปพรหม

    ท่านบอกดีไปพรหมก็ดี ตั้งใจต่อนิพพานเลยก็แล้วกันนะ ก็ถามท่านว่า จะตั้งใจต่อได้อย่างไรครับในเมื่อผมปรารถนาพุทธภูมิ ท่านบอก เรื่องพุทธภูมิ ก็เรื่องพุทธภูมิสิ นิพพาน ก็นิพพานสิ ถ้าเราบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็เป็นพระอรหันต์ไป มันไม่มีการจำกัดจำเขต ไม่มีการบังคับ อย่างพระมหากัจจายนะ

    ท่านก็มาจากพุทธภูมิ ท่านมีบารมีเต็มแล้ว แต่ท่านไม่อยากจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าใหม่ ท่านก็ตัดสินใจลาพุทธภูมิ เป็นสาวกภูมิไป ก็เป็นอาจารย์ของเธอใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ครับ ที่ท่านสอนด้านปฏิภาณ แล้วท่านก็ถามใหม่ว่า พวกเธอต้องการอะไรอีก บอกไม่ต้องการครับ มีความต้องการรู้อย่างเดียวว่า พระที่นี่มีอรหันต์กี่องค์ ท่านบอก ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ 16 องค์ เป็นอรหันต์ทั้งหมดทั้ง 16 องค์

    ถาม จริยา ท่านบอก ที่ฉันมานี่เพื่อจะให้พวกเธอรู้นะ ถ้าไปพบท่านบางองค์ ท่านแสดงอะไรผิดปกติ อย่าไปนึกแปลกใจนะ ให้เข้าใจว่าทุกองค์เป็นพระอรหันต์ พร้อมใจไหว้ไว้ และไม่ใช่อรหันต์ปกติ เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด เธอมานี่ทุกองค์รู้ พร้อมที่จะสอนเธอ ทุกองค์ตั้งใจสอนพวกเธอทั้งหมด ฉันจึงมาบอกเธอไว้ อาจารย์ปานท่านไม่ได้บอกไว้ครบ ฉันมาบอกเธอ ถามว่า ต้นไม้ต้นนี้ล่ะครับ

    ท่านบอก ไม่ยาก เดี๋ยวฉันจับโยนไว้ที่เดิมก็แล้วกัน แล้วท่านก็จับปั๊บ โยนไปปักที่เดิม ตามรูปเดิม ไปหารอยดินก็ไม่ได้ ก็รวมความว่า หลังจากนั้น ท่านก็ลากลับไป เวลากว่าที่ท่านจะกลับก็ค่ำ พวกเราก็จำวัด นอนตามสบาย เช้ากินข้าวเทวดา ตอนสายก็เดินไป ประมาณสักชั่วโมงเศษ ๆ ก็พบถ้ำ ๆ หนึ่ง พบพระองค์หนึ่ง สวยมาก องค์นี้พระจริง ๆ ยังเป็นมนุษย์อยู่ คือว่า พระโมคคัลลาน์

    ท่านบอก เป็นอรหันต์หมด หลวงพ่อปานก็บอก เป็นอรหันต์หมด และเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณเสียด้วย เมื่อเข้าไปใกล้ท่าน ท่านก็นั่งเรียบร้อย องค์นี้เรียบร้อยมาก เหมือนผู้หญิง ท่าทางคล้ายผู้หญิง ผ้าผ่อนเรียบร้อยดี เข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า มากราบทำไม ก็บอกว่า สุปฏิปันโนครับ พระคุณเจ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว ผมก็อยากจะไหว้ อยากจะดีเหมือนพระคุณเจ้า

    ไม่ต้องเรียนกันอีกก็ได้มั้ง ที่มาหาแก้ข้อข้องใจนิดหน่อย ฉันก็สอนตามเดิม พวกเธอนี่สนใจอย่างเดียวว่า อรหันต์เขาเป็นกันอย่างไรใช่ไหมล่ะ บอกใช่ครับ ท่านบอก อรหันต์ไม่ได้หมายความว่า ต้องเหาะได้ทุกองค์ ไม่ต้องหายตัวได้ทุกองค์ ไม่ต้องแปลงตัวได้ทุกองค์ อรหันต์มีตั้ง 4 อย่าง สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ถามท่านบอกว่า พระที่อยู่ที่นี่ทั้งหมดเป็นปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมดใช่ไหม

    ท่านบอกว่า ใช่ ถามว่า พระคุณเจ้าฉันข้าวกับอะไรครับ กับเทวดา หรืออยู่ด้วยธรรมปีติ ท่านบอก อยู่ด้วยธรรมปีติ ถามว่า ไม่ไปสงเคราะห์คนในบ้านในเมืองหรือครับ ท่านบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่หน้าที่ของฉันคือ บรรลุแล้วก็อยู่ในป่า คอยพระที่มาในป่า เมื่อไรพระเข้ามาในป่า ฉันก็สอน ก็เลยบอกว่า เวลานี้ผมต้องการรับคำสอนครับ รับคำสอนอย่างที่ชอบใจมากที่สุด ทานถามว่า ชอบใจใคร

    บอก ชอบใจพระคุณเจ้าครับ ดูท่าทางยังหนุ่มมาก ยังไม่แก่ ท่านก็ยิ้มบอก ชอบใจฉันนะ บอก ครับ ท่านเลยบอก เธอจงอย่าสนใจในรูป ขึ้นชื่อว่ารูปทั้งหมดเป็น อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง รูปทั้งหมดเป็น ทุกขัง เป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ เป็นทุกข์ทั้งหมด รูปทั้งหมดเป็นอนัตตา ตายทั้งหมด พังทั้งหมด อย่าสนใจในรูป จะเป็นคนดีก็ดี จะเป็นสัตว์ก็ดี จะเป็นนางฟ้าจะเป็นเทวดา

    จะเป็นพรหมก็ดี มีสภาพจุติทั้งหมด ไม่มีการทรงตัว สภาพที่ทรงตัวมีที่เดียว คือนิพพาน จงจำไว้ว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จงอย่าสนใจในรูป เห็นรูปแล้วจงคิดไม่ใช่เอาตาหลบรูป เอาตาสู้รูป ตาสู้รูป ใจก็สู้รูป ตาสู้รูป ก็หมายความว่า ตาเห็นรูป จงคิดว่า รูปนี้มันเป็นธาตุ 4 แล้วแบ่งเป็นอาการ 32 เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ต้องมีความทุกข์เพราะรูป ต้องหาเลี้ยงรูป ในที่สุดรูปก็ตาย

    ตายแล้วมีสภาพเป็นผี เมื่อสภาพเป็นผีแล้ว ไม่สามารถจะเอารูปไปได้ ต้องทิ้งรูปไว้ไปเสวยสุข เสวยทุกข์ตามธรรมดา ถ้าเธอไม่สนใจในรูป เธอก็เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าเธอยังสนใจในรูปอยู่ เธอก็เป็นอรหันต์ไม่ได้
    ที่มา http://palungjit.org/posts/9918686
     

แชร์หน้านี้

Loading...