หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เรื่อง อาจารย์ชื้นศิษย์หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 17 กรกฎาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    41,449
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,018
    ............................... LpKobThamSalika.jpg
    หลวงพ่อกบ เขาถ้ำสาริกา พระอภิญญาผู้อยู่เหนือ 3 โลก

    หลวงพ่อกบ เป็นพระภิกษุสงฆ์ที่พุทธศาสนิกชนทั่วไปให้ความเคารพ และเลื่อมใสศรัทธา ชีวประวัติของท่านไม่ได้บันทึกไว้ชัดเจน เป็นแต่เพียงการเล่าขานสืบต่อกันมาว่า ท่านธุดงค์มาปักกลดอยู่ที่ชายป่าด้านเขาสาริกา เมื่อประมาณปลายปี 2430 โดยที่ไม่มีใครทราบวาท่านมาจากไหน ชาวบ้านพบครั้งแรกในสภาพนุ่งห่มจีวรเก่าคร่ำคร่า แบกไม้คานหาบกระบุงเปล่าไว้บนบ่าสองใบ เดินผ่านมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ชาวบ้านร้องทักว่า “หลวงพ่อหาบกระบุงเปล่าไปทำไม” ท่านก็ตอบว่า “กูหาบมาใส่เงินใส่ทองโว้ย”ว่าแล้วก็เดินดุ่ม ๆ เข้าไปพำนักในวัดเขาสาริกา หมู่ 6 ต.สนามแจง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ซึ่งสมัยนั้นเป็นวัดเก่า ๆ เกือบจะเป็นวัดร้าง

    ชาวบ้ายหลายคนพยายามถามว่าท่านเป็นใคร มาจากไหน ชื่ออะไร ท่านก็มักจะตอบว่า “ กูจะไปรู้ได้อย่างไร แม้แต่มึงเอง มึงยังไม่รู้ว่ามึงเป็นใคร มาจากไหน และมึงจะไปไหนต่อ ” ซึ่งเป็นคำตอบที่นอกจากจะไม่เข้าใจแล้วยังสร้างความงุนงงให้กับผู้ถามเพิ่มขึ้นไปอีก จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีใครทราบประวัติที่แท้จริงของท่าน ท่านไม่เคยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟังแม้แต่คนเดียว ใครถามมักตอบเพียงว่า “กูไม่มีอดีต กูมีแต่ปัจจุบันและอนาคต" และหากใครถามถึงอายุ ท่านจะว่า “กูจำไม่ได้" แล้วไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย

    หลวงพ่อกบมาถึงวัดเขาสาริกาไม่พูดจากับใคร นั่งบำเพ็ญเพียรภาวนา เจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างเดียว ไม่ทำความรู้จักกับใครทั้งนั้น แม้พระภิกษุด้วยกันในวัดก็ไม่เคยพูดด้วย ท่านฉันภัตตาหารแต่น้อยไม่กี่คำก็เลิก ข้าวปลาอาหารที่ญาติโยมนำมาถวายก็โกยมากองรวมกัน โยนให้สุนัขและแมวกินเป็นประจำ ใครนำเงินทองมาถวายก็โยนเข้ากองไฟหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่ชิ้นเดียว

    นานหลายปีที่หลวงพ่อกบนั่งบำเพ็ญเพียรเพียงรูปเดียวอยู่เช่นนั้น ก็เริ่มมีคนต่างถิ่นและคนแปลกหน้าเดินทางมากราบไหว้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์เล่า เรียนวิปัสสนากัมมัฏฐานที่วัดเขาสาริกามากขึ้นทุกที สร้างความแปลกใจให้ชาวบ้านและพระในวัด เพราะท่านไม่เคยออกจากวัดไปไหน สอบถามทุกคนจะตอบว่า “เคยใส่บาตรกับท่าน รู้สึกศรัทธาก็เลยมาหา" บางคนมาจากเชียงใหม่บ้าง กรุงเทพฯบ้าง สุราษฎร์ธานีหรือภูเก็ตก็มี ไม่เว้นแม้สงขลา ยะลา ปัตตานี ยิ่งทำให้ชาวบ้านกังขามากขึ้น ซึ่งนับวันผู้คนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ท่านก็ไม่ค่อยพูดกับใครเหมือนเดิม ยกเว้นลูกศิษย์ใกล้ชิดไม่กี่คน

    นับวันวัดเขาสาริกาจะกลายเป็นศูนย์รวมผู้ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ ทำให้ถูกทางการสมัยนั้นจับตามองกล่าวหาว่าเป็นแหล่งมั่วสุมผู้คน พ.ศ. 2450 ทางการส่งเจ้าหน้าที่มาสอบถามและตรวจสอบ แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย พบเพียงผู้คนมาปฏิบัติธรรมและไม่ได้เป็นที่ซ่องสุมผู้คนจึงกลับไป

    ต่อมามีคณะพระผู้ใหญ่เดินทางมาหาหลวงพ่อกบอีกครั้ง เพื่อสอบสวนประวัติความเป็นมา เนื่องจากกลัวเป็นพวกลัทธิใหม่หรือพวกนอกรีต เนื่องจากพฤติกรรมของท่านค่อนข้างประหลาดไม่เหมือนพระทั่วไป แต่ท่านไม่ยอมบอกว่าเป็นใครและใครเป็นพระอุปัชฌาย์ จึงมีการทดสอบความรู้เรื่องธรรมะกันขึ้น ไม่ว่าจะถามเรื่องอะไร ในพระไตรปิฎกเล่มไหน หน้าอะไร หัวข้อเท่าไหร่ หลวงพ่อกบตอบถูกทั้งหมดและท่านถามกลับไปว่า “หัวใจของพระพุทธศาสนาคืออะไร”ปรากฎว่าไม่มีใครหรือพระเถรผู้ใหญ่ตอบได้แม้ แต่รูปเดียว เงียบกันหมด ท่านจึงเฉลยให้ฟังว่าหัวใจพุทธศาสนาก็คือ “ศีล สมาธิ ปัญญา”เพราะเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์

    เท่านั้นเองกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่พระผู้ใหญ่ไม่พอใจ สั่งให้ หลวงพ่อกบลาสิกขาบท กล่าวหาว่าเป็นพระเถื่อน ไม่มีใบสุทธิบัตร พูดจาเพ้อเจ้อไร้สาระ ไม่น่าเชื่อถือ ท่านก็ไม่สนใจหรือเถียงอะไรยอมถอดจีวรออกลาสิกขาบทโดยดี หันมานุ่งขาวห่มขาวแทน ตอนนั้นลูกศิษย์ร้องไห้ระงมทั่ววัดเขาสาริกา เพราะสงสารท่าน จนหลวงพ่อบอกว่า “พวกมึงจะร้องทำไมกันวะ พระก็คือพระวันยังค่ำ จะใส่อะไรก็เป็นพระ เหมือนทองจมขี้โคลน ยังไงก็เป็นทองนั่นแหละ” ทำให้ลูกศิษย์คิดได้ว่า พระไม่ได้หมายถึงการนุ่งห่มผ้าเหลือง แต่หากสามารถลดละกิเลสได้ ไม่ว่าแต่งกายชุดอะไรก็ถือว่าเป็นพระอยู่วันยังค่ำ พระแท้ พระดีจึงมิไช่อยู่ที่ผ้าเหลืองด้วยประการฉะนี้


    ที่มาของชื่อ “ หลวงพ่อกบ ”

    หลวงพ่อกบจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาถ้ำสาริกา ผ่านไปหลายปี ชื่อเสียงของท่านโด่งดังมาก ครั้งหนึ่งช่วงออกพรรษาปี พ.ศ.ใดไม่ชัดเจน มีกฐินจากกรุงเทพฯ มาทอดที่วัดภายหลังเสร็จสิ้นจากพิธีถวายกฐิน ญาติโยมจากกรุงเทพฯ จำนวนหนึ่งจำเป็นต้องค้างแรมที่วัด หลวงพ่อท่านเมตตาให้ค้างแรมในกุฏิ คืนนั้นหลายคนนอนไม่หลับ เพราะไม่ได้ทานข้าวเย็น เนื่องจากที่วัดจัดให้มีไม่พอ เวลาผ่านไปประมาณ 3 ทุ่ม ก็บังเกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาด ท้องฟ้าที่เคยแจ่มใส พลันก็เกิดเมฆดำทะมึนก่อตัวขึ้น สักครู่เสียงฟ้าร้อง ฟ้าผ่า พร้อมฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา สายน้ำไหลเจิ่งนอง ประสานเสียงร้องของกบดังไปทั่ว มองลงไปที่ลานหน้ากุฏิ เต็มไปด้วยกบตัวใหญ่ๆ กระโดดโลดเต้นไปมา “ พวกเอ็งหิวไหมว๊ะ ” เสียงเอ่ยถามของหลวงพ่อ ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน ” หิวขอรับ ” “ ถ้างั้นเอ็งรอเดี๋ยว กูจะลงไปแทงกบมาให้พวกเอ็งทำต้มยำกิน ”

    ว่าแล้วท่านก็คว้าฉมวกลงกุฏิไปอย่างรวดเร็ว พวกเขามองตามลงไปเห็นหลวงพ่อกำลังใช้ฉมวกทิ่มแทงกบตัวแล้วตัวเล่า อนิจจา!!! ศรัทธาของพวกเขาเริ่มเหือดหายไป แต่ด้วยความหิว คืนนั้นต้มยำกบหม้อใหญ่ก็ถูกกินจนเกือบหมดเช้าวันรุ่งขึ้น มีคนหนึ่งสงสัยว่า ต้มยำกบที่เขากินเมื่อคืนเป็นกบจริงๆ หรือเปล่า เขาจึงย่องเข้าไปดูในโรงครัว เมื่อเปิดฝาหม้อดู เขาก็ต้องผงะ ตกตลึงด้วยความอัศจรรย์ใจ ด้วยว่า สิ่งที่เห็นอยู่ในหม้อหาใช่กบไม่ แต่เป็นยอดกระถิน และใบมะขามอยู่เกือบครึ่งค่อนหม้อ เหตุการณ์นี้ถูกนำมาเล่าต่อๆ กันมาว่า หลวงพ่อท่านสร้างปาฏิหาริย์เสกใบไม้ให้กลายเป็นกบ จนกลายมาเป็นที่มาของนามท่าน “ หลวงพ่อกบ ” แต่ในบรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดที่ได้รับการสอนธรรมะมักจะเรียกท่านว่า “สมเด็จพระบรมครู" หมายถึง ครูคนแรกในการสอนวิปัสสนากัมมัฏฐาน แต่ภายหลังกลายมาเป็น สมเด็จพระบรมครหลวงพ่อเขาสาริกา หรือ หลวงพ่อเขาสาริกา แต่คนทั่วไปมักเรียกท่านว่า หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา จนทุกวันนี้


    มูลเหตุแห่งความศรัทธา

    ด้วยปฏิปทาอันแปลกประหลาดของหลวงพ่อกบ รวมทั้งปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ หลวงพ่อกบ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่น่าฉงน และไม่สามารถหาคำอธิบายได้ เป็นมูลเหตุแห่งความศรัทธา ที่คนทั่วไปเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า หลวงพ่อกบท่านเป็นผู้ทรงศีลที่มีฌานสมาบัติขั้นสูง และมีพลังเร้นลับ สามารถทำในสิ่งที่คนทั่วไปยากที่จะเข้าใจได้จึงขอนำเรื่องราวดังกล่าว มาเล่าสู่กันฟังพอสังเขป

    ปฏิปทา

    ปกติหลวงพ่อกบจะบำเพ็ญเพียรภาวนาในท่านั่งยองๆ เป็นเวลายาวนานติดต่อกัน คราวละ 7 – 15 วัน โดยที่ท่านไม่ลุกไปไหนเลย ไม่ฉันอาหาร น้ำ หรือแม้แต่การถ่ายหนักเบา เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งสร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็นเข้าใจกันว่า ปฏิปทาอันเหลือเชื่อของท่านเกิดขึ้นได้ เพราะท่านสามารถถอดจิตออกจากกายได้ ทำให้กายไม่รับรู้ต่อสภาพความหิว และความเจ็บปวดใดๆ

    - นั่งท่ายองๆ ไม่ว่าจะสวดมนต์ หรือทำกิจวัตรใดๆ และนอนตะแคงขวาเป็นประจำ

    - นุ่งสบงเก่าๆ ผืนเดียว ไม่ห่อจีวร ที่คอแขวนลูกกระพรวน

    - อยู่แต่ในวัดไม่เคยเดินออกไปไหนเลย

    - ใช้น้ำชา และต้มเครื่องเทศเป็นยารักษาโรค ชื่อเสียงของท่านถูกกล่าวขานปากต่อปาก ผู้คนจำนวนมากมารับการรักษาจากท่าน เป็นเรื่องที่ชี้ให้เห็นถึงปฏิปทาที่เต็มไปด้วยความเมตตาอย่างสูงของท่าน


    ปรากฏการณ์แปลกประหลาด

    - มีผู้คนจากจังหวัดต่างๆ มานมัสการ และทำบุญกับหลวงพ่อกบอย่างล้นหลามมิได้ขาดพวกเขาเหล่านั้นรู้จักหลวงพ่อได้ อย่างไร ? ทั้งๆ ที่หลวงพ่ออยู่แต่ในวัด และชาวบ้านเขาสาลิกาก็ไม่เคยออกไปแจกซองกฐิน หรือซองผ้าป่าที่ไหนเลย ถนนหนทางเข้าวัดในขณะนั้นก็ยังไม่มี มันเป็นไป ได้อย่างไร ! เมื่อสอบถามดูพวกเขาเหล่านั้นพูดทำนองเดียวกันว่า ได้พบเห็นหลวงพ่อกบไปบิณฑบาตที่บ้านตน ด้วยความศรัทธาจึงพากันติดตามถามหา จนมาพบท่าน และทุกอย่างเป็นจริงตามที่หลวงพ่อกบบอกไว้ทุกประการ

    - บ่อยครั้งมีผู้พบเห็นท่านในเวลาเดียวกันถึง 2 แห่ง เชื่อกันว่า ท่านสามารถถอดกายทิพย์ท่องเที่ยวไปในที่ต่างๆ ได้

    - ”น้ำชา และต้มเครื่องเทศ” สามารถทำให้โรคภัยไข้เจ็บของชาวบ้านหายได้อย่างไร ? เป็นคำถามที่ยังหาคำตอบไม่ได้ เป็นไปได้ หรือไม่ ว่า หลวงพ่อกบ ให้พลังจิตช่วยในการรักษา

    - พลังเมตตาบารมี ? หลวงพ่อกบ เป็นคนเฉยๆ หากมีคนมานมัสการท่าน ท่านเพียงแต่เงยหน้าขึ้นมาดู ไม่ค่อยโอภาปราศรัยด้วย แต่ก็เป็นเรื่องแปลกทุกคนที่มาหาท่านต่างยอมรับว่า รู้สึกศรัทธา และปลื้มปีติสุข เมื่อได้พบกับหลวงพ่อกบ

    มรณภาพ

    หลวงพ่อกบละสังขารเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2496 ในวันนั้นหลวงพ่อโอภาสีได้ขึ้นมาที่วัด และรับเป็นประธานในงานเผาสรีระของท่าน หลวงพ่อโอภาสีทราบได้อย่างไร ชาวบ้านต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า " ไม่มีใครส่งข่าวไปบอกท่าน” เพราะหนทางไกล การคมนาคมสมัยนั้นลำบากมาก ในเรื่องนี้เข้าใจกันว่า หลวงพ่อโอภาสี ท่านคงทราบได้ด้วยฌานเช่นเดียวกัน การละสังขารของหลวงพ่อกบ ยังความโศกเศร้าเสียใจให้กับผู้คนจำนวนมาก

    ทุกสิ่งทุกอย่างแห่งความดี และความเมตตาอารีของท่านยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเหล่าพุทธศาสนิกชนอย่าง ไม่มีวันลืม ตราบจนทุกวันนี้



    ===========================================================================


    ปริศนาธรรม “ทองหนึ่ง"

    บนกุฎิหลังใหม่ลูกศิษย์นำระฆังทองเหลืองมาถวายหลวงพ่อกบหลายใบ วันดีคืนดีท่านก็จะลุกขึ้นมาตีระฆังเสียงดังกังวาน “หง่าง หง่าง" และตะโกนว่า “ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง ทองหนึ่ง" และท่านชอบเขียนเลข ๑ หรือเครื่องหมาย + ตามข้าวของเครื่องใช้จนเปื้อนไปหมด

    เคยมีลูกศิษย์ถามว่า “หลวงพ่อเจ้าค่ะ ทองหนึ่ง คืออะไรเจ้าค่ะ" ท่านหันมาตอบว่า “หนึ่งคือหนึ่งไม่มีสอง เปรียบเสมือนทองยังไงก็เป็นทองวันยังค่ำ" หมายถึง “ธรรมะ" หรือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่หนึ่งในโลก ไม่ว่ากาลเวลาผ่านพ้นไปเท่าใดก็ยังคงเป็นที่หนึ่งเสมอนั่นเอง

    คำว่า “ทองหนึ่ง" มีหลายคนแปลความหมายผิดเพี้ยนคิดว่าเป็นคาถาประจำตัวของท่าน จริง ๆ แล้วเป็นปริศนาธรรมของหลวงพ่อกบ ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจาก หลวงพ่อชื้น อริยธัมโม วัดปฐมเทศนาอรัญวาสี (เขาพลอง) จ.ชัยนาท ศิษย์สายตรงของหลวงพ่อกบและศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับหลวงพ่อโอภาสี ผู้บูชาไฟเผากิเลสอาศรมบางมด ฝั่งธนบุรี ซึ่งมีการเล่าขานสืบต่อกันมาในหมู่ลูกศิษย์สายเดียวกัน


    สอนธรรมะ "ชั่งเขา ชั่งมัน"

    หลวงพ่อกบท่านชอบสอนปริศนาธรรมให้ลูกศิษย์และคนใกล้ชิดไปขบคิดกันเอาเอง อย่างเช่นวันหนึ่งท่านหยิบเขาควายและหัวมันมานั่งชั่งกิโลแล้วนั่งมองซ้าย มองขวา หยิบแล้วหยิบอีกอยู่อย่างนั้น จนลูกศิษย์เห็นเข้าถามว่า "หลวงพ่อทำอะไร" ท่านก็ตอบว่า "กูกำลังชั่งเขา ชั่งมันอยู่โว้ย อย่ามากวนใจ" ลูกศิษย์ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่านี่ท่านกำลังสอนธรรมะพวกเราอยู่แน่ ๆ โดยการกระทำของท่านน่าจะหมายถึง การให้รู้จักปล่อยวางเดินตามทางสายกลาง ไม่ยึดติดด้านใดด้านหนึ่ง เพราะเป็นตัวถ่วงในการเจริญวิปัสสนากัมมัฏฐานและการพิจารณาลดละกิเลสนั่นเอง

    วัตถุมงคลของหลวงพ่อกบ

    หลวงพ่อกบเป็นพระที่แปลก ชั่วชีวิตของท่านไม่เคยสร้างวัตถุมงคลหรือเครื่องรางของขลังให้เช่าบูชา เหมือนเกจิอาจารย์รูปอื่น ๆ ยกเว้นท่านจะทำแจกลูกศิษย์ใกล้ชิดและผู้ศรัทธาไม่กี่คน ซึ่งมีจำนวนน้อยและเป็นวัสดุที่หาไม่ยากในท้องถิ่น หลายคนอาจไม่เคยมีโอกาสได้เห็นและนึกไม่ถึงตามคำกล่าวที่ว่า "มีเงินมีทองไช่ว่าจะครอบครองของดีกันได้ง่าย ๆ"


    (ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บหลวงปู่มั่น)
     

แชร์หน้านี้

Loading...