หลวงพ่ออ้วน (เตลิยะบาบา) พระพุทธรูปศักดิ์ แห่ง...กรุงราชคฤห์

ในห้อง 'วัดและศาสนสถาน' ตั้งกระทู้โดย guawn, 23 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. guawn

    guawn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    10,642
    ค่าพลัง:
    +42,107
    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=567 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>หลวงพ่ออ้วน (เตลิยะบาบา) พระพุทธรูปศักดิ์ แห่ง...กรุงราชคฤห์</TD></TR><TR><TD class=Text_Story vAlign=top><!-- [​IMG] [​IMG] เมืองราชคฤห์ ประเทศอินเดีย ศาสนสำคัญนอกซากปรักหักพังของ มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา แล้ว ยังมีพระพุทธรูปองค์หนึ่งซึ่งอยู่นอกเขตรั้วของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ทางด้านทิศตะวันตก

    มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งชื่อว่า หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินสีดำ หน้าตักกว้าง ๖๐ นิ้ว พระเกตุทรงดอกบัวตูม ปางสมาธิ องคุลีของพระหัตถ์ขวาทั้งหมดชี้ลงธรณี แม้บางองคุลีและพระนาสิกจะหักบิ่นไป แต่ก็ยังทรงความงดงามอยู่มิได้จืดจาง
    พระครูภาวนาจิตสุนทร รองประธานสมาคมพุทธไทย-ภารต ประธานที่ปรึกษาวัดป่าพุทธคยา และเจ้าอาวาสวัดอรัญญิกาวาส อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี บอกว่า การบนบานศาลกล่าวขอพรจากพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินเดียนั้น เป็นไปในลักษณะเดียวกับคนไทย
    เวลาลูกไม่สบาย ก็พากันเอาน้ำมันเนยมาทาที่องค์ท่านก่อน แล้วลูบเอาน้ำมันเนยนั้นกลับมาทาตัวลูก ทำให้ลูกหายเจ็บป่วย หายงอแง กินข้าวได้ อ้วนท้วนสมบูรณ์ จนหลายคนขนานนามท่านว่า หลวงพ่อน้ำมัน หรือภาษาอินเดียว่า เตลิยะบาบา
    บางคนก็ขนานนามท่านว่า หลวงพ่ออ้วน หรือภาษาอินเดียว่า โมต้าบาบา
    ขณะเดียวกัน ใกล้ๆ บริเวณนั้นมีบ่อน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ผู้คนมักจะมาบูชาพระอาทิตย์ และเอาน้ำในบ่ออาบกายตน ทำให้โชคดีมีสุข และเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีของพระพุทธรูปหลวงพ่อพระพุทธองค์ดำ ก็เลยพากันมาบน และแก้บนโดยเอาน้ำมันเนยมาทาลูบไล้ และดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา เอาข้าวสารมาไหว้ถวาย จนข่าวความศักดิ์สิทธิ์แพร่กระจายออกไปทั่ว
    แม้กระทั่งชาวพุทธในเมืองไทย ถ้าได้ไปอินเดีย ต้องไม่เว้นที่จะแวะไปกราบไหว้นมัสการพระพุทธเจ้าองค์ดำที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา เมืองราชคฤห์ แห่งนี้
    2<lm>-ok-ท่องแดนธรรม หลวงพ่ออ้วน(เตลิยะบาบา)
    สำหรับประวัติความเป็นมาของหลวงพ่ออ้วนนั้น จากบันทึกของ ปิลาซิง ทำให้เราได้ทราบว่า พระพุทธรูป พระพุทธเจ้าองค์ดำ นี้ สร้างเมื่อสมัย พระเจ้าเทวาปาล คือระหว่าง พ.ศ.๑๓๕๓-๑๓๙๓
    และถ้าหากท่านทราบประวัติความเป็นมามากกว่านี้ ท่านจะรู้สึกศรัทธา และประหลาดใจเป็นแน่ เพราะเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้น ที่เหลือจากการทำลายของคนศาสนาอื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือ
    เมื่อ พ.ศ.๑๗๖๖ พวกมุสลิมได้ใช้วิธีเผยแผ่ศาสนาโดยใช้กำลังอาวุธ ถ้าใครไม่นับถือศาสนาของตนจะต้องถูกทำร้าย โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ถือว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญ จะต้องถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นคนหรือทรัพย์สมบัติในพระพุทธศาสนา
    จนกระทั่งเข้ายึดครองดินแดนชมพูทวีปฝ่ายเหนือได้ทั้งหมด ด้วยการใช้กำลังอำนาจเข้าห้ำหั่น ฆ่าฟัน ข่มเหง และย่ำยีด้วยวิธีการต่างๆ นานา ซึ่งมี อิคเทียร์ ซิลจิ เป็นหัวหน้า พาสมัครพรรคพวก ถืออาวุธเข้าห้ำหั่นชาวพุทธ ทุบทำลายเผาตำรับตำรา สถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เหลือไว้แต่ซากปรักหักพัง เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก

    จากการบันทึกของท่าน ตารนาท ธรรมสวามินปราชญ์ เขียนเอาไว้ว่า พอกองทัพมุสลิมยกทัพกลับไปแล้ว พระ นักศึกษา และพระอาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ซึ่งเหลืออยู่ประมาณ ๗๐ องค์ ก็พากันออกมาจากที่ซ่อน ทำการสำรวจข้าวของที่ยังหลงเหลืออยู่ รวบรวมเท่าที่จะหาได้ ปฏิสังขรณ์ตัดทอนกันเข้า ก็พอได้ใช้สอยกันต่อมา
    และท่าน มุทิตาภัทร รัฐมนตรีของกษัตริย์ ในสมัยนั้น ได้จัดทุนทรัพย์จำนวนหนึ่ง ส่งไปจากแคว้นมคธ เพื่อช่วยเหลือซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่นาลันทาขึ้นมาใหม่ แต่ก็ทำได้บางส่วนเท่านั้น
    แต่แล้ววันหนึ่ง ได้มี ชูชก ๒ คน เข้ามาวางอำนาจ ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลทางศาสนา จนกระทั่ง ๑๒ ปีผ่านไป ๒ ชูชกก็ยังวางตนเขื่องอยู่
    มาถึงคราวหนึ่ง ทั้ง ๒ ชูชกได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาขึ้น และคงคิดว่าเพียงพอแล้วที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป จึงได้รวบรวมเศษไม้ แล้วก่อไฟขึ้น พร้อมทั้งขว้างปาดุ้นฟืนที่ติดไฟไปตามสถานที่ต่างๆ โดยรอบ จนกระทั่งเกิดไฟลุกไหม้ไปทั่ว มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา แหลกลาญเป็นผุยผง สุดที่จะทำการซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ให้คืนดีได้ดังเดิม มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา อันเลื่องชื่อลือนาม ก็เป็นอันสิ้นสุดลง ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า มาตั้งแต่บัดนั้น
    จนกระทั่งชาวอังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย ได้มีนักโบราณคดีชาวอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อท่าน เซอร์คันนิ่งแฮม ได้อ่านบันทึกของ พระถังซำจั๋ง ซึ่งเป็นพระจีนที่เคยเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนา ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ถึง ๑๔ ปี ได้บันทึกเหตุการณ์ และสถานที่สำคัญต่างๆ เอาไว้อย่างละเอียด
    ซึ่งเมื่อ เซอร์คันนิ่งแฮม ได้อ่านดูแล้ว จึงได้มอบหมายให้ เอ.เอ็ม.พรอดเล่ย์ และ ดร.สปูนเนอร์ เข้าไปค้นหาปูชนียวัตถุ ตามบันทึกนั้น ก็ปรากฏว่าได้พระพุทธรูปมากมายหลายองค์ ส่วนมากจะเสียหายหักบิ่นจากการถูกทำลายของมุสลิมดังกล่าว จึงส่งเข้าไปรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษ
    ส่วนพระพุทธรูป หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ นั้น ไม่ทราบว่า เป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกส่งไปอังกฤษด้วย และเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุด จะมีหักบิ่นนิดหน่อยเฉพาะที่พระนาสิก และพระองค์คุลีข้างขวาเท่านั้น
    สรุปแล้วก็คือ เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้น ที่เหลือรอดจากการถูกทำลายของมุสลิม และไม่ถูกอังกฤษยึดไป
    นับเป็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งนัก จึงทำให้ประชาชนผู้ทราบข่าว ต่างมากราบไหว้บูชา ขอบารมีหลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำช่วยคุ้มครองดลบันดาลให้ประสบโชคดีดังปรารถนา
    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สมาคมพุทธไทย-ภารตะ ได้จัดสร้าง สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ดำ ๔ องค์ โดยจะมีการเททอง เวลา ๐๘.๐๐ น. วันเสาร์ที่ ๑๑ มีนาคม นี้ ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ บางเขน
    ร่วมเป็นเจ้าภาพได้ที่ พระครูภาวนาจิตสุนทร วัดอรัญญิกาวาส อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี โทร.๐๘-๑๔๒๒-๕๖๒๓, ๐๘-๙๒๔๓-๑๙๓๑ หรือโอนเงินเข้าบัญชี "พุทธองค์ดำ" ธนาคารกรุงเทพ สาขาอุรุพงษ์ เลขที่บัญชี ๑๔๙-๐-๘๔๘๑๔-๘0 เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู 0

    -->[​IMG]
    เมืองราชคฤห์ ประเทศอินเดีย ศาสนสำคัญนอกซากปรักหักพังของ มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา แล้ว ยังมีพระพุทธรูปองค์หนึ่งซึ่งอยู่นอกเขตรั้วของมหาวิทยาลัยสงฆ์ ทางด้านทิศตะวันตก
    มีพระพุทธรูปองค์หนึ่งชื่อว่า หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ เป็นพระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินสีดำ หน้าตักกว้าง ๖๐ นิ้ว พระเกตุทรงดอกบัวตูม ปางสมาธิ องคุลีของพระหัตถ์ขวาทั้งหมดชี้ลงธรณี แม้บางองคุลีและพระนาสิกจะหักบิ่นไป แต่ก็ยังทรงความงดงามอยู่มิได้จืดจาง
    พระครูภาวนาจิตสุนทร รองประธานสมาคมพุทธไทย-ภารต ประธานที่ปรึกษาวัดป่าพุทธคยา และเจ้าอาวาสวัดอรัญญิกาวาส อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี บอกว่า การบนบานศาลกล่าวขอพรจากพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาวอินเดียนั้น เป็นไปในลักษณะเดียวกับคนไทย [​IMG]
    เวลาลูกไม่สบาย ก็พากันเอาน้ำมันเนยมาทาที่องค์ท่านก่อน แล้วลูบเอาน้ำมันเนยนั้นกลับมาทาตัวลูก ทำให้ลูกหายเจ็บป่วย หายงอแง กินข้าวได้ อ้วนท้วนสมบูรณ์ จนหลายคนขนานนามท่านว่า หลวงพ่อน้ำมัน หรือภาษาอินเดียว่า เตลิยะบาบา
    บางคนก็ขนานนามท่านว่า หลวงพ่ออ้วน หรือภาษาอินเดียว่า โมต้าบาบา
    ขณะเดียวกัน ใกล้ๆ บริเวณนั้นมีบ่อน้ำอยู่แห่งหนึ่ง ผู้คนมักจะมาบูชาพระอาทิตย์ และเอาน้ำในบ่ออาบกายตน ทำให้โชคดีมีสุข และเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีของพระพุทธรูปหลวงพ่อพระพุทธองค์ดำ ก็เลยพากันมาบน และแก้บนโดยเอาน้ำมันเนยมาทาลูบไล้ และดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา เอาข้าวสารมาไหว้ถวาย จนข่าวความศักดิ์สิทธิ์แพร่กระจายออกไปทั่ว
    แม้กระทั่งชาวพุทธในเมืองไทย ถ้าได้ไปอินเดีย ต้องไม่เว้นที่จะแวะไปกราบไหว้นมัสการพระพุทธเจ้าองค์ดำที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา เมืองราชคฤห์ แห่งนี้
    2<lm>-ok-ท่องแดนธรรม หลวงพ่ออ้วน(เตลิยะบาบา)
    สำหรับประวัติความเป็นมาของหลวงพ่ออ้วนนั้น จากบันทึกของ ปิลาซิง ทำให้เราได้ทราบว่า พระพุทธรูป พระพุทธเจ้าองค์ดำ นี้ สร้างเมื่อสมัย พระเจ้าเทวาปาล คือระหว่าง พ.ศ.๑๓๕๓-๑๓๙๓
    และถ้าหากท่านทราบประวัติความเป็นมามากกว่านี้ ท่านจะรู้สึกศรัทธา และประหลาดใจเป็นแน่ เพราะเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้น ที่เหลือจากการทำลายของคนศาสนาอื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อ กล่าวคือ
    เมื่อ พ.ศ.๑๗๖๖ พวกมุสลิมได้ใช้วิธีเผยแผ่ศาสนาโดยใช้กำลังอาวุธ ถ้าใครไม่นับถือศาสนาของตนจะต้องถูกทำร้าย โดยเฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ ถือว่าเป็นศัตรูตัวสำคัญ จะต้องถูกทำลาย ไม่ว่าจะเป็นคนหรือทรัพย์สมบัติในพระพุทธศาสนา
    จนกระทั่งเข้ายึดครองดินแดนชมพูทวีปฝ่ายเหนือได้ทั้งหมด ด้วยการใช้กำลังอำนาจเข้าห้ำหั่น ฆ่าฟัน ข่มเหง และย่ำยีด้วยวิธีการต่างๆ นานา ซึ่งมี อิคเทียร์ ซิลจิ เป็นหัวหน้า พาสมัครพรรคพวก ถืออาวุธเข้าห้ำหั่นชาวพุทธ ทุบทำลายเผาตำรับตำรา สถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนา เหลือไว้แต่ซากปรักหักพัง เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก

    จากการบันทึกของท่าน ตารนาท ธรรมสวามินปราชญ์ เขียนเอาไว้ว่า พอกองทัพมุสลิมยกทัพกลับไปแล้ว พระ นักศึกษา และพระอาจารย์ ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ซึ่งเหลืออยู่ประมาณ ๗๐ องค์ ก็พากันออกมาจากที่ซ่อน ทำการสำรวจข้าวของที่ยังหลงเหลืออยู่ รวบรวมเท่าที่จะหาได้ ปฏิสังขรณ์ตัดทอนกันเข้า ก็พอได้ใช้สอยกันต่อมา
    และท่าน มุทิตาภัทร รัฐมนตรีของกษัตริย์ ในสมัยนั้น ได้จัดทุนทรัพย์จำนวนหนึ่ง ส่งไปจากแคว้นมคธ เพื่อช่วยเหลือซ่อมแซมปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่นาลันทาขึ้นมาใหม่ แต่ก็ทำได้บางส่วนเท่านั้น
    แต่แล้ววันหนึ่ง ได้มี ชูชก ๒ คน เข้ามาวางอำนาจ ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพลทางศาสนา จนกระทั่ง ๑๒ ปีผ่านไป ๒ ชูชกก็ยังวางตนเขื่องอยู่
    มาถึงคราวหนึ่ง ทั้ง ๒ ชูชกได้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาขึ้น และคงคิดว่าเพียงพอแล้วที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป จึงได้รวบรวมเศษไม้ แล้วก่อไฟขึ้น พร้อมทั้งขว้างปาดุ้นฟืนที่ติดไฟไปตามสถานที่ต่างๆ โดยรอบ จนกระทั่งเกิดไฟลุกไหม้ไปทั่ว มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา แหลกลาญเป็นผุยผง สุดที่จะทำการซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ให้คืนดีได้ดังเดิม มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา อันเลื่องชื่อลือนาม ก็เป็นอันสิ้นสุดลง ถูกปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า มาตั้งแต่บัดนั้น
    จนกระทั่งชาวอังกฤษเข้ายึดครองอินเดีย ได้มีนักโบราณคดีชาวอังกฤษคนหนึ่ง ชื่อท่าน เซอร์คันนิ่งแฮม ได้อ่านบันทึกของ พระถังซำจั๋ง ซึ่งเป็นพระจีนที่เคยเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนา ที่มหาวิทยาลัยสงฆ์นาลันทา ถึง ๑๔ ปี ได้บันทึกเหตุการณ์ และสถานที่สำคัญต่างๆ เอาไว้อย่างละเอียด
    ซึ่งเมื่อ เซอร์คันนิ่งแฮม ได้อ่านดูแล้ว จึงได้มอบหมายให้ เอ.เอ็ม.พรอดเล่ย์ และ ดร.สปูนเนอร์ เข้าไปค้นหาปูชนียวัตถุ ตามบันทึกนั้น ก็ปรากฏว่าได้พระพุทธรูปมากมายหลายองค์ ส่วนมากจะเสียหายหักบิ่นจากการถูกทำลายของมุสลิมดังกล่าว จึงส่งเข้าไปรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ประเทศอังกฤษ
    ส่วนพระพุทธรูป หลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำ นั้น ไม่ทราบว่า เป็นเพราะเหตุใดจึงไม่ถูกส่งไปอังกฤษด้วย และเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวที่ยังคงความสมบูรณ์ที่สุด จะมีหักบิ่นนิดหน่อยเฉพาะที่พระนาสิก และพระองค์คุลีข้างขวาเท่านั้น
    สรุปแล้วก็คือ เป็นพระพุทธรูปองค์เดียวเท่านั้น ที่เหลือรอดจากการถูกทำลายของมุสลิม และไม่ถูกอังกฤษยึดไป
    นับเป็นสิ่งประหลาดมหัศจรรย์ยิ่งนัก จึงทำให้ประชาชนผู้ทราบข่าว ต่างมากราบไหว้บูชา ขอบารมีหลวงพ่อพระพุทธเจ้าองค์ดำช่วยคุ้มครองดลบันดาลให้ประสบโชคดีดังปรารถนา
    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สมาคมพุทธไทย-ภารตะ ได้จัดสร้าง สมเด็จพระพุทธเจ้าองค์ดำ ๔ องค์ โดยจะมีการเททอง เวลา ๐๘.๐๐ น. วันเสาร์ที่ ๑๑ มีนาคม นี้ ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ บางเขน ร่วมเป็นเจ้าภาพได้ที่ พระครูภาวนาจิตสุนทร วัดอรัญญิกาวาส อ.บ้านผือ จ.อุดรธานี โทร.๐๘-๑๔๒๒-๕๖๒๓, ๐๘-๙๒๔๓-๑๙๓๑ หรือโอนเงินเข้าบัญชี "พุทธองค์ดำ" ธนาคารกรุงเทพ สาขาอุรุพงษ์ เลขที่บัญชี ๑๔๙-๐-๘๔๘๑๔-๘ 0 เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู 0
    </TD></TR></TBODY></TABLE>ref.http://www.komchadluek.net/2007/02/23/j001_93323.php?news_id=93323
     

แชร์หน้านี้

Loading...