หลวงพ่อไปนมัสการหลวงพ่อโหน่ง

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย joni_buddhist, 6 กรกฎาคม 2007.

  1. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,552
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,439
    ไปนมัสการหลวงพ่อโหน่ง

    [​IMG]<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๓๓ สำหรับเหตุการณ์วันนี้ก็มี ก็ลืมถือเอามา มี คุณนิรัตน์ เป็นหัวหน้าได้บอกบุญกับบรรดาท่านพุทธบริษัท ซื้อเครื่องตรวจหัวใจ เรื่องนี้ขอทิ้งไว้ก่อน เพราะว่าลืมถือตำรามา ถ้าขืนพูดไปมันก็จะผิด ก็เป็นอันว่า มาคุยเรื่องที่ค้างกันก่อน
    ในวันก่อนมาพูดทิ้งไว้ถึงเรื่องภายในวัด ทีนี้เรื่องภายในวัดความจริงมีมาก การปฏิบัติตนในวัดเป็นแบบธรรมดา ๆ ไม่มีอะไรพิเศษ คือว่า ไม่ใช่ใช้เวลาไปนั่งสมาธิให้ใครเห็น การทำสมาธิก็เป็นเวลา แต่การใช้อารมณ์วิปัสสนา ใช้เป็นปกติ แต่คำว่า ปกติ จะถือว่า เป็นผู้ชนะกิเลส ไม่ได้ คือบางครั้งจิตมันก็เห็นความสวยเป็นของดี บางครั้งจิตมันก็เห็นความโกรธเป็นของดี นี่ใช้ไม่ได้ ก็เป็นอันว่า การปฏิบัติในวัดถือว่าเป็นสภาพปกติธรรมดา ๆ ไม่ผิดแผก กลับมาในวัดก็ห่มผ้าสีเหลืองตามเดิม ไม่ห่มผ้าสีกรัก เพราะผ้าสีกรักจริง ๆ เขานิยมกันเฉพาะออกธุดงค์ เพราะเวลาไปธุดงค์ห่มผ้าสีเหลือง ถ้าสีเหลืองตก มันก็เป็นสีขาว และต่อมามันก็เป็นสีฝุ่น เพราะฝุ่นจับ ก็ไม่เกิดประโยชน์ต้องใช้ผ้าสีกรัก
    แต่ว่าเวลานี้รู้สึกจะเปลี่ยนตาลปัตรไป เวลาที่พูดนี่นะ โดยมากเห็นพระท่านนิยมห่มผ้าสีกรัก ก็เลยกลายเป็นคิดว่า พระทุกองค์เจริญสมถวิปัสสนา แต่ว่าเนื้อจริง ๆ มันไม่ใช่ รวมความว่า ไม่ถือว่าใครผิด ไม่ถือว่าใครถูก ถ้าจะว่าคนห่มผ้าสีเหลืองผิดคนห่มผ้าสีกรักก็ผิด ถ้าจะว่าคนห่มผ้าสีเหลืองถูก คนห่มผ้าสีกรักก็ถูก ก็ให้มันเหมือนกันเสียก็หมดเรื่อง ทำใจให้เหมือนกัน สีไม่เป็นเรื่องสำคัญ สีผ้าไม่สำคัญเท่าสีใจ ถ้าสีใจของใครใสเป็นเพชรนั่นแหละดีที่สุด เป็นเพชรน้ำหนึ่งที่ไม่มีรอยขีด ไม่มีรอยข่วน ไม่มีตำหนิติเตียน ไม่มีอะไรทั้งหมด สีใจนี่สำคัญ
    ทีนี้ต่อไปก็จะขอคุยกันว่า พระที่มีสีใจสะอาดมีท่านหนึ่งคือ หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน เวลานี้เขาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดอะไรก็ไม่ทราบ สมัยนั้นเรียก วัดคลองมะดัน อยู่ปลายเขตอำเภอสองพี่น้องขึ้นไป ใกล้สระยายโสม หลวงพ่อปานท่านเวลาออกพรรษาไปแล้วรับกฐินแล้ว ท่านก็ชวนพระ และญาติโยมพุทธบริษัทจากกรุงเทพฯ มีเรือยนต์ นายละไม เป็นเรือลาก เดินทางเข้าผ่านประตูน้ำบางยี่หน ออกจากประตูน้ำบางยี่หนแล้ว ก็วิ่งไปทางบางใหญ่ เลยบางใหญ่ไปแล้วเรือก็วิ่งลัดทุ่ง คราวนี้ไม่เข้าประตูน้ำสองพี่น้อง วิ่งลัดไปในทุ่งจำทางไม่ได้หรอก ไปเที่ยวเดียว แต่ว่าทางเรือเขาก็เก่ง เขาพาไปถึงวัดคลองมะดันก็เป็นตอนเย็น
    เมื่อถึงเวลาตอนเย็นก็ปรากฏว่า หลวงพ่อโหน่งท่านเดินลงมารับหลวงพ่อปานที่หน้าสะพาน ต่างองค์ต่างนมัสการ ต่างองค์ต่างไหว้ ต่างองค์ต่างกราบกัน รู้สึกว่า ท่านดีกันเหลือเกิน พวกเราก็กราบญาติโยมทุกคนไปก็กราบ แล้วท่านก็พาไปพักที่หอพักสวดมนต์ของท่าน ซึ่งใหญ่พอสมควร ขณะที่นั่งพักอยู่ หลวงพ่อปานก็โอภาปราศรัยคุยกันตามธรรมดา ๆ บรรดาญาติโยมท่านก็ทักคนโน้นบ้าง ทักคนนี้บ้างตามสมควร
    เมื่อได้เวลาผ่านไปประมาณ ๑ ชั่วโมง หลวงพ่อปานก็ขอฝากบอกว่า ผมขอฝากพระ ๓ องค์นี่ด้วยครับ ถ้ามีอะไรจะต้องตักเตือนโปรดตักเตือนด้วย ถ้าเห็นว่ามีอะไรบกพร่อง ก็สอนได้เลยครับ ผมขอถวายเป็นลูกศิษย์ พวกคณะเราทั้ง ๓ คน ก็เข้าไปกราบท่าน หลวงพ่อโหน่งท่านมองหน้า แล้วท่านก็บอกว่า จะให้สอนอะไร เลยกราบเรียนท่านบอกว่า สุดแล้วแต่หลวงพ่อจะเห็นสมควรครับ ท่านถามว่า บกพร่องตรงไหน ก็กราบเรียนตรง ๆ บอกว่า กิเลสทั้งหมด บกพร่องทั้งหมดครับ
    ท่านยิ้ม ท่านบอก ไม่จริงหรอก ก็มีคุณ ๓ องค์นี่เท่านี้แหละ ที่มารายงานตัวผมว่า คุณเลว มีนักปฏิบัติมากมายเยอะแยะที่เขาฝึกจากผมบ้าง เขาฝึกจากอาจารย์ปานบ้าง เขาฝึกจากคนอื่นบ้าง เขามาถึง เขาก็บอกว่า เขาเป็นคนดีหมด ตั้งแต่ผมเกิดมานี่ เพิ่งเห็นลูกศิษย์อาจารย์ปาน ๓ องค์นี่เท่านั้นแหละ ว่าเป็นคนเลว แล้วหลวงพ่อปานก็ถามว่า แล้วพวกเธอเลวหรือไม่เลวล่ะ หลวงพ่อเนียม ก็บอกว่า เดี๋ยวซักซ้อมกันก่อนสิ ได้ยินว่า เลวหรือไม่เลว คำว่า เลว อาจจะมี คำว่า ดี อาจจะมีความชั่ว อาจจะมีความดีอาจจะปรากฏ แต่เจ้าตัวเองยังไม่ทราบคำว่า ดี หรือไม่ทราบคำว่า เลว ที่แท้จริงอาจจะมีความสงสัยอยู่บ้าง หรืออาจจะรู้แต่ว่าแกล้งบอกว่า เลว
    ก็เลยกราบเรียนท่านบอกว่า ขึ้นชื่อว่าความดีจริง ๆ ยังมีไม่ถึงขอรับ ท่านถามว่า ความดีจริง ๆ มีไม่ถึง เธอมีความหมายว่าอย่างไร ก็กราบเรียนท่านบอกว่า อจิรํ วต ยํ กาโย ปฐวิ อธิเสสสติ ฉุฑโฑ อเปตวิญญาโน นิรตถํ ว กลิงครํ ข้อนี้ยังไม่ครบถ้วนขอรับ ท่านหัวเราะใหญ่ ชอบใจ เออ...นี่เป็นคาถาที่พระท่านสอนที่ใกล้ ๆ กับดอนเจดีย์ใช่ไหม พวกเราฟังกันแล้วก็มองหน้ากัน ท่านบอกไม่ต้องบอกหน้ากัน มีพระ ๒ องค์ใช่ไหมล่ะ ก่อนที่จะกลับน่ะ ท่านไปสอนว่า อจิรํ วต กาโยฯ กับ อนิจจา วต สงขาราฯ ถามว่า หลวงพ่อทราบหรือครับ ท่านก็บอกว่า พระท่านเพิ่งบอกฉันเดี๋ยวนี้เอง ท่านบอกว่า ท่านสอนว่า อจิรํ วต ยํ กาโยฯ กับ อนิจจา วต สงขารา <o:p></o:p>
    แต่ว่าพวกเธอทั้ง ๓ คน ก็ยังบกพร่องอยู่มาก อันนี้ถูกต้อง เธอคิดถูก แต่ทว่าคิดไกลเกินไป เอาย่างนี้ดีกว่า ลองถามกันจริง ๆ เถอะ ที่ชาวบ้านเขาว่า ดี หรือไม่ดี ทิ้งเขา ปล่อยของเขา เวลานี้เธอเจอะพระไหม ก็ตอบท่านบอกว่า เจอะพระทุกเวลาขอรับ ถ้ามีอะไรขัดข้อง ถามพระได้ไหม บอก ถามได้ขอรับ แล้วพระตอบให้ฟังรู้เรื่องไหม ก็บอกว่า รู้เรื่องขอรับ พระแนะนำอย่างไร แนะนำแล้วทำตามหรือเปล่า บอก ทำตามขอรับ ท่านถามว่า ถ้าอย่างนี้ทำไมจึงถือว่า เลว ก็กราบเรียนท่านบอกว่า มันยังดีไม่พอ เท่าที่พระท่านสอนนี่ขอรับ ท่านสอนทำอย่างนี้ก็ทำ แต่ผลทางด้านจิตใจมันดีไม่พอ ท่านก็ยอมรับว่าจริง
    ท่านก็หันไปหาสององค์ว่า สององค์นี่เดินทางกันคนละทางกับองค์นี้ใช่ไหม สององค์มองหน้ากันแล้วนิ่ง ท่านบอกว่า เธอสององค์ปรารถนาสาวกภูมิใช่ไหม สององค์ก็ตอบว่า ใช่ ท่านถามว่าเวลานี้สังโยชน์ ๓ มีการคล่องตัวไหม ทั้งสององค์ตอบว่า ไม่มีอุปสรรคขอรับ ท่านก็เลยหันมาทางผู้พูดว่า เธอปรารถนาพุทธภูมิ ก็ทำอารมณ์เปรียบเทียบเข้าไปก็แล้วกัน ท่านก็เลยบอกว่าการพบพระก็ดี พบเทวดา พบพรหมก็ดี พบได้เสมอใช่ไหม หลวงพ่อปานก็บอกว่า เขาชอบปฏิปทาของพระโมคคัลลาน์ กับพระมาลัย ขอรับ ปกติเขาชอบเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้วตอนเช้าก็มาซักซ้อมกับผมว่า ถูกต้องไหม หลวงพ่อโหน่ง ก็บอกว่า เอ้อ นี่ดีมาก ๆ อย่างนี้ดีมาก อย่าเชื่อตัวเอง ต้องมีการซักซ้อม หาเหตุหาผลเพราะการเชื่อตัวเองเกินไปมันจะเป็นอุปาทาน
    ก็รวมความว่า คุยกับหลวงพ่อโหน่งถึงตอนนี้ ท่านก็บอกว่าเอาละ ที่เข้าใจว่าตัวเองยังไม่ดีน่ะ ถูกต้อง แต่ฉันก็คิดว่า ยังดีกว่าคนที่เขาว่าดีตั้งเยอะแยะ ตั้งหลายคน เพราะคนหลายคนที่เขามาหาฉัน เพียงเขามาภาวนาว่า พุทโธ ได้นิดหน่อย เขาบอกเขาดีแล้ว บางคนก็นึกถึงวิปัสสนาญาณตัวเล็กน้อย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขาบอกเขาดีแล้ว แต่ความจริง นั่นเขาก็ดี
    การภาวนา นึกว่า พุทโธ ถ้าเขายึดไว้ได้ อย่างต่ำก็ไปสวรรค์ได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เป็นวิสัยแห่ง อรหัตมรรค อรหัตผล ได้ คือ เป็นพื้นฐานขึ้นไป แต่มันยังไม่ถึง ก็เป็นอันว่า คุยกับหลวงพ่อโหน่ง แล้วหลวงพ่อปานก็ฝากท่านว่า ในกาลต่อไป ถ้าผมไม่มีโอกาส ไม่พามาหา แต่ก็จะส่งมาฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อขอรับ หลวงพ่อโหน่งก็บอกว่า เอ้า เต็มใจมาเมื่อไรได้เลย แล้วฉันจะสอนให้ตามที่ต้องการนะ การบรรลุมรรคบรรลุผล ใครสัญญากันไม่ได้
    ทีนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ประวัติความเป็นมาของหลวงพ่อโหน่ง ความจริง หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน ก็เขียนไว้แล้ว แต่เล่มนี้ควรจะพูดไว้สักหน่อยหนึ่ง ความเป็นมาจริง ๆ ของหลวงพ่อโหน่ง เป็นพระที่ไม่เคยศึกษาธรรมวินัยมาก่อน ฟังแล้วก็อย่าตกใจว่า ไม่รู้อะไรเลยนะ เดี๋ยว
     

แชร์หน้านี้

Loading...