หลักการและเทคนิคในการปฎิบัติให้ได้ผลรวดเร็วมากที่สุด(การดูจิต)

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ดับกิเลสทั้ง5, 3 กันยายน 2010.

  1. ดับกิเลสทั้ง5

    ดับกิเลสทั้ง5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +238


    1. อย่าไปคิดเรื่องอดีตที่ผ่านมา และเรื่องอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ให้ใช้กายผูกจิต สติอยู่กับปัจจุบันกำกับจิตไว้ตลอดเวลา ให้จิตอยู่กับอิริยาบถ 4 อย่าง คือ ไม่ว่า จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ถ้าทำได้อย่างนี้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ว่า “จิตของผู้นั้นไม่ห่างจาก มรรค ผล นิพพาน”

    2. ให้ใช้สัจธรรมในการดำเนินชีวิต สัจธรรม คือ ความจริงในธรรมชาติ มีเหตุ ย่อมมีผล เหมือนกับวิทยาศาสตร์ ให้ใช้เหตุผลในการดำเนินชีวิต มีแค่ไหนได้แค่นั้น อยู่อย่างพอเพียง อย่างสมถะ ตามสมควรแก่ฐานะ ให้เอาตนเองเป็นที่ตั้ง ดังคำที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้คือ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

    3. ถ้าทำได้อย่างที่กล่าวมาแล้ว จะสังเกตได้ว่า จิตจะเริ่มหยุดคิดเรื่องอดีต และเรื่องอนาคต โดยมีสติเป็นตัวเบรกจิต จิตจะรวมในกาย อยู่กับปัจจุบันตลอดเวลา ทำให้ง่ายต่อการเจริญ วิปัสสนากรรมฐาน

    4. เมื่อจิตไม่คิดเรื่องอดีต และเรื่อง อนาคตแล้ว เราก็เริ่ม วิปัสสนากรรมฐานได้แล้ว เพื่อถ่ายถอนอำนาจของกิเลสตัณหาออกไป จากจิตใจทีละเล็กละน้อย แล้วแต่บุญบารมีของใครของมัน ถ้าตั้งใจทำจริงๆอย่างเร็วไม่น่าเกิน 7 วัน ถ้าไม่ตั้งใจจริงทั้งชาติก็ไม่ได้

    5. เริ่มวิปัสสนากรรมฐาน โดยจะทำที่ไหนก็ได้ เวลาใดก็ได้ เพราะการทำวิปัสสนากรรมฐาน กระทำอยู่ที่จิตใจ ไม่ใช่ที่อย่างอื่น จะทำที่บ้านก็ได้ ที่ทำงานก็ได้ ที่วัดก็ได้ ถ้าตั้งใจจริงแล้วได้ผลเหมือนกัน

    6. พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ให้เห็น 4 อย่างคือ (1) มีจิตใคร่ครวญถึงมรณัสสติกรรมฐาน การพิจารณาถึงความตาย หรือที่เรียกว่า มรณานุสติ (2) มีจิตใคร่ครวญถึงอสุภกรรมฐาน คือ การพิจารณาร่างกายของตัวเองว่าประกอบด้วยสิ่งของไม่สวยไม่งาม (3) มีจิตใคร่ครวญถึงกายคตานุสสติกรรมฐาน ว่าอันที่จริงร่างกายของคนเราล้วนประกอบขึ้น จากธาตุ 4 (4) มีจิตใคร่ครวญถึงธาตุกรรมฐาน สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดจากธาตุ4

    7. ถ้าทำได้อย่างนี้รับรองว่า มรรค ผล นิพพาน ไม่ห่างจากจิตใจของผู้นั้นแน่นอน ถ้ายังไม่ได้ก็อย่าไปท้อใจขอให้ทำไปเรื่อยๆ ให้ติดเป็นนิสัย ไว้ทำต่อไปในชาติต่อไป

    8. ขอให้ทุกคนเชื่อว่า สิ่งที่ พระพุทธเจ้าสอนมีจริงแน่นอน เมื่อใดที่จิตใจของคนเราปราศจากกิเลสตัณหาแล้ว สิ่งอัศจรรย์จะเกิดขึ้นทันที คือ มรรค ผล นิพพาน เป็น อกาลิโก คือให้ผลเหมือนกันไม่ว่าเวลาจะผ่านไปสักเท่าไรก็ตาม จงขอให้ผู้มีปัญญาทั้งหลายได้พิจารณา แล้วจะประจักษ์แก่ใจท่านเอง

    9. มรรค ผล นิพพาน ไม่ต้องไปมองหาที่ไหนเลย แต่มีพร้อมแล้วที่ “กว้างศอก ยาววา หนาคืบ”นี่เองคือที่ในร่างกายของคนเรานี่เอง เป็นที่สิงสถิตของจิตใจ เมื่อใดที่จิตใจปราศจากซึ่งกิเลสตัณหาแล้ว มรรค ผล นิพพาน จะเกิดขึ้นที่จิตใจอย่างแน่นอน

    ข้อมูลเพิ่มเติม

    Untitled Document

    ขอให้เจริญในธรรม เจริญพร
     
  2. paul1234

    paul1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2009
    โพสต์:
    392
    ค่าพลัง:
    +634
    6. พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ให้เห็น 4 อย่างคือ (1) มีจิตใคร่ครวญถึงมรณัสสติกรรมฐาน การพิจารณาถึงความตาย หรือที่เรียกว่า มรณานุสติ (2) มีจิตใคร่ครวญถึงอสุภกรรมฐาน คือ การพิจารณาร่างกายของตัวเองว่าประกอบด้วยสิ่งของไม่สวยไม่งาม (3) มีจิตใคร่ครวญถึงกายคตานุสสติกรรมฐาน ว่าอันที่จริงร่างกายของคนเราล้วนประกอบขึ้น จากธาตุ 4 (4) มีจิตใคร่ครวญถึงธาตุกรรมฐาน สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดจากธาตุ4

    ขอทราบรายละเอียด การพิจารณา โดยเฉพาะ
    (3) มีจิตใคร่ครวญถึงกายคตานุสสติกรรมฐาน ว่าอันที่จริงร่างกายของคนเราล้วนประกอบขึ้น จากธาตุ 4
    (4) มีจิตใคร่ครวญถึงธาตุกรรมฐาน สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดจากธาตุ4

    ส่งทางPM นะครับจะเป็น หนังสือ หรือ MP3ก็ได้

    อนุโมทนา...สาธุ
     
  3. ดับกิเลสทั้ง5

    ดับกิเลสทั้ง5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +238
    วิธีเพ่งอสุภะกรรมฐาน(น่าเกลียด น่าขยะแขยง)
    ให้น้อมเอาภาพ อวัยวะภายใน โครงกระดูก แล้วให้กำหนดว่า น่าเกลียดน่าขยะแขยง แล้วนึกเอาว่านี่หรือตัวเราอันภายในก็เป็นอย่างนี้มีแต่อสุภะ น่าเกลียด น่าขยะแขยง อันที่จริงแล้วเราก็ไม่ได้สร้างเขาขึ้นมาแต่เขาเกิดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ ซึ่งเราก็ไม่ได้สร้างเขาขึ้นมา แต่เขาเกิดมาเองเกิดจากบุญ กรรม ที่เคยทำมา แล้วเขาก็ให้เรายืมใช้แค่นั้นเอง เมื่อเขาอยากอยู่เขาก็อยู่เมื่อเขาอยากไปเขาก็ไป

    ไม่สามารถจะไปบังคับเขาได้ ล้วนเกิดจากธาตุ4 ธาตุ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประกอบเป็นตัวธาตุขึ้นมา จะเรียกว่าคน ก็ชื่อสมมุติที่เขาตั้งขึ้นมาเท่านั้น แท้จริงคือธาตุของธรรมชาติ เพราะมีหนังบางๆมาปิดไว้ทำให้เราหลงไปกับการสมมุติต่างของคนนี่เอง ทำเรานึกไปเองว่าเป็นเราเป็นเขา ทั้งที่จริง ไม่มีเขา ไม่มีเรา มีแต่ตัวธาตุทั้งนั้น ให้คิดอย่างนี้จะทำให้เกิดปัญญา ของคนอื่นก็เหมือนกัน แล้วไอ้ที่เรานึกหลงไปเองก็เพียงมองแค่ภายนอกคือที่ หนังบางๆนี่เองที่ปิดบังไว้ มาหลอกลวงจิตเราให้ลุ่มหลงไปกับอารมณ์ต่างๆมาช้านาน ทำให้จิตปรุงแต่งไป เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ เมื่อพิจารณาทุกวันจิตจะคลายกำหนัดจากอารมณ์ต่างๆได้

    ให้พิจารณาบ่อยๆซ้ำๆจะทำให้เกิดปัญญา ทำลาย กิเลสตัณหาได้ แล้วน้อมเอามาใส่ตัวเองแล้ว สังเกตุจิตว่ามีลักษณะเหมือนแผ่นดินใหม คือจิตนิ่งเหมือนแผ่นดินไหม ไม่ยินดียินร้ายกับอารมณ์ต่างๆ คืออุเบกขานั้นแล ถ้าจิตเริ่มนิ่งแล้วไม่ยินดียินร้ายกับอารมณ์ต่างๆแล้วแสดงว่าได้ผล ให้พิจารณาควบคู่กับ มรณานุสติกรรมฐาน จะได้ผลดี แล้วก็พิจารณาคู่กับ
    กายคตานุสติกรรมฐาน ด้วยจะได้ผลยิ่งขึ้นไปอีก แล้วก็พิจารณา ธาตุกรรมฐาน ด้วยจะได้บารมีสูงสุด ทีนี้แล้วก็ลองมาสังเกตุ อาตายนะ6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ว่ามันทำงานกันยังไงทำมันมันปรุงแต่ง ให้จิตเป็นทุกข์กับกิเลสตัณหาได้

    นี่แหละทีนี้เราก็เริ่มมาจับตัวกิเลสตัณหาให้ได้ จะพบว่ากิเลสตัณหามันทำงานอยู่ติดกับจิตของเราเลย คือเมื่อจิตเราสั่งหาสุข ผ่านทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย กิเลสตัณาก็หาทุกข์ให้จิตทันทีฉันนั้น เอที่นี้มันก็เกิดคำถามขึ้นว่าเราจะทำไงดีจึงจะสลัดจิตกับตัณหาให้ออกจากกันได้ วิธีก็คือไม่ต้องไปเอามันออกจากกัน เพราะมันอยู่ติดกัน แต่ให้ยกจิตให้กับตัณหาเลย แม้แต่จิตเราก็ไม่เอาแล้ว ทีนี้แหละเมื่อเรายกจิตของเราให้กับตัณหาแล้ว เราก็ไม่ต้องไปวางทุกข์เลย คือทุกข์มันจะหายไปเองโดยอัตโนมัติเลย นี่แหละคืออุบายที่จะสลัดกิเลสตัณหาออกจากจิตใจของคนเรา

    เมื่อเราทำตามนี้แล้วลองสังเกตุดูจิตตัวเองดีขึ้นใหม ถ้าจิตดีขึ้นแสดงว่าได้ผลแล้ว ถ้าไม่ดีขึ้นแสดงว่ามีกิเลสตัณหา หนามาก ก็ต้องสู้กับกิเลสตัณหามากฉันนั้น ถ้าจิตใจไม่แข้มแข็ง และอดทนด้วยแล้ว จะไม่สามารถสู้กับกิเลสตัณหาได้ง่ายๆเลย สุดท้ายนี้ขอให้ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ลองพิจารณาดูเถิด ว่าปฏิบัติตามแล้วเกิดผลจริงหรือไม่ บาป บุญ ดี ชั่ว ก็อยู่ที่ตัวเราเองทั้งนั้นแหละ ของอย่างนี้ทำแทนกันไม่ได้ อยากได้ต้องทำเอาเอง ร่างกายเราเปรียบดังบ้านของตัวเอง ที่มีดวงจิตอาศัยอยู่ เราต้องมุงเรือนของตัวให้ดี เพื่อไม่ให้ฝนรั่วได้ฉันใด เปรียบเหมือนบุคคลคอยฝึกดูจิตตัวเองให้ปราศจาก ราคะ กิเลสตัณหา ฉันนั้น

    สุดท้ายนี้ขอให้ทุกท่าน เร่งทำความเพียร เพื่อ เพื่อความสงบ เพื่อความดับ เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความรู้ยิ่ง สุดท้ายนี้ ท่านปรารถนาพ้นจากความทุกข์ จงสมปรารถนาเถิด
     
  4. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,275
    ค่าพลัง:
    +82,733
    พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ให้เห็น 4 อย่างคือ
    (1) มีจิตใคร่ครวญถึงมรณัสสติกรรมฐาน การพิจารณาถึงความตาย หรือที่เรียกว่า มรณานุสติ
    (2) มีจิตใคร่ครวญถึงอสุภกรรมฐาน คือ การพิจารณาร่างกายของตัวเองว่าประกอบด้วยสิ่งของไม่สวยไม่งาม
    (3) มีจิตใคร่ครวญถึงกายคตานุสสติกรรมฐาน ว่าอันที่จริงร่างกายของคนเราล้วนประกอบขึ้น จากธาตุ 4
    (4) มีจิตใคร่ครวญถึงธาตุกรรมฐาน สรรพสิ่งทั้งหลายเกิดจากธาตุ4

    กราบอนุโมทนาค่ะ


     
  5. Mhor Maow

    Mhor Maow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2010
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +836
    ศีลหนุนจิตใจให้สงบ สมาธิหนุนปัญญาให้เดินคล่องตัว ปัญญาเป็นเครื่องซักฟอกจิตให้พ้นจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ
    ^
    ^
    ^
    นี่ก็ขาดไม่ได้เหมือนกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...