หูทิพย์ - ตาทิพย์ (หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ)

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 30 กันยายน 2010.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    [​IMG]
    [SIZE=-1]


    การฟังธรรมะ ณ วันนี้ ที่ผมจะได้นำธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเล่าสู่ฟัง ตามสมควรแก่เวลา เรื่องที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันอยู่มานานแล้ว บางคนอาจเข้าใจ บางคนอาจไม่เข้าใจ เพราะสติปัญญาของคนนั้น มันตื้นลึกและหนาบางไม่เหมือนกัน ท่าน--พระพุทธเจ้าจึงได้เปรียบเอาไว้ คนทุกคนเกิดมาแล้ว ก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน

    ท่านอุปมาว่า เหมือน กับดอกบัว บัวสี่เหล่า เหล่าหนึ่งนั้นก็พ้นน้ำมามากแล้ว คอยแสงพระอาทิตย์โผล่ออกมา ก็บานได้ทันที เหล่าที่สองก็พ้นน้ำขึ้นมา กำลังตั้งซ้อ (ช่อ) หรือตั้งกะสร (เกสร) เตรียมตัวจะบานได้อยู่เหมือนกัน แต่แสงพระอาทิตย์หรือแสงตะเว็น ออกมาหลายมื้อหลายวัน ก็สามารถบานได้เหมือนกันกับดอกที่หนึ่ง

    ดอกที่สาม กำลังเจือน้ำ หรือปนน้ำอยู่ หรืออยู่ในน้ำ แต่พ้นน้ำขึ้นเพียงเล็กน้อย เมื่อแสงพระอาทิตย์หรือแสงตะเว็นออกมามาก น้ำก็ลดลงไป ดอกบัวดอกนี้ก็สามารถที่จะบานได้เหมือนกัน เหล่าที่สี่นั้น ยังจมอยู่ในตมหรืออยู่ในน้ำ ยังเป็นอาหารของสัตว์ ปู ปลา เต่า ที่กำลังเสาะแสวงหาเป็นอาหารนั้น สามารถที่จะบานได้ หรือบางทีไม่สามารถที่จะบานได้ เพราะยังเป็นอาหารของสัตว์อื่นอยู่ ปัญญาของพวกคนเราทั้งหลาย ก็เหมือนกัน


    ดังนั้น ที่เรามา ณ สถานที่นี่ เรียกว่า มาเจริญสติ มาเจริญสมาธิ หรือมาเจริญปัญญา คำว่าเจริญก็แปลว่า ทำให้มาก หรือทำให้ก้าวหน้านั่นเอง พวกเรามาที่นี่ เรียกว่า คนถูกคัดเลือกกลั่นกรองมาแล้ว จึงมาได้ เมื่อไม่มีศรัทธาจริงๆ ก็มาไม่ได้ ที่เรามา ณ สถานที่นี้ ก็เรียกว่าเรามีศรัทธา หรือมีความสามารถจะมาประพฤติปฏิบัติ

    พระพุทธเจ้านั้น ท่านมีญาณ สามารถมองเห็นอะไรได้ต่างๆ คือ เข้าฌานเรียกว่า ญาณ นั่นเอง

    ดังนั้น เราก็ต้องมีญาณเหมือนกัน หรือเข้าฌานเหมือนกันกับอย่างพระพุทธเจ้า
    แต่เมื่อไม่เหมือนหรือไม่.....เหมือนก็ให้คล้ายคือกัน ให้ได้เล็กๆ น้อยๆ ตามสมควรแก่เวลาที่มาในที่นี่

    คำว่าญาณ ก็แปลว่า รู้ รู้แจ้ง เห็นจริง เข้าใจจริง เรียกว่า ญาณ แต่ คนส่วนมาก...(คิดว่า) ไม่มีหูทิพย์ ไม่มีตาทิพย์ เหมือนกันกับพระพุทธเจ้า ญาณก็เรียกว่า เหาะ แน่ะ เข้า ก็เรียกว่าเข้าไปนั่งหลับตา หรือนั่งอยู่ในถ้ำ นั่งแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น อันนั้นก็จริง จริงอยู่กับบุคคลผู้ที่ยังไม่มีหูทิพย์ ยังไม่มีตาทิพย์ หรือยังไม่มีญาณอย่างพระพุทธเจ้า นั่นเอง

    เมื่อคนใดมีหูทิพย์ มีตาทิพย์ และมีญาณเหมือนกันกับพระพุทธเจ้า ก็ต้องรู้ว่า คำ ว่า เข้า-เข้าฌาน หรือญาณ นั้นก็แปลว่า เข้าไปคือมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา เจาะเข้าไปที่ตัวชีวิตจิตใจ เรียกว่า เข้า ญาณก็แปลว่า เห็น เมื่อเห็น เมื่อรู้ เมื่อเข้าใจอยู่อย่างนั้น เรียกว่า ฌาน คลุกคลีอยู่กับสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่จะไปนั่งแข็งทื่อ เข้าไปนั่งอยู่อย่างที่คนไม่มีหูทิพย์ ไม่มีตาทิพย์นั้น

    หูทิพย์ ก็หมายถึง ฟังคำพูดหรือคำสอนของพระพุทธเจ้า เกิดสติปัญญา สามารถมองเห็นได้ เรียกว่า หูทิพย์
    ตา ทิพย์ คือเห็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ฟังแล้วเข้าใจ อย่างที่ว่าเข้าฌานเนี่ยะ เข้า ก็แปลว่าเข้ามาทำธุระ ทำกิจ หน้าที่ของตัวเอง จะไปไหนมาไหน ก็เข้าฌานได้ ทำการทำงาน ก็เข้าฌานได้ ฌานก็แปลว่ารู้

    วิญญาณ แปลว่ารู้ คือรู้นั่นเอง ทำการทำงานก็รู้ รู้การรู้งาน เรียกว่า เข้าฌาน ถ้าหากเราเข้าใจอย่างนี้เหมือนกันกับพระพุทธเจ้าแล้ว ทำการทำงานอะไรก็เข้าฌานทำทั้งนั้น หรือคลุกคลีอยู่กับสิ่งเหล่านั้น มองเห็นสิ่งเหล่านั้น ไม่ให้มีความหลงผิดเกิดขึ้นภายในจิตใจ อันนี้ เรียกว่า เข้าฌาน คือ เข้าไปตั้ง ตั้งกายให้ตรง ปลงสติให้มั่น ตั้งสติให้มั่น ท่านสอน คือตั้งกายตรง ปลงจิตไว้ หรือให้มีสติมั่นคง เห็นอยู่ รู้อยู่ เข้าใจอยู่ อันนี้เรียกว่า เราได้เห็น ได้รู้ ได้เข้าใจ ได้ประพฤติปฏิบัติตามแบบฉบับ หรือของพระพุทธเจ้านั่นเอง

    คำว่า ฌาน ก็หมายถึงคลุกคลี คลุกคลีอยู่กับอะไร คลุกคลีอยู่กับตัวสติ ตัวสมาธิ ตัวปัญญา มองเห็นความหลงผิด มองเห็นความโลภ มองเห็นความโกรธ ความหลงผิด ความโกรธ ความโลภนี้ มันเป็นพญามาร มันเป็นโจร มันคอยแย่งชิงเอาบัลลังก์ หรือเอาสถานที่ที่ตั้งของสติ เราไม่ยอมให้มันเข้ามาได้อย่างนี้ เรียกว่า เราเห็น เรารู้ เราเข้าใจ เรามีหูทิพย์ มีตาทิพย์ มีญาณ

    อันนี้ เรียกว่าเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า หรือเป็นวิสัยของพระสาวกของพระพุทธเจ้า อย่างน้อยที่สุดก็เรียกว่า ได้ดวงตาเห็นธรรม คือได้กระแสพระนิพพาน นั่นเอง


    [/SIZE]<center>[SIZE=-1][​IMG]


    [/SIZE][SIZE=-1]นิพพานในที่นี่ ไม่ได้หมายถึงว่าตายแล้ว จึงจะเอา แต่คนผู้ไม่มีหูทิพย์ ไม่มีตาทิพย์ ก็ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล อะไรๆ ทั้งหมดนั่นแหละ เรียกว่า ตายแล้วจึงเอาสวรรค์ ตายแล้วจึงเอานิพพาน อันนั้นเข้าใจน้อย ยังไม่มีหูทิพย์ ยังไม่มีตาทิพย์ เป็นการคาดฝัน นึกเดาเอาเอง

    ถ้าคนมีหูทิพย์ มีตาทิพย์ ทำบุญวันนี้ ต้องรู้จักว่า บุญวันนี้ ให้ทานวันนี้ ก็ต้องรู้จักว่า บุญ-ทานวันนี้ รักษาศีลวันนี้ ก็ต้องรู้จักว่า ศีลวันนี้ เจริญสมถะกรรมฐานหรือเจริญวิปัสสนาวันนี้ ก็ต้องรู้จักวันนี้ ไม่ต้องรอคอยต่อเมื่อตาย หรือหลังจากการตายแล้ว จึงจะไปสวรรค์ ไปนิพพาน ไม่ต้องรอคอยอย่างนั้น เราต้องเอาในขณะนี้ ที่กำลังทำ กำลังพูด กำลังคิดอยู่ที่นี่

    พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า อดีต อนาคต นั้น ยังไม่ต้องคำนึงคำนวณ ต้องคำนึงคำนวณแต่เฉพาะที่กำลังมีอยู่ เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ท่านสอนอย่างนี้

    ดังนั้น สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ พระนิพพานก็อยู่ที่ใจ นี่ คนโบราณท่านสอนเอาไว้อย่างนั้น

    เดี๋ยว นี้เราไปฟังเอาตั้งแต่คำของคนโบราณ เราไม่ได้หาด้วยฝีไม้ลายมือของเรา เราก็เลยไม่มีดี เมื่อเราไม่มีดีแล้ว จะเอาอะไรมาพูด-ไม่ได้ เราก็พูดกับตำรับตำราไปอย่างนั้นแหละ เพราะทรงจำมาจากคำพูดของคนอื่น ไม่ได้เกิดมาจากจิตจากใจของเรา จึงไม่สามารถ ไม่รับรองคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อไม่สามารถ ไม่รับรองคำสอนของพระพุทธเจ้า จะถือว่าเราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้มั้ย จะถือว่าเราเป็นชาวพุทธได้มั้ย แต่เป็นได้เพราะสำมะโนครัวพูดเท่านั้น แต่ตัวจริงแล้ว ไม่-ไม่อย่างนั้น คนที่ถือศาสนาพุทธ หรือเชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ แล้ว ต้องสามารถรับรองคำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ

    เราเคยพูดกันบ่อยๆ ว่า เมื่อมีความจำเป็น เจ็บไข้ได้ป่วย เจ็บหัวปวดท้อง ว่า เสียสละทรัพย์ เพราะรักษาอวัยวะ นี่ เพราะเราไม่ต้องการอยากให้มีความเจ็บไข้ได้ป่วย เรามีทรัพย์สมบัติมาแล้ว หรือมีเงินมีทองมาแล้ว ต้องไปจ้างหมอ เมื่อหมอมาตรวจดูสภาพร่างกายของเรา สิ่งนั้นไม่ดี สิ่งนั้นมันไม่ดี มันเป็นเนื้อร้าย ต้องตัดทิ้ง ถ้าไม่ตัดทิ้งแล้ว เราจะตาย เราต้องเชื่อฟังคำหมอ ต้องยอมเสียสละเนื้อร้ายออกไปได้ ให้หมอตัดออกไปได้ เนื้อร้ายที่มันไม่เป็นตะเอา มันจะนำพิษหรือนำอันตรายมาสู่ชีวิตของเรา เราต้องตัดทิ้ง เพราะเราฟังคำหมอ บัดนี้ หมอพูดว่า ตัดทิ้งได้อย่างนั้นล่ะ

    บัดนี้ เสียสละทรัพย์ เพราะรักษาร่างกาย อวัยวะของเราไว้ได้ ยอมเสียสละอวัยวะร่างกายของเรา เพราะเรารักษาชีวิต ชีวิตเราก็อยู่ได้บัดนี้

    บัดนี้ ยอมเสียสละแม้กระทั่งชีวิต เพราะรักษาสัจจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะตายก็จำเป็น ขอให้คำสอนของพระพุทธเจ้าน่ะแหละ กลับคืนเข้ามาสู่จิตใจของคน อันนี้ เรียกว่า เราเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า หรือเป็นชาวพุทธจริงๆ จึงจะเป็นผู้เสียสละ กล้ายืนยันรับรองคำสอนของพระพุทธเจ้าจริง ๆ

    เมื่อเรากล้าจริงๆ อย่างนั้น เราต้องสามารถพูดได้อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ไปแล้วว่า เสมือนว่า ของ ที่คว่ำ พระองค์ก็หงายขึ้นให้คนดู ของที่ปิด พระองค์ก็มายเกลียวออกเปิดให้คนดูได้ ดังนั้น เราเป็นชาวพุทธ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า จึงมีหูทิพย์ มีตาทิพย์ เข้าใจเหมือนกันกับพระพุทธเจ้า

    ดังนั้น เรื่องสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจนั้น พระนิพพานก็อยู่ที่ใจนี่ คำว่าสวรรค์นั้น อยู่ในอก ในอกก็อยู่ที่เรานี่เอง ในขณะใด เรามีตา สวรรค์ ๖ ชั้น

    ขอเล่า เรื่องสวรรค์ ๖ ชั้นให้ฟัง ตาเห็นรูปสวย รูปงามนี่ สวรรค์ชั้นที่ ๑ สวรรค์ชั้นที่ ๒ รองลงมา หูฟังเสียงเพราะ นี่ นี่ก็เป็นสวรรค์ชั้นหนึ่ง จมูกดมกลิ่น หอม มันเพราะดี นี่ นี่ก็เป็นสวรรค์ชั้นหนึ่ง ลิ้นได้รส เรารับประทานอาหาร อร่อยดี นี่ก็เป็นสวรรค์ชั้นหนึ่ง กายถูกสัมผัสที่อ่อนนุ่ม เราพอใจ นี่ก็เป็นสวรรค์ชั้นหนึ่ง จิตใจคิดสนุก หรือความพอใจในสิ่งที่ไม่ผิดศีลไม่ผิดธรรม นั้นก็เป็นสวรรค์ขึ้นมาชั้นหนึ่ง เรียกว่า สวรรค์หกชั้น มันไม่ได้เป็นชั้นอยู่ที่บนฟ้า คือ มันอยู่ที่เรา นี้เรียกว่าสวรรค์หกชั้น

    นรก ก็อยู่ที่ตรงนี้ คือ เรามีตาเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่พอใจ เคียดแค้น เดือดดาล ยึดมั่นถือมั่น ว่าตัวว่าตน โกรธเคือง แน่ะ ทุกข์แล้ว ตกนรกแล้ว

    ดังนั้น หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายถูกสัมผัส อะไรก็ตาม รวมความแล้ว มาลงอยู่ที่จิตใจ มาลงอยู่ที่จิตใจ

    มัน ต้องมองให้มันทะลุเข้าไปถึงจิตใจ เมื่อเรามองทะลุเข้าไปถึงจิตใจแล้ว นั่นแหละ เราเห็นนรก เห็นสวรรค์ได้จริงๆ นิพพานเล่าบัดนี้ นิพพานนั้นคือความปกติ คนมีศีล มีธรรม มีศีล มีธรรม ศีลหมายถึงอะไร ไม่ใช่ปาณาฯ อทินนาฯ กาเมฯ มุสาฯ สุราฯ ศีลห้าเรานี้ อันนั้นเป็นสังคม เป็นสังคม ศีลแปดก็ต่อไป ศีลสิบก็ต่อไป อันนั้นเป็นสังคม

    ศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบ สมาธิกำจัดกิเลสอย่างกลาง ปัญญากำจัดกิเลสอย่างละเอียด

    นี่ มีศีล มีธรรมอันนี้ ตอนนี้ฟังให้ดี และก็จดจำให้ได้ นำไปประพฤติปฏิบัติให้มันแน่นอนลงไปเหมือนกันกับที่พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติ นั้น เรียกว่า ที่ผมจะนำมาเล่านี้ เสมอเหมือนว่า หงายของที่คว่ำ และเปิดของที่ปิด ให้พวกเราทั้งหลายได้ยินได้ฟัง ศีล ก็หมายถึงปกติ คือปกติกาย ปกติวาจา ปกติใจนี่เอง เรียกว่า มีศีล

    สมาธิกำจัดกิเลสอย่างกลาง สมาธิก็หมายถึง จะทำ จะพูด จะคิดอะไร ต้องเห็น ต้องรู้ มีสติ

    ปัญญากำจัดกิเลสอย่างสะเอียด ก็สามารถมองเห็นทะลุปรุโปร่งได้ทุกสิ่งทุกอย่าง

    อัน นี้เรียกว่า คนมีหูทิพย์ มีตาทิพย์ เราอาจจะไม่ได้ฟังโดยเป็นนิยาย คนแต่ก่อนสอนลูกหลานเป็นนิยาย เป็นปริศนา ให้คิดเอาเอง แต่คนไม่คิด เลยไม่เข้าใจ ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา เกิดมาจากจิตจากใจของเรา ก็เลยไปจำเอาคำที่ผิดๆ แต่ไม่ผิด จำแล้วไม่รู้ความหมาย

    คือ มีนิทานเรื่องหนึ่งที่จะนำมาเล่าให้เพื่อนภิกษุสามเณร และญาติโยมฟัง แล้วเอาไปใช้ ไปตีปัญหาหรือพิจารณาความจริงได้

    คนโบราณท่านเล่าเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง เคยได้ยินได้ฟังว่า

    สอง พี่น้องหรือเพื่อนสองคน ไปด้วยกันว่า ไปนอนในดง หรือในป่า คนสองคนก็ไปนอนในดงในป่า หรือพี่กับน้องก็ได้ หรือจะพูดยังไงก็ได้ เรียกว่าสองคน แต่ไม่รักกัน ก็มีเสือตัวหนึ่งมันเดินมา มันว่า... คนบุญนี้ แขวนคออยู่ก็ไม่อยาก คนบาปนี้แขวนฟ้าอยู่ก็สิกิน... เสือพูดอย่างนั้น คนที่เป็นพี่หรือเป็นคนฉลาดนั้น ได้ยินเสียงเสือพูดมาอย่างนั้น ก็กลัว ก็กลัว ก็ปีนป่ายขึ้นไปอยู่ที่บนต้นไม้ หรือไปหาที่หลบหลีกดีๆ ว่าอย่างเงี้ยะ แต่คนที่เป็นปกติ คือนอนหลับ ไม่ต้องกลัวอะไรแหละ นอนหลับสบายๆ อยู่ เสือมันก็พูดมา คนบุญนี้แขวนคอก็ไม่อยาก หรือบ่อยาก ว่าอย่างนี้ คนบาปนี้แขวนฟ้าก็สิกิน ว่าอย่างนี้

    ดังนั้น คนบุญเนี่ยะมันไม่อยากได้ของใคร ว่าอย่างนี้ก็ได้ คือไม่อยากได้ของใคร ยินดีเฉพาะของที่ตัวเรามีอยู่ เช่น มีเงินมีทอง ก็ยินดีพอใจในของเรา หรือมีพริกเขือ เกลือปลาร้า ก็ยินดีเฉพาะของเรามีอยู่ หรือบ้านเรือนของเราก็ยินดีเฉพาะของเรานี่เอง หรือสามีภรรยา ก็ยินดีของเรา ยินดีสามีภรรยาของเรา นี่เรียกว่าคนบุญ เรียกว่ามีศีล คนบุญต้องมีศีล

    คน บาปเล่าบัดนี่ ตรงข้าม ไม่มีศีลเสียแล้ว เห็นของคนอื่น ก็อยากได้ อยากเอา ดังนั้น คนบาปจึงลัก ปล้น จี้ ขโมย อิจฉาริษยาของคนนั้นคนนี้ นี่ เช่น เห็นมะเขือเกลือปลาร้า พริกหรือแตงโม อะไรเหล่านี้ เห็นของคนนั้นก็เอา ของคนนี้ก็เอา เกลือก็เค็ม น้ำอ้อยน้ำตาลก็หวาน ถ้าเป็นของคนอื่นแล้ว นี่ คนบาปมันต้องทำอย่างนี้ เสือก็กิน แม้ขึ้นปีนป่ายตก... เอ้อ... ปีนป่ายอยู่บนต้นไม้ก็หล่นลงมา หล่นลงมา เสือก็กิน หรือไปนอนอยู่ที่เงียบสงัด หรือหาที่กำแพงกั้นบังอะไรก็ เสือก็เจาะเข้าไปกินได้ เพราะบาปเกิดขึ้นภายในจิตใจ มันไม่มีศีล มันไม่มีธรรม คือไม่มีความละอายนั่นเอง อยากทำ อยากพูด อยากคิดอะไรก็ทำไป พูดไป คิดไป อันนี้เรียกว่า คนบาป

    ดังนั้น คำของคนโบราณพูดมาเป็นนิทมนิทานก็ตาม เราต้องใช้ปัญญาพิจารณาขบคิด ให้มองเห็นทะลุปรุโปร่งออกมาได้ เรียกว่า มีหูทิพย์ มีตาทิพย์ มีญาณ นี่

    มี ญาณสามารถมองเห็นได้ เข้าไปซาบซึ้งกับคำพูดนั้นๆ ได้ ถอดออกมาเป็นใจความได้ตามภาษาของคนสมัยใหม่ ดังนั้น คนสมัยโบราณนั้น ไม่มีการศึกษาเล่าเรียน แต่เพียงได้ยินได้ฟังปู่ย่าตายายพูดให้ฟัง ก็ถามเจาะลงไป คำๆ นี้ พูดอย่างนั้น มีความหมายยังไง ต้องถามให้รู้ ให้เข้าใจ ไม่เหมือนคนสมัยนี้ คนสมัยนี้ฟังแล้ว ไม่ถูกใจนี่ ไม่ถูกใจ แต่มันถูกใจจนฟังไม่ได้ ไม่ถูกหู นี่ มันถูกหูจนฟังไม่ได้ ดูไม่ได้ ฟังไม่ได้ เพราะพูดเรื่องศีลเรื่องธรรมให้ฟัง ไม่สนใจ เพราะความบาปครอบงำอยู่จิตใจ คือ โมหะ โทสะ โลภะ แน่นทับอยู่ภายในจิตใจของบุคคลผู้เช่นนั้น...


    [/SIZE][SIZE=-1]ดังนั้น คนไปตกนรกจึงเหมือนกับข้าวสารยัดในกระสอบ หรือว่าเหมือนกับขนโค หรือขนกระบือ... โบราณ ท่านสอนเอาไว้ว่า คนจะไปสวรรค์เหมือนกับเขาโค หรือเขากระบือ เหมือนกับหัวกับเขามัน หางมันเท่านั้น คนจะไปตกนรกนั้น เหมือนกับขนมัน แน่ะ เป็นอย่างนั้น

    ดัง นั้น คนไปตกนรกจึงมีมาก เพราะคนมีโมหะ มีโทสะ มีโลภะ อิจฉาริษยาเบียดเบียนคนนั้น คนนี้ ไม่มีศีล ไม่มีธรรม เมื่อไม่มีศีล ไม่มีธรรมแล้ว ไปที่ไหนเล่า ก็ไปตกนรก คนมีศีลมีธรรม ไปที่ไหนเล่า ก็ไปสวรรค์ ไปนิพพานโน่น

    ดังนั้น จึงว่า พวกเรามาอยู่ ณ สถานที่นี่ ฟังคำพูดผมพูดอยู่ ณ สถานที่นี่ ให้มีศีล ให้มีธรรมประจำใจ ศีล แปลว่าความรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย ชื่อว่าศีล แต่ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ศีล 227 นั้น เป็นคำพูด มันมาก เราต้องรักษา คือที่กาย ที่วาจา ที่ใจนี่เอง ไม่ต้องอิจฉา ไม่ต้องริษยา ไม่ต้องเบียดเบียนคนนั้นคนนี้ นี่แหละ เรียกว่า กายก็ปกติ วาจาก็ปกติ ใจก็ปกติ

    อัน นี้เรียกว่า เป็นคนบุญ เสือจะไม่กิน อย่างนี้ เรียกว่า ศีลกำจัดกิเลสอย่างหยาบ คือ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่หลอกลวงคนนั้นคนนี้ ไม่ดื่มสุรา ไม่เล่นการพนัน ไม่หลอกลวงคนนั้นคนนี้ นี่ เรียกว่ามีศีล

    คำว่า ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เราก็ต้องฟังอีกประเด็นนึง ฆ่าสัตว์ แต่ในที่นี้จะไม่ได้พูดถึง สัต-ตะ-วะ คือสัตว์ที่มองเห็นด้วยตา เราจะพูดถึงสัจจธรรม ที่ทำให้คนเป็นพระขึ้นมาได้ สัจจะแปลว่าของจริง ของแท้ สามารถทำให้คนเป็นพระขึ้นมาได้ เปรียบ อุปมาเหมือนกับเม็ดพืชทุกเม็ด ข้าว เม็ดข้าว จะเป็นข้าวจ้าว ข้าวเหนียวก็ตาม ถ้าเราเอาไปเพาะ สามารถที่จะงอกขึ้นมาได้ ถ้าเอาไว้ในยุ้ง-เอาไว้ในยุ้งในฉาง หรือข้าวลีบนั้น ไม่สามารถที่จะงอกมาได้ฉันใด ที่สัจจะตัวนี้ก็เหมือนกัน

    ดังนั้น ธรรมะที่ทำให้เป็นพระอริยบุคคลนั้น มีอยู่ในจิตใจของคนทุกคน จะ เป็นผู้หญิงผู้ชาย เป็นพระเป็นเณร ก็มีอยู่เหมือนกัน จะบวชไม่บวช ก็มีอยู่เหมือนกัน เป็นพระได้เหมือนกัน ดังนั้น พระทางสมมุตินั้นก็มีก็จริง แต่มองเห็นด้วยตา กำจัดกิเลสไม่ได้ แต่พระในที่นี้ต้องกำจัดกิเลสได้ ต้องมองเห็นได้ สิ่งใดที่จะนำความทุกข์ ความเดือดร้อนมาให้เรา มองเห็นได้ เพราะมีตาทิพย์ มีหูทิพย์ มีฌานหรือญาณมองเห็นได้ อันนี้เรียกว่า เป็นพระทางจิตทางใจ

    หรือ ฟังข้ออุปมาอีกอย่างหนึ่ง เหมือนกับเพชรทุกเม็ด เพชรนั้นมีน้ำเพชรอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์ น้ำเพชรที่เจียรนัยแล้วออกมาเป็นหัวแก้วหัวแหวน เอามาวางไว้ในตลาดขายได้ราคาเงินร้อยเงินพัน เงินหมื่นเงินแสน ก็เพชรมีน้ำเพชรร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน และเพชรที่ยังไม่ได้เอามาถลุงแร่ หรือจมโคลน ยังตมอยู่ แต่เม็ดเพชรนั้นก็ยังมีน้ำเพชรอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน แต่เมื่อไรจึงจะเอามาถลุง เท่านั้นเอง เมื่อเอาแร่ เอาตมเอาโคลนออกจากเพชร เพชรเม็ดนั้นก็มีน้ำเพชรอยู่ร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนกัน เมื่อมาวางขายในตลาดก็จะมีค่ามีราคาเหมือนกัน เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนเหมือนกัน นี่สัจจะแปลว่าของจริง

    ดัง นั้น คนทุกคน จะเป็นผู้หญิงผู้ชาย หรือเป็นพระเป็นเณร เป็นคนชาติใดภาษาใด ถือศาสนาไหนก็ตาม พูดภาษาอะไรก็ตาม จะเป็นคนรวย คนจนก็ตาม มีสัจจะ มีของจริง สามารถที่จะทำให้เป็นพระขึ้นมาได้ทางจิตทางใจเหมือนกัน สุดแล้วแต่บุคคลผู้ที่เจ้าของนั้นแหละ จะเอาไปถลุงหรือไม่เอาไปถลุงเท่านั้นเอง ถ้าหากบุคคลผู้ที่เป็นเจ้าของนั้น จะเอาไปถลุง ให้เป็นน้ำเพชรออกมา ก็ถูกโรงงานถลุงได้เหมือนกัน

    ดัง นั้น การเจริญสติ หรือเจริญปัญญา เจริญสมาธิ อย่างที่เรามาเจริญในขณะนี้ กำลังทำกันอยู่ในขณะนี้ และกำลังฟังผมพูดอยู่ในขณะนี้ ให้ใช้สติปัญญา พิจารณาตัวเองอยู่เสมอ คนเราเมื่อพิจารณาตัวเอง เห็นตัวเองอยู่เสมอนั้น เรียกว่า เป็นคนไม่ลืมตัว เป็นคนไม่ประมาท พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้

    คนลืม...ตรงกันข้ามคนลืมตัว คนประมาทนี้ มีชีวิตอยู่ก็เหมือนกับคนตายแล้ว แน่ะ ท่านสอน ทำไมจึงว่าคนตาย เพราะมันทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว มันเหม็น

    ความ เหม็นคือพูดชั่ว ทำชั่ว คิดชั่ว คนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม จึงเหม็น คนมีศีลมีธรรมเหมือนกับดอกไม้ที่หอม ทุกคนต้องการหอม ต้องการอยากดม

    ดัง นั้น คนโบราณจึงสอนลูกหลานว่า เข้าวัดต้องมีดอกไม้ธูปเทียน นี่... แต่คนสมัยนี้ สอนกันไม่รู้ ดูไม่ออก เพราะไม่มีหูทิพย์ไม่มีตาทิพย์นั่นเอง

    ดอกไม้ก็หมายถึง ดอกไม้ใหม่ๆ คนถ้ามีศีลมีธรรมก็ยิ้มแย้มแจ่มใส น่าดูน่าชม อย่างนี้ ไม่ใช่ดอกไม้ที่กำมือ ดอกไม้ที่กำมือ ไปบูชาพระพุทธรูป หรือบูชาเทวดานั้น อันนั้นก็ดี แต่ว่ายังไม่ถูก ยังไม่เจาะเข้าไปให้มันถึง ธูปสามเล่ม จุดลงไป ก็หมายถึงทำดีด้วยกาย พูดดีด้วยวาจา ใจก็คิดดี มันก็หอม

    ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ ก็เรามีหูทิพย์ มีตาทิพย์ และมีปัญญาเข้าฌานเหมือนกันกับพระพุทธเจ้า เทียนสองเล่มจุดลงไปก็หมายถึงตาสองตา มองอะไรให้เห็น หูสองหู ฟังอะไรให้เป็น นี่เทียนสองเล่ม แต่คนโบราณท่านสอนจริง สอนเป็นปรมัตถ์ สอนเป็นสัจจธรรมจริงๆ

    แต่พวกเราสมัยนี้ ไม่รู้จักปรมัตถ์ ไม่รู้จักสัจจธรรม จึงว่าฆ่าสัจจ์ สัจจะแปลว่าของจริง อันนี้ที่ผมหรืออาตมาพูดนี่ ไม่ได้เป็นสัต-ตะ-วะ สัจจะที่อาตมาพูดนี่ เรียกว่า มีศีลมีธรรม ดังนั้น จึงว่า ห้ามไม่ให้ฆ่าสัจจ์ (สัจจะ)

    ลัก ทรัพย์ คือไม่ลักจากคำพูดของคนอื่น ไม่จำคำพูดของคนอื่น คือไม่จำมาจากตำรับตำรา เราต้องใช้สติปัญญาพิจารณาให้เห็นแจ้ง ด้วยสติปัญญาตัวเอง อันนี้เรียกว่า มีหูทิพย์ มีตาทิพย์ ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้ารู้ ซาบซึ้งถึงจิตใจ

    การฟังธรรมะนั้น เราต้องตั้งใจฟังให้ดี ให้เกิดสติปัญญา ตามสมควรแก่การที่จะนำธรรมะมาเล่าให้ฟัง ณ โอกาสนี้ ดังนั้น พวกเราที่มาสถานที่นี่ เรียกว่ามาเจริญธรรมะ หรือมาปฏิบัติธรรมะ ตามแบบฉบับที่พระพุทธเจ้าของเรา ที่เราเคารพนับถือนั้นว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีหูทิพย์ ตาทิพย์ สามารถมองเห็นอะไรหรือฟังเสียงอะไร ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง...


    [/SIZE]
    [SIZE=-1]พระพุทธเจ้าของเรา ที่เราเคารพนับถือนั้นว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีหูทิพย์ ตาทิพย์ สามารถมองเห็นอะไรหรือฟังเสียงอะไร ได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้น เมื่อเรามาประพฤติปฏิบัติตามแบบฉบับ หรือวิธีของพระพุทธเจ้านั้น ก็ให้ได้หูทิพย์ ตาทิพย์เหมือนกันหรือคล้ายคือกันกับพระพุทธเจ้านั้น ดังนั้นคนเราเมื่อไม่มีหูทิพย์ ไม่มีตาทิพย์แล้ว จะทำอะไรๆ ต่างๆ ก็ไม่สามารถที่จะสำเร็จได้ เพราะเราไม่เห็นไม่รู้ พูดง่ายๆ คือ เราไม่เห็นโจร

    สมมุติว่าเราจะทำสงครามกับโจรนี่ เราต้องเห็นโจร มีตาทิพย์มองเห็น ถ้าเราจะสู้สงครามกับโจร ต้องฟังเสียงโจรมาข้างไหน ต้องมีหูทิพย์ ต้องมีตาทิพย์ เมื่อเห็นโจรมา ก็ต้องปราบได้ เมื่อได้ยินเสียงโจรมา ก็ต้องเตรียมปราบได้ นี้จึงจะสู้กับพญามาร หรือโจรได้

    คนธรรมดาสามัญ หรือปุถุชนผู้ไม่มีปัญญา ไม่มีหูทิพย์ ไม่มีตาทิพย์ พวกโจรก็ปล้น หรือพญามารก็มาแย่งชิงเอาบัลลังก์ไปได้ อย่าง.... ผมจะนำมาเล่าให้ฟังวันนี้ สำหรับอุดมการณ์หรือความคิดที่ผมเคยได้ยินได้ฟังมาจากครูบาอาจารย์หรือพ่อ แม่ปู่ย่าตายาย เคยพูดให้ฟังว่า... สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ พระนิพพานก็อยู่ที่ใจ

    เมื่อพูดถึงสวรรค์ใน อก นรกในใจ พระนิพพานก็อยู่ที่ใจนั้น อันนี้เป็นคำกล่าวของปู่ย่าตายาย หรือท่านเคยพูดให้ฟังเท่านั้น เมื่อเราไม่มีหูทิพย์ ไม่มีตาทิพย์ ก็ไม่สามารถที่จะมองเห็น สวรรค์ในอก นรกในใจ และพระนิพพานก็อยู่ที่ใจได้

    การ ฟังนั้น มันเป็นเพียงได้ยินมาทางสัญญา เราต้องทำ ต้องเจริญสติ หาด้วยน้ำพักน้ำแรง ด้วยสติปัญญาของเราเอง จึงจะเป็นที่พึ่งอันเกษม อย่างที่เราเคยพูดกันว่า...
    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง กำจัดภัยได้จริง

    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ อันนี้เป็นภาษาบาลี แปลเป็นภาษาไทยว่า ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง กำจัดภัยได้จริง เนียะแปลเป็นภาษาไทย พระธรรมก็แปลว่าคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราต้องฟังให้เป็น

    .สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นภาษาบาลี แปลเป็นภาษาไทยว่า ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง กำจัดภัยได้จริง

    อัน นี้ เมื่อเรามีหูทิพย์ มีตาทิพย์ ก็ต้องมองเห็นได้ พระพุทธเจ้า คือ จิตใจสะอาด สว่าง สงบ นั่นเอง พระธรรม ก็ทำตัวของตัวนี่แหละ ให้เป็นเหมือนกับพระพุทธเจ้า มีเมตตา กรุณา และปัญญา พระสงฆ์ ก็ต้องประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ดีแล้วนั้น นี้เรียกว่า เราได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า มีหูทิพย์ ต้องฟังเสียงพระพุทธเจ้าพูดได้ มีตาทิพย์ก็ต้องมองเห็นว่าพระพุทธเจ้าปฏิบัติอย่างนั้น ได้อย่างนี้

    อีก บทหนึ่ง ผมอยากกล่าว หรือนำมาชี้แจงในที่นี้ เมื่อพระพุทธเจ้าของเราเสวยหรือรับประทานข้าวนางสุชาดาแล้ว ว่าเอาขันหรือถาด ไปอธิษฐานในแม่น้ำว่า ข้าพเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าจะวางขันใบนี้ หรือถาดใบนี้ วางลงในแม่น้ำนี้ ให้ขันใบนี้หรือถาดใบนี้ ทวนกระแสของน้ำขึ้นไปข้างเหนือ หรือข้างบน หรือทางที่ต้นน้ำ อะไรอย่างนี้ และตรงกันข้าม ถ้าหากข้าพเจ้าจะไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ให้ขันใบนี้ลอยไปตามกระแสของน้ำ ว่าอย่างนั้น

    ถ้า หากว่าคนมีหูทิพย์ มีตาทิพย์ ก็รู้หรือมองเห็นทันทีว่า ขัน ก็ได้แก่ ขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มีในพระองค์นั้น พระองค์จะไม่ทำไปตามอำนาจของกิเลส คือน้ำใจ หรือน้ำคือฝ่ายต่ำ พระองค์ก็ทวนกระแสของน้ำ คือเอาขันธ์ห้า เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจนี้ จะไม่ทำไปตามอำนาจของความทุกข์ คือ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นได้รส กายถูกสัมผัส จิตใจมันนึกมันคิดขึ้นมา พระองค์เห็น พระองค์รู้ อันนี้ก็เรียกว่า หูทิพย์ ตาทิพย์ ของพระพุทธเจ้า

    ถาด ก็หมายถึง ธาตุสี่ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ที่เป็นรูป เป็นตน เป็นตัว นี่เอง จะไม่ทำไปตามอำนาจของกิเลสฝ่ายต่ำ ทวนกระแสอันนี้ให้ได้ ดังนั้น การต่อสู้ของพระองค์จึงชนะกับโจรผู้ร้าย หรือพญามารได้ โจรในที่นี้ แต่คนผู้ไม่มีหูทิพย์ ไม่มีตาทิพย์ ไม่สามารถที่จะมองเห็นโจรได้

    โจรในที่นี้ก็ คือ โมหะ โทสะ โลภะ ที่มาแย่งเอาบัลลังก์ของพระองค์ มันเคยแย่งเอาบัลลังก์ของคนที่ไม่มีหูทิพย์ ไม่มีตาทิพย์ ได้อย่างสบายๆ เมื่อพระองค์ต่อสู้ได้ชัยชนะดีแล้ว โจรผู้ร้ายหรือพญามารเหล่านั้น ก็ดับหายไปหมด เพราะพระองค์มีหูทิพย์ มีตาทิพย์

    มีหูทิพย์ มีตาทิพย์ คือมีสติ มีปัญญา มีสมาธิ มองเห็นความปรากฏของอวิชชา คือ โมหะ โทสะ โลภะ เป็นโจร มันจะเข้ามาปล้นเอาบัลลังก์ คือ ความสะอาด ความสว่าง ความสงบ ของพระองค์ พระองค์ก็มองเห็นว่า สิ่งเหล่านี้มันเป็นโจร มันเข้ามาปล้นเราได้ ต่อเมื่อเรามีความหลงผิด คือหลงต้นตอที่เกิดกำเนิดของชีวิตนี่เอง


    ดังนั้น พวกเรามาที่นี่ ต้องฝึกฝนอบรม ให้มีสติ มีหูทิพย์ มีตาทิพย์เหมือนกันกับพระพุทธเจ้า หรือให้คล้ายคือกับพระพุทธเจ้านั่นเอง เราเคยได้ยินได้ฟังกันมามากพอสมควรว่า อดีตที่ผ่านไปแล้ว เราจะเอามาแก้ไขในปัจจุบันนี้ ก็ไม่ได้ อนาคตที่ยังไม่มาถึง เราจะไปแก้ไขในปัจจุบันนี้ ก็ไม่ได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เรารู้จักปัจจุบัน แก้ปัญหาที่มีขึ้นในปัจจุบัน เรียกว่า ผู้มีหูทิพย์ มีตาทิพย์

    ปัญหาปัจจุบันนั้น ที่มันนำทุกข์มาให้ คือ พวกโจร เช่น หมาก พลู บุหรี่ สุรา กัญชา เฮโรอีน ฝิ่น เล่นการพนัน เหล่านี้ โจรมันมาปล้นเอาสิ่งเหล่านี้แหละ ทรัพย์สมบัติที่เราหามาได้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย หรือหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน แบกขน เช่น กรรมกร หามาด้วยน้ำพักน้ำแรง ด้วยความเหน็ดเหนื่อยแล้ว เมื่อพญามารหรือโจรเข้ามาปล้น ก็เห็นว่า เราสู้กับพญามารได้ หรือกับโจรได้ ปราบโจร ปราบพญามารได้

    คนใดมีหูทิพย์ มีตาทิพย์ เช่น มันอยากสูบบุหรี่ เอ้า โจรมาปล้นแล้ว หรือว่าทุกข์เกิดขึ้นเพราะโจร รู้จักอย่างนี้ เช่นอยากกินหมาก โจรมาแล้ว จะมาปล้นบ้านเราแล้ว แน่ะ มันจะมาแย่งเอาทรัพย์สมบัติของเราแล้ว เห็น รู้ทันที หรืออยากไปดูหนัง ฟังรำ ดนตรี อะไรต่างๆ นี่ มันเสียเงินที่เราหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง ความยากเข็ญ อดทน ด้วยหยาดเหงื่อเราหามาด้วยความลำบาก เราก็พยายามให้มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา มองทะลุลงไปให้เห็นกับโจร หรือพญามารอย่างที่พระพุทธเจ้านั้น

    ก่อนที่จะมองเห็นโจรหรือพญา มารอย่างที่พระพุทธเจ้านั้น ก็ต้องมีสติ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรามีสติ ให้มีปัญญา หรือมีสมาธิ มองเห็นโจรที่มันเกิดขึ้นมา

    ดังนั้น พวกเราทั้งหลายอยู่ใน ณ สถานที่นี่ เคยได้ยินได้ฟังปู่ย่าตายายของเราเคยสอนเอาไว้ว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ

    คน จะไปเกิดเมืองสวรรค์นั้น มีเทวดาเอากระดาษทองคำ หรือสอก็เป็นทองคำ มาบันทึกเอาชื่อเสียงเรียงนามเอาไว้ เมื่อตายจากโลกนี้ ก็ไปเกิดบนสวรรค์ ตรงกันข้าม คนใดจะไปตกนรก ก็มีจ้าวยมบาล เอาหนังหมาเน่า หรือสุนัขเน่า มาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร บันทึกเอาชื่อเสียงเรียงนามเอาไว้ เมื่อตายจากโลกนี้ หมดลมหายใจไปแล้ว ก็ไปตกนรก เราเคยได้ยินกัน เป็นอย่างนี้

    [/SIZE][SIZE=-1]ดังนั้น คนจะไปตกนรกนั้น เหมือนกับข้าวสารที่ยัดอยู่ในกระสอบ ดังนั้น เราไม่มีหูทิพย์ ไม่มีตาทิพย์ ก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นสัตว์นรกได้ เช่นว่า คนไปตกนรกนั้น แน่นอัดกัน เหมือนกับข้าวสารยัดอยู่ในกระสอบ แต่มองกันไม่เห็น ได้ยินแต่เสียงเอะอะโวยวาย ดังก้องอยู่อย่างนั้นแหละ แต่มองไม่เห็น

    สมมุติ ให้ฟังกันง่ายๆ อย่างที่เราทำครัว ในหม้อ-หม้อครัวที่เรากำลังทำอาหาร พอดีเราเอาหม้อไปตั้งบนไฟแล้ว น้ำมันเดือดขึ้นมา ที่มีอาหาร เช่น ผัก หญ้า อะไรก็ตามแหละ หรือหมากพริก หมากเขือ อะไรก็ตาม ที่เรามองเห็นด้วยตา มันจะอยู่นิ่งๆ ไม่ได้ เหมือนกับน้ำที่ยังไม่เดือด เมื่อน้ำมันเดือดขึ้นมาแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็หมุน หมุนอยู่อย่างนั้นแหละ หมุนไปหมุนมา ขึ้นลง ๆ อยู่อย่างนั้นแหละ

    ดัง นั้น สวรรค์กับนรกนี้ มันตรงกันข้าม เช่น สามี ภรรยา หรือบุตร เพื่อนร่วมโลก เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เราเคยพูดอย่างนั้น เมื่อเรามีสติ มีปัญญา หรือมีสมาธิ มองหน้าภรรยา สามี บุตร ก็เป็นหน้าภรรยา สามี บุตร หรือมองหน้าเพื่อนที่ร่วมโลก เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ก็มองเห็นเป็นคน เรียกว่า เป็นคน มีหน้ามีตาเหมือนกันกับเรา นี้เรียกว่า มีสมาธิ มีสติ มีปัญญา เรียกว่า มีคุณธรรม ยังมีธรรมะประจำใจอยู่

    บัดนี้ คนใดไม่มีคุณธรรมประจำใจ มองเห็นหน้าภรรยา สามี หรือบุตร ก็ไม่ค่อยถนัด มันลายหรือมันนัว(มัว) หรือเห็นหน้าเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มันลายมันนัว มองไม่ค่อยเห็น

    เราเคยได้ยินมั้ย คนใดมีความโกรธเกิดขึ้นภายในจิตใจ เดือดดาล ร้อนระอุขึ้นมา เช่น สามีภรรยาทะเลาะกัน หรือเพื่อนบ้านทะเลาะกัน ว่า มึงนะ เดี๋ยวโกรธขึ้นมาเต็มที่แล้ว มองไม่เห็นนะ เนียะ มันไม่เห็น หรือบางคนมองเห็นเท่ากำปั้น หรือเท่าข้อมือ บางคนก็มองเห็นเท่าแสงหิ่งห้อย เพราะว่ามันมองไม่เห็น เพราะความโกรธเกิดขึ้นภายในจิตใจ โกรธหนักๆ เข้ามา มองไม่เห็นเลย ที่มองไม่เห็น ก็ชกต่อย เตะ ตีกัน เป็นอย่างนี้

    อันนี้เรียกว่า เมื่อชกต่อย เตะ ตีกัน แล้วก็มีความเอะอะโวยวายกันขึ้น อันนี้เรียกว่า นรก อยู่ที่ในจิตใจ ก่อนที่จะเอะอะโวยวาย ชกต่อยเตะตีกันนั้น ก็เพราะโมหะ คือความหลงผิด มองคนไม่เป็นคน หรือมองไม่เห็น ก็เพราะโทสะ โมหะ โลภะ

    บางครั้งบางคราว สามีภรรยา มองหน้าสามีภรรยา ไม่เป็นคน มองเป็นสัตว์ เป็นสุนัข หรือเป็นเปรตเป็นผี อะไรเหล่านี้ อันนี้ก็เรียกว่า นรกเกิดขึ้นภายในจิตใจ ดังนั้น คนที่ไม่มีหูทิพย์ ไม่มีตาทิพย์ จึงไม่สามารถที่จะมองเห็นสัตว์นรกได้ และไม่มองเห็นสวรรค์ได้

    ดัง นั้น พวกเรามา ณ สถานที่นี่ มาเจริญสติ หรือมาเจริญวิปัสสนา เพื่อให้เห็นยิ่ง รู้จริง ตามแบบฉบับ ที่พระพุทธเจ้าพูดเอาไว้ วิปัสสนานี้ มันเป็นชื่อของบาลี ถ้าพูดตามภาษาบ้านเฮา เรียกว่า แปลว่า การเห็นแจ้ง รู้จริง

    เมื่อเห็นแจ้ง รู้จริงนั้น ก็เรียกว่า ไม่ทำเหมือนเดิม ที่ความไม่รู้ นี้จึงว่า ได้ความหมายว่า ต่างเก่า ล่วงภาวะเดิม


    แต่ ก่อนนั้น มีความหลงผิด มีความโกรธ มีความโลภ ต่อมาเมื่อได้ยินได้ฟัง พระที่ท่านนำเรื่องของพระพุทธเจ้า มาเล่าสู่ฟัง เราเกิดมีสติปัญญา จดจำเอาไว้ได้ เรียกว่า เราก็ต้องให้คล้ายคือกัน หรือว่ามีหูทิพย์ มีตาทิพย์ คล้ายคือกับพระพุทธเจ้า เรียกว่า เราได้ตั้งสติ ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้า

    ดังนั้น เราพูดว่า พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นภาษาบาลี... ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธ-พระพุทธเจ้าเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง กำจัดภัยได้จริง เมื่อเรามีหูทิพย์ มีตาทิพย์ มันก็กำจัดทุกข์ภัย หรือความเดือดร้อนออกไปได้จริง

    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นภาษาบาลี ...ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง กำจัดภัยได้จริง เมื่อเราฟังแล้ว จดจำเอาไว้ได้ เราก็ต้องกำจัดความทุกข์ หรือความเดือดร้อน หรือกำจัดโจร หรือพญามารออกได้ อย่างที่พระพุทธเจ้านั่นจริง

    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ เป็นภาษาบาลี... แปลเป็นภาษาไทยว่า ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง กำจัดภัยได้จริง แน่ะ เมื่อเราปฏิบัติอย่างพระสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้านั้น เราก็กำจัดความทุกข์ความเดือดร้อน หรือกำจัดพญามาร หรือโจรออกไปได้

    ที่พูดแล้วข้างต้นว่า เมื่อจิตใจมันอยากไปสูบบุหรี่ โฮ้ย! โจรมาแล้ว พญามารมาแล้ว เราต้องสู้กับมัน มันอยากขึ้นมา เราก็มีตาทิพย์ มีหูทิพย์ มองเห็นทะลุเข้าไปถึงจิตใจ เอ๊! มารมาแล้ว หรือโจรมาแล้ว จะมาปล้นมาจี้เราแล้ว มันจะมายาดเอาบัลลังก์เราแล้ว ก็ต้องเห็นอย่างนี้

    จึง ว่า เอาขันวางลงไปในแม่น้ำ ทวนกระแสของน้ำ หรือเอาถาดลงไปวางแม่น้ำ ทวนกระแสของน้ำ คืออำนาจของกิเลสฝ่ายต่ำ เรียกว่าน้ำ น้ำคือกิเลส นี่ พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนเอาไว้ อย่าพึ่งทำไปตามอำนาจของกิเลสฝ่ายต่ำ ท่าน สอนให้เรามีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ดังนั้น พระพุทธเจ้า คือมีความเมตตา กรุณา สงสาร เอื้อเฟื้อ เอาใจใส่ และมีปัญญา อันนี้เรียกว่า เป็นคุณธรรมที่ประจำใจพระพุทธเจ้า


    [/SIZE][SIZE=-1]เมื่อเรามีคิดอย่างนั้น เราก็ต้องไม่อิจฉาเบียดเบียน ไม่ริษยาคนนั้นคนนี้ และทรัพย์สมบัติที่หามาได้ด้วยหยาดเหงื่อแรงงานของเรา ก็ต้องไม่จับจ่ายใช้สอยโดยที่ไร้ประโยชน์ เช่น ไปดูหนัง เล่นการพนัน ดื่มสุรา เที่ยวกลางคืน อะไรๆ ต่างๆ ที่เราคิดขึ้นมาว่ามันสวยมันงาม มันสนุกสนานร่าเริงบันเทิง เราหามาได้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย หยาดเหงื่อแรงงานของเรา เราก็ต้องไม่ใช้โดยที่ไร้ฉลาดไร้ประโยชน์ พญามารหรือโจร มันก็มาปล้นเอาไม่ได้

    เพราะเรามีหูทิพย์ มีตาทิพย์ สามารถมองเห็นโจรได้ และสามารถฟังเสียงโจรพูดขึ้นมาได้ว่า อยากไปกิน อยากไปดู อยากไปชม แน่ะ โจรมันพูดอย่างนั้น เราก็ต้องเอาชนะมันได้ โจรที่ย่าง(เดิน)มาเป็นตนเป็นตัวนั้น เราปราบมันได้อย่างสบาย ๆ แต่โจรภายในจิตใจนี่... เพราะว่าให้เกิดภายในจิตใจนี่ คนไม่มองเห็นส่วนลึก อันนี้แหละ จึงว่า คนไปตกนรกเหมือนกับข้าวสารยัดอยู่ในกระสอบ เพราะมันไม่มีหูทิพย์ เพราะมันไม่มีตาทิพย์ มันจึงเตะ ตีกัน ฆ่ากันได้

    เมื่อมีหูทิพย์ มีตาทิพย์แล้ว ไม่ต้องเตะ ไม่ต้องตี ไม่ต้องฆ่า ไม่ต้องอิจฉาริษยาใครๆ ทั้งนั้น เพราะว่าทุกคนเกิดมาแล้ว-เกิดมาแล้ว ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย แม้ถึงไม่ฆ่า ก็ยังตาย เราจะไปฆ่า ไปอิจฉาริษยาไปทำไม ต่างคนต่างแต่ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย

    การ หาเงินหาทองก็เหมือนกัน ต่างคนต่างอยากมีความสุข อยากได้ บัดนี้ เมื่อคนไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีความสามารถที่จะมองเห็น เรียกว่า ให้โจรมาปล้นเอาไป ไปซื้อบุหรี่ซองหนึ่ง กี่สตางค์ โจรปล้นเอาไปแล้ว ซื้อเหล้ามากิน ขวดละเท่าไหร่ โจรปล้นเอาไปแล้ว กินหมากคำละเท่าไหร่ พลูใบกี่สตางค์ หรือสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ อย่างทาเล็บ ทาคิ้ว อย่างเนี้ยะ ทาฟัน ทาอะไรๆ ต่างๆ เนี่ยะ... เรียกว่า เครื่องแต่งเนื้อแต่งตัวเนี่ยะ เนียะ โจรมันมาปล้นเอาไป ผู้ร้ายมาปล้นเอาไป ทรัพย์สมบัติที่เป็นภายนอก ก็สูญหายไป เพราะพญามาร เพราะพวกโจรเหล่านี้ เงินทองจึงมีไม่ได้

    บัด นี้ ทรัพย์ภายใน คือ ความสุข หรือว่า สวรรค์ ก็มีโจรคือ โมหะ โทสะ โลภะ มาปล้นเอาไป เรียกว่าเป็นโจร หรือเป็นพญามาร มายาด(แย่ง)เอาบัลลังก์ของเราไป

    ดัง นั้น พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีสติ ให้มีสมาธิ มีปัญญา มองเห็นความหลงผิด หรือความโกรธ ความโลภ เมื่อมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว มันจะมาทำอะไรให้เราไม่ได้ ตัวชีวิตจิตใจของเราจริงๆ นั้น มันมีความสะอาด สว่าง สงบ เป็นธรรมดาๆ อยู่แล้ว

    ดังนั้น เมื่อความโกรธเกิดขึ้น เพราะเราหลงเท่านั้นเอง เมื่อเราหลงต้นตอ หรือที่เกิดกำเนิดของชีวิตจิตใจของเราจริงๆ แล้ว ความโกรธก็เกิดขึ้นมา ความโลภก็เกิดขึ้นมา เพราะความหลงผิดนั่นเอง เห็นว่าสวยว่างาม ว่าสนุกสนาน ร่าเริงบันเทิง อย่างนั้นอย่างนี้

    แต่ความจริง สิ่งนั้นเรียกว่า ทุกข์

    จะ อุปมาให้ฟังสักเรื่องหนึ่ง สมมุติว่า บ้านเรามีไฟฟ้า ถึงตอนเย็น เราต้องการความสว่าง คนไม่รู้ คือไม่เคยใช้ไฟฟ้านั้นเอง ก็ไปจับเอาหลอดไฟ หมุนหลอดไฟอยู่ทางโน้น หมุนจนตายนะ ไฟไม่ไป เพราะมันไม่เป็นสมุฏฐาน ต้นเหตุ ที่เกิดหรือกำเนิดของไฟว่าอยู่ที่หลอดไฟ ต้นเหตุกำเนิดที่เกิดของไฟ หรือสมุฏฐานของไฟ มันอยู่ที่ตัวสวิทช์นี้ เมื่อเราต้องการความสว่าง เราก็ไปจับสวิทช์กดไฟ มันก็-ไฟก็วิ่งไปตามสายไฟนั้น ไปทำความสว่างอยู่ที่หลอดไฟ

    เมื่อต้องการดับ เราก็มาจับสวิทช์ไฟนี้ มันก็ดับทันที ฉันใด เมื่อ เราไม่ต้องการให้ความโกรธ ความโลภ ความหลง เกิดขึ้น เราก็ต้องมองทะลุอยู่ที่จิตใจ หรือมีสติอยู่ที่จิตใจ นี่พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้
    ดังนั้น ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น จะมีมากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ก็ตาม รวมความแล้วก็มาทำที่ตัวชีวิตจิตใจของเรานี่เอง


    ดัง นั้น ชีวิตของคนทุกคน ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความโลภ เพียงเราหลงผิดเท่านั้นเอง ความโกรธเกิดขึ้น ความโลภเกิดขึ้น เหมือนกับแสงตะเว็น แต่ดวงอาทิตย์ ดวงตะเว็นนั้น มันทำความสว่าง สว่างไสวเต็มดวง เมฆเท่านั้นมาบัง

    ดังนั้น พวกเราที่มาประพฤติปฏิบัติธรรม อยู่ ณ สถานที่นี่ ก็เหมือนกัน ให้เรามามีสติ ให้เอาสติมองดูการเคลื่อนไหว เช่น ร่างกาย พริบตา หายใจเข้า หายใจออก หรือจิตใจนึกคิดให้มีสติตามรู้เท่าทัน อันนี้แหละ เรียกว่า มีสติ สามารถมองเห็นได้ทุกสิ่งทุกอย่าง มีหูทิพย์ ตาทิพย์ เหมือนกันกับพระพุทธเจ้า

    เท่าที่ผมได้ให้ ข้อคิดเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจวันนี้ ก็สมควรแก่เวลาแล้ว วันต่อไป ถ้ามีโอกาสก็จะพูดต่อ ปลูกฝังเรื่องใหม่ไป วันนี้ก็ขอหยุดไว้เพียงแค่นี้...
    [/SIZE]
    [SIZE=-1]ที่มา[/SIZE]Bloggang.com :
     

แชร์หน้านี้

Loading...