ห้องเรียนธรรมะ.... ณ ทิพยสถานธรรมภิกษุณีอาราม เกาะยอ จ.สงขลา

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ทิพยสถานธรรม, 23 มกราคม 2014.

  1. ทิพยสถานธรรม

    ทิพยสถานธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    127
    ค่าพลัง:
    +249
    ห้องเรียนธรรมะ....

    ณ ทิพยสถานธรรมภิกษุณีอาราม เกาะยอ จ.สงขลา

    พระอาจารย์ทีปาอธิบาย กรรมจำแนกตามหน้าที่ ๔ ประการ คือ – กรรมนำไปเกิด เรียกว่า ชนกกรรม
    - กรรมสนับสนุนบา เรียกว่า อุปัตถัมภกกรรม
    - กรรมบีบคั้น เรียกว่า อุปปีฬกากรรม
    - และกรรมตัดรอน ที่เรียกว่า อุปฆาตกกรรม
    กรรมนำไปเกิด ที่เรียกว่า ชนกกรรม คือกรรมที่ประกอบประมวลมารวมกันเป็นจิตสังขาร เมื่อมีการปฏิสนธิ ดังนั้นลักษณะจิตของเด็กเกิดใหม่จึงเป็นจิตที่ติดกรรมนำกรรมในภพก่อนติดตามนำส่งมาเกิด ซึ่งแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป เมื่อเด็กเริ่มรับรู้อารมณ์ภายในได้ กลไกของมโนธาตุก็เริ่มทำงาน วิญญาณแล่นรับรู้อารมณ์นั้นทันที เมื่อโดนกระทบกับสิ่งใหม่ๆในโลกใหม่จิตก็จะเกิดปฏิกิริยาไปตามเงื่อนไขของสังขารเดิม เกิดเป็นอารมณ์ใหม่สะสมไปเรื่อยๆ เมื่อสะสมอารมณ์ใหม่มากมายขึ้นโดยลำดับ คุณลักษณะเก่าๆอาจถูกเปลี่ยนแปลงไปได้ตามเหตุปัจจัย ดีบ้างชั่วบ้างสิ่งเหล่านั้นได้ถูกตอกย้ำทับถมจมลงในจิตใต้สำนึกมากขึ้นหรือหายไปในที่สุด ซึ่งเราจะได้ยินคำกล่าวบ่อยครั้งว่า บุญนำกรรมแต่งเสริมเติมต่อนั่นเอง

    กรรมที่สองคือผลกรรมที่ตามมาสนับสนุนหรือที่เรียกว่า อุปัตภัมภกกรรม กรรมนี้เป็นกรรมที่ส่งเสริมผลักดันสนับสนุนให้เป็นไปหลังจากที่เกิดมาแล้ว ได้แก่เกิดกับพ่อแม่ พี่ น้องเพื่อนพ้อง การมีฐานะ สิ่งแวดล้อมต่างๆที่ทำให้ติดเป็นนิสัยใหม่ด้วย เช่นกรรมนำส่งให้มาเกิดดี กรรมดีใหม่ก็สนับสนุนส่งเสริมเพิ่มเติมให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม หรือกรรมนำให้มาเกิดไม่ดี กรรมใหม่ที่ทำไม่ดีก็สนับสนุนผลักดันให้ไม่ดีหรือแย่ลงเลวลงกว่าเดิม ก็เรียกว่าผีซ้ำด้ามพลอยร่วมด้วยช่วยกันประดังเข้ามาทำให้ซวนเซในชีวิตได้เหมือนกัน บางคนทนรับกับกระแสเหล่านั้นไม่ได้รีบตัดสินใจตัดช่องน้อยแต่พอตัวชิงหนีหายตายจากไปจากโลกนี้ก่อนวัยอันควรก็มี
    รูปภาพ : กรรมที่สองคือผลกรรมที่ตามมาสนับสนุนหรือที่เรียกว่า อุปัตภัมภกกรรม กรรมนี้เป็นกรรมที่ส่งเสริมผลักดันสนับสนุนให้เป็นไปหลังจากที่เกิดมาแล้ว ได้แก่เกิดกับพ่อแม่ พี่ น้องเพื่อนพ้อง การมีฐานะ สิ่งแวดล้อมต่างๆที่ทำให้ติดเป็นนิสัยใหม่ด้วย เช่นกรรมนำส่งให้มาเกิดดี กรรมดีใหม่ก็สนับสนุนส่งเสริมเพิ่มเติมให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม หรือกรรมนำให้มาเกิดไม่ดี กรรมใหม่ที่ทำไม่ดีก็สนับสนุนผลักดันให้ไม่ดีหรือแย่ลงเลวลงกว่าเดิม ก็เรียกว่าผีซ้ำด้ามพลอยร่วมด้วยช่วยกันประดังเข้ามาทำให้ซวนเซในชีวิตได้เหมือนกัน บางคนทนรับกับกระแสเหล่านั้นไม่ได้รีบตัดสินใจตัดช่องน้อยแต่พอตัวชิงหนีหายตายจากไปจากโลกนี้ก่อนวัยอันควรก็มี

    ผลกรรมที่สามคือ ผลกรรมบีบคั้น เรียกว่า อุปปีฬกกรรม เป็นผลกรรมที่ประดังเข้ามาในชีวิตประจำวัน เช่น การเจ็บป่วยไข้รักษาไม่หาย หรือบางทีก็หาสาเหตุไม่เจอ ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่อย่างนั้น กรรมนี้เกิดจากเศษของกรรมที่หลงเหลือที่ยังชดใช้ไม่หมดอันเนื่องมาจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หรือไม่ได้ฆ่าเองแต่ยืนดูยืนมองยินดีในการฆ่าของผู้อื่น ผลกรรมนี้บางทีเกิดเป็นช่วงๆเป็นระยะๆ เรียกว่าบ่วงกรรม กรรมนี้ให้ผลตามกาลเวลา เมื่อถึงวาระรับกรรม กรรมก็ส่งผลผลักดันให้ต้องได้รับกรรมนั้น ตัวอย่างเช่น บางคนมีลางสังหรณ์ว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับตนเป็นแน่แต่ไม่รู้ว่าอะไร ครั้นขับรถออกไปทำธุระก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น บางคนตาย บางคนไม่ตายบาดเจ็บสาหัส บางคนก็รักษาหายทุเลา บางคนไม่หายเกิดพิการเสียอวัยวะหรือบางคนก็เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตไปก็มี อย่างพวกที่นั่งเครื่องบินแล้วเครื่องบินตกพวกนี้ทำกรรมมาคล้ายกันและเป็นกรรมร่วมคือต้องมาได้รับผลกรรมร่วมกันในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง เครื่องบินตกส่วนมากมักจะตายกันทั้งหมด แต่บางคนก็ไม่ตายก็มีคือรอดตายแม้เครื่องบินตก หรือพวกที่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติ เช่น สึนามิหรือแผ่นดินถล่มต้องมาตายร่วมกัน บางคนก็หนีรอดปลอดภัยไม่ตายร่วมกันขณะนั้น กรรมตัวนี้เกิดจากการที่ทำกรรมไว้ร่วมกันมีเศษกรรมเหลืออยู่ เช่น การทำสงคราม ชุมนุมประท้วง เป็นต้น คนที่ไม่ตายนั่นก็เพราะได้รับผลกรรมดีที่ตนทำไว้ในชาติปัจจุบันมาสนับสนุน ทำให้ปลอดภัยจากอุบัติเหตุนั้น
    นี่คือผลกรรมบีบคั้น คือผลักดันให้เป็นไปตามเวลา เห็นไหมเล่าว่าไม่มีใครหนีกรรมได้เลย ไม่ว่าจะทำกรรมหนักเบา ดีหรือชั่วย่อมได้รับผลกรรมนั้นทุกคนไม่มีการยกเว้นหรือเลือกปฏิบัติต่อบุคคลค่ะ

    ผลกรรมสุดท้ายคือ ผลกรรมที่มาตัดรอน เรียกว่า อุปฆตกกรรม หมายถึงผลกรรมที่เข้ามาแทรกแซงบั่นทอนขัดขวางกีดกั้นให้มีอันเป็นไป พูดง่ายๆก็คือพลิกผันชะตาชีวิตที่ดำเนินอยู่เลย เช่นเก็งไว้ว่าปีหน้าที่ดินจะขึ้นราคามากกว่าเก่าหลายเท่าจึงตระเวนซื้อที่ดินเก็บไว้มากมายถึงขนาดกู้หนี้ยืมสินทั้งในระบบและนอกระบบ สุดท้ายเกิดเหตุการณ์พลิกผันแปรเปลี่ยนไปจะด้วยอะไรก็ตามทำให้เกิดเหตุการณ์ล้นเป็นฟองสบู่ เจ้าหนี้ก็เร่งรัด ธนาคารก็จะยึดที่ก็ขายไม่ออก สุดท้ายต้องปล่อยให้ธนาคารยึดหรือขายออกในราคาที่ขาดทุน บางทีก็ต้องล้มละลายไปเลย หรือบุคคลบางคนมองดูแล้วน่าจะมีอายุไขอีกนาน แต่ได้เคยทำอนันตริยกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ ทำให้อายุขัยลดลงตามกำลังของอนันตริยกรรมที่ทำไว้
    อนันตริยกรรมมี ๕ ชนิดคือ การทำร้ายบิดา ทำร้ายมารดา ทำร้ายพระอรหันต์ การยุงยงสงฆ์ให้แตกกันและการทำร้ายพระพุทธเจ้า การทำร้ายไม่ได้หมายความว่าลงมือทำร้ายฆ่าให้ตายทางร่างกายเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงการทำร้ายจิตใจด้วย เช่นลูกทำให้พ่อแม่เป็นห่วง เป็นทุกข์กังวลเพราะลูกไม่เชื่อฟัง ประพฤติตัวไม่ดี บางทีก็ตบตีใช้กำลังผลาญทรัพย์ของพ่อแม่ เป็นต้น การทำร้ายพระอรหันต์ก็เช่นกันไม่ได้หมายความว่าฆ่าให้ตายทางกายอย่างเดียวแต่รวมถึงตำหนิติเตียน ใส่ร้ายใส่ความ กลั่นแกล้งด้วย ส่วนการยุยงให้สงฆ์แตกแยกนั้นส่วนมากเป็นเรื่องภายในสงฆ์เองที่อยากเด่นอยากดัง โลภมากด้วยลาภสักการะ จึงทำการแบ่งพรรคแบ่งพวก เป็นต้น
    สุดท้ายคือทำร้ายพระพุทธเจ้า ตรงนี้ที่บางคนเข้าใจผิดด้วยคิดว่า พระพุทธเจ้าดับขันธ์จะมีใครไปทำร้ายพระองค์ได้เล่า? ต้องขอบอกว่าการทำร้ายพระพุทธเจ้าก็คือการนำหลักธรรมคำสอนมาสอนให้ผิดเพี้ยนไปโดยอ้างว่าพระองค์สอน นี่แหละคือการทำอนันตริยกรรม ล่ะค่ะ อนันตริยกรรมเป็นกรรมหนัก บุญเบาจึงไม่สามารถมาอุ้มชู สนับสนุนหรือบั่นทอนกรรมหนักนี้ได้เลย
    อย่างกรณีที่เกิดภาวะของประเทศมีเภทภัย ประชาชนได้รับภัยพิบัติเหมือนกันร่วมกันนั่นก็หมายความว่า มีการทำกรรมร่วมกันหรือเลียนแบบลอกเลียนกันจึงได้รัยผลลักษณะภาวะแวดล้อมเหมือนกัน เช่นที่เฮติ ที่พม่าและแม้แต่ในประเทศไทยด้วย
    ฉะนั้นกรรมจึงเป็นแดนเกิดของผลกรรมที่นำไปสู่นรกหรือสวรรค์นั่นเอง
    https://www.facebook.com/photo.php?....1073742661.150729401675253&type=3&permPage=1
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 มกราคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...