อนัตตลักขณสูตร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย งูๆปลาๆ, 5 ตุลาคม 2017.

  1. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    อนัตตลักขณสูตร คือพระสูตรที่แสดงลักษณะ คือ เครื่องกำหนดหมายว่าเป็นอนัตตา เป็นพระสูตรที่มีความสำคัญที่สุดพระสูตรหนึ่ง เนื่องจากหลังจากที่พระโคตมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระสูตรนี้แล้ว ได้บังเกิดพระอรหันต์ในพระบวรพุทธศาสนา 5 องค์ รวมพระพุทธองค์เป็น 6 องค์ ซึ่งพระสูตรนี้ มีใจความเกี่ยวกับ ความไม่ใช่ตัวตนของ รูป คือ ร่างกาย เวทนา คือ ความรู้สึกสุขทุกข์หรือเฉย ๆ สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้ สังขาร คือ ความคิดหรือเจตนา วิญญาณ คือ ความรู้อารมณ์ทางตา หู เป็นต้น หรือเรียกอีกประการหนึ่งว่า อายตนะทั้ง 6 อันได้แก่สัมผัสทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ

    เอวัมเม สุตัง
    อันข้าพเจ้า(คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ว่า
    เอกัง สะมะยัง ภะคะวา พาราณะสิยัง วิหะระติ, อิสิปะตะเน มิคะทะเย
    สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี
    ตัตระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคียเย ภิกขู อามันเตสิ เอตะทะโวจะ
    ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุปัญจวัคคีย์มาแล้วตรัสว่า

    รูปัง ภิกขะเว อนัตตา
    ภิกษุทั้งหลาย รูป (ร่างกายนี้) ไม่ใช่ตัวตน
    รูปัญจะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ
    ก็หากว่ารูปนี้เป็นตัวตนแล้วไซร้
    นะยิทัง รูปัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ
    รูปนี้ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
    ลัพเภถะ จะ รูเป เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มา อโหสีติ
    ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในรูปว่าขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

    ยัสมา จะ โข ภิกขะเว รูปัง อนัตตา
    ก็เพราะเหตุที่รูปไม่ใช่ตัวตน
    ตัสมา รูปัง อาพาธายะ สังวัตตะติ
    รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
    นะจะ ลัพภะติ รูเป เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มาอโหสีติ
    และไม่ได้ตามความปรารถนาในรูปว่า ขอรูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

    เวทนา อนัตตา
    ภิกษุทั้งหลาย เวทนา(คือความรู้สึกอารมณ์) ไม่ใช่ตัวตน
    เวทนา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ
    ก็หากว่าเวทนานี้เป็นตัวตนแล้วไซร้
    นะยิทัง เวทะนา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ
    ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ (ความลำบาก)
    ลัพเภถะ จะ เวทะนายะ เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อโหสีติ
    ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในเวทนาว่า ขอเวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

    ยัสมา จะ โข ภิกขะเว เวทะนา อนัตตา
    ก็เพราะเหตุที่เวทนานั้นไม่ใช่ตัวตน
    ตัสมา เวทนา อาพาธายะ สังวัตตะติ
    เวทนาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
    นะจะ ลัพภะติ เวทะนายะ เอวัง เม เวทนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อโหสีติ
    และไม่ได้ตามความปรารถนาในเวทนาว่า ขอเวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

    สัญญา อนัตตา
    ภิกษุทั้งหลาย สัญญา(คือความจำ) ไม่ใช่ตัวตน
    สัญญา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ
    ก็หากว่าสัญญานี้เป็นตัวตนแล้วไซร้
    นะยิทัง สัญญา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ
    ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
    ลัพเภถะ จะ สัญญายะ เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อโหสีติ
    ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในสัญญาว่า ขอสัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย


    ยัสมา จะ โข ภิกขะเว สัญญา อนัตตา
    ก็เพราะเหตุที่สัญญาไม่ใช่ตัวตน
    ตัสมา สัญญา อาพาธายะ สังวัตตะติ
    สัญญาจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
    นะจะ ลัพภะติ สัญญายะ เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อโหสีติ
    และไม่ได้ตามความปรารถนาในสัญญาว่า ขอสัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

    สังขารา อนัตตา
    สังขารทั้งหลาย (คือสภาพที่เกิดกับใจ ปรุงใจให้ดีบ้าง ชั่วบ้าง) ไม่ใช่ตัวตน
    สังขารา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสังสุ
    ก็หากว่าสังขารนี้เป็นตัวตนแล้วไซร้
    นะ ยิทัง สังขารา อาพาธายะ สังวัตเตยยุง
    ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
    ลัพเภถะ จะ สังขาเรสุ เอวัง เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สังขาร มา อเหสุนติ
    ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในสังขารว่า ขอสังขารของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

    ยัสมา จะ โข ภิกขะเว สังขารา อนัตตา
    ก็เพราะเหตุที่สังขารไม่ใช่ตัวตน
    ตัสมา สังขารา อาพาธายะ สังวัตตันติ
    สังขารจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
    นะ จะ ลัพภะติ สังขาเรสุ เอวัง เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สังขารา มา อเหสุนติ
    และไม่ได้ตามความปรารถนาในสังขารว่า ขอสังขารของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

    วิญญาณัง อนัตตา
    ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณ(คือใจ) ไม่ใช่ตัวตน
    วิญญานัญ จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ
    ก็หากว่าวิญญาณนี้เป็นตัวตนแล้วไซร้
    นะยิทัง วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ
    ก็คงไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ
    ลัพเภถะ จะ วิญญาเน เอวัง เม วิญญานัง โหตุ เอวัง เม วิญญานัง มา อโหสีติ
    ทั้งยังจะได้ตามความปรารถนาในวิญญาณว่า ขอวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย


    ยัสมา จะ โข ภิกขะเว วิญญานัง อนัตตา
    ก็เพราะเหตุที่วิญญาณไม่ใช่ตัวตน
    ตัสมา วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตตะติ
    วิญญาณจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ
    นะ จะ ลัพภะติ วิญญาเน เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ เอวัง เม วิญญาณัง มา อโหสีติ
    และไม่ได้ตามความปรารถนาในวิญญาณว่า ขอวิญญาณของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย
     
  2. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ตังกิง มัญญะถะ ภิกขะเว รูปัง นิจจัง วา อนิจจัง วา ติ
    ภิกษุทั้งหลาย เธอจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
    อนิจจัง ภันเต
    ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
    ยัมปะนา นิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ
    ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
    ทุกขัง ภันเต
    เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า



    ยัมปะนา นิจจัง ทุกขัง วิปะริณา มะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโสหะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ
    ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่เราจะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรา นั่นเป็นของเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
    โน เหตัง ภันเต
    ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า
    ตังกิง มัญญะถะ ภิกขะเว เวทะนา นิจจา วา อนิจจา วาติ
    ภิกษุทั้งหลาย เธอจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
    อนิจจา ภันเต
    ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
    ยัมปะนา นิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ
    ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
    ทุกขัง ภันเต
    เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า



    ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโส หะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ
    ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่เราจะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรา นั่นเป็นของเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
    โน เหตัง ภันเต
    ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า
    ตังกิง มัญญะถะ ภิกขะเว สัญญา นิจจา วา อนิจจา วาติ
    ภิกษุทั้งหลาย เธอจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
    อนิจจา ภันเต
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า



    ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ
    ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
    ทุกขัง ภัน เต
    เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า

    ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโส หะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ
    ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่เราจะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรา นั่นเป็นของเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
    โน เหตัง ภันเต
    ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า



    ตังกิง มัญญะถะ ภิกขะเว สังขารา นิจจา วา อนิจจา วาติ
    ภิกษุทั้งหลาย เธอจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน สังขารเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
    อนิจจา ภันเต
    ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
    ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ
    ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
    ทุกขัง ภัน เต
    เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า
    ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโส หะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ
    ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่เราจะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรา นั่นเป็นของเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
    โน เหตัง ภันเต
    ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า

    ตังกิง มัญญะถะ ภิกขะเว วิญญาณัง นิจจัง วา อนิจจัง วาติ
    ภิกษุทั้งหลาย เธอจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
    อนิจจา ภันเต
    ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่เที่ยง พระเจ้าข้า
    ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ
    ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
    ทุกขัง ภัน เต
    เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า


    ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง เอตัง มะมะ เอโส หะมัสมิ เอโส เม อัตตาติ
    ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่เราจะตามเห็นสิ่งนั้นว่านั่นของเรา นั่นเป็นของเรา นั่นเป็นตัวตนของเรา?
    โน เหตัง ภันเต
    ไม่ควรเห็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า
     
  3. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ตัสมาติหะ ภิกขะเว
    ภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะเหตุนั้นแล
    ยังกิญจิ รูปัง
    รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง
    อตีตานาคะตะปัจจุปันนัง
    ที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน
    อัชฌัตตัง วาพหิทธา วา
    ภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม
    โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา
    หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม
    หีนัง วา ปณีตัง วา
    เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม
    ยันทูเร สันติเก วา
    อยู่ไกลก็ตาม อยู่ใกล้ก็ตาม


    สัพพัง รูปัง เนตัง มะมะ เนโสหะมัสมิ นะ เมโส อัตตาติ เอวะ เมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง
    รูปทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
    ยากาจิ เวทะนา อตีตานาคะตะปัจจุปปันนา
    ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน
    อัชฌัตตา วา พหิทธา วา
    ภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม
    โอฬาริกา วา สุขุมา วา
    หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม
    หีนา วา ปณีตา วา
    เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม
    ยันทูเร สันติเก วา
    อยู่ไกลก็ตาม อยู่ใกล้ก็ตาม

    สัพพา เวทะนา เนตัง มะมะ เนโสหะมัสมิ นะ เมโส อัตตาติ เอวะ เมตัง ยะถา ภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง
    เวทนาทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

    ยากาจิ สัญญา
    สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง
    อตีตานาคะตะปัจจุปปันนา
    ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน
    อัชฌัตตา วา พหิทธา วา
    ภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม
    โอฬาริกา วา สุขุมา วา
    หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม
    หีนา วา ปณีตา วา
    เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม
    ยันทูเร สันติเก วา
    อยู่ไกลก็ตาม อยู่ใกล้ก็ตาม


    สัพพา สัญญา เนตัง มะมะ เนโสหะมัสมิ นะ เมโส อัตตาติ เอวะ เมตัง ยะถา ภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง
    สัญญาทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

    เยเกจิ สังขารา
    สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง
    อตีตานาคะตะปัจจุปปันนา
    ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน
    อัชฌัตตา วา พหิทธา วา
    ภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม
    โอฬาริกา วา สุขุมา วา
    หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม
    หีนา วา ปณีตา วา
    เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม
    เยทูเร สันติเก วา
    อยู่ไกลก็ตาม อยู่ใกล้ก็ตาม

    สัพเพ สังขารา เนตัง มะมะ เนโสหะมัสมิ นะ เมโส อัตตาติ เอวะ เมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง
    สังขารทั้งหมดนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา

    ยังกิญจิ วิญญาณัง
    ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง
    อตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง
    ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน
    อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา
    ภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม
    โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา
    หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม
    หีนัง วา ปณีตัง วา
    เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม
    ยันทูเร สันติเก วา
    อยู่ไกลก็ตาม อยู่ใกล้ก็ตาม

    สัพพัง วิญญาณัง เนตัง มะมะ เนโสหะมัสมิ นะ เมโส อัตตาติ เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง
    ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่งนั้น เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา
    เอวัง ปัสสัง ภิกขะเว สุตตะวา อะริยะสาวะโก
    ภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วอย่างนี้
    รูปัสสะมิงปิ นิพพินทะติ
    ย่อมเบื่อหน่ายในรูป
    เวทะนายะปิ นิพพินนะติ
    ย่อมเบื่อหน่ายในเวทนา
    สัญญายะปิ นิพพินทะติ
    ย่อมเบื่อหน่ายในสัญญา
    สังขาเรสุปิ นิพพินทะติ
    ย่อมเบื่อหน่ายในสังขาร
    วิญญานัสมิงปิ นิพพินทะติ
    ย่อมเบื่อหน่ายในวิญญาณ
    นิพพินทัง วิรัชชะติ
    เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
    วิราคา วิมุจจะติ
    เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็หลุดพ้น
    วิมุตตัสมิง วิมุตตะมีติ ญาณัง โหติ
    เมื่อจิตพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า จิตหลุดพ้นแล้ว


    ขีณา ชาติ. วุสิตัง พรัหมจริยัง กะตัง กะระณียัง นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ
    รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้กระทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มีอีกแล้ว

    อิทะมะโวจะ ภะคะวา
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสอนัตตลักขณสูตรนี้จบลง
    อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง
    ภิกษุปัญจวัคคีย์ต่างก็มีใจยินดี ชื่นชมในพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า


    อิมัสสมิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัสมิง ภัญญะมาเน
    ก็ขณะเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า กำลังตรัสเทศนาพระภาษิตนี้อยู่
    ปัญจะวัคคิยานัง ภิกขูนัง อะนุปาทายะ อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุตจิงสูติ
    ปัญจวัคคีย์ก็มีจิตหลุดพ้นแล้ว จากอาสวะ (กิเลสที่เป็นผลของความเคยชินแห่งการเกิดกิเลส) ทั้งหลาย เพราะไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน ดังนี้แล
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เป็นบทเอาไว้สอน
    ระดับโปรชีรีย์หน่อยนะครับ
    มันเป็นระดับดวงจิตที่
    เข้าวิถีปัญญาญานได้บ้างแล้วครับ
    (คือ พอจะเห็น ผู้ดู จิต ผู้รู้ ทั้งสามส่วนนี้ได้
    และเห็นได้แล้วบ้าง แต่ยังไม่เข้าใจ
    ภาษาที่จะอุปโลกน์ออกมาเป็น
    ภาษาสมมุติ)
    กิริยาของจิต ถึงจะเป็นไปตามตำราได้
    ที่ไม่ใช่เป็นไปมีเพราะสัญญา
    ไปกระทำนะครับ

    ถ้าไม่เข้าใจนะครับ ลำดับมันคือ
    ๑ สร้างสติทางธรรม
    ๒.จิตแยกรูปแยกนามได้
    (จิต ความคิดจากจิต ขันธ์ ๕ นามธรรม
    หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
    เป็นอดีตส่วนใหญ่ ทั้งหมดเป็นนามธรรม
    คือ แยกและรู้กิริยาทั้ง ๓ ได้)
    ๓.ปัญญาทางธรรม มีฐานมาจาก ๑และ ๒
    ๔.จะใช้งานทางจิตแบบพิเศษก็ได้
    หรือไม่ใช้ก็ได้ ถ้าหนักสมถะ จะเห็น
    จิตและผู้ดูจะคิดว่าผู้ดูหรือจิตเป็นผู้รู้
    แต่ ถ้าหนักวิปัสสนา จะเห็นจิต
    กับผู้รู้ และจะคิดว่าผู้ดูผู้รู้คือตัวเดียวกัน
    ๕ มาทั้งสมถะและวิปัสสนาควบคู่กัน
    จะเริ่มเห็น ผู้ดู จิต และผู้รู้
    ๖ มาละ มาคลายตัว โทสะ โลภะ และโมหะ ที่จะไปดึง ลาภ ยศ สุข สรรเสริญเข้ามา
    ๗ มาสังเกตุ เกิดเพราะอะไร ดับเพราะอะไร
    และดับไปตอนไหน
    ๘.จะเริ่มเห็น ผู้ดู ผู้รู้ และจิต
    มันยังเป็นแค่การปรุงแต่ง
    ๙.จิตจะเริ่ม คลายความยึดมั่นถือมั่นได้จริง
    ไม่ใช่แบบข้อ ๓ ที่นักปฎิบัติที่เริ่มมี
    มักจะเข้าใจว่าตัวเองพ้น ตัวเองบรรลุ
    ตัวเองดีแล้ว ซึ่งถ้าสังเกตุ เรื่องที่เคยทิ้ง
    จะยังผุดขึ้นมาได้อีก แต่ก็จะยังเข้าใจว่าตนดี
    และจะมา ๗ ๘ ได้ จิตจะต้องเคย
    คลายตัวเองได้โดยธรรมชาติ
    ในเวลาใช้ชีวิตปกติบ้างแล้ว


    ปล เนื้อหาที่ เจ้าของเอามาลง
    จิตที่จะมีกิริยาตามได้ คืออย่างน้อย
    ต้องปฎิบัติมาถึงข้อ ๘ แล้ว ครับ

    เนื้อหาที่นำมาถ่ายทอด
    ไม่เหมือนชื่อแทนเลยเนาะ

    พึ่งพิจารณาตัวท่านเองเถิด(พูดรวมๆ)ว่า
    ปัจจุบันนี้ท่านอยู่ในขั้นไหน
    ด้วยตัวท่านเองเลยครับ

    วาระมันมีอยู่ครับ
    ค่อยๆเป็นค่อยๆไปกันครับ
     
  5. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ยินดีที่ได้สนธนาธรรมนะครับคุณ nopphakan
    คุณนพท่าจะมีวสีในการพิจารณาหรือโยนิโสมนสิการในรูป-นาม
    คุณนพอทิบายกระบวนการเข้าสังเกตุด้วยใช้สติเป็นฐานของสิ่งที่ต้องการสังเกตุได้อย่างดีพร้อมทั้งรู้ว่า การเห็น การเข้าใจ การปล่อยวางนั้นแตกต่างกันอย่างไร ไม่ได้รวบไปเป็นการเห็นด้วยสติเพียงอย่างเดียว หรือสัญญาอากการเท่านั้น
    อยากทราบว่าประโยชที่คุณนพได้รับจากการดูจิตเป็นอย่างไรครับ ต่างจากผู้ที่ไม่ได้ประโยชเพราะไม่สามารถแยก รูป จิต เจตสิก นิพพาน ได้อย่างไร คุณนพก้ได้กล่าวสามส่วนแรกไปแล้วนะครับ ว่ารูป จิต เจตสิกไม่ใช่สิ่งๆเดียวกัน มีอาการอย่างไรก้คงรู้ชัดแล้ว อยากไห้คุณนพได้อทิบายส่วนที่เป็นประโยชของการมีมนสิการใน กองรูปนามนี้ด้วยครับ วิมุตติ ผู้รู้ชัดย่อมรู้ชัด ผู้รู้แล้วย่อมรู้ว่ารู้แล้ว อนุโมทนาในธรรม
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    ประโยชน์ที่ได้จากการเริ่มต้นเข้าใจระบบการทำงานของจิต
    ตลอดจนส่วนต่างๆที่เป็นนามธรรม ที่มาประกอบรวมกัน
    ได้นั้นในเบื้องต้นก็ คือ เป็นแนวทางเดินให้จิตได้กลับคืนสู่
    ธรรมชาติเดิมแท้ของตัวจิตนั่นเองครับ
    ส่วน การที่ดวงจิตใดจะเด่นทางด้านไหนก็ตาม
    ไม่ว่าจะด้านปัญญา ด้านพิเศษ หรือด้านอื่นๆ ฯลฯ
    ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไป ตามเนื้อหาเดิมแท้ของจิต
    ดวงนั้นๆที่ได้เคยสร้างสะสมมาแล้วทั้งสิ้น

    เพียงแต่ ณ ปัจจุบันนี้ จากอายตนะทั้งหลาย
    ที่บางส่วนมีต้นกำเนิดขึ้นมาจากจิตนั้นได้
    ออกไปสัมผัส รับรู้นั้น มันได้ถูกอุปโลกน์
    เป็นสมมุติต่างๆขึ้นมา เพื่อใช้ในการคิด
    วิเคราะห์ แยกแยะ สังเคราะห์ ตีความ
    ให้ความหมาย ความเห็น ที่เป็นไปในทางโลก
    เพื่อให้เข้าใจโลก เพื่อที่จะเข้าใจและรู้ทางโลก
    และนำไปใช้ในการใช้ทรัพยากรบนโลก
    โดยที่หมายเข้าใจเอาว่า เพื่อการตอบสนอง
    มวลมนุษย์ชาติที่อยู่บนโลกนี้
    หรือแม้แต่การรู้ที่พยายามจะออกนอกกายนอกโลกมากเกินไป
    จนเป็นเหตุให้ แม้ว่าดวงจิตนั้น จะอยู่บนโลก
    แต่กลับไม่รู้และเข้าใจโลกใบนี้

    ก็เพราะว่า การอุปโลกน์ที่เป็นสมมุติ ที่ทำให้เราคิดว่าเรารู้
    ที่ออกไปภายนอกเพื่อพยายามไปรู้โลก
    ทำให้ขาดความใจ ในสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเอง
    ก็คือสิ่งที่มันมาฟอร์ม มาปรุง มาโปรแกรมรวมกัน
    เพื่อที่พยายามให้เราพยายามอุปโลกน์อะไรก็ตาม
    ให้เรายึดติดกับโลกใบนี้ ด้วยการทำให้เราเชื่อว่า
    เราเข้าใจโลกใบนี้ดีแล้วนั้นเอง...

    ประโยชน์ที่ชัดเจนของการดูจิต
    ส่วนหนึ่งก็คือตรงนี้นั้นเองครับ

    เมื่อเรายิ่งอุปโลกน์มันขึ้น ก็ยิ่งจะเป็นขวาง
    การกลับคืนสู่เนื้อหาเดิมแท้ของจิตเราเอง.......เพราะอะไร ?

    เพราะการที่จิตจะค่อยๆ กลับคืนสู่เนื้อหาเดิมแท้ได้
    ของมันเองนั้น มันต้องอาศัย การค่อยๆละ ค่อยๆคลาย
    ค่อยๆปล่อย สิ่งต่างๆที่มันได้อุปโลกน์
    ที่เป็นต้นเหตุให้จิตยังยึดติดกับโลก
    หรือยังต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดนั้นหละครับ........


    แต่เมื่อประมาณ ๒,๕๐๐ ปีกว่าผ่านมา
    ได้กำเนิดมหาบุรษ ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพ
    ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากทั้ง ๓ ภพท่านหนึ่งขึ้นมา
    เป็นผู้ที่เข้าใจกลไก มายา กระบวณการปรุงแต่งต่างๆเหล่านี้
    ทรงเล็งเห็นว่า การอุปโลกน์ต่างๆนาๆของนามธรรมต่างๆ
    ก่อนที่จะมารวมก่อเกิดเป็นรูปนั้น
    ที่ทำให้ยังต้องกลับมาเวียนตายเกิดนั้นเป็นความทุกข์
    และยังทรงได้ตรัสว่า ท่านเป็นผู้ค้นพบ
    เส้นทางแห่งการพ้นทุกข์นี้
    ด้วยการเข้าใจเหตุแห่งการปรุงแต่งจนทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมา
    และรู้วิธีแห่งการที่ทำให้พ้นทุกข์ ด้วยเส้นทางเดินแห่งการ
    ที่จะทำให้พ้นทุกข์ต่างๆเหล่านั้นได้นั้นเอง
    ทิ้งเหลือไว้ให้เราได้รับรู้ด้วยภาษาทางโลก
    ก็คือ ธรรมคำสอนของท่าน ที่ได้สอดแทรกอยู่ใน
    เส้นทางแห่งการพ้นทุกข์ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของการเกิด
    ที่เป็นทุกข์ เหตุแห่งการปรุงแต่ง วิธีการที่ทำให้พ้น
    ตลอดจนเส้นทางเดินที่จะทำให้พ้นทุกข์
    แตกแขนงแยกย่อย ออกเป็นภาษาสมุมติต่างๆนาๆ
    กลายเป็นสิ่งที่ เรารู้จักใน นามของตำรานั่นเองครับ


    ประโยชน์หลักๆของการที่เราเริ่มมาดูจิต(แค่ภาษาสมมุติ)
    หรือใครจะเรียกว่า ดูใจตัวเองก็ได้ ก็คือ
    ทำให้เราไม่ไปติดกับดัก
    กับทุกสิ่งทุกอย่าง ในระหว่างทางเดิน(ย้ำว่าในระหว่างทางเดิน)
    ที่จะทำให้พ้นทุกข์
    ที่มันพยายามอุปโลกน์ต่างๆนาๆ ให้จิตเรายึดติดกับโลกใบนี้
    จาก อนุสัย จริต วิบากต่างๆ ด้วยการไปอุปโลกน์กับ
    ตัวโทสะ โมหะ โทสะ(เชื้อที่ทำให้เวียนว่ายตายเกิด)
    ที่ยังนอนนิ่งอยู่ในตัวจิต
    ที่แอบฝั่ง แอบแทรก อยู่ในช่องว่างของจิตดวงนั้นๆ ในระดับ
    ที่เรียกว่า ปรมณูรูป(อุปโลกน์ขึ้นมา)
    ที่จะผุดขึ้นมาได้
    ในทุกช่วงของเส้นทางเดินที่ทำให้พ้นทุกข์
    ที่จะทำให้เราไปยึดติดกับมัน
    เพื่อให้เนียนไปกับเรื่องทางโลกที่มันได้
    เคยอุปโลกน์รองรับไว้ก่อนหน้านี้นั่นเอง....


    อ่านมาถึงตรงนี้ พอทราบได้บ้างหรือยังว่า
    กระบวณการอุปโลกน์ที่ทำให้เรายึดติด
    เพื่อให้ติดอยู่กับโลกใบนี้ มันเก่งขนาดไหนครับ...
    ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนามธรรมทั้งสิ้น......


    ดังนั้นการที่เราจะเริ่มไปรู้ ไปเข้าใจตรงนี้(ย้ำว่าเริ่ม)
    จึงเลี่ยงไม่ได้เลย ที่จะต้องมีเครื่องมือเข้าไปรู้ ไปทัน
    นามธรรมต่างๆเหล่านี้ ก็คือ เครื่องมือที่เราเรียกว่า
    ''สติทางธรรม '' นั่นเอง เพื่อที่จะเข้าไปควบคุม
    พฤติกรรมของความคิด ควบคุมพฤติกรรมของจิต
    เพื่อให้จิตคลายจากความคิดที่เกิดจากจิต(ที่อุปโลกน์ขึ้นมา
    จะเป็นอย่างไรก็ได้)
    กับคลายจากความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
    ที่เป็นเรื่องราวในอดีต ที่จิตมันได้ เก็บ บันทึก เอาไปซ่อนไว้
    ในที่ว่างระหว่างจิต ที่เรียกว่า ปรมณูรูปนั่นเอง
    ที่เป็นฝ่ายอารมย์ หรือที่เรียกว่า ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมนั่นเอง
    เมื่อจิตค่อยคลาย ค่อยๆละ ความคิดที่เกิดจากจิต
    และความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจจนจิตสามารถ
    แยกรูปแยกนามได้แล้วในเบื้อต้น จิตก็เข้าใจกิริยาต่างๆ
    ที่ทำให้มันเกิดขึ้นได้ในเบื้องต้น

    ก็จะสามารถมาตามดูมันแสดงกิริยาของมันได้
    ด้วยใจที่เป็นกลาง โดยมีสติทางธรรม ทำหน้าที
    ควบคุมจิต ไม่ให้เข้าไปปรุงร่วมกับขันธ์ ๕ นามธรรมเหล่านั้น
    ถ้าอ่านดูแล้ว หากสังเกตุเข้าไปจะพบว่า
    มาถึงจุดนี้ ล้วนแล้วแต่อยู่ในโปรแกรมที่อยู่ในปัจจุบันเท่านั้น...
    และเป็นเหตุที่เกิดขึ้นในปัจจุบันทั้งนั้น..แต่มีความจำเป็น
    ต้องเข้าใจจุดนี้ให้ได้ก่อน(คือขันที่ ๑ ถึง ๓ ที่กล่าวไป
    #Rep ก่อนหน้า)เพราะเป็นการเริ่มต้นไปสู่(ย้ำว่าเริ่มต้น)
    การรู้เท่าทันเหตุที่ทำให้เกิดขันธ์ ๕ นามธรรมเหล่านั้น
    หรือเป็นเหตุที่ทางโลกเรียกว่า รอบรู้ในกองสังขารนั้นเอง.....
    **** ย้าอีกรอบว่า ในระหว่างเส้นทางเดิน
    ล้วนแล้วแต่มีกับดัก ***
    กับดัก ที่จะต้องระมัดระวังให้มาก จะมาในขั้นตอนที่ ๔


    ทำไม่เพราะในขั้นที่ ๑ ถึง ๓ มันจะวางกับดับให้ท่าน
    หลงวนเวียน อยู่กับการอุปโลกน์เป็นสมมุติต่างๆ
    บนโลกใบนี้ หลอกให้ท่านว่าจะพ้นโลกได้ด้วย
    สมมุติอุปโลกน์ต่างๆเหล่านั้น

    แต่ตั้งที่ ขั้นตอนที่ ๔ นั้น มันจะสร้างให้ท่านยังยึดติดกับโลกน์
    ด้วยการสร้างให้ท่านเหมือนเป็น
    อะไรที่อยู่เหนือโลก(คือไม่ธรรมดา)
    แต่ว่า ยังอยู่ร่วมกับโลก(แบบคิดว่าท่านไม่ธรรมดา)
    และสร้างให้ท่านอุปโลกน์ตัวเอง
    เริ่มแยกจากโลกนี้ ด้วยกับดับที่มันหลอกให้ท่าน
    เหมือนอยู่บนโลกนี้แต่มี
    ดีกว่า
    สมมุติต่างๆรอบๆโลกที่มีอยู่แล้วเป็นปกติบนโลกนั่นเอง....


    เป็นอย่างไร เพื่อบางท่านจะเริ่มเข้าใจนัยยะต่อท้าย
    ปล. ข้างล่างได้บ้าง เด่วขอเล่า #Rep ต่อไปนะครับ

    ปล. '' กลจิตเป็นแค่เพียงมายาจิตชนิดหนึ่ง
    แม้เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ยึดไม่ได้''



     
  7. งูๆปลาๆ

    งูๆปลาๆ นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2017
    โพสต์:
    563
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +412
    ยินดีกับท่านนพด้วยนะครับที่สามารถเข้าถึงธรรมของพระศาสดาได้ อนุโมทนาครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...