อภิญญา แปลว่า รู้ยิ่ง อภิ-ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ ไม่มีอะไรรู้ยิ่งกว่าการ ตัดกิเลส

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 4 สิงหาคม 2005.

แท็ก:
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,682
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,012
    [​IMG]



    ปัจจุบันนี้อาตมาเวทนาโยมเหลือเกิน หลายต่อหลายคน รู้แล้วนำไปใช้ผิด ๆ ไปดูการระลึกชาติ ไปดูย้อนอดีต แล้วก็ไปภาคภูมิใจคนนั้นเป็นพี่เรา คนนั้นเป็นน้องเรา นั่นผัวเรา เมียเรา ลูกเรา พ่อเรา แม่เรา แล้วก็กอดกันตายพร้อมกับเรา อือม์...ดูก็ดูอย่างมีปัญญาสิ ดูแบบที่เรียกว่าใช้ปัญญาประกอบ แต่ละชาติที่เราเกิดมาชาติไหนไม่ทุกข์บ้าง ลำบากยากเข็ญมาจนขนาดนี้ไม่เข็ดใช่มั๊ย? ยังไปฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ ไปกอดคอตายรวมกันทั้งพรวนอีกใช่มั๊ย?



    ยังลงสู่อบายภูมิไม่เพียงพอใช่มั๊ย? อาตมาที่ไม่ยอมสอนเพราะสงสารโยม อยากจะบอกว่ามโนมยิทธิจริง ๆ ง่ายมาก คิดเป็นก็ใช้ได้แล้ว แต่ถ้าอาตมาสอนไปอาจจะพาโยมทั้งหลายติดเพิ่มขึ้นอีกเยอะ สงสารก็เลยไม่สอน นั่งอยู่ตรงนี้แค่ว่าใครติดขัดตรงไหนมาสอบถามอาตมาจะชี้แจงให้ หลวงพ่อท่านให้เรารู้เพื่อละ

    ตัวการเข้าสู่มรรคผลนิพพานจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องได้อภิญญา ไม่จำเป็นต้องได้วิชชาสอง ไม่จำเป็นต้องได้สมาบัติแปด หากแต่ท่านบอกว่าให้เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ เคารพพระธรรมจริง ๆ เคารพพระสงฆ์จริง ๆ ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ คิดว่าตายเมื่อไหร่่จะไปนิพพาน มีข้อไหนล่ะที่บอกว่าต้องได้


    การปฏิบัตินะ อภิญญา แปลว่า รู้ยิ่ง อภิ-ยิ่งกว่า อัญญา คือ ความรู้ ไม่มีอะไรรู้ยิ่งกว่าการ ตัดกิเลส อดีต...มีชาติไหนที่เราไม่ทุกข์บ้าง ปัจจุบันนี้เราทุกข์อยู่ อนาคตถ้าเกิดอีกก็ทุกข์อีก เพราะฉะนั้น อดีตังสญาณ ปัจจุบันนังสญาณ อนาคตังสญาณ มันไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ปุพเพนิวาสนานุสสติญาณ ทุกชาติที่เกิดมารวยที่สุดก็รวยมาแล้ว จนที่สุดก็จนมาแล้ว มีอำนาจที่สุดก็มีมาแล้ว ด้อยวาสนาที่สุดก็เป็นมาแล้ว มีชาติไหนที่พาให้เราพ้นทุกข์ได้? จุตูปปาตญาณ คนและสัตว์ก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน ถ้าเราทำดีเราได้ดีแน่นอนถ้าเราทำชั่วเราได้ชั่วแน่นอนไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้

    เจโตปริยญาณ รู้ใจคนอื่น ไอ้นั่นแหละตัวระยำเลย สำหรับคนใช้ผิด ดูมันต้องดูใจตัวเอง แก้ต้องแก้ที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปเที่ยวดูคนอื่น ตำหนิ คนอื่น


    บางคนมานั่งตรงหน้าเนี่ย อธิษฐานมาตั้งแต่บ้านแล้ว เออ...ถ้าหลวงพี่แน่จริงให้บอกสิว่าผมคิดอะไร ไม่ถีบให้ก็บุญแล้วนะน่ะ อยากจะบอกกับเขาให้ชัด ๆ ว่าใจของกูยังดูไม่ไหวเลย กูจะเสียเวลาไปดูใจมึงทำไม (หัวเราะ) คราวนี้ชัดมั๊ย? ปกติไม่ค่อยพูด นะ แต่บทจะพูดแล้วไม่ค่อยยั้ง

    สำคัญที่สุดก็คือดูใจตัวเอง ใจของเรามีความชั่วมั๊ย ถ้ามีไล่มันออกไประมัดระวังไว้อย่าให้มันเข้ามาอีก ใจของเรามีความดีอยู่มั๊ย? ถ้าไม่มีสร้างมันขึ้นมา ถ้ามีอยู่แล้วทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป นี่คือตัวเจโตปริยญาณที่สำคัญที่สุด

    แต่ละวันดูสีดูจิตของตัวเองมันผ่องใสมั๊ย ถ้าไม่ผ่องใสเร่งทำความดีขับจิตให้ผ่องใสที่สุดเ่ท่าที่จะพึงทำได้ แล้วก็รักษามันไว้อย่าให้มันขุ่นมัวอีก


    นี่คือ เจโตปริยญาณที่แท้จริง ไม่ใช่เที่ยวไปดูคนอื่นไปรู้คนอื่น บางคนมาถึงก็ แหม...หลวงพี่พูดเหมือนตาเห็นเลย อาจารย์พูดเหมือนตาเห็นเลย หลวงพ่อพูดเหมือนตาเห็นเลย ไม่อยากจะเห็นหรอก แต่บางทีถ้าไม่ทำอย่างนั้นมันก็ไม่เชื่อ พอเห็นเสร็จก็เลิกดู ไม่รู้จะดูต่อไปทำไมมันไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าทั้งหมดก็ทุกข์ เขาก็ทุกข์ เราก็ทุกข์ ดูความทุกข์ของตัวเองก็ดูไม่ไหวแล้ว ดูใจของตัวเองก็ระวังไม่ไหวยังไปดูเขาอีก ใช้ให้ถูกนะ ยถากัมมุตาญาณ รู้กรรมของคนและสัตว์ ถ้าเราเชื่อที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ ตกลงญาณ ๘ ต้องใช้มั๊ย? ...เออ ไม่ต้อง

    อภิญญา อภิ-ยิ่งกว่า , อัญญา-ความรู้ ไม่มีอะไรรู้เกินกว่าการตัดสินกิเลส อย่างต่ำ ๆ ให้รู้ว่าพระโสดาบันมีคุณสมบัติอย่างไรแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำในคุณสมบัตินั้นไป นั่นแหละถึงจะเป็นลูกที่ดี ถึงจะเป็นลูกที่แท้จริงของหลวงพ่อ ถึงจะพูดได้อย่างเต็มคำว่าเราเป็นศิษย์วัดท่าซุง เราเป็นศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ


    แล้วบุคคลที่ได้ล่ะ บุคคลที่ปฏิบัติได้ แต่ระวังให้ใช้กำลังใจเกาะพระนิพพานไว้ ถ้าเราดูใจตัวเองเป็น สังเกตใจตัวเองเป็นจะรู้ว่า ราคะ-อารมรณ์ระหว่างเพศก็ดี โทสะ-อารมรณ์โกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ก็ดี โลภะ-อารมณ์ความโลภอยากได้ใคร่มีก็ดี โมหะ-อารมรณ์ความหลงก็ดี มันเป็นคุณสมบัติของร่างกายนี้ ถ้าหากว่าจิตใจของเราไม่ไปปรุงไปแต่งกับมันด้วย มันก็ไม่สามารถทำอันตรายเราได้

    ในเมื่อเราได้มโนมยิทธิ เราได้อภิญญา เกิดราคะขึ้นมา ใช้อารมณ์ของมโนมายิทธิใช้อารมรณ์ของอภิญญาพุ่งจิตขึ้นไปกราบพระบนนิพพาน หน้าด้านเข้าไว้ กำลังของสมาธิของเราเข้มแข็งพอ ถ้ารู้ระวังตัวอยู่มันมาเราเผ่นพรวดหนีไปเลย ไปอยู่ข้างบนโน่น โกรธขึ้นมาหนีไปอยู่ข้างบน โลภขึ้นมาหนีไปอยู่ข้างบน หลงขึ้นมาหนีไปอยู่ข้างบน ไปอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ร่างกายเมื่อไม่มีจิตใจคอยปรุงแต่งอยู่ มันก็เหมือนกินอาหารไม่ได้ใส่เกลือไม่ได้ใส่น้ำปลาไม่ได้ใส่น้ำส้มไม่ได้ใส่น้ำตาล มันไม่มีรสไม่มีชาติมันจืดชืดไม่เป็นท่า มันเซ็งมัน ไม่มีใครไปปรุงแต่งให้อารมณ์จิตมันตั้งอยู่เดี๋ยวเดียวความชั่วเหล่านั้นมันก็สลายไป เพราะว่าความชั่วเหล่านั้นเป็นสมบัติของร่างกายไม่ใช่สมบัติของใจ

    การที่เราไปเกาะพระนิพพานเกาะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่บนวิมานของเรา นั่นแหละ คือการใช้มโนมยิทธิที่ถูกต้องอย่างที่หลวงพ่อต้องการ เพราะว่ามันจะไม่พลาดไปไหน อย่างไร ๆ เราก็อยู่ตรงนั้นแล้ว มันเป็นกาตัดกิเลสที่อัตโนมัติที่สุด

    เราอยู่ตรงนั้นให้ชินกับอารมณ์ละเอียด อารมณ์สงบ อารมณ์เยือกเย็นของพระนิพพานอันนั้น พอจิตใจมันชินรับอารมณ์นัึ้นมาเต็มที่แล้วประคับประคองให้ดี ส่วนใหญ่ลุกปั๊บเลิกเลย ต้องรู้็จักรักษาประคับประคองระมัดระวังสภาพจิตใจของเราให้ทรงตัวอยู่ในอารมณ์นั้นให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ได้ครึ่งชั่วโมง ให้ได้หนึ่งชั่วโมง สามชั่วโมง ครึ่งวัน วันหนึ่ง สามวัน อาทิตย์หนึ่ง สิบวัน ครึ่งเดือน เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง ...ว่าไปเลย ยิ่งนานเท่าไรกิเลสยิ่งกินใจเราได้น้อยลง ๆ

    ถ้ารู้ระมัดระวังรักษาอารมณ์ใจอย่างนี้เอาไว้ได้ กดกิเลสเอาไว้อย่างนี้ตลอดเวลา ก็เหมือนกับหินที่ทับหญ้า ทับไปนาน ๆ หญ้ามันตายหมด นี่คือตัวมโนมยิทธิที่หลวงพ่อต้องการให้พวกเราปฏิบัติที่หลวงพ่อเคี่ยวเข็ญ สั่งสอนเรามากี่ปีต่อกี่ปี การใช้ที่ถูกต้องใช้กันอย่างนี้ เ่ท่าที่อาตมาดูมาส่วนใหญ่ใช้ผิดหมด ในเมื่อใช้ผิด มันก็จะมีแต่โทษมากกว่าประโยชน์ทั้งนั้น แทนที่จะรู้เพื่อละก็รู้เพื่อหลง เพื่อยึดเพื่อติด แล้วสิ่งต่าง ๆ ที่เรารู้เป็นการรู้ในปัจุบัน อนาคตสิ่งเหล่านั้นก็เปลี่ยนแปลงตามไปตามปัจจัยเฉพาะหน้า ดังนั้น คำทำนายหลาย ๆ อย่างเมื่อถึงวาระ ถึงเวลา เมื่อมีปัจจัยเฉพาะหน้ามาให้เปลี่ยนแปลง อย่างเช่น บอกว่าเมื่อเดือนมิถุนายนมันจะดี แต่ถ้าหากว่าทั้งหมดรามือเสียจากการทำดี ปล่อยให้ความชั่วเข้ามาครอบงำ จิตใจกำลังของความชั่วมีสูงกว่าถึงวาระถึงเวลามันก็ไม่ดีไปตามนั้นดังนั้น กระทั่งความเป็นทิพย์ ความรู้ เหล่านี้ มันก็ยังไม่เที่ยง

    เราจะไปยึดถือมั่นหมายเชื่อปักมันลงไปว่าจะเป็นดั่งนั้นดั่งนี้นั้นไม่ได้ เพียงแต่เอาเป็นแนวทางไว้คอยระมัดระวังเท่านั้น รู้ ต้องรู้อย่างคนมีสติ ใช้ต้องใช้อย่างคนมีปัญญา สติกับปัญญาเป็นของคู่กัน ถ้าสติเกินปัญญา จะเป็นคนไม่กล้าทำอะไรจด ๆ จ้อง ๆ ขี้กลัว ขี้ระวังจนเกินไป ถ้าปัญญาเกินสติก็จะบุ่มบ่าม โฉ่งฉ่างจนกระทั่งพลาดได้ง่าย สติกับปัญญาจะต้องไปพร้อม ๆ กัน ไปเท่า ๆ กันธรรมะจึงจะเจริญ พูดมากมั๊ย?

    นาน ๆ ด่าทีว่าจนคุ้ม ปีหนึ่ง ๆ อาตมาก็มีเวลาพูดได้อย่างนี้แค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ใครเก็บอะไรไปได้ก็เก็บไป รวมเวลา ๒๕-๒๖ ปีที่ผ่านมาที่อาตมามอบกายถวายชีวิตอยู่รองพระบาทของพระเดชพระคุณหลวงพ่อมา ทั้งหมดที่เก็บมาได้ไม่เคยปิดบังใคร มีอะไรให้แค่หมด เพราะว่าพ่อก็ไม่เคยหวงวิชา



    อาตมาเองเมืื่อทำมาถึงระดับนี้ สิ่งที่ตัวเองมีความสุขกายสุขใจอยู่ก็อยากให้ญาติโยมมีความสุขเช่นนั้นบ้าง สิ่งที่เราทำได้ ทำอะไรทำง่าย ๆ สำเร็จลงง่าย ๆ ก็อยากให้ทุกท่านได้อย่างนั้นบ้าง ก็พยายามเคี่ยวเข็ญกัน แต่เพียงแต่ว่าอาตมามีเวลาเคี่ยวเข็ญพวกเราน้อยมาก เนื่องจากว่าภาระต่า งๆ มันมากเหลือเกิน บวชมาแค่ ๑๐ กว่าพรรษามีแต่คนมาขอความเช่วยเหลือ มีแต่คนมาขอพึ่งพิง ทั้งพระ ทั้งฆราวาส ทั้งเอกชน ทั้งหน่วยราชการ ทั้งในและต่างประเทศ แต่อาตมาเองมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง มีพระเดชพระคุณหลวงปู่ หลวงพ่อ เป็นที่พึ่ง มีญาติโยมทั้งหลายเป็นผู็สนับสนุน ดังนั้น สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จึงสามารถสำเร็จลุล่วงลงไปได้ในทุกเรื่อง จนกระทั่งเขาถามว่าทำไมถึงทำอะไรง่าย ๆ ทำอะไรไม่เคยลำบากกับใคร อยากจะบอกว่าถ้าบารมีเต็ม บารมี คือ กำลังใจ ถ้าบารมีเต็มบุคคลจะทำอะไรได้ไม่มีคำว่ายาก อาตมาเองน่ะไม่เต็มหรอก แต่อาศัยพระท่านเป็นหลัก ขึ้นชื่อคำว่าพระแล้วคำว่าไม่เต็มนั้นไม่มี มีแต่ล้นจนเผื่อแผ่ถึงอาตมาและญาติโยมทั้งหลาย


    เล่มที่ ๑ หน้า 3
    กระโถนข้างธรรมาสน์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 กันยายน 2013
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...