ปิดรับบริจาค อภิมหากุศลสมัย ครบ 80 พระชันษา เราทำความดีอย่างไร เพื่อน้อมถวายเป็นความสุขแด่พระองค์

ในห้อง 'ในนามเว็บพลังจิต' ตั้งกระทู้โดย มหาหินทร์, 17 ตุลาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    [​IMG]

    พุทธศักราช ๒๕๒๓ ..... นางโรชาลีน คาร์เตอร์ คู่สมรสของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เข้าเฝ้าเนื่องในโอกาสที่เดินทางมาเยี่ยมค่ายผู้อพยพในประเทศไทย หากถามคนเขมรรุ่นอายุ ๔๐ ปีว่า เหตุการณ์ใดที่เป็นเหมือนฝันร้าย และน่าสะพรึงกลัวที่สุดในยุคของพวกเขา เชื่อได้ว่าทุกคนจะตอบตรงกันว่า คือวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๑๘ วันนั้นทหารเขมรแดงยาตราทัพ เข้ายึดกรุงพนมเปญ ทำสงครามชนะรัฐบาลนายพลลอนนอล ประชาชนจำนวนมากออกมาที่ถนน คอยต้อนรับกองทัพทหารเขมรแดง และคิดว่าสงครามกลางเมือง ที่ดำเนินมาร่วมสิบปี คงจะยุติเสียที แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น ทหารเขมรแดงก็สั่งให้ประชาชนแทบทั้งหมด อพยพออกจากกรุงพนมเปญไปทำนาในชนบท ด้วยขณะนั้นเกิดภาวะข้าวยากหมากแพง นาข้าวทั่วประเทศ ถูกเครื่องบินสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดเสีย จนไร่นาเสียหาย ผลผลิตข้าวลดลงเป็นประวัติการณ์ ว่ากันว่าปริมาณระเบิดที่ทิ้งลงมานั้น มากกว่าระเบิดที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่ ๒ รวมกันเสียอีก

    การอพยพผู้คนครั้งนั้น ..... เขมรแดงถือโอกาสกวาดล้างผู้คนในระบอบการเมืองเก่า เพื่อสร้างสังคมในอุดมคติขึ้นใหม่ ในชั่วระยะเวลาเกือบสี่ปีที่เขมรแดงครองเมือง ปรากฏว่ามีผู้คนถูกสังหาร และทารุณกรรมมากกว่า ๒ ล้านคน ร้อยละ ๘๐ ของชนชั้นกลาง ปัญญาชน และนักศึกษา ถูกฆ่าทิ้ง ผู้คนจำนวนมากตายในทุ่งสังหาร หรือที่เรียกกันว่า คิลลิ่ง ฟิลด์ ก่อนเขมรแดงเข้าปกครองประเทศ ในเขมรมีนายแพทย์ประมาณ ๘๕๐ คน แต่ภายหลังเหลือเพียง ๕๐ คน ประชาชนส่วนใหญ่ของเขมรจะหนีและอพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย

    ....................................................................................​
     
  2. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG]
    พุทธศักราช ๒๕๒๔ .....
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมทหาร เพื่อเป็นกำลังใจสำคัญสำหรับ รั้วของชาติ </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER>......................................................................................</CENTER>
     
  3. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=820 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=780><CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๒๕ ..... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเสด็จพระราชดำเนินปลูกป่า "ต้นไม้ของพ่อ" งานศึกษาและพัฒนาป่าไม้ ดำเนินการพัฒนาป่าไม้โดยวิธีบำรุงป่าธรรมชาติ ปลูกสร้างสวนป่าใหม่ ปลูกเสริมป่า ช่วยเหลือในการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติของไม้ การสร้างแนวป้องกันไฟป่าเปียกในพื้นที่รองรับระบบวนเกษตร ระบบอุทกวิทยา นิเวศวิทยา ตลอดจนการศึกษาการอนุรักษ์ และเพาะเลี้ยงสัตว์ป่า ในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร
    </TD><TD width=20 background=../images/b3.jpg> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=820 align=center border=0><TBODY><TR><TD width=20 background=../images/b2.jpg> </TD><TD width=780><CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๒๖ ..... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จพระราชดำเนินด้วยความเป็นห่วงราษฎร ที่เดือดร้อนในช่วงที่น้ำท่วม "น้ำท่วม หรือ จะสู้น้ำพระราชหฤทัย" โครงการแก้มลิง เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัว ได้มีพระราชกระแสอธิบายว่าลิงโดยทั่วไปถ้าเราส่งกล้วย ให้ลิงจะรีบ ปอกเปลือก เอาเข้าปากเคี้ยว แล้วนำไปเก็บไว้ที่แก้มก่อนลิงจะทำอย่างนี้จน กล้วยหมดหวีหรือ เต็มกระพุ้ง แก้ม จากนั้นจะค่อยๆ นำออกมาเคี้ยวและ กลืนกินภาย หลัง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงนำพฤติกรรมของลิงที่นำกล้วยมาสะสมไว้ที่กระพุ้ง แก้ม ก่อนกลืนกิน เป็นตัวอย่างในการระบายน้ำออกจาก พื้นที่ท่วมขัง โดยมี พระราชดำริ ให้กรมชลประทาน ก่อสร้างบ่อพักน้ำขนาดใหญ่ในพื้นที่ประมาณ ๑๐ ตารางกิโลเมตร บริเวณใกล้ชายทะเล เพื่อรองรับน้ำท่วมที่ไหลมา ตามลำคลองธรรมชาติ และคลองขุดใหม่ และก่อสร้าง ประตูระบายน้ำเพื่อระบายน้ำลงทะเลในช่วงที่น้ำทะเลลดลง ปิดประตูระบาย น้ำเมื่อน้ำทะเลขึ้นเพื่อป้องกัน มิให้น้ำทะเลไหลเข้ามาท่วมพื้นที่ได้ การดำเนินการโครงการ แก้มลิง เต็มรูปแบบต้องศึกษาและ วางแผน อย่างละเอียดซึ่งใช้เวลานาน ในระยะแรกจึง ไม่สามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบ แต่อย่างไรก็ตามโครงการ บางส่วนสามารถดำเนิน การได้ก่อน เพื่อบรรเทาปัญหาน้ำท่วมขังได้ส่วนหนึ่ง

    .....................................................................................................................................
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  4. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๒๗ .....
    มหาวิทยาลัยทัฟฟ์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ถวายปริญญานิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
    เฉลิมพระเกียรติยศ เนื่องจากทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงงานหนักที่สุดในโลก

    ...................................................................................
     
  5. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๒๘ ..... ชีวิตใหม่ เด็กๆ ที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงมีมากมาย นอกเหนือจากที่รับพระราชภาระเลี้ยงดู รักษาพยาบาล ที่พระองค์ได้ประสบความทุกข์ยากขณะเสด็จฯ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศแล้ว เด็กที่ทรงชุบเลี้ยงทุกคน จะได้รับการศึกษาเป็นอย่างดี เด็กที่มาจากต่างจังหวัดหลายคน ได้เข้าเรียนในโรงเรียนเดียวกับพระราชโอรสและพระราชธิดาของพระองค์ ทุกคนจะได้รับการศึกษาเทียบเท่ากัน ซึ่งแล้วแต่สติปัญญาของแต่ละคน เด็กเหล่านี้ มีหลายประเภทด้วยกัน บางคนได้มาอยู่ในพระราชวัง บ้างก็ตามบ้านข้าราชบริพาร บางทีทรงฝากพ่อแม่เลี้ยงไว้ แล้วพระราชทานค่าเลี้ยงดูและค่าเล่าเรียน มีหลายคนที่จบการศึกษาถึงระดับปริญญาตรี โท เอก และ จบจากต่างประเทศ ทำงานเป็นหลักเป็นฐาน เมื่อจะทำการสมรส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็ทรงจัดการให้ พร้อมพระราชทานเงินจำนวนหนึ่ง ที่เรียกว่า เงินก้นถุง ซึ่งความจริงก็คือ เงินทุนในการเริ่มต้นชีวิตนั่นเอง .....

    ....................................................................................
     
  6. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๒๙ ..... องค์อัครศิลปิน การถ่ายภาพเป็นศิลปะอีกสาขาหนึ่งที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สนพระหฤทัยอย่างจริงจังมาตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ เป็นที่ทราบกันทั่วไปว่าในสมัยก่อนนั้น อุปกรณ์การถ่ายภาพต่าง ๆ ยังไม่ทันสมัยอย่างในปัจจุบันนี้ แต่พระองค์ก็ทรงศึกษา และ ทรงฝึกด้วยพระองค์เอง จนทรงเป็นนักถ่ายรูปที่มีพระปรีชาสามารถยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นกล้องธรรมดา หรือ กล้องถ่ายภาพยนตร์ได้เริ่มทรงกล้องถ่ายภาพคู่พระหัตถ์ และ ทรงใช้ฟิล์มตั้งแต่ขนาด ๑๓๕ จนถึงขนาด ๑๒๐ และขนาดพิเศษ กล้องถ่ายภาพที่ทรงใช้ในระยะเริ่มแรกเป็นกล้องที่ไม่มีเครื่องวัดแสงในตัว จึงต้องใช้พระราชวิจารณญาณอย่างรอบคอบละเอียดถี่ถ้วน พร้อมทั้งพระปรีชาสามารถส่วนพระองค์ จึงทรงถ่ายภาพได้อย่างเชี่ยวชาญมั่นพระราชหฤทัย

    แม้ในปัจจุบัน ..... กล้องถ่ายภาพจะมีวิวัฒนาการขึ้นกว่าสมัยก่อน ก็มิทรงใช ้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ยังทรงใช้แต่กล้องคู่พระหัตถ์แบบมาตรฐานอย่างที่นักเลงกล้องทั้งหลายใช้กัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเชี่ยวชาญแม้กระทั่งการล้างฟิล์ม การอัดขยายภาพทั้งภาพขาวดำ และภาพสี ขึ้นในบริเวณชั้นล่างของตึกที่ทำการสถานีวิทยุ อ.ส. ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทรง "สร้างภาพ" ให้เป็นศิลปะถูกต้องและรวดเร็วด้วยพระองค์เอง นอกจากนี้ทรงคิดค้นหาเทคนิคใหม่ๆ มาใช้ในการถ่ายภาพอยู่เสมอๆ จนทำให้ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ของพระองค์เป็นผลงานศิลปะที่ล้ำยุค

    ถ้าจะกล่าวถึงศิลปกรรม ..... ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จิตรกรรมเป็นศิลปะอีกประเภทหนึ่งที่พระองค์สนพระราชหฤทัยมาก จนกระทั่งได้ทรงฝึกฝนเขียนภาพด้วยพระองค์เอง จิตรกรรมฝีพระหัตถ์ของพระองค์ในระยะแรกๆ จะเป็นที่ทราบกันและมีโอกาสได้ชมกันในวงแคบเฉพาะผู้ที่สนใจในงานด้านนี้เท่านั้น บรรดาศิลปินอาวุโส และ มีชื่อเสียงของไทยซึ่งเคยได้มีโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท เพื่อร่วมปฏิสันถารและแข่งขันการวาดภาพ ถวายคำปรึกษาแด่พระองค์ท่าน ในช่วงระยะเวลาระหว่างที่พระองค์สนพระราชหฤทัยใคร่จะได้มีผู้สนใจงานด้านนี้ไว้เพื่อทรงวิสาสะด้วย จึงทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ เพื่อถวายคำปรึกษาในการเขียนภาพ

    ในระยะนั้น ..... มี อาจารย์เหม เวชกร ... อาจารย์เขียน ยิ้มศิริ ... อาจารย์จำรัส เกียรติก้อง ... อาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ ... อาจารย์ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ... อาจารย์จุลทรรศน์ พยาฆรานนท์ ... อาจารย์เฉลิม นาคีรักษ์ ... อาจารย์อวบ สาณะเสน และ อาจารย์พิริยะ ไกรฤกษ์ เป็นต้น จากปากคำของศิลปินเหล่านี้เป็นที่ทราบว่าพระองค์ทรงเขียนภาพด้วยพระองค์เองตามแนวพระราชดำริ การถวายคำปรึกษานั้นเป็นเพียงด้านเทคนิคในการเขียนภาพเท่านั้น และพระองค์มักจะมีพระราชดำรัสถามแต่เพียงว่า "พอไปได้ไหม"

    รูปผู้หญิงเปลือยนั่งคุกเข่า ..... ทรงปั้นด้วยดินน้ำมัน ขนาดสูง ๙ นิ้ว ศิลปกรรมสาขาประติมากรรมเป็นสาขาหนึ่งของวิจิตรศิลป์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงแสดงออกถึงพระปรีชาสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานด้านนี้ด้วยความสนพระราชหฤทัยยิ่ง พระองค์ทรงศึกษา ค้นคว้าเทคนิควิธีการต่างๆในงานประติมากรรมด้วยพระองค์เองทั้งการปั้น การหล่อ และการทำแม่พิมพ์ ... อาจารย์ไพฑูรย์ เมืองสมบูรณ์ ข้าราชการบำนาญ กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร ซึ่งเป็นผู้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทในงานด้านประติมากรรมและเคยเป็นประติมากรที่ทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ในขณะนั้นได้เล่าว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีรับสั่งถึงการทำงานและเทคนิควิธีการของการทำแม่พิมพ์การปั้น และทรงเข้าพระราชหฤทัยถึงกระบวนการและขั้นตอนของงานทางด้านนี้เป็นอย่างดี โดยทรงศึกษาจากหนังสือทางด้านศิลปะและทรงลงมือปฏิบัติด้วยพระองค์เอง งานประติมากรรมฝีพระหัตถ์ซึ่งเป็นประติมากรรมลอยตัว เก็บรักษาไว้ในตู้บนพระตำหนักจิตรลดารโหฐานพระราชวังดุสิต มี ๒ ชิ้นคือ

    ชิ้นที่ ๑ ได้แก่ รูปปั้นผู้หญิงเปลือยคุกเข่า ความสูง ๙ นิ้ว ทรงปั้นด้วยดินน้ำมัน
    ชิ้นที่ ๒ ได้แก่ พระรูปปั้นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ครึ่งพระองค์ ความสูง ๑๒ นิ้ว ทรงปั้นด้วยดินน้ำมัน และ

    ต่อมา ..... อาจารย์ไพฑูรย์ได้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตทำแม่พิมพ์หล่อเป็นปูนปลาสเตอร์ ประติมากรรมฝีพระหัตถ์ชิ้นนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงจัดท่าทางและองค์ประกอบ ที่มีความประสานกลมกลืนอย่างงดงาม สะท้อนคุณค่าของความสง่างาม ทรงทิ้งร่องรอยฝีพระหัตถ์ที่มีชีวิต มีการเคลื่อนไหวไว้บนผิวดินน้ำมันที่ทรงปั้น ....

    ....................................................................................
     
  7. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๓๐ .....
    พระชนมายุ ๖๐ พรรษา แต่ก็มิได้ทรงว่างเว้นจากพระราชกรณียกิจที่ตรากตรำ
    ในปีนี้มี พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐

    นอกจากประติมากรรมดังที่กล่าวมาแล้ว ..... พระองค์ยังทรงสนพระราชหฤทัยในการสร้างพระพุทธรูปอีกด้วย ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปปางประทานพร ภปร. ซึ่งสร้างขึ้นมา ๒ ครั้ง ทรงมีแนวพระราชดำริแก่ช่างปั้นว่า พระพุทธรูปปางประทานพร ภปร. ควรมีพระพุทธลักษณะเข้มแข็งแต่ไม่แข็งกระด้าง อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ และให้ดูมีเมตตา ใครที่ชมพระพุทธรูปองค์นี้ถ้ามีจิตใจอ่อนไหวก็ให้มีจิตใจเข้มแข็งขึ้น และมีความรู้สึกสงบเยือกเย็นสุขุม ดังนั้นเพื่อให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ จึงได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบพระพุทธรูปให้ดูงดงามเหมาะสมตามพระพุทธลักษณะยิ่งขึ้น ส่วนฐานของพระพุทธรูปเป็นกลีบบัว ใต้กลีบบัวเป็นขาสิงห์ ที่ผ้าทิพย์ประดิษฐานอักษรพระปรมาภิไธยย่อ ภปร. และที่ฐานรองพุทธบัลลังก์ก็มีอักษรบาลีจารึกไว้ว่า"ทยฺยชาติยา สามคฺคิย ํสติสญฺชานเนนโภชิสิยํ รกขนฺติ" ในบรรทัดถัดลงมา เป็นอักษรไทยจารึกไว้ว่า "คนไทยจะรักษาความเป็นไทย อยู่ได้ด้วยมีสติสำนึกอยู่ในความสามัคคี" โปรดให้หล่อขึ้น ๒ ขนาด คือ ขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว และ ๕ นิ้ว ในการนี้ทรงควบคุม ดูแลการปั้น และการหล่ออย่างใกล้ชิดโดยตลอด และมีพระราชประสงค์ให้ประชาชนเช่าไว้เพื่อสักการะบูชา

    ได้มีพระราชดำริ ..... ในการสร้างพระพิมพ์ส่วนพระองค์โดยโปรดเกล้าฯให้แกะแบบแม่พิมพ์ด้วยหินลับมีดโกน แล้วหล่อเป็นปูนปลาสเตอร์ ต่อจากนั้นทำแม่พิมพ์ด้วยขี้ผึ้งจากรูปหล่อปูนปลาสเตอร์ แล้วทรงบรรจุผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ตามวิธีส่วนพระองค์ด้วยพระองค์เองจนสำเร็จเป็นองค์พระพิมพ์ ในภายหลังได้เปลี่ยนจากแม่พิมพ์ขี้ผึ้งเป็นแม่พิมพ์ยาง ทำให้สามารถหล่อพระพิมพ์ได้หลายๆ ครั้ง ทรงหล่อพระพิมพ์ส่วนพระองค์ด้วยผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ นี้เป็นจำนวนมาก โดยมีพระราชประสงค์เพื่อจะทรงบรรจุไว้ที่ฐานบัวหงายด้านหน้าขององค์พระพุทธนวราชบพิตรด้วยพระองค์เอง และพระราชทานแก่ข้าราชบริพารและบุคคลอื่นๆ ไว้เพื่อสักการะบูชาโดยให้ผู้รับพระราชทานนำไปปิดทองที่ด้านหลังองค์พระพิมพ์ และให้พระบรมราโชวาทโดยสรุปว่า "ให้ทำดีเหมือนกับการปิดทองหลังองค์พระพิมพ์" พระพิมพ์ส่วนพระองค์นี้ต่อมาเรียกขานกันว่า หลวงพ่อจิตรลดา หรือ พระกำลังแผ่นดิน ผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่ทรงใช้ในการหล่อประกอบด้วย

    ผงศักดิ์สิทธิ์ส่วนพระองค์ ..... ซึ่งได้มาจาก ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่ประชาชนทูลเกล้าฯถวายในการเสด็จพระราชดำเนิน ทรงเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฎิมากรและได้ทรงแขวนไว้ที่องค์พระพุทธปฎิมากร ตลอดเทศกาลจนถึงคราวที่จะเปลี่ยนเครื่องทรงใหม่ ดอกไม้แห้งนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมไว้ เส้นพระเจ้าที่เจ้าพนักงาน ได้รวบรวมไว้หลังจากทรงพระเครื่องใหญ่ทุกครั้ง เส้นพระเจ้า หมายถึงเส้นผม และ ทรงพระเครื่องใหญ่ หมายถึงตอนตัดผม ดอกไม้แห้งจากมาลัยที่แขวนพระมหาเศวตฉัตรและด้ามพระขรรค์ชัยศรีในพระราชพิธีฉัตรมงคล สีซึ่งขูดจากผ้าใบที่ทรงเขียนเป็นภาพฝีพระหัตถ์ ชันและสีซึ่งทรงขูดจากเรือใบพระที่นั่งขณะที่ทรงตกแต่งเรือใบพระที่นั่ง และ

    ผงศักดิ์สิทธิ์ที่มาจากจังหวัดต่างๆ ทุกจังหวัดทั่วพระราชอาณาจักร ..... วัตถุเครื่องผสมจากต่างจังหวัดนี้ กระทรวงมหาดไทยได้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเป็นวัตถุที่ได้จากปูชนียสถานหรือพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ที่ประชาชนเคารพบูชาในแต่ละจังหวัด อันได้แก่ ดิน หรือ ตะไคร่น้ำแห้งจากปูชนียสถานทองคำเปลวปิดพระพุทธรูป ผงธูปหน้าที่บูชา น้ำจากบ่ออันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้เคยนำมาใช้เป็นน้ำสรงมุรธาภิเษกในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก จากนั้นก็ยังมีพระราชประสงค์ที่จะทรงทดลองหล่อพระเศียรพระพุทธรูปด้วยพระองค์เองจากแบบพระพุทธรูปปางประทานพร ภปร. ขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว โปรดเกล้าฯ ในครั้งนี้ทรงหล่อจากพระเศียรต่ำลงมาถึงพระอุระ เมื่อทรงหล่อเสร็จแล้ว ได้มีพระราชกระแสรับสั่งที่จะทรงหล่อท่อนล่างต่อให้ครบองค์ โดยมีพระราชประสงค์ในการเปลี่ยนแปลงพระกรพระหัตถ์ด้านขวาซึ่งหงายให้คว่ำลง เป็นแบบปางมารวิชัยหรือสะดุ้งมาร ส่วนฐานตอนล่างโปรดเกล้าฯ ให้เป็นฐานเขียงเรียบๆ ในการทำแม่พิมพ์ท่อนล่างนี้พบว่ามีความยากลำบากในการต่อพระกรและองค์พระท่อนบนเข้ากับท่อนล่าง ทรงนำพระท่อนบนที่หล่อครึ่งองค์ไว้แล้วนั้นไปตัดออก แล้วทรงต่อกับท่อนล่างที่ทรงหล่อภายหลัง จนเข้าด้วยกันทั้งองค์อย่างเรียบร้อยงดงาม

    ต่อมาก็ได้ ..... ทรงหล่อพระปางมารวิชัยทั้งองค์ขึ้นอีกองค์หนึ่ง ขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว ด้วยผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ โดยมีฐานขององค์พระพุทธรูปเป็นฐานเขียง ต่อมาโปรดเกล้า ฯ ให้ฐานพระพุทธรูปเป็นกลีบบัวมีขนาดพอที่จะทรงบรรจุพระพิมพ์ส่วนพระองค์ได้ และ ต่อมาได้ให้ช่างหล่อ หล่อพระพุทธรูปเนื้อทองสัมฤทธิ์ปางมารวิชัย ขนาดหน้าตัก ๙ นิ้ว มีฐานเป็นกลีบบัวทรงบรรจุพระพิมพ์ส่วนพระองค์ไว้ที่ฐานบัวหงายด้านหน้าขององค์พระพุทธรูปด้วย โปรดเกล้าฯ ให้หล่อเป็นจำนวน ๑๐๐ องค์ โดยมีพระราชประสงค์เพื่อพระราชทานไปประดิษฐาน ณ จังหวัดต่าง ๆ ทั่วพระราชอาณาจักร และได้โปรดเกล้าฯ ให้ขนานพระนามพระพุทธรูปนั้นว่า "พระพุทธนวราชบพิตร"

    พระพุทธนวราชบพิตร ..... นี้ได้พระราชทานให้จังหวัดต่างๆ เช่น หนองคาย อุดรธานี และกรุงเทพมหานครเป็นต้น นอกจากนี้พระราชทานให้กับหน่วยทหารที่ไปปฏิบัติราชการ ณ ประเทศเวียดนาม พระพุทธรูปองค์นี้จะเป็นสิริมงคลแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป และเป็นนิมิตหมายแห่งความผูกพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ระหว่างพระมหากษัตราธิราช กับบรรดาพสกนิกรของพระองค์ในทุกจังหวัดทั่วพระราชอาณาจักร และพระพิมพ์ส่วนพระองค์ซึ่งได้บรรจุไว้ที่ฐานบัวหงายนั้น ก็มีส่วนประกอบของวัตถุศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ในพระองค์ด้วย พระพุทธนวราชบพิตรจึงเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญยิ่งองค์หนึ่งในรัชกาลปัจจุบัน ซึ่งศาสนิกชนทั่วราชอาณาจักรได้ปฏิบัติบูชาสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน

    ในระยะหลัง ..... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีพระราชภารกิจมาก ไม่มีเวลาที่จะทรงสร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมให้เป็นที่ปรากฏอีก แต่อย่างไรก็ตาม ผลงานฝีพระหัตถ์ที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยะและพระปรีชาสามารถทางด้านประติมากรรมอย่างชัดแจ้ง

    ....................................................................................
     
  8. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๓๑ ..... ไม่มีพื้นที่แห่งใดในประเทศไทย ที่พระมหากษัตริย์พระองค์นี้ไม่เคยเสด็จไปถึง เมื่อวันที่ ๒-๓ และ ๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑ ได้มีพระราชพิธีสำคัญพระราชพิธีหนึ่งที่บังเกิดในโอกาสอันยากยิ่งเพราะต้อง ใช้เวลารอคอยถึง ๔๒ ปี ๒๓ วัน จึงจะประกอบ พระราชพิธีนี้ได้ ทั้งนี้เนื่องมาจากเมื่อ ร.ศ. ๑๒๖ หรือ พุทธศักราช ๒๔๔๐ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำรงสิริราชสมบัติเป็นงานใหญ่ เรียกว่า พระราชพิธีรัชมงคล ในปีนั้น และ พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ในปีถัดมา แล้วทรงครองราชย์สืบต่อมาจนเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๕๓ สิริรวมเวลาในรัชสมัยได้ ๔๒ ปี ๒๒ วัน ครั้นมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จครองราชสมบัติเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ นับถึงวันที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๓๑ เป็นเวลา ๔๒ ปี ๒๓ วัน เป็นเวลาอันยืนนานยิ่งกว่าสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช หรือยืนนานยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ในอดีตทุกรัชกาล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ตั้งการพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกขึ้นตามราชประเพณี

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ..... พระราชทานกระแสพระราชดำริว่า ในรัตนโกสินทรศก ๑๒๖ นี้ ปีในรัชกาลจะเต็มครบ ๓๙ ปี ย่างขึ้นเป็นปีที่ ๔๐ เสมอด้วยรัชกาล สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ซึ่งได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติยืนนานกว่าพระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์ในสยามประเทศ สมควรที่จะขึ้นไปทำการกุศลสักการะบูชาพระเจ้าแผ่นดินที่ได้ ถวัลยราชสมบัติในกรุงเก่าเป็นการพิเศษครั้งหนึ่ง ..... ดังนั้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีรัชมงคล มีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายเป็นราชสักการะ มีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ เลี้ยงพระ และบวงสรวงสังเวย สมเด็จพระมหากษัตริย์ในอดีตแห่งกรุงศรีอยุธยา ๓๓ พระองค์ กรุงธนบุรี ๑ พระองค์ กรุงรัตนโกสินทร์ ๔ พระองค์ ในการนี้ โปรดให้บูรณะ ปรับปรุงพระราชวังเดิมกรุงศรีอยุธยา ที่ถูกพม่าทำลายเผาพระที่นั่งต่างๆ จนเหลือแต่ซากเป็น บริเวณรกร้าง ให้มีสภาพตามประวัติศาสตร์ โดยสร้างพลับพลาตรีมุขขึ้นบนฐานเดิมของพระที่นั่งเก่า ใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธี แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปประกอบพระราชพิธีบวงสรวงอดีตพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ โดยเชิญพระพุทธรูปปางประจำแต่ละรัชกาลจากหอพระราชพงศานุสร และหอพระราชกรมานุสร วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ไปประดิษฐานในมณฑลพระราชพิธี ณ พลับพลาตรีมุข จังหวัดพระนครศรีอยุธยานั้น

    ในปีถัดมา ..... คือ พุทธศักราช ๒๔๕๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ที่ทรงครองราชย์ยืนนานกว่า สมเด็จพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในพระราชพงศาวดาร โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็น ประธานจัดงานเฉลิมฉลองอย่างมโหฬาร มีพระราชพิธีสมโภชสิริราชสมบัติ พระราชพิธีก่อฤกษ์พระที่นั่งอนันตสมาคม และพระราชพิธีฉลองพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งความจงรักภักดีของปวงชนชาวไทย และชาวต่างประเทศที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ได้ บริจาคเงินสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า ประดิษฐานไว้ ณ ลานพระราชวังดุสิต พร้อมกับถวายพระราชสมัญญาว่า “ปิยมหาราช” จารึกไว้ที่ฐานพระบรมรูปนั้น นอกจากนั้นเงินบริจาคที่ยังเหลือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้โปรดเกล้าฯให้นำไปสร้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ขึ้นเป็นสถานอุดม-ศึกษาแห่งแรกของประเทศ จึงกล่าวกันว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสร้างจากเงินหางม้าพระบรมรูปทรงม้า

    ด้วยเหตุดังนี้ ..... เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชย์ ยั่งยืนนานกว่าพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในอดีต พระบรมวงศานุวงศ์ รัฐบาล ข้าราชการฝ่ายทหาร พลเรือน ตลอดจนพสกนิกรชาวไทยทั้งปวง มีความจงรักภักดีรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจเพื่อแผ่นดินและประชาชนมาถึง ๔๓ ปี พากันชื่นชมนิยมว่า เสด็จดำรงรัฐสีมายืนนานยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์ พระองค์ใดในอดีต จึงมีสมานฉันท์พร้อมกันจัดงานเฉลิมพระเกียรติสนองพระเดชพระคุณ ทั้งขอพระราชทานให้ทรงกำหนดงานพระราชกุศลและพระราชพิธีอนุโลมตามพระราชประเพณีเมื่อครั้งแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต และทรงกำหนด การพระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ไว้เพียง ๓ วัน ให้เหมาะแก่กาลสมัย

    ...................................................................................
     
  9. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๓๒ ..... คอมพิวเตอร์ เครื่องมือที่ทรงใช้ "ปรุง" คำอวยพรปีใหม่ พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่สนพระทัยใฝ่รู้ และ ทรงศึกษาอย่างจริงจัง ลึกซึ้งในการค้นคว้าวิจัยเพื่อการพัฒนาในทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ การเกษตร การชลประทาน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีต่างๆ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ทรงเห็นความสำคัญและประโยชน์อย่างยิ่ง ทรงสนับสนุนการค้นคว้าในทางวิทยาการคอมพิวเตอร์ ในด้านส่วนพระองค์นั้น ทรงศึกษาคิดค้นสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ด้วยพระองค์เอง ทรงประดิษฐ์รูปแบบตัวอักษรไทยที่มีลักษณะงดงาม เพื่อแสดงผลบนจอภาพคอมพิวเตอร์และเครื่องพิมพ์ ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อบันทึกพระราชกรณียกิจต่างๆ และทรงติดตั้งเครือข่ายสื่อสารคอมพิวเตอร์เพื่อสนับสนุนพระราชภารกิจต่างๆ ทั้งยังทรงประดิษฐ์ ส.ค.ส. ด้วยคอมพิวเตอร์ เผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนเพื่อทรงอวยพรปวงชนชาวไทย .....

    ....................................................................................
     
  10. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๓๓ ..... ลมฝนที่โหมกระหน่ำ มิได้เป็นอุปสรรคต่อการทรงงานของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แต่อย่างใด ทฤษฎีใหม่ แนวพระราชดำรัสซึ่งเปลี่ยนคนอดเป็นคนอิ่ม

    ทฤษฎีใหม่ ขั้นที่หนึ่ง
    (๑) ..... ถ้าพูดอย่างสรุปที่สุด เป็นวิธีปฏิบัติของเกษตรกร ที่เป็นเจ้าของที่ดินจำนวนน้อย แปลงเล็กๆ

    (๒) ..... หลักสำคัญ: ให้เกษตรกรมีความพอเพียง โดยเลี้ยงตัวได้ ในระดับชีวิตที่ประหยัดก่อน ทั้งนี้ต้องมีความสามัคคีในท้องถิ่น

    (๓) ..... มีการผลิตข้าวบริโภคพอเพียงประจำปี โดยถือว่าครอบครัวหนึ่ง ทำนา ๕ ไร่ จะมีข้าวพอกินตลอดปี ข้อนี้เป็นหลักสำคัญของทฤษฎีนี้

    (๔) ..... เพื่อการนี้ จะต้องใช้หลักว่า ต้องมีน้ำ ๑,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ฉะนั้น ๕ ไร่ต้องมี ๕,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร แต่ละแปลง ๑๕ ไร่ ทำนา ๕ ไร่ ทำพืชไร่หรือไม้ผล ฯลฯ ๕ ไร่ จะต้องมีน้ำ ๑๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตรต่อปี จึงได้ตั้งสูตรคร่าวๆ ว่า แต่ละแปลงประกอบด้วย นา ๕ ไร่และพืชไร่และสวน ๕ ไร่ สระน้ำ ๓ ไร่ ลึก ๔ เมตร จุประมาณ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ ๒ ไร่ รวมทั้งหมด ๑๕ ไร่

    (๕) ..... อุปสรรคสำคัญที่สุดคือ: อ่างเก็บน้ำหรือสระ ที่ได้รับน้ำให้เต็มเพียงปีละหนึ่งครั้ง จะมีการระเหยวันละ ๑ เซนติเมตร โดยเฉลี่ย ในวันที่ฝนไม่ตกหมายความว่า ในปีหนึ่งถ้านับว่าแห้ง ๓๐๐ วัน ระดับน้ำของสระจะลดลง ๓ เมตร ในกรณีนี้ ๓/๔ ของ ๑๙,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร น้ำที่ใช้ได้จะเหลือ ๔,๗๕๐ ลูกบาศก์เมตร จึงจะต้องมีการเติมน้ำเพื่อให้เพียงพอ มีความจำเป็นที่จะมีแหล่งน้ำเพิ่มเติม สำหรับโครงการวัดมงคลชัยพัฒนา ได้สร้างอ่างเก็บน้ำจุ ๘๐๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร สำหรับเลี้ยง ๓,๐๐๐ ไร่

    (๖) ..... ลำพังอ่างเก็บน้ำจุ ๘๐๐,๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร จะเลี้ยงได้ ๘๐๐ ไร่ โครงการวัดมงคล มีพื้นที่ ๓,๐๐๐ ไร่ แบ่งเป็น ๒๐๐ แปลง อ่างนี้จึงเลี้ยงได้ ๔ ไร่ต่อแปลง ลำพังสระในแปลงเลี้ยงได้ ๔.๗๕ ไร่ จึงเห็นได้ว่า หมิ่นเหม่มาก ถ้าคำนึงว่า ๘.๗๕ ไร่นั้น จะทำเกษตรกรรมอย่างสมบูรณ์ได้อีก ๖.๒๕ ไร่ จะต้องอาศัยเทวดาเลี้ยง แต่ถ้าคำนึงว่า ในระยะที่ไม่มีความจำเป็นที่จะใช้น้ำ หรือมีฝนตก น้ำฝนที่ตกมาจะเก็บไว้ได้ในอ่างและในสระสำรองไว้สำหรับเมื่อต้องการ อ่างและสระจะทำหน้าที่เฉลี่ยน้ำฝน จึงเข้าใจว่าในระบบนี้น้ำจะพอ

    (๗) ..... ปัญหาใหญ่อีกข้อหนึ่ง คือราคาการลงทุนค่อนข้างสูง เกษตรกรจะต้องได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก จากทางราชการ จากทางมูลนิธิและทางเอกชน แต่ค่าดำเนินการไม่สิ้นเปลืองสำหรับเกษตรกร

    ทฤษฎีใหม่ ขั้นที่สอง
    เมื่อตั้งศูนย์บริการ ที่วัดมงคลชัยพัฒนา และแปลงตัวอย่างที่ "ทางดิสโก้" สำเร็จแล้ว เกษตรกรก็เริ่มเข้าใจวิธีการ จึงขอให้ดำเนินการในที่ดินของตน เมื่อได้ผลก็ต้องเริ่มขั้นที่สอง คือ ให้เกษตรกรรวมพลังกันในรูปกลุ่มหรือสหกรณ์ ร่วมแรงใน
    (๑) ..... การผลิต พันธุ์พืช เตรียมดิน ชลประทาน ฯลฯ
    (๒) ..... การตลาด ลานตากข้าว ยุ้ง เครื่องสีข้าว การจำหน่ายผลผลิต
    (๓) ..... การเป็นอยู่ กะปิน้ำปลา อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ฯลฯ
    (๔) ..... สวัสดิการ สาธารณสุข เงินกู้
    (๕) ..... การศึกษา โรงเรียน ทุนการศึกษา
    (๖) ..... สังคมและศาสนา

    ทฤษฎีใหม่ ขั้นที่สาม
    ติดต่อร่วมมือกับแหล่งเงินอย่างธนาคาร และกับแหล่งพลังงาน ก็คือพวกบริษัทน้ำมัน ตั้งและบริหารโรงสี ตั้งและบริหารร้านสหกรณ์ ช่วยการลงทุน ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต ทั้งนี้ ทั้งฝ่ายเกษตรกร และฝ่ายธนาคารกับบริษัทจะได้รับประโยชน์

    <<< เกษตรกรขายข้าวในราคาสูง ไม่ถูกกดราคา ธนาคารกับบริษัทซื้อข้าวบริโภคในราคาต่ำ ซื้อข้าวเปลือกตรงจากเกษตรกร และมาสีเอง

    <<< เกษตรกรซื้อเครื่องอุปโภค บริโภคในราคาต่ำ เป็นร้านสหกรณ์ ราคาขายส่ง

    <<< ธนาคารกับบริษัท จะสามารถกระจายบุคลากร

    ...................................................................................
     
  11. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๓๔ ..... สายสัมพันธ์ระหว่าง แม่กับลูก บันทึกของน้ำตาลหน้านี้ เป็นเรื่องเฉลิมพระชนมพรรษา ของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ..... ขอน้อมรำลึกถึง พระมหากรุณาธิคุณ ของ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ที่ทรงอภิบาล พระมหากษัตริย์ผู้ทรงประเสริฐแก่พสกนิกรชาวไทยถึงสองพระองค์ ไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าพระคุณของแม่ พระคุณล้ำเลิศแสนประเสริฐ พระแม่ของสองกษัตริย์ไทย ขอน้อมรำลึกแสนอาลัย สมเด็จย่า แม่ฟ้าหลวงของปวงชน สู่สวรรคาลัยร้อยดวงใจไทยทั้งชาติ ขอเบื้องพระยุคลบาท สถิตที่อาสน์ ณ แดนสรวง .... ฯลฯ

    ...................................................................................
     
  12. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๓๕ ..... พระราชดำรัส พระราชทานแก่ พลเอกสุจินดา คราประยูร และ พลตรีจำลอง ศรีเมือง วันพุธที่ ๒๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ..... คงเป็นที่แปลกใจ ทำไมถึงเชิญให้ท่านมาพบกันอย่างนี้ เพราะว่าทุกคนก็ทราบว่า เหตุการณ์มีความยุ่งเหยิงอย่างไร และทำให้ประเทศชาติล่มจมได้ แต่ที่จะแปลกใจก็อาจมีว่า ทำไมเชิญพลเอกสุจินดา คราประยูร และ พลตรีจำลอง ศรีเมือง เพราะว่าอาจมีผู้ที่แสดงเป็นตัวละครมากกว่านี้ แต่ว่าที่เชิญมาเพราะว่า ตั้งแต่แรกที่มีเหตุการณ์ สองท่านเป็นผู้ที่เผชิญหน้ากัน แล้วก็ในที่สุด เป็นการต่อสู้ หรือการเผชิญหน้ากว้างขวางขึ้น ถึงได้เชิญ ๒ ท่านมา

    การเผชิญหน้าตอนแรก ..... ก็จะเห็นจุดประสงค์ของทั้ง ๒ ฝ่ายได้ชัดเจนพอสมควร แต่ต่อมาภายหลัง ๑๐ กว่าวัน ก็เห็นแล้วว่า การเผชิญหน้านั้น เปลี่ยนโฉมหน้าไปอย่างมาก จนกระทั่งออกมาอย่างไรก็ตาม เสียทั้งนั้นเพราะว่า ทำให้มีความเสียหาย ในทางชีวิต เลือดเนื้อของคนจำนวนมากพอสมควร แล้วก็ความเสียหายทางวัตถุ ซึ่งเป็นของส่วนราชการ และส่วนบุคคลเป็นมูลค่ามากมาย นอกจากนี้ก็มีความเสียหายในทางจิตใจ และในทางเศรษฐกิจของประเทศชาติ อย่างที่จะนับพรรณนาไม่ได้ ฉะนั้นการที่จะเป็นไปอย่างนี้ต่อไป จะเป็นเหตุผลหรือต้นตออย่างไรก็ช่าง เพราะเดี๋ยวนี้เหตุผลเปลี่ยนไป ถ้าหากว่าเผชิญหน้ากันแบบนี้ต่อไป เมืองไทยมีแต่ล่มจมลงไป แล้วก็จะทำให้ประเทศไทย ที่เราสร้างเสริมขึ้นมาอย่างดี เป็นเวลานาน จะกลายเป็นประเทศที่ไม่มีความหมาย หรือมีความหมายในทางลบเป็นอย่างมาก ซึ่งก็เริ่มปรากฏผลแล้ว ฉะนั้นจะต้องแก้ไข โดยดูว่ามีข้อขัดแย้งอย่างไร แล้วก็พยายามที่จะแก้ไขตามลำดับ เพราะว่าปัญหา ที่มีอยู่ทุกวันนี้ สองสามวันนี้มันเปลี่ยนไป ปัญหาไม่ใช่เรื่องของเรียกว่าการเมือง หรือเรียกว่าของการดำรงตำแหน่ง เป็นปัญหาของการสึกหรอของประเทศชาติ ฉะนั้นจะต้องช่วยกันแก้ไข

    มีผู้ที่ส่งข้อแนะนำ ..... ในการแก้ไขสถานการณ์มาหลายฉบับ หลายคนจำนวนเป็นร้อย แล้วก็ทั้งในเมืองไทย ทั้งต่างประเทศที่ส่งมา ที่เขาส่งมาการแก้ไข หรือข้อแนะนำว่า เราควรจะทำอะไรก็มี ก็มีต่างๆ นานา ตั้งแต่ตอนแรกบอกว่าแก้ไขวิธียุบสภา ซึ่งก็ได้หารือกับทางทุกฝ่ายที่เป็นสภา หมายความว่า พรรคการเมืองทั้งหมด ๑๑ พรรคนี้ คำตอบมีว่าไม่ควรยุบสภา มี ๑ รายที่บอกว่าควรยุบสภา ฉะนั้นการที่จะแก้ไข แบบที่เขาเสนอมานั้น ก็เป็นอันว่าตกไป นอกจากนั้นก็มีเป็นฎีกา และแนะนำวิธีต่างๆ กัน ซึ่งได้พยายามเสนอไปตามปกติ คือเวลามีฎีกาขึ้นมา ก็ส่งไปให้ทาง สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี หรือสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขตามแบบนั้น ตกลงมีแบบยุบสภา และมีอีกแบบหนึ่ง ก็เป็นแบบแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้ตามประสงค์ที่ต้องการ หมายความว่าประสงค์เดิม ที่เกิดเผชิญหน้ากัน

    ความจริงวิธีนี้ถ้าจำได้ ..... เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๓๔ ก็ได้พูดต่อสมาคม ที่มาพบจำนวนหลายพันคน แล้วก็ดูเหมือนว่าพอฟังกัน ฟังกันโดยดี เพราะเหตุผลที่มีอยู่ในนั้น ดูจะแก้ปัญหาได้พอควร ตอนนี้ก็พอย้ำว่าทำไมพูดอย่างนั้น ว่าถ้าจะแก้ก่อนออกก็ได้ หรือออกก่อนแก้ก็ได้ อันนั้นทุกคนก็ทราบดีว่าเรื่องอะไร ก็เป็นเรื่องรัฐธรรมนูญ ซึ่งครั้งนั้น การแก้รัฐธรรมนูญก็ได้ทำมาตลอด มากกว่าฉบับเดิมที่ตั้งเอาไว้ได้แก้ไข แล้วก็ก่อนที่ไปพูดที่ศาลาดุสิดาลัย ก็ได้พบพลเอกสุจินดา ก็ขออนุญาตเล่าให้ฟังว่า พลเอกสุจินดาแล้ว พลเอกสุจินดาก็เห็นด้วยว่า ควรจะประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ และแก้ไขต่อไปได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำได้ และตอนหลังนี้ พลเอกสุจินดาก็ได้ยืนยันว่า แก้ไขได้ก็ค่อยๆ แก้เข้าระเบียบให้เป็นที่เรียกว่า ประชาธิปไตย อันนี้ก็ได้พูดมาตั้งหลายเดือนแล้ว ในวิธีการที่จะแก้ไข แล้วข้อสำคัญ ที่ทำไมอยากให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ แม้จะถือว่ารัฐธรรมนูญนั้นยังไม่ครบถ้วน ก็เพราะเหตุว่ารัฐธรรมนูญนั้น มีคุณภาพพอใช้ได้ ดีกว่าธรรมนูญการปกครองชั่วคราว ที่ใช้มาเกือบปี เพราะเหตุว่ามีบางข้อบางมาตรา ซึ่งเป็นอันตรายแล้ว ก็ไม่ครบถ้วนในการที่จะปกครองประเทศ ฉะนั้นก็นึกว่า ถ้าหากว่าสามารถที่จะปฏิบัติตามที่ได้พูดในวันที่ ๔ ธันวาคมนั้นก็นึกว่า เป็นการกลับไปดูปัญหาเดิม ไม่ใช่ปัญหาของวันนี้

    ปัญหาของวันนี้ ..... ไม่ใช่ปัญหาของการบัญญัติ หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกวันนี้คือความปลอดภัย ขวัญดีของประชาชน ซึ่งเดี๋ยวนี้ประชาชนทั่วไปทุกแห่งทุกหน มีความหวาดระแวงว่าจะเกิดอันตราย มีความหวาดระแวงว่า ประเทศชาติจะล่มจม โดยที่จะแก้ไขลำบาก ตามข่าวที่ได้ทราบมาจากต่างประเทศ เพราะเหตุว่าในขณะนี้ ทั้งลูกชายทั้งลูกสาวก็อยู่ต่างประเทศ ทั้งสองก็ทราบดี แล้วก็ได้พยายามที่จะแจ้งให้กับ คนที่อยู่ในประเทศเหล่านั้นว่า ประเทศไทยนี้ยังแก้ไขสถานการณ์ได้ แต่รู้สึกว่าจะเป็นความคิด ที่เป็นความคิดแบบหวังสูงไปหน่อย ถ้าหากว่าเราไม่ทำให้สถานการณ์อย่าง ๓ วันที่ผ่านมานี้สิ้นสุดไปได้ ฉะนั้นก็ขอให้โดยเฉพาะสองท่าน คือพลเอกสุจินดา และพลตรีจำลองช่วยกันคิด คือหันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากัน เพราะว่าเป็นประเทศของเรา ไม่ใช่ประเทศของหนึ่งคนสองคน เป็นประเทศของทุกคน เข้าหากันไม่เผชิญหน้ากันแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีอยู่ ที่เวลาเกิดจะใช้คำว่า บ้าเลือด เวลาคนมีการปฏิบัติรุนแรงมันลืมตัว ลงท้ายเขาไม่รู้ว่าตีกันเพราะอะไร แล้วก็จะแก้ปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วก็ใครจะชนะ ไม่มีทาง อันตรายทั้งนั้น มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ ผู้ที่เผชิญหน้าก็แพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดก็คือประเทศชาติ ประชาชนจะเป็นประชาชนทั้งประเทศ ไม่ใช่ประชาชน เฉพาะในกรุงเทพมหานคร ถ้าสมมติว่า เฉพาะในกรุงเทพมหานครเสียหายไป ประเทศก็เสียหายไปทั้งหมด แล้วก็จะมีประโยชน์อะไรที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองซากปรักหักพัง

    ฉะนั้นจึงขอให้ทั้งสองท่านเข้ามา ..... คือไม่เผชิญหน้ากัน แต่หันเข้าหากัน และสองท่าน เท่ากับเป็นผู้แทนฝ่ายต่างๆ คือไม่ใช่สองฝ่าย ฝ่ายต่างๆ ที่เผชิญหน้ากัน ให้ช่วยกันแก้ปัญหาปัจจุบันนี้ คือความรุนแรงที่เกิดขึ้น แล้วก็เมื่อเยียวยาปัญหานี้ได้แล้ว จะมาพูดกัน ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร สำหรับให้ประเทศไทย ได้มีการสร้างพัฒนาขึ้นมาได้ กลับคืนมาได้ด้วยดี อันนี้ก็เป็นเหตุผลที่เรียกท่านทั้งสองมา และก็เชื่อว่าทั้งสองท่าน ก็เข้าใจว่า จะเป็นผู้ที่ได้สร้างประเทศจากซากปรักหักพัง แล้วก็จะได้ผลในส่วนตัวมากว่าได้ทำดี แก้ไขอย่างไรก็แล้วแต่ที่จะปรึกษากัน ก็มีข้อสังเกตดังนี้ ท่านประธานองคมนตรี ท่านองคมนตรีเปรม ก็เป็นผู้ใหญ่ ผู้พร้อมที่จะให้คำปรึกษาหารือกัน ด้วยความเป็นกลาง ด้วยความรักชาติ เพื่อสร้างสรรค์ประเทศ ให้เข้าสู่ความปลอดภัยในเร็ววัน ขอฝากให้ช่วยกันสร้างชาติ

    ....................................................................................
     
  13. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๓๗ ..... พระมหากรุณาธิคุณแผ่ไพศาลสู่ประเทศลาวบ้านพี่เมืองน้องของไทย สะพานมิตรภาพไทย - ลาว เป็นโครงการที่ร่วมมือกัน ระหว่างรัฐบาล ๓ ประเทศ คือ ออสเตรเลีย ไทย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว แม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่ แห่งหนึ่งของโลก มีความยาวประมาณ ๔,๐๐๐ กิโลเมตร และยาวที่สุด ในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ไหลผ่านประเทศจีนตอนใต้ พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม สะพานนี้เป็นสะพานข้ามแม่นำโขงแห่งแรก ที่เชื่อมสองประเทศ สถานที่ก่อสร้างในประเทศไทย ตั้งอยู่ หาดจอมมณี อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตั้งอยู่ท่านาแล้ง ถนนท่าเดื่อ ห่างจากนครเวียงจันทร์ ๒๐ กิโลเมตร สนับสนุนด้านการเงิน โดยรัฐบาลของออสเตรเลีย เป็นค่าใช้จ่ายในการออกแบบ และก่อสร้างประมาณ ๓๐ ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา สะพานแห่งนี้เป็นความร่วมมือ ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศไทย กับ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อยังความสงบสุขสันติ ในภูมิภาคนี้ ตลอดจนแหลมอินโดจีน นับว่าเป็นสะพานที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างไทย - ลาว ให้กระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม นอกจากนี้แล้วยังเป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ มีพิธีเปิดสะพานอย่างเป็นทางการโดย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จมาเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดพร้อมด้วยประธานประเทศลาว ช่วงตัวสะพานมีความยาว ๑.๒๐ กิโลเมตร กว้าง ๑๕ เมตรมีช่องสำหรับเดินรถ ๒ ช่องทาง ซึ่งตรงช่วงกลางสะพานออกแบบไว้สำหรับสร้างทางรถไฟซึ่งขณะนี้ได้ดำเนินการก่อสร้างไปได้ถึงกลางสะพานแล้ว

    ....................................................................................
     
  14. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๓๘ .....
    องค์การอาหาร และ เกษตรแห่งสหประชาชาติ ได้ทูลเกล้าถวายเหรียญทอง อะกรีโคล่า
    สำหรับผู้นำประเทศที่มีบทบาทเด่นในการเกษตรและพัฒนาชนบท

    ....................................................................................
     
  15. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๓๙ ..... ตลอด ๕๐ ปีที่ผ่านมา กล้องถ่ายรูป แผนที่ และ วิทยุสื่อสาร ไม่เคยที่จะห่างจากพระวรกาย ในปีนี้มีงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี และ พระราชพิธีกาญจนาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติมาเป็นเวลานานที่สุด ครบ ๕๐ ปี ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๙ ซึ่งนับเป็นมหามงคลสมัยอันพิเศษยิ่ง ที่ยังความปลาบปลื้มปิติยินดีสู่ปวงชนชาวไทย ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศได้แสดงความกตัญญูกตเวที และแสดงความจงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ได้ทรงสร้างคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างอเนกอนันต์มายาวนานถึง ๕๐ ปี รัฐบาลฯ ในขณะนั้น และพสกนิกรชาวไทยได้ร่วมกันจัดงานเพื่อเฉลิมฉลอง ในวโรกาสดังกล่าว ซึ่งในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทาน ชื่อการจัดงานว่า การจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี และ ชื่อพระราชพิธีว่า พระราชพิธีกาญจนาภิเษก

    ....................................................................................
     
  16. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๔๐ ..... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ของพสกนิกรชาวไทย ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยากนักที่จะหากษัตริย์องค์ใดมาเทียบเคียงได้ เนื่องด้วยพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีความเชี่ยวชาญในทุกด้าน และในด้านหนึ่งที่ทรงนับว่าเป็นอัจฉริยะยิ่งนั่น คือทางด้านการเล่นดนตรี และ การแต่งเพลงจนได้รับการแซ่ซ้องให้เป็น ..... คีตราชัน

    เหตุที่พสกนิกรพร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญา "คีตราชัน" ..... ก็เพราะทรงมีผลงานที่เกี่ยวข้องกับด้านดนตรีอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานพระราชนิพนธ์เพลง ทรงบรรเลงเครื่องดนตรีได้หลากหลาย อีกทั้งทรงมีความสนพระราชหฤทัยทางด้านดนตรีมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ ..... ผลงานเพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ ก็ล้วนแต่มีความหมายลึกซึ้งกินใจเป็นยิ่งนัก อาทิ เพลงแสงเทียน ซึ่งเป็นงานเพลงที่ทรงพระราชนิพนธ์เป็นเพลงแรก ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช และ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ ขณะดำรงพระยศเป็นหม่อมเจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ จักรพันธ์ เป็นผู้นิพนธ์คำร้องภาษาไทย ในปีพ.ศ. ๒๔๙๐ จึงได้พระราชทาน "เพลงแสงเทียน" ให้นำออกมาบรรเลงให้พสกนิกรไทยได้รับฟังกัน ..... ซึ่ง "เพลงแสงเทียน" นี้เป็นเพลงในดนตรีแจ๊ส ซึ่งเป็นแนวดนตรีที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุด พระองค์ท่านเคยมีพระราชดำรัสว่า .....

    "ดนตรีเป็นส่วนหนึ่งของข้าพเจ้า จะเป็นแจ๊ส หรือ ไม่ใช่แจ๊ส ก็ตาม ดนตรีล้วนอยู่ในตัวคนทุกคน เป็นส่วนที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตคนเรา สำหรับข้าพเจ้า ดนตรี คือสิ่งประณีตงดงาม และ ทุกคนควรนิยมในคุณค่าของดนตรีทุกประเภท เพราะว่าดนตรีแต่ละประเภทต่างก็มีความเหมาะสมตามแต่โอกาส และ อารมณ์ที่ต่างๆ กันไป " .....

    "เมื่อพูดถึงการเล่นดนตรีก็ต่างกันอีก ถ้าข้าพเจ้าเล่นเพลงคลาสสิก และ มีใครทำเสียงดังอย่างงี้ ก็เป็นการรบกวน เพราะว่าดนตรีคลาสสิกต้องเล่นอย่างตั้งใจ จริงจัง ข้าพเจ้าไม่ได้พักผ่อนเท่าไรนัก ต้องคอยระวังไม่ให้ผิดโน้ต และ ไม่ให้ใครมารบกวนข้าพเจ้า" .....

    " ถ้าหากว่าข้าพเจ้าต้องเล่นเพลงแจ๊ส ก็ดีกว่า เพราะว่าข้าพเจ้าเล่นทำนองได้ตามใจชอบ ตามที่รู้สึกในขณะนั้น ตามแต่อารมณ์ และ ความนึกคิดของข้าพเจ้า จะพาไป ถ้าใครจะมาทำเสียงดังเวลานั้น ข้าพเจ้าก็ถือว่าเป็นเสียงประกอบ และ ถ้าข้าพเจ้าเล่นผิดโน้ตก็เท่ากับว่า ข้าพเจ้าแต่งทำนองนั้นขึ้นเองในปัจจุบัน" .....

    พระปรีชาสามารถทางการทรงดนตรีนี้เอง ..... ทำให้นักดนตรีแจ๊ซระดับโลกอย่าง เบนนี กูดแมน ซึ่งเป็นนักเป่าคาริเนท และ หลุยส์ อาร์มสตรอง นักเป่าทรัมเป็ท เคยกล่าวยกย่องพระองค์ว่าถ้าพระองค์เป็นสามัญชนธรรมดา พระองค์จะเป็นนักดนตรีชื่อก้องโลกทีเดียว ..... พระองค์พระราชนิพนธ์ เพลงอย่างต่อเนื่อง อาทิ "ชะตาชีวิต" ที่ทรงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ขึ้นเมื่อเสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และ หลังจากที่เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ แล้วยังทรงพระราชนิพนธ์ "ดวงใจกับความรัก" และ "อาทิตย์อับแสง" ในช่วงนี้ด้วย และ มีทำนองต่างไปจากบลูส์รุ่นแรกๆ คือทรงเปลี่ยนทำนองให้มีระดับเสียงช่วงกว้างขึ้น และ ทรงพระราชนิพนธ์ให้ทำนองมีลีลาเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เพลงทั้งสองเพลงนี้มีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้น ..... แต่ไม่ใช่เฉพาะแจ๊สที่ทรงพระปรีชา กับดนตรีในจังหวะอื่นๆ อาทิเช่น จังหวะ วอลทซ์ ซึ่งเป็นจังหวะเต้นรำ ก็ทรงพระปรีชาไม่แพ้กัน อาทิ "สายฝน" เป็นพระราชนิพนธ์ในจังหวะวอลทซ์ ที่ทรงสร้างทำนองให้แตกต่างกันหลายประเภท ได้ไพเราะ และ ไม่ซ้ำกับใครอื่น ด้วยจังหวะวอลซ์ทำให้ "เพลงสายฝน" ติดอันดับเพลงลีลาศยอดนิยมของเมืองไทยในช่วงนั้น นอกจากนั้นก็มี "เทวาพาคู่ฝัน" "แก้วตาขวัญใจ" "ลมหนาว" "ค่ำแล้ว" .....

    ระหว่างปี พศ. ๒๔๙๔ - ๒๔๙๕ ..... ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ พสกนิกรชาวไทยก็ได้รับพรพระราชทานจากพระองค์ท่านกันทั่วหน้า แถมยังได้เพลงอมตะสำหรับคนไทยอีก ๑ เพลง เมื่อพระองค์ทรงโปรดให้ใช้บทเพลงแทนการพระราชทานพร จึงรับสั่งให้ผู้ใกล้ชิดร่วมแต่งเพลง "พรปีใหม่" ขึ้น และ โปรดเกล้าฯ ให้ มจ.จักรพันธ์ ฯ ทรงเป่าแซกโซโฟน ในช่วงแรก และ ช่วงที่สาม โดยพระองค์ทรงเป่าในช่วง ที่สอง และ สี่ สลับกันไป จนครบทำนองเป็นเพลง แล้วแต่งคำอวยพรในบทเพลงตอนนั้นเลย แล้วเสร็จภายในครึ่งชั่วโมง และ ทรงพระราชทานให้แก่วงดนตรีของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ วงสุนทราภรณ์ เพียงสองวงเท่านั้น เพลง "พรปีใหม่" นี้คงบรรเลงกันต่อเนื่องมาทุกๆ ปี จนถึงปัจจุบันนี้ .....

    เพลงในแนวปลุกใจรักชาติ ..... ก็เป็นอีกแนวที่ทรงพระราชนิพนธ์เอาไว้ อาทิ "เกิดเป็นไทย ตายเพื่อไทย" "เราสู้" "มาร์ชราชนาวิกโยธิน" และ หนึ่งในผลงานที่คนไทยทุกคนร้อง และ สามารถฮัมทำนองได้นั่นคือ "ความฝันอันสูงสุด" จนกลายเป็นเพลงอมตะของวงการเพลงไทยในปัจจุบัน ..... เพลง "ความฝันอันสูงสุด" นี้ เป็นเพลงพระราชนิพนธ์แตกต่างไปจากเพลงอื่นๆ ก็ตรงที่ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองขึ้นภายหลัง ก็เพื่อที่จะใส่ในบทประพันธ์แบบกลอนแปด การพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงนี้เป็นการเสริมให้กลอนแปดมีค่ามากยิ่งขึ้น เพราะภาษาไทยเป็นภาษาที่มีเสียงวรรณยุกต์ถึงห้าระดับเสียง อีกทั้งการแต่งเพลงไทยเป็นเรื่องยากลำบาก เพราะต้องให้ได้ท่วงทำนองที่ไพเราะและต้องรักษาเนื้อหาของคำร้อง ถ้าทำนอง และ เสียงวรรณยุกต์ไม่ตรงกัน จะทำให้เสียงเพี้ยนผิดความหมาย ร้องยากและฟังไม่ชัดเจน .....

    การที่ทรงพระราชนิพนธ์ทำนองนี้ ..... ในขณะที่ทรงมีพระราชกรณียกิจมากมาย แสดงถึงพระวิริยะอุตสาหะยิ่ง ของพระองค์ที่ทรงเลือกพระราชนิพนธ์ทำนองเพลงในแบบกุญแจเสียงซีธรรมชาติ ซึ่งเป็นระดับเสียงพื้นฐาน ทำให้เพลงมีความหนักแน่น แทนที่พระองค์จะทรงเลือกใช้เสียงครึ่งตามแนวดนตรีตะวันตก ..... อีกแนวหนึ่งซึ่งถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณสำหรับนิสิตนักศึกษาหลายสถาบัน นั่นคือการพระราชทานเพลงประจำมหาวิทยาลัย โดยเริ่มจากเพลง "มหาจุฬาลงกรณ์" ทรงพระราชทานให้เป็นเพลงของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หลังจากนั้นจึงทรงพระราชนิพนธ์เพลงพระราชทานให้กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตามลำดับ ..... ฐานะของการเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในทางดนตรีนั้น ไม่ได้ถูกแซ่ซ้องเฉพาะจากคนไทย แต่ในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะการได้รับความชื่นชมจากชาวเมืองเวียนนา ประเทศออสเตรีย เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นนครแห่งดนตรีด้วย ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ สมัยที่พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ ยังมีชีวิตอยู่ได้เล่าว่า ในขณะที่ตนเป็นเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเวียนนา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ พระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปทอดพระเนตรการแสดงดนตรีของ N.Q. TONKUNSTLER ORCRESTRA ณ มิวสิคฮอลล์ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๗ ..... ทางวงได้อัญเชิญเพลงพระราชนิพนธ์ชุด มโนราห์ สายฝน ยามเย็น มาร์ชราชนาวิกโยธิน และ มาร์ชราชวัลลภ ไปบรรเลง และ หลังจากที่วง N.Q. TONKUNSTLER ORCRESTRA บรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์จบทุกครั้ง ผู้ชมที่อยู่ในฮอลล์จะลุกขึ้นยืนปรบมือถวายพระเกียรติเป็น เวลาที่ยาวนาน .....

    พอถึงวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๐๗ ..... ทางรัฐบาลออสเตรีย ได้ถวายสมาชิกภาพกิตติมศักดิ์ลำดับที่ ๒๓ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ณ สถาบันการดนตรีและศิลปะ แห่งกรุงเวียนนา หรือ ที่มีชื่อว่า THE INSITUTE OF MUSIC AND ART OF CHY OF VIENNA ซึ่งปรากฏพระนามพระองค์อยู่บนแผ่นหินสลักของสถาบัน และ เป็นชาวเอเชียเพียงพระองค์เดียวที่ทรงได้รับการถวายพระเกียรติให้ทรงเป็นสมาชิกภาพกิตติมศักดิ์นี้ นับเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจของพสกนิกรชาวไทยทุกคนด้วยอย่างยิ่ง ..... การที่ได้รับการถวายพระเกียรติจากสถาบันดังกล่าว เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ชัดเจนว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระปรีชาสามารถด้านดนตรีอย่างสูง เพราะเพลงพระราชนิพนธ์ทุกเพลงสามารถใช้เป็นสื่อที่สร้างความคิดสรรค์ และ สร้างความดีงามให้กับผู้ฟังได้นอกเหนือไปจากการสร้างความประทับใจ อีกทั้งยังกลายเป็นเพลงอมตะจำนวนมาก ที่สำคัญผลงานของพระองค์ท่านถูกชื่นชมจากทั่วสารทิศ .....

    ..................................................................................
     
  17. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๔๑ ..... พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิตพอเพียง เมื่อเศรษฐกิจฟองสบู่แตกในปี ๒๕๔๐ คน ที่ได้รับผลกระทบมากที่ สุด คือนักธุรกิจและผู้ที่ทำงานอยู่ ในเมืองใหญ่ บริษัทหลายแห่งล้ม ละลายต้องปิดกิจการ หลายแห่ง ต้องปลดพนักงานเพื่อประคับ ประคองให้บริษัทอยู่รอดได้ เมื่อ ต้องเดือดร้อนเพราะตกงานกัน มากขึ้น ทำให้หลายคนนึกถึง "การ ประหยัด" ความจำเป็นที่จะต้องรัด เข็มขัด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ไม่เคยมี ใครนึกถึง เพราะต่างก็จับจ่ายใช้ สอยซื้อหาวัตถุสิ่งของทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น ทั้งเกินกำลังรายได้ของตนเอง กันอย่างฟุ่มเฟือย แต่หากเราเฉลียวใจ และตั้งใจฟังพระราชดำรัสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ในทุกวันที่ ๔ ธันวาคม ของทุกปีกันอย่างมีสติ ก็จะเห็นว่าแท้จริงแล้วทรงเตือนพวกเราถึงเรื่อง การดำเนินชีวิตอย่างประหยัด พอเพียง และเรียบง่ายมาเป็นเวลานานแล้ว ..... วันที่ ๔ ธันวาคม เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ได้รับสั่งเกี่ยวกับเรื่องการกินการโกง โดยรับสั่งว่า หากบ้านเมือง ผู้คนยังโกงฉ้อราษฎร์บังหลวงอยู่อย่างนี้ บ้านเมืองพินาศนะ และเมื่อเร็วๆ นี้ ระหว่างผู้ว่า CEO เข้าเฝ้าฯ อยู่ พระองค์รับสั่งแช่งเลยว่า ใครโกงขอให้มีอันเป็นไป พวกเราคงจะได้รับฟังกันถ้วนทั่ว จริงๆแล้วหากจะขจัดการกินการโกงฉ้อราษฎร์บังหลวงแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคงไม่ใช่ให้ตำรวจ มาคอยเฝ้าระวัง เพราะกลับทำเองเสียก็มี หรือให้ ป.ป.ช. คอยไล่สอบสวนลงโทษที่ปลายทาง หากแต่คงต้องเริ่มจากตัวเองแต่ละคนเป็นเบื้องต้นเสียก่อน คือทุกคนต้องปรับพฤติกรรมการเป็น อยู่ของตัวเองให้มีชีวิตบนความพอดี พอเพียง ประหยัด อดออม อยู่อย่างเรียบง่าย จะได้ไม่ แสวงหาประโยชน์บนความสกปรก ง่ายที่สุดก็คือ "ต้องประหยัด"

    และต้นแบบในเรื่องนี้ พวกเราพสกนิกรชาวไทยคงไม่ต้องแสวงหาที่ไหน เพียงแต่ตั้งสติดำเนิน ชีวิตตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ก็ไปสู่ความพอดี พอเพียง และประโยชน์สุขแล้ว ..... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระอุปนิสัยที่ข้าราชบริพารและ ข้าราชการ ที่ใกล้ชิดรับ ทราบกันดีว่า "ทรงประหยัด" ซึ่งเป็นพระอุปนิสัยที่ติดพระองค์มาแต่ยังทรงพระเยาว์ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงฝึกให้พระราชโอรส และพระราชธิดา รู้จักวิธีการประหยัด อดออม ทรงตั้งกระป๋องออมสินไว้กลางที่ประทับ ทรงเรียกว่า กระป๋องคนจน เมื่อถึงสิ้นเดือนจะ ทรงประชุมทั้ง ๓ พระองค์ว่าจะนำเงินก้อนนี้ไปทำประโยชน์ อะไร หรือทำกิจกรรมเพื่อคนยาก จนอย่างไรดี ..... สำหรับผู้ที่ติดตามข่าวในพระราชสำนัก หรือจากสารคดีเฉลิมพระเกียรติ ก็จะเห็นบ่อยครั้งและ อาจสงสัยว่า ทำไมพระเจ้าแผ่นดินทรงใช้ดินสอที่เหลือสั้นกุดนิดเดียว และดินสอสั้นกุดนี้ใคร จะนำไปทิ้งไม่ได้ เพราะจะทรงกริ้วอย่างมาก หรือแม้แต่ฉลองพระองค์สูท หรือเบลเซอร์ถ้า สังเกตให้ดีก็จะเห็นว่า จะทรงสูท หรือเบลเซอร์องค์เดิมให้เห็นซ้ำๆ บ่อยๆ แม้ว่าจะเสด็จฯใน ต่างสถานที่และต่างเวลา เบลเซอร์บางองค์ที่ทรงสวม เมื่อนำภาพห่างกัน ๑๐ ปี ๒๐ ปี มาเปรียบ เทียบกัน จะเห็นได้ว่าหลายองค์ยังคงใช้อยู่ ทั้งนี้ ก็เพราะทรงประหยัด ทรงใช้สิ่งของต่างๆ อย่างคุ้มค่าและทะนุถนอม

    แม้กระทั่งฉลองพระบาท ..... ที่ทรงใช้เวลา เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ต่างๆ ก็จะทรงฉลอง พระบาทองค์เดิมเป็นเวลา นานหลายสิบปี เท่าที่เห็นจะมี ๒ องค์ องค์หนึ่งเป็นฉลองพระบาทผ้าใบ และอีก องค์เป็นฉลองพระบาทหนังสีดำ ซึ่งฉลอง พระบาทนั้นไม่ใช่ยี่ห้อยอดนิยมหรือมี ราคาแพงเลย ฉลองพระบาทผ้าใบที่ทรง สวมเวลาเสด็จฯ เยี่ยมราษฎรไม่เคยเปลี่ยน แบบเลยเป็น เวลาหลายสิบปีแล้ว ราคาไม่กี่ ร้อย คู่ไหนชำรุดก็ทรงส่งซ่อมร้านเล็กๆ ใกล้ๆ วัง ทำการซ่อมแซม ทรงใช้คุ้มราคา คุ้มค่าที่สุด ..... ส่วนนาฬิกาที่ทรงใช้นั้น แม้จะมีผู้ทูลเกล้าฯถวายนาฬิกายี่ห้อดัง ราคาแพง ก็ไม่ได้ทรงใช้ ทรง ใช้นาฬิกาธรรมดาที่ประชาชนทั่วไปใช้กันอยู่ ทรงมีนาฬิกาเพื่อใช้บอกเวลา ไม่ได้ทรงใช้เพื่อ การอื่น มักจะรับสั่งว่า ฉันใส่นาฬิกายี่ห้อ "ใส่แล้วโก้"

    คณะทันตแพทย์ ..... เคยนำภาพหลอดยาสีพระทนต์ที่ทรงใช้แล้วมาแสดงให้ดู ทรงรีดเสียแบนราบ เป็นแผ่นกระดาษแม้ถึงกระเปาะใกล้จุกซึ่งอย่างดีเราก็เอานิ้วกดๆ จนคิดว่าหมด แต่ของพระองค์ ทรงกดจนแบนติด เรียกว่าหมดเกลี้ยงจริงๆ มีคนมาเล่าให้ฟังว่า พอทรงกดใช้มาถึงกระเปาะ แล้ว มหาดเล็กก็เห็นทรงกดไม่สะดวกก็เชิญหลอดใหม่มาถวาย มีรับสั่งให้นำกระเปาะที่เหลือ กลับมา และรับสั่งว่าที่เหลือนั่นยังใช้ต่อได้อีกตั้งหลายวัน

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ..... เสด็จฯไปทรงเยี่ยมโครงการทางภาคเหนือ วันนั้นพวกเราใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อต่อ ในเมืองไทย เสด็จฯผ่านมาทอดพระเนตร ทรงพอพระทัยมาก และรับสั่งให้ผมและเจ้าหน้าที่ ไปยืนข้างรถ ฉายภาพพระราชทานให้พวกเราเป็นที่ระลึก พร้อมรับสั่งว่า จะส่งรถมาขอให้นำ ไปต่อถังให้เป็นลักษณะนี้ด้วย ประหยัดดี และบังเอิญช่วงนั้นนํ้ามันแพงด้วย ต่อมาไม่นานก็พระ ราชทานรถกระบะขนาดเล็กครึ่งตัน เล็กกว่าปิกอัพเสียอีก พระราชทานให้พวกเราต่อเป็นเก๋ง ตรวจการณ์ ซึ่งก็ได้นำไปต่อถวายให้ตามพระราชประสงค์ และพ่นสีฟ้านํ้าเงินเหมือนรถแวก กอนเนียร์ที่ทรงใช้อยู่ด้วย ..... เรื่องของการประหยัดที่หลายคนอาจยังไม่ทราบก็คือ ทรงช่วยประหยัดงบประมาณของรัฐบาล เป็นจำนวนมากมายมหาศาล อย่างเช่น เมื่อครั้งนํ้าท่วมหมู่บ้านเสรีในกรุงเทพฯ มีด็อกเตอร์ หลายคนกราบบังคมทูลวิธีการแก้ไข โดยการขุดคลองระบายนํ้ากว้าง ๕๐ เมตร ลึก ๔ เมตร ความยาวมากกว่า ๑๐ กิโลเมตร ใช้งบประมาณถึง ๒,๐๐๐ ล้านบาท และคลองที่จะขุดนี้ใช้ เฉพาะเวลานํ้าท่วม ซึ่งมีเพียง ๑๕ วันต่อปี คือเฉพาะในช่วงนํ้าเหนือมาเท่านั้น แต่ทรงมีวิธีการ ที่ง่ายกว่านั้น ใช้งบประมาณที่น้อยกว่ากันมาก รับสั่งให้ทำคันถนนเสมอกัน ห่างกัน ๑ กิโลเมตร ขนานไปเรื่อย ตรงกลางเก็บเป็นพื้นที่สีเขียวไว้ ถึงหน้านํ้ามาก็ให้ไหลไประหว่างถนนนี้ เรียกว่า คลองลอยฟ้า หรือคลองบนดิน ซึ่งเป็นวิธีการที่ไม่มีใครคาดถึง เรียบง่าย และประหยัดงบประ มาณที่สุด และคำนวณออกมาแล้ว เราได้คลองกว้างกว่า ๒๐ เท่าตัว แต่ใช้เงินแค่ ๔๐ กว่าล้าน เท่านั้นเอง

    นอกจากนี้ ..... ทรงประหยัดในการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ ทรงเน้นว่าเป็นการประหยัดเพื่อ ให้เกิดความยั่งยืน มีกินมีใช้ไปชั่วลูกหลาน ทรงทำให้เห็นเป็นตัวอย่างอยู่ในโครงการอันเนื่อง มาจากพระราชดำริที่มีอยู่มากมายหลายพัน โครงการ อย่างเช่น เวลาจะบำบัดนํ้าเสีย ร้อยทั้งร้อยโดย เฉพาะฝ่ายราชการก็จะนึกถึง ระบบบำบัด นํ้าเสียแบบเทคโนโลยีสมัยใหม่ ราคาแพง มหาศาลเป็นพันๆล้าน อย่างที่เป็นคดีอื้อ ฉาวอยู่ในขณะนี้ พระองค์กลับคิดที่จะนำ ผักตบชวามาใช้ เช่น คลองมักกะสัน โดย ใช้อธรรมปราบอธรรม คือ ผักตบชวา ปราบนํ้าเน่า ซึ่งได้ผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ ต่อสายตา พวกเราทุกคน กรณีแหลมผัก เบี้ยก็เอานํ้าเน่าจากเทศบาลจังหวัดเพชรบุรี มาบำบัด โดยบ่อตกตะกอน แล้วกรองด้วย พืชนานาชนิด โดยไม่ต้องมีการใช้พลังงาน เลย ใช้ธรรมชาติคือ การตกตะกอน สายลม แสงแดด พืชชนิดต่างๆ เป็นตัวบำบัด ลงทุนครั้ง เดียวในการสร้างโครงสร้าง แล้วปล่อยระบบทำงานไปเอง ใครอยากศึกษาก็ไปศึกษาได้ เพราะ ได้ผลสำเร็จ พิสูจน์ทราบได้ทั้งทางปฏิบัติและวิชาการมาดูกันมาก ทุกระดับ ประทับใจกันทุก คน แต่ไม่มีใครไปทำ เพราะมันง่ายและราคาถูกกระมัง จึงไม่มีใครชอบ?

    ทฤษฎีใหม่ ..... ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ว่าด้วยการบริหารจัดการที่ดินและน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ผลที่ได้ สำหรับราษฎรก็คือ เป็นการลดค่าใช้จ่ายและค่าอาหารบางส่วน เพราะต่างคนต่างมีซุปเปอร์มาร์ เกตส่วนตัวหลังบ้าน มีทั้งพืชผักสวนครัว ผลไม้ ปลา ไก่ เป็ด แม้กระทั่งไข่ไก่ ไข่เป็ด ที่สามารถ เก็บมากินได้ตลอดเวลา และยังอาจนำผลผลิตที่มีต่างกันมาแลกเปลี่ยนระหว่างบ้านได้อีกด้วย เป็นความประหยัดที่แฝงด้วยความเอื้ออาทรระหว่างกัน

    นอกจากนี้ ..... ทรงสร้างวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก ที่เขตห้วยขวาง นอกจากจะเป็นศูนย์รวมจิต ใจของประชาชนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ยังทรงแสดงให้เห็นอีกว่า การสร้างพระอุโบสถ ไม่จำเป็นต้องสร้างให้ใหญ่โต เพราะยากแก่การดูแลรักษา แต่ควรสร้างอย่างเรียบง่าย มีขนาด ประหยัด พอควรแก่ฐานะ และไม่เดือดร้อนแก่ผู้ดูแลในภายหลัง เดิมเราเสนองบประมาณที่คิด ว่าน้อยแล้ว คือทั้งวัดประกอบด้วย พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ กุฏิพระหลายหลัง ภูมิทัศน์ สระน้ำ ฯลฯ เป็นเงิน ๑๒๐ ล้านโดยประมาณ รับสั่งว่าแพงไป ทรงตัดฉับเดียวเหลือ ๑๔ ล้าน บาท ต้องเขียนว่าฉับเดียว เพราะตัดศูนย์แค่ตัวเดียว อย่างไรก็ตาม ก็ได้วัดสวยงาม กะทัดรัด อย่างที่เห็นทุกวันนี้

    ทั้งหมดที่เล่าสู่กันฟังนี้ ..... เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระองค์ โดยยึดแนวทางแห่ง การประหยัด แต่มีเพียงเรื่องเดียวที่ไม่ได้ทรงประหยัดเลยก็คือ น้ำพระทัย และพระราชดำริที่พระราชทานมาตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยเหลือพสกนิกรไทยให้มี หความเป็นอยู่อย่างพอเพียง อยู่ดีกินดี และดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขกันถ้วนหน้า.

    ....................................................................................
     
  18. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๔๓ ..... เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลาย ก็ทราบว่า เรา เราเลี้ยงสุนัข เค้าอยากเรียก ว่านักพอเพียง แต่ที่จริงไม่พอเพียง เป็นสุนัข เป็นสุนัขประหยัด แล้วก็มีท่านผู้ว่าพระนคร ก็ รับรองว่าเลี้ยงสุนัข ประหยัดดี ท่านเลี้ยงแมว เราเลี้ยงหมา มีประโยชน์มาก สุนัขนี้มีลูกมา ๖ เอ่อ ๙ ตัว ๙ ตัว ชุดแรกเมื่อ ๒-๓ ปี ๓ ปีก่อน ๒ ปี สุนัข สุนัขประหยัดตัวแรก ออกลูกมา ๙ ตัว แล้วก็ เสร็จแล้ว เมื่อ ๔ เดือน สุนัขอีกตัวหนึ่ง ออกลูกมาอีก ๙ ตัว เป็น ๑๘ แล้วก็เมื่อ ๒ เดือน สุนัขอีกตัว ออกลูกมาอีก ๙ ตัว เป็นมงคลอย่างยิ่ง เป็น ๒๗ แต่หลังนี่ที่ ๒ เดือน เป็นครู ก่อนนี้ ชุดแรก ๙ ตัวแรก ได้แจกไปให้คนที่ต้องการไป ๗ ตัวเหลือ ๒ ตัว ชุดที่ ๒ ตัวที่ ๒ แจกไป ๓ ตัว เหลือ ๖ ชุดที่ ๓ นี่ ๙ ตัว ไม่แจก เป็นครู เป็นครูเมื่อวานนี้เอง ไปที่คอก มีตัวนึง เป็นตัวที่ ๘ ตัวที่ ๘ ชื่อ ทองอัฐๆ เป็นขนมนะ ไม่ทราบว่าใคร ใครเคยกินขนมทองอัฐ ๙ ตัวนี่เป็นขนมทั้งนั้น เป็นชื่อขนมเพราะว่า แม่หางม้วน

    แล้วก็บอกว่า ..... ลูกจะต้อง ชื่อทองม้วน มีอีกตัว น้องของทองแดง เราจะให้ชื่อว่าทองม้วน มันไม่ได้ ทองแดง น้องของทองแดงคือ ทองเหลืองๆ นี่ก็ให้คนอื่นเค้าไป ทองเหลือง ก็ลูกจะให้ชื่อว่าทองเหลือง ปรากฏว่า ตัวแรกที่ออกมา เป็นตัวเมีย ตัวเมียให้ชื่อทองเหลืองไม่ได้ แข็งเกินไป เลยชื่อว่าทองชมพูนุท ทองชมพูนุท เป็นขนมเหมือนกัน ขนมทองชมพูนุท ตัวที่สองเป็นผู้ชาย จะให้ชื่อว่าทองม้วน ก็ไม่ได้ เพราะว่ามีขนม ชื่อทองเอก เอกต้องมาก่อน ก็ตัวที่ ๑ ชมพูนุท ทองชมพูนุท ตัวที่สอง ทองเอก ก็เป็นขนม ตัวที่สามเป็นทองม้วน ตัวที่สี่เป็นทองทัด เดือดร้อนเหมือนกัน เพราะ มีคนชื่อทองทัด แต่ว่า ก็ยังไงก็ บางคนเค้าให้ชื่อ ชื่อคนเค้านับถือใคร ก็ให้ชื่อ นี่ไม่ได้ตั้งใจดูหมิ่นว่าคน ที่ชื่อทองทัดนะ เป็น ทองม้วน ก็มีวันก่อนนี้ วันก่อนนี้มีคนชื่อทองม้วนมา ชมพูก็มี คนที่ชื่อเอกก็มี ก็ทองทัด ตัวต่อไปชื่อทองพลุ

    คงไม่มีชื่อคน ..... ชื่อพลุ ชื่อทองพลุ ต่อไปก็ชื่อ ทองหยิบ แล้วตัวที่เจ็ด ชื่อทองหยอด ทองหยอด ตัวที่แปดชื่อทองอัฐ อัฐ-ฐะ ตัวที่เก้าชื่อทองนพ แล้ววงเล็บว่า วงเล็บว่าคุณ ก็ทองนพคุณ ก็เป็นขนมนะ แต่ทีนี้ก็เป็นชื่อคน ชื่อคนก็มีนพคุณเยอะแยะ แต่ว่านี่เป็นชื่อขนม ทองนพคุณ ขนมทั้งเก้าตัว นี้ที่เล่าให้ฟังก็เพราะว่า ที่ชื่อทองอัฐ ท่านจะพาลมาก ไปดื้อ ไปขู่ตัวโน้นตัวนี้ แม่ แม่เห็นอย่างนั้น กัดแบบสั่งสอน สั่งสอนทองอัฐ นั่นก็ร้องเอ๋ง เพราะตัวรู้ว่าตัวผิด ทองแดงก็สอน แหมยิงฟัน เขี้ยวใหญ่ ลงท้ายทองอัฐก็เชื่อฟัง แล้วก็เป็นเด็กดี เป็นหมาดี ไม่ ไม่ไป ไม่ไปขู่ คนอื่นเลย นั่ง นั่งอยู่อย่าง สงบเสงี่ยม แสดงให้เห็นว่า จะเป็นคน หรือเป็นหมา ก็ต้องสั่งสอน ถ้าสั่งสอน ถ้าฉลาด ก็เชื่อฟัง ก็ต้องทำให้ดี ไม่อย่างนั้นจะยุ่งมาก ๙ ตัวอยู่ในที่ เดียวกัน กัดกันเรื่อย กัดกัน ก็เลยทำให้ไม่มีความ สงบสุขในที่นั้น เช่นเดียวกัน ในประเทศชาติ ถ้ากัดกันมาก เกินไป เคย เคยบอก เคยพูดว่าคนกัดกัน คนบอกว่าทารุณพูดอย่างนี้ พูดหนักเกินไป ความจริง หมามันกัดกัน

    แต่คนก็กัดเหมือนกัน ..... ก็เลยที่เคยบอก คนกัดกันนี่ คนที่มาฟังบอกว่า พูดหยาบคาย ที่จริงมันไม่ได้หยาบคาย ทะเลาะกันหยาบ คายกว่ากัดกัน พอกัดกันแล้ว ทะเลาะมันหยาบคาย กัดกันมันตรงไปตรงมา ก็กัดกันอย่าง ไม่รุนแรงเกินไป แต่ว่าในที่สุดก็เข้าใจกัน ก็มีความสุข มีความสงบ ไม่แก่ตัวนะ เอ๊ะ กี่ปีแล้วที่พูดมา ไม่ทราบใครจำได้ แต่ว่ายังไงก็ตาม ที่พูดถึงกลัวเวลาพูด หลุดปากออกไป หลุดปากออกไปว่า เดี๋ยวจะหาว่า หยาบคาย เดียวหาว่าพูดแรงเกินไป เดียวหาว่าพูดปิด ถ้าฟังแล้ว มีความสุข แล้วก็มาให้พร เราก็ให้พร กับทุกท่านที่ อยู่ที้นี้ว่า ให้มีความสงบ ความสุข ความเจริญ ความพอใจ พอใจ อย่างที่รู้ว่าคนอืนเขาพอใจด้วย เหมือนกัน ไม่ใช้พอใจ แล้วคนอืนไม่พอใจ ขอต่อ ขอติงไว้ ว่าทำให้ตัวเอง มีความพอใจ โดยที่ ให้คนอืนเขาเสีย คนอืนเขาไม่พอใจ คนอืน เขา เขา เสียใจอันนี้ไม่ดี ไม่ให้พร ถ้ามีความพอใจ แล้วก็สามารถ ให้คนอืนมีความพอใจ อันนี้ดีให้พร แล้วก็ขอ คงพอแล้ว ก็ขอ ให้พร .....

    ให้ทุกๆ ท่านนี้ ได้รับพร ..... อย่างที่ท่านทั้งหลาย ได้มาให้พร แล้วก็ขอบใจ แล้วก็ขอให้ท่าน ขอบใจด้วย ที่ได้รับพร และทุกคนก็ให้ พรซึ่งกันและกัน ก็ขอให้จงมีความเจริญ .....

    ...................................................................................
     
  19. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๔๔ ..... ภูมิแผ่นดิน นวมินทร์มหาราชา

    ๏ ๏ ๏ บุญของแผ่นดินไทยพ่อหลวงบันดาลให้.....ที่ในยุ้งฉางมีข้าวน้ำรินดินดีใครเล่า
    ทุกข์ใดเหินไปบรรเทาด้วยพระบาท.....เกือบศตวรรษ ธ นำไทยทั้งชาติพ้นภัย
    แผ่นดินถิ่นเมืองทองผ่านพ้นโพยภัยเนืองนอง.....พระทรงคุ้มครองไทยไว้ ธ เป็นพลังแผ่นดิน
    สมานพลังชีวินของชนชาวไทยอุ่นใจไพร่ฟ้า.....พระบุญญาเกริกไกรภูมิพลมหาราชา

    ๏ ๏ ๏ อ้าองค์สุรีย์ศรีมีธรรมส่องปกครองอย่างทรงพระเมตตา
    ดุจบิดรเหล่าประชาทุกข์ร้อนใดใดกรายมา.....โอ้ฟ้าเป็นดั่งฝนดับไฟภูมิใจไทย
    ร่วมร้อยหัวใจร่วมใฝ่ร่วมหวังภูมิพลังแผ่นดินถิ่นนี้ยิ่งใหญ่
    ภูมิประวัติประชาชาติภูมิผไทภาคภูมิประชาชัย.....ภูมิพลังแผ่นดินเทิดไท้
    นบน้อมเทิดทูน ธ เหนือเกล้าสราญนานเนาหทัยสุขล้ำสมจินต์
    เพริศแพร้วพิพัฒน์เภทภัยพ่ายแพ้สิ้น.....นวมินทร์มหาราชาภูมิพล

    ๏ ๏ ๏ อ้าองค์สุรีย์ศรีมีธรรมส่องปกครองอย่างทรงพระเมตตา
    ดุจบิดรเหล่าประชาทุกข์ร้อนใดใดกรายมา.....โอ้ฟ้าเป็นดั่งฝนดับไฟภูมิใจไทย
    ร่วมร้อยหัวใจร่วมใฝ่ร่วมหวังภูมิพลังแผ่นดินถิ่นนี้ยิ่งใหญ่
    ภูมิประวัติประชาชาติภูมิผไทภาคภูมิประชาชัย
    ภูมิพลังแผ่นดิน เทิดไท้.....นบน้อมเทิดทูน ธ เหนือเกล้าสราญนานเนาหทัยสุขล้ำสมจินต์
    เพริศแพร้วพิพัฒน์ เภทภัยพ่ายแพ้สิ้น.....นวมินทร์ มหาราชา ภูมิพล ..... ฯลฯ

    ....................................................................................
     
  20. มหาหินทร์

    มหาหินทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2005
    โพสต์:
    21,454
    ค่าพลัง:
    +181,786
    <CENTER>[​IMG] </CENTER>
    พุทธศักราช ๒๕๔๕ ..... โครงการบำบัดน้ำเสียอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เกิดขึ้นเนื่องจากพระองค์ทรงทราบว่า กรุงเทพฯ และ แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่างได้ รับผลกระทบจากปัญหาน้ำเน่าเสียอยู่ในขั้นวิกฤติรุนแรง ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากมาย กล่าวคือ

    - ด้านการอุปโภคและบริโภค
    - ด้านระบบนิเวศน์วิทยาที่เสื่อมลง
    - ด้านคุณภาพชีวิต

    จากปัญหาน้ำเสียดังกล่าว ..... ได้ทวีความรุนแรงขึ้นเป็นอย่างมาก "การประดิษฐ์เครื่องกลเติมอากาศ" จึงบังเกิดขึ้นโดยพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อผลิตขึ้นมาใช้ในประเทศไทย นับตั้งแต่วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ ที่ได้พระราชทานรูปแบบอันเป็นเค้าโครง และแนวพระราชดำริแก่เจ้าหน้าที่กรมชลประทาน ณ อาคารชัยพัฒนา พระราชวังสวนจิตรลดา เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอยที่มีชื่อว่า "กังหันน้ำชัยพัฒนา" จึงกำเนิดขึ้น เป็นสิ่งประดิษฐ์อันเกิดขึ้นด้วยพระเมตตาห่วงใยในทุกข์เข็ญ เพื่อสุขภาพของพสกนิกรผู้เดือดร้อนโดยแท้

    ถวายสิทธิบัตร ฝนหลวง ..... ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ ๒ มิ.ย. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ทูลเกล้าฯถวายสิทธิบัตรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ณ พระราชวังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์ สำหรับการประดิษฐ์การดัดแปรสภาพอากาศเพื่อให้เกิดฝน หรือฝนหลวง นับเป็นสิทธิบัตรฉบับที่ ๔ ที่กระทรวงพาณิชย์ทูลเกล้าฯถวาย ทั้งนี้ พระองค์ทรงคิดค้นและพัฒนาฝนหลวงอย่างต่อเนื่อง จนถึงขั้นที่ทรงโปรดให้เรียกว่า SUPER SANDWICH เป็นการโจมตีเมฆทั้งในระดับเมฆอุ่นและเมฆเย็นพร้อมกัน โดยใช้สารเคมีที่มีคุณสมบัติดูดซับความชื้นได้ดี ทั้งในอุณหภูมิที่สูง และต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง เป็นตัวเร่งให้เกิดกระบวนการเกิดฝน และให้ฝนตกกระจายสม่ำเสมอ ลงสู่พื้นที่เป้าหมายด้วยปริมาณที่สูงกว่า และครอบคลุมพื้นที่ได้มากกว่าฝนตามธรรมชาติ จึงเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ และมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะได้รับการทูลเกล้าฯถวายสิทธิบัตร จึงรับจดทะเบียนและออกสิทธิบัตรเลขที่ ๑๓๘๙๘ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๕

    ทั้งนี้ ..... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์แรกของโลก ที่ได้รับการถวายการรับจดทะเบียนสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร และทรงเป็นแบบอย่างที่ประชาชนสมควรเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท ในการประดิษฐ์คิดค้น สร้างสรรค์ และพัฒนาเทคโนโลยีของไทยขึ้นมาใช้เอง และการรักษาสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาจากผลงานที่ได้คิดค้นขึ้น สำหรับสิทธิบัตร ๓ ฉบับ ที่กระทรวงพาณิชย์ทูลเกล้าฯถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้แก่

    ฉบับที่ ๑ เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำหมุนช้าแบบทุ่นลอย หรือกังหันน้ำชัย พัฒนา
    ฉบับที่ ๒ เครื่องกลเติมอากาศแบบอัดอากาศและดูดน้ำ และ
    ฉบับที่ ๓ การใช้น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล
    ฉบับที่ ๔ "ฝนหลวง" ฝนที่ตกนอกเหนือจากที่จะได้รับจากธรรมชาติ ฯ
    พระราชดำรัสพระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคล ในโอกาสวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตฯ วันพฤหัสบดีที่ ๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๖ ..... โอกาสนี้ทรงมีพระราชดำรัสบางตอนถึงเรื่องความสามัคคี ว่า ... ที่เดือดร้อนที่สุดก็คือรอยร้าวในคน คนเดียวก็ร้าวได้ อย่างที่กระดูกร้าวต้องปะด้วยกาวอีพ็อกซี แต่ว่าระหว่างคนหลายคน ในหมู่คนมีรอยร้าวก็ลำบากมาก จะต้องหาวิธีที่จะประสาน สมาน ความร้าว ... จากนั้นรับสั่งถึงการเอาชนะความยากจนของประชาชน ให้ประชาชนมีความอยู่ดีกินดี มีความรู้ ... ถ้าการศึกษาไม่ดี คนไม่สามารถที่จะทำงาน การศึกษาต้องได้ทุกระดับ ต้องวางรากฐานการศึกษา ต้องพัฒนาให้ดี และพัฒนาวิธีความคิด วิธีคิด ให้มีความซุกซนในความรู้ คือซุกซนอยากเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ อันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงย้ำถึงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ว่า จะต้องรู้จักขั้นตอน ไม่ทำอะไรให้เร็วเกินไป หรือช้าเกินไป เพราะจะไม่พอเพียง ต้องให้รู้จักก้าวหน้า อาจจะเร็วก็ได้ แต่ว่าให้ก้าวหน้าโดยที่ไม่ทำให้คนเดือดร้อน นี่แหละคือเศรษฐกิจพอเพียง ... ในตอนหนึ่งของพระราชดำรัส พระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัวรับสั่งว่า ... นายกฯ ไม่ค่อยชอบให้เตือน เพราะว่าเตือนนี่ ใครเตือน เรามันเคือง มันเคือง .....

    แต่จะเล่าให้ฟังเตือนนี่ สมเด็จพระบรมราชชนนี แม่เรา .......... เราอายุ ๔๐ – ๕๐ แล้ว ท่านมา ท่านชม อุ้ยเก่ง ทำไอ้นี่แม่ชอบ แต่ท่านต่อ ต้องต่อ อย่าลืมตัว ท่านว่าอย่างนั้น ทุกครั้ง อย่าลืม ท่านพูดว่าอย่าลอย อย่าลอยคือ ท่านใช้คำว่าปอดลอย ลอย ลอย ลอยไอ้ขานี่ต้องอยู่บนดิน อยู่บนดิน ท่านบอกว่าชื่อลูก ชื่อภูมิพล ภูมิพลต้องเหยียบดิน ไอ้การลอยไม่เหยียบดิน เสร็จ ใช้ไม่ได้ ภูมิพลนี่ เหยียบดิน เนี่ยไม่ใช่ดิน ข้างใต้นี่พื้นดิน ถึงเดิน เดินไปบนภูเขาก็เดินบนดิน เหาะเฮลิคอปเตอร์แล้วลงมาถึงก็เดินกับดิน ท่านเตือนอยู่เสมอว่า ห้ามไม่ให้ลอย จนกระทั่งอายุเกือบ ๖๐ ท่านหยุด ท่านไม่เตือนแล้ว ท่านไม่ค่อยบอกว่าแม่ชอบ ท่านบอกว่า ถ้าทำอะไรดีให้รู้ว่าดี แต่ว่าอย่าไปเห่อมากเกินไป แต่อย่างนี้ ถึงขอโทษ ขอโทษนายกฯ หาว่า ตำหนินายกฯ ไม่ใช่ ต้องระวัง ไอ้การชัยชนะของการปราบไอ้ยาเสพติดนี่ ดีที่ปราบ แล้วก็ที่เขาตำหนิบอกว่า เอ้ย คนตาย ตั้ง ๒,๕๐๐ คน อะไรนั่น เรื่องเล็ก ๒,๕๐๐ คน ถ้านายกฯ ไม่ได้ทำ นายกฯ ไม่ได้ทำ ทุกปี ๆ จดไว้นะ มีมากกว่า ๒,๕๐๐ คนที่ตาย ที่ตายทั้งคนที่เสพติด แล้วก็ขึ้นไป ฆ่าคน หรือทำอะไร เผาอะไรต่าง ๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ที่ต้องไปปราบปกติ ก็ตายมากเหมือนกัน แต่ไม่พูดเท่านั้นเอง ไม่ไปนับ แต่นี้เขาก็นับไปชี้ ชี้ ชี้นับ พวกที่ค้า พวกที่ทำ ก็ตายเยอะเหมือนกัน ก่อนนี้ แต่ไม่พูดถึง เชื่อว่าพอๆ กับที่ได้จดว่า มีผู้ที่ตายในการสงครามต่อสู้ยาเสพติด ที่ทราบว่าคนตาย เพราะยาเสพติดนี่ มากมาย เพราะว่า สังเกตดูตั้งปีที่แล้ว บอกว่า ๔๐ กว่าปี ต้อง ๔๐ กว่าปีแน่ เพราะว่าตอนนั้นอยู่ที่พระที่นั่งอัมพรฯ ก่อน ก่อนลูกองค์นี้ อย่างน้อยลูกเกิด คนเล็กนะยังไม่เกิด ลูกคนเล็กเกิดที่พระที่นั่งอัมพรฯ แล้ว เราถึงย้ายมาที่ตำหนักสวนจิตรฯ นี่ มียาเสพติดก่อนเขา วิธีที่จะทำ ปีที่แล้วมาเล่าให้ฟัง แต่ว่าอาจจะไม่ละเอียดพอ ไม่เข้าใจ ปีที่แล้วอธิบายว่า ทำไมนึกถึงเป็นสงคราม ไอ้คำว่า สงครามเอามาจากปากคนนี้ ว่าเป็นสงคราม เพราะว่าสงคราม ๒ อย่าง สงครามการเมือง และสงครามเศรษฐกิจ สงครามการเมืองเขาใช้ยาเสพติดนี้มาก สำหรับมาบ่อนทำลายประชากรไทย รวมทั้งประชากรของประเทศ เขาก็ได้เป็นผลพลอยได้เท่านั้นเอง ที่เขาได้เงิน แต่ที่ได้คือ ทำลาย ทำลายประชากรให้เป็นคนติดยา เป็นคนที่เขาว่า ขี้ยา คนขี้ยาคิดอะไรไม่ออก บางคนนึกว่าใช้ยานี่ทำให้แข็งแรง ทำให้มีความคิดดี แต่แท้จริงไม่ คนที่กินนั่นนะ เสพยา ตอนนั้นเป็นเฮโรอีนนะ เขาใส่ในน้ำหวาน ใส่ในกาแฟ ใส่ในน้ำแล้วก็หลอกทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ เมืองจีนเขาทำ แล้วก็ไม่ใช่คนจีนทำ เป็นฝรั่งทำ ที่นี่มีฝรั่งหรือเปล่า เดี๋ยวเขาโกรธเอา แต่ว่าเป็นความจริงว่า ฝรั่งเป็นคนใช้ยาเสพติด ทำลายเมืองจีน แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งมีสงคราม เขาก็มีสงครามเหมือนกัน แต่ตายมากกว่า ๒,๕๐๐ คน แล้วที่บอก ๒,๕๐๐ คน นี่ก็ไม่เชื่อ มีมากกว่า ที่เขาตายแต่เราไม่รู้ แล้วก็พวกที่ทางเจ้าหน้าที่ได้สังหาร ไม่ใช่ ๒,๕๐๐ นี่เขาสังหารกันเอง แล้วนี่เราจะรับผิดชอบได้อย่างไร เขาด่าว่า นายกฯ ทำสงคราม ทำให้คนตาย ๒,๕๐๐ คน ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ๒,๕๐๐ คน มันหมดทั้งหมด เขานับแต่ว่า พวกที่ตายเป็นส่วนใหญ่ เป็นพวกที่เขาฆ่ากันเอง พวกที่ค้า พวกที่ผลิต เขาฆ่ากันเอง จำนวนมาก ที่ทางราชการจะรับผิดชอบ ก็อาจจะมีจำนวนหนึ่ง ก็ลองถามทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปแยก จำแนกเป็นเท่าไร ก็เชื่อว่าใน ๒,๕๐๐ นี่ มากที่เขาฆ่ากันเอง แล้วก็ความผิดของเขา มาโยนความผิดให้ท่านซูเปอร์นายกฯ ไม่รู้ล่ะก็นายกฯ สั่งให้รองนายกฯ รองนายกฯ ก็เป็นซีอีโอ

    แต่นายกฯ ก็เป็นซีอีโอ ซูเปอร์นายกฯ ..... ก็โยนให้ เพราะว่าบอกว่าเป็นผู้ชนะ ผู้ชนะกลายเป็นฆ่าหมดเลย ต้องรับผิดชอบฆ่า แต่แท้จริงลูกน้องก็ต้องรับผิดชอบ คือ ที่เข้าใจ ซีอีโอไม่รับผิดชอบอะไรเลย ต้องให้รองนายกฯ รับผิดชอบ และต้องมี ๗ คนด้วย รองนายกฯ ๗ คน คือผู้รับผิดชอบ แล้วรองนายกฯ ๗ คน เขารับผิดชอบ เขาก็ผลักให้พวกปลัดกระทรวง ให้พวกรัฐมนตรีก่อน พวกรัฐมนตรีบอกไม่รับผิดชอบ ต้องรัฐมนตรีช่วยว่าการ รัฐมนตรีช่วยว่าการก็ไม่รับผิดชอบ ต้องเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีก็บอกว่า ปลัดนั่นต้องรับผิดชอบ นายกฯ บอก แล้วปลัดไม่ต้องรับผิดชอบอะไร ไม่ต้องทำอะไร รองปลัดก็รับผิดชอบหมด รองปลัดบอกมีอธิบดี อย่างนี้เป็นการบอกว่า ไม่รับผิดชอบ ไม่มีใครรับผิดชอบเลย ลงท้ายใครรับผิดชอบ ประชาชนซีอีโอ ประชาชนซีอีโอทุกคน รับผิดชอบหมด ไม่จะทำอย่างไร คือการปกครองสมัยนี้แปลกดี กลับไปเหมือนอย่างเก่า กฎหมายประชาชนรับผิดชอบหมด ตอนนี้คนที่เดือดร้อนคือข้าพเจ้าเอง เดือดร้อน ท่านรองนายกฯ มาบอกว่า ทรงเป็นซูเปอร์ซีอีโอ แล้วใช้คำอะไร จำไม่ได้แล้ว แต่เข้าใจว่า เป็นซูเปอร์ซีอีโอ เราก็ลงท้าย เราก็รับผิดชอบทั้งหมด ประชาชนทั้งประเทศ โยนให้พระเจ้าอยู่หัวรับผิดชอบหมด ซึ่งผิดรัฐธรรมนูญนะ รัฐธรรมนูญบอกว่า พระเจ้าอยู่หัวไม่รับผิดชอบอะไรเลย นี่ท่านแถวนี้ ก็เป็นนักกฎหมาย แล้วกฎหมายก็บอกพระเจ้าอยู่หัว ไม่รับผิดชอบอะไรเลย ตกลงเราไม่รับผิดชอบประเทศชาติ เมืองไทยไม่มีใครรับผิดชอบเลย ใครจะรับผิดชอบ ลำบากอย่างนี้ แต่ว่าเชื่อว่าท่านพูดเล่น ท่านรับผิดชอบ ในที่สุดท่านก็ต้องรับผิดชอบอีก ๒,๕๐๐ คน แล้วก็ ๒,๕๐๐ คน ท่านก็ต้อง ตอนนี้จะต้องไปถามท่านผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติว่า จำแนกออกเป็นอย่างไร ไอ้ ๒,๕๐๐ คน แล้วจำแนกไปจำแนกมา ประกาศให้ประชาชนทราบ ประกาศให้ชาวต่างประเทศทราบ ไอ้ ๒,๕๐๐ คน ไม่กี่คนที่ท่านรับผิดชอบ ที่ตำรวจ ทหารรับผิดชอบ หรือว่าได้ยิงได้ฆ่าเองไม่เท่าไร ไม่ถึงร้อย เราก็ที่เตือนอย่างนี้ เพื่อจะได้หายเครียด คนที่เครียดที่สุดในที่นี้ คือ รองนายกฯ เราไม่บอกว่ารองนายกฯ ไหน เหมือนข่าว เวลาข่าว รองนายกฯ ได้พูดว่า อย่างนั้นอย่างนี้ เราไม่รู้รองนายกฯ อะไร มาตอนปลายข่าวนั่นแหละ รองนายกฯ ชวลิต คือ เมืองไทยเดี๋ยวนี้ พูดอะไรเป็นปริศนาเรื่อย เดี๋ยวก็ที่ลำบาก แต่รองนายกฯ ชวลิต เดี๋ยวนี้หายเครียดนะ ไม่งั้น ตอนต้นทำหน้า ทำหน้าอย่างนี้ ดูในทีวีเหมือนทำหน้าอย่างนี้ตลอด ก็เลยทำให้เราเดือดร้อน ดูแล้วรัฐบาล รัฐบาลของพระบาทสมเด็จเจ้าอยู่หัว เขาพูดอย่างนั้น

    เมื่อวาน ตอนเช้าเขาบอก รัฐบาลพระเจ้าอยู่หัวฯ เรารับผิดชอบหมด ..... น่าจะมีหน้าบึ้งเหมือนท่านรองนายกฯ แต่ไม่เป็นไร เรารู้ว่า อะไรเป็นอะไร ฉะนั้นก็ท่านยิ้มดีแล้ว ยิ้มแล้วก็จะได้ปรึกษาหารือกันทุกฝ่าย ตรงนี้มีท่านองคมนตรี ท่านรัฐมนตรีต่างๆ ท่านก็ขัดคอรัฐบาล ท่านขัดคอรัฐบาล ผ่านพระเจ้าอยู่หัว ท่านไม่รับผิดชอบอะไร ดูรัฐธรรมนูญ ผู้ที่รับผิดชอบคนเดียวคือ ท่านรัฐบุรุษ ท่านรัฐบุรุษ รับผิดชอบ เพราะว่า มีเวลามีองคมนตรีใหม่มา ท่านเป็นผู้รับสนอง ไม่ใช่นายกฯ คนส่วนมากเข้าใจว่า ตั้งองคมนตรีต้องเป็นนายกฯ รับสนอง ไม่ใช่ ท่านประธานองคมนตรีรับสนอง ซึ่งก็เพราะว่าเกี่ยวข้องกับ รัฐธรรมนูญเขาว่าอย่างนั้น ผู้ที่รับผิดชอบรัฐธรรมนูญแถวนั้น ก็เป็นเรื่องแปลก เมืองไทยนี่ประหลาด วิธีปกครอง แต่ยังไงก็ตาม นายกฯ รับผิดชอบทุกอย่าง ถ้ารับผิดชอบทุกอย่าง ก็ต้องยอมรับการตำหนิ คือ ถ้าจะรับผิดชอบ ทุกอย่าง ผมอย่างหนึ่งคนเดียว ผมสั่งคนเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นคนก็ชี้คนเดียวนะ ถ้ารับผิดชอบคนเดียว คนก็ชี้คนเดียว ฉะนั้นก็เป็นของธรรมดา แต่ถ้าทำดี เรียบร้อย ทุกคนได้รับประโยชน์ ทั้งหมดทุกคนได้รับประโยชน์ และตัวเองก็ได้รับประโยชน์ เพราะว่าทำอะไรรับผิดชอบสิ่งที่ทำดี ก็โก้ คนที่รับผิดชอบสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง อันนี้ที่สำคัญ ฉะนั้น ไม่ต้องโกรธ ต้องภูมิใจ แต่ว่า ต้องพยายามพิจารณาว่าอะไรมันจริง อะไรไม่จริง ในที่นี้ไอ้ ๒,๕๐๐ คน จริงหรือไม่จริง อ่านหนังสือพิมพ์ เขาบอกว่า รัฐบาลทำไม่ดี ทำรุนแรงเกินไป ไปพิจารณาให้อ่านหนังสือพิมพ์ อ่านเหล่านั้น แล้วก็ให้เขาเขียน เขาเขียนหนังสือพิมพ์ เขาติ ตำหนิเราก็ฟังเขา ว่าเขาตำหนิอะไร เขาตำหนิถูกต้องก็ขอบใจเขา ถ้าตำหนิไม่ถูกก็บอกว่าไอ้นี่มันไม่ถูก เบาๆ หน่อย แต่ว่าที่เดือดร้อน คนที่เดือดร้อน คือ พระมหากษัตริย์ เดือดร้อนเพราะว่า ใครตำหนิไม่ได้ เราไม่ได้บอกนะ ท่านที่เขียนรัฐธรรมนูญบอกว่า พระมหากษัตริย์ใครตำหนิไม่ได้ ใครละเมิดไม่ได้ ทำไมเขียนอย่างนั้น ไม่ทราบ

    ถ้าละเมิดไม่ได้ ..... เราก็ไม่รู้ว่าเราทำถูกหรือไม่ถูก ก็เลย แต่ท่านไม่อยู่แล้วคือแม่ ต้องเชื่อ เราเชื่อคนเดียว เชื่อแม่คนเดียว แต่ท่านอยู่บนสวรรค์ เดี๋ยวนี้ท่านก็อยู่นี่ ท่านก็ตักเตือนอยู่ว่า ให้คิดดี ทำดี ถูกต้อง ให้โอวาทกับตัวเองเพราะว่า ไม่มีใครให้โอวาทแล้ว เราสบายใจก็เข้าใจว่า ท่านทั้งหลายอาจจะได้ยิน ได้ยิน สมเด็จพระบรมราชชนนี ท่านให้โอวาทลูก แล้วเราก็ให้โอวาทข้าราชการ ใครต่อใครที่อยู่ในที่นี้ ประชาชนทั่วไปว่าทำอะไร ถ้าทำดีก็ปลาบปลื้มกัน ถ้าทำไม่ดีพิจารณาตัวเองว่า ไม่ดี เว้นไว้ ยังมีที่ควรจะเป็น พวกนี้ก็ประชาชนเหมือนกัน พวกนี้บางคนบางทีเขาก็นึกว่าเขาไม่เป็นประชาชน จริงๆ ก็เป็นประชาชน ถูกให้โอวาทเหมือนกัน คนเขาว่า ไม่ได้ให้โอวาท คนเขาว่า ให้โอวาทจนเสียงแหบ แล้วก็ถ้าไม่ฟังก็เป็นเรื่องของเขา เหมือนกัน ถ้าให้โอวาทท่านทั้งหลายไม่ฟัง จนเราเสียงแหบ ก็ไม่เป็นไร ท่านเดือดร้อนเอง ท่านเดือดร้อนจริง สมมติให้โอวาทแล้ว ท่านไม่ฟัง ท่านต้องเดือดร้อน แต่ว่าถ้าฟัง ไปคิด ก็เชื่อ ไม่ใช่ว่าอวดว่าพูดดี ว่าพูดถูกต้องทุกอย่าง แต่ว่าพยายามอย่างน้อยที่จะพูดให้คนคิด คำว่า ให้แต่ละคนคิดที่ดี ก็ไม่เสียหายอะไร ทำให้งานที่ท่านทำ ท่านเป็นผู้ใหญ่ผู้โต งานผู้ใหญ่ผู้โตทำก็ทำให้เกิดประโยชน์กว้างขวางไปได้ ถ้าคนไม่ได้ถือตัวว่าเป็นผู้ใหญ่ผู้โต ทำอะไรก็ไม่ได้ เกิดประโยชน์มากนัก แต่ผู้ใหญ่ผู้โต ผู้ใหญ่ผู้โต เป็นทำให้เกิดผลแก่คนอื่นมากมาย อย่างที่ตัวเองรู้สึกว่า พูดเนี่ย พูดออก มิใช่ออกทีวีไม่ได้ออก แต่ออกวิทยุ ออกวิทยุสด สดนะ ที่พูดเนี่ย ไปทั่วไปถึงนราธิวาส ไปถึงเชียงราย ไปถึงสกลนคร ไปทั่วทุกทิศ คนที่ฟังเขาฟังได้ เขาก็เข้าหูเขา เขาก็ต้องคิด คนที่ฟังเขาคิด แล้วก็คิดว่า พระเจ้าอยู่หัวพูดดีก็เอาไปใช้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ ที่จริงที่พูดเนี่ยเป็นทรัพย์สิน ทางปัญญา เป็นทรัพย์สินทางปัญญาแล้วคนเอาไปหากิน ไปหากินก็ยอมให้ไปหากิน

    คำพูด ถ้าเราถือว่า เราพูดดี ก็ไปหากิน ถ้าหากิน คนก็จะมีความสุข ..... รู้สึกว่า พูดพอแล้ว มันชักเหนื่อย แต่ท่านก็เหนื่อยเหมือนกันนั่งอยู่นี่ ฟัง บางคนก็อาจจะหนาวๆ ร้อนๆ ที่เย็นที่หนาวนี่ เพราะเครื่องเย็นใช้ไฟฟ้า ที่ร้อนเพราะว่า ไฟที่นี่มันร้อน คนที่อยู่ข้างนอก หนาวๆ เย็นๆ เพราะว่า ตอนนี้ค่ำแล้ว ค่ำแล้วน้ำค้างลง ร้อนก็เพราะว่าอากาศมันร้อน ก็อย่าไปคิดอะไรว่า ที่บอกว่าท่านหนาวๆ ร้อนๆ แต่ว่ายังไงขอให้ทุกๆ ท่านที่มา ทุกทั่วไปทุกหนแห่ง ทุกข้างนอก ข้างใน ขอให้มีความร่มเย็น ให้มีความเจริญทุกคน งานการอะไรที่ทำ ให้มีผลสำเร็จที่ดี ขอขอบใจทั้งหลายที่มา
    นับจากเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ..... เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ ต่อจากสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๘๙ จวบจนปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อปวงชนชาวไทยต่อเนื่องกันมาด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ บันดาลประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ สมดังพระปฐมบรมราชโองการทุกประการ


    ๏ ๏ ๏ กราบบังคมองค์ราชันย์....................พระทรงธรรม์ภูมิพล
    เหนือเกล้าเหล่าปวงชน....................พระสุริยนแห่งผืนดิน
    น้ำตาลและผองเพื่อน....................คอยย้ำเตือนเป็นอาจิณ
    ตามรอยองค์ภูมินทร์....................สร้างแผ่นดินให้ยั่งยืน

    ๏ ๏ ๏ ด้วยพระบรมราชสมภพ....................เวียนบรรจบครบอีกครา
    พวกเราอาราธนา....................ไตรรัตนาแลเทวินทร์
    สิ่งในสากลโลก....................ทั้งโศลกทิพย์อัมรินทร์
    สู่พระผู้สยามมินทร์....................คู่แผ่นดินชั่วกาลนาน ... ฯลฯ

    ....................................................................................
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...