อยากทราบคำตอบ จากพระไตรปิฏก

นิพพานคือ....?

ออกจากขันธ์5...ก็นิพพาน....
อะไรที่นิพพาน....อะไรที่ออกจากขันธ์5
ขันธ์5 คือ จิต คือ อวิชชา...งั้นไช่มั้ย

ตัวที่ออกจาก ขันธ์..คืออะไร
ตัวที่นิพพาน คือตัวอะไร.....

รูปกับนาม...อะไร นิพพาน?

(ไม่ต้องตอบ นะครับ ..ไม่ต้องคิดด้วย..)

 

ถ้าถามอีกแบบว่า.....

อะไรที่นิพพานไปพร้อมกับขันธ์5....ถามแบบนี้ น่าจะชัดเจนกว่า มั้ย

....

 

อะไรที่ตายไปพร้อมกับ...ขันธ์5....(ไม่ค่อยเพราะ)
อะไรที่นิพพานไปพร้อมกับขันธ์5...(นี่ก็ อาจ งง)

อวิชชา นิพพานไปพร้อมกับขันธ์5 (แคบเข้ามาละ)
ความไม่รู้นิพพานไปพร้อมกับขันธ์5..(น่าจะยัง งง)

ความไม่รู้ อนัตตาไป พร้อมกับ ขันธ์5 (ชัดเจนที่สุด)

 

ตอบโดยใช้ปัญญาหรือครับ
1.วิชชา มโมยิทธิ
2.วิชชาธรรมกาย
3.วิชชา กสิณ
4.สุญตา
5 พุทโธ หลวงปู่มั่น

แม่น้ำห้าสายนี้ไหลลงทะเลหลวงได้ ถ้าเข้าใจจิตอวิชชา หน้าตามันเป็นอย่างไร..

 

นิพพาน...คือ อนัตตาธรรม ของ รูปนาม
......
......
......
ขั้นตอนของ กาย เวทนา จิต ธรรม.......ธรรมคือ อนัตตาธรรมคือ นิพพาน
กาย เวทนา ใจ(ผัสสะอายตนะ ...ถึงอนัตตาธรรม)
จิต (ขันธ์5)....ถึงอนัตตาธรรม

นิพพานคือ อนัตตาธรรม

 

ถ้าวิชชาที่ฝึก เป็นการฝึกแล้ว เข้าไปรู้เห็น ในจิตอวิชชาตามจริงได้ ก็อนุโลมครับ....แต่

ยังมีแต่ นะ...แต่ต้อง เข้าใจ ใน กาย เวทนา ความคิด ใจ (ผัสสะ อายตนะ ให้ได้ก่อนนะ)...ถึงจะอ้าง ว่า เข้าใจ ในจิตอวิชชาได้..ตามลำดับ ตามจริง ครับ

 

เพราะ..มีนักปฏิบัติ หลายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆต่อหลายยยยๆๆๆๆๆคน...ที่ ..ออกมาจากสมาธิ...แล้ว เมื่อออกมาสู่โลกภายนอก...ก็ยัง คง ไม่เข้าใจ ใน ความคิด ของตนเองและความคิดของ คนอื่น อยู่ดี..ครับ

 

+++ คุณ วรณ์นิ "ตั้งเจตนา" ในคำถามแบบที่ถามมา หรือ รีบพิมพ์จนลืมการ map จิตของผู้อ่านให้เรียบร้อยเสียก่อนว่า ผู้อ่านย่อมเข้าใจว่า ผม เป็น "นักอ่านพระไตรปิฏก" กันแน่

+++ การตอบคำถามของผมในโพสท์ต่าง ๆ หากเป็นผู้ที่ "ติดตาม" การโพสท์ในการตอบปัญหา หากมีการสังเกตุดี ๆ จะพบได้ว่า ผมตอบในเชิง "ปฏิบัติโดยชี้แนะ วิธีการเดินจิต ไว้ด้วยเสมอมา"

+++ การโพสท์ของผมจะชี้ถึง 1. เหตุของความเป็นมา (เกิดขึ้น) 2. สถานการณ์ของผู้ถาม (ตั้งอยู่) 3. วิธีแก้ไขปัญหา (ดับไป) ซึ่งเป็นการตอบในเชิง "ไตรลักษณ์ ด้วยวิธีปฏิบัติ" ไม่ใช่ ภาคทฤษฏี ที่ผู้ที่อ่านแบบลอย ๆ จะเข้าใจได้

+++ ดังนั้น คำถามที่ว่า "อยากทราบคำตอบ จาก...ผู้ที่อ่านพระไตรปิฏกครับ" โดยเอาชื่อผมบันจุไว้ด้วยนั้น เป็นคำถามที่ "ถามผิด หรือ รีบร้อนจนพิมพ์ผิด" จนกลายเป็น "การสื่อสารแบบ ชี้นำ ให้ผู้ที่เข้ามาอ่าน เขาใจในตัวผม ให้ผิดจากความเป็นจริง" กันแน่ ซึ่งกลายเป็นเรื่อง "บิดเบือน ให้ผิดเพี้ยนจาก ความเป็นจริง" จนกลายเป็น การสร้าง "ความเข้าใจที่ผิด ๆ" ให้แพร่หลายออกไปในวงกว้าง

+++ สำหรับผมแล้ว "การใช้ภาษาที่กำกวม หรือ ส่อเจตนาที่กำกวม" นั้น ถือว่า "ไม่ใช่ฝ่ายธรรมะ" โดยเฉพาะ "การส่อเจตนาที่ บิดเบือน" นั้น เป็นการส่อเจตนาของ "ฝ่ายอธรรม" ตัวจริง

+++ หากคุณ วรณ์นิ มีความ "ตื่นเต้น รีบร้อน" ในการพิมพ์จน "เกิดความผิดพลาดในการสื่อสาร" โดยไม่มีเจตนาในการ "บิดเบือน" ก็ขอให้ "ทำใจเย็น ๆ มีสติรอบคอบ" ก่อนกดโพสท์ที่รวมถึง การระบุชื่อบุคคลใด ออกมานะครับ

 

ใจเย็นๆคุณ ธรรมชาติ....
ที่เจาะจงคุณนิวรณ์ เพราะเขาคือนักอ่าน ที่อ้างอิงพระสูตร
ที่เจาะจงคุณธรรมชาติ เพราะคุณคือนักวิเคราะห์ ที่อ้างอิงการปฏิบัติ
ผมเจาะจงมาควบคู่กันครับ..เพื่อ ให้ ท่านทั้งสองคน ตอบดู ว่า จะสอดคล้องกันหรือไม่...

แต่ถ้าคุณธรรมชาติ..ไม่อยากตอบ ก็ ไม่เป็นไรครับ...
เพราะ ที่ถาม...ต้องการแค่ ตอบได้..กับ ตอบไม่ได้..ก็พอครับ

 

ที่ต้องตั้งกระทู้ว่า อ่านพระไตรมา อ่านพระเวทมา
นั่นเพราะ ต้องการ ให้ท่านที่เคยอ่าน ผ่านตามาบ้างได้ เอามาอ้างอิงครับ
เพราะถามถึงหลักสูตรที่ พระพุทธเจ้าท่าน สอน...เอง
หรือ มีการสอนอยู่ก่อนแล้วใน ลัทธิอื่นๆ...หรือศาสนาอื่นๆ
แต่ก็ไม่ได้หวังนะครับว่า ...จะมีคนที่อ่านมาได้หมด ตามที่ผมถาม
เพราะตัวผมเอง ยังไม่ได้อ่านมาเลย

ถ้าไม่เคยอ่านก็ ไม่เป็นไรครับ

 

+++ เห็นแก่ประโยคนี้ ก็จะตอบให้พอเป็น "กระสายยา" เท่านั้น นะครับ
+++ ผม "ไม่ใช่นักวิเคราะห์" แต่ผมใช้ "การเดินจิต ลงไปข้างในสถานการณ์" (ธรรมะวิจัยยะ)
+++ ดังนั้นคำว่า "นักวิเคราะห์" ตามที่เข้าใจกัน จึง "ไม่ตรงอาการ" กับวิธีที่ผมทำ

+++ 1.วิชชา มโมยิทธิ อ้างอิงจาก

http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=9&A=2516&w=มโนมยิทธิ

+++ สรุปว่า "พระพุทธเจ้า" สอนวิชชานี้จริง และเป็นเรื่องของ "การถอดกาย หรือ ถอดจิต"
+++ ซึ่งเป็นเรื่องที่ "ตนเอง ถอดออกมาจาก ตนเอง" ประดุจ "ชักดาบออกจากฝัก ฯลฯ"
+++ แต่หลักที่สอนวิชานี้ในยุคปัจจุบัน หากไม่เกิดอาการดั่งที่กล่าวมา ก็ให้ถือว่า "ไม่ตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอน"

+++ 2.วิชชาธรรมกาย อ้างอิงจาก

https://www.gotoknow.org/posts/150327

+++ สรุปคือ คำว่า "ธรรมกาย" ไม่ใช่ วิธีการฝึก แต่เป็น "ผลลัพธ์สุดท้าย ของ อเสขะบุคคล" คือ บุคคลที่ "ฝึกจบแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้อง ฝึกอะไรอีกแล้ว"
+++ ธรรมกาย คือ "ผู้ที่ใช้ อสังคตะธรรม เป็นกาย" เมื่อผู้ที่ฝึกจบแล้ว (อเสขะบุคคล) ไม่ได้ใช้ "ขันธ์ 5" เป็น "กาย" อีกต่อไป "กายที่พ้นจาก ขันธ์ 5 จึงเป็นกายของท่านเหล่านั้น"
+++ อนึ่งคำว่า "กาย" ในทางปฏิบัติ ถือว่า จิต "อยู่" กับสภาวะธรรมใด สภาวะธรรมนั้น ถือว่าเป็น "กาย" เช่น หลวงปู่ดูลย์ กล่าวว่า "หลวงปู่ อยู่กับ รู้"
+++ "รู้ หรือ สภาวะรู้" จึงเป็น "กาย" ของหลวงปู่ดูลย์ (สภาวะรู้ คือ สภาวะที่ "ไม่ได้เนื่องกับ ขันธ์ 5")

+++ สรุป "วิชชาธรรมกาย" ที่สอนกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นการ "หยิบยืม (ขโมย) มาจากพระไตรปิฏก"
+++ และ หลักการสอนเป็นอาการของการ "ปลุกมโน (วิญญาณขันธ์)" ให้ผลิตภาพออกมาเป็น "ลูกแก้ว" (มโนเอาเอง)
+++ จากนั้นจึงให้ "มโน ซ้อน มโน" และให้ มโนทัศนะ (นึก-คิด อย่างไรก็ เห็น ไปตามนั้น) เห็นตามที่ "มโนซ้อนมโน" ไปเรื่อย ๆ

+++ อนึ่ง คำว่า "ญาณทัศนะ" นั้น คือ อาการของ "รู้ จนสภาวะรู้นั้น กลายเป็น เห็น" (รู้ ของหลวงปู่ดูลย์) ซึ่งต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับ "มโนทัศนะ"

+++ ส่วนข้อ 3.วิชชา กสิณ + 4.สุญตา นั้นให้ใช้ กูเกิ้ล ค้นหาเอาเองก็ได้ โดยใช้ search ง่าย ๆ ดังนี้

+++ 84000.org พระไตรปิฏก "ธรรมกาย"

+++ คำศัพท์ที่ต้องการหา คือ "คำในเครื่องหมายคำพูด" ลองค้นดูนะครับ

+++ หลายสิ่งหลายอย่างในยุคที่ "พระพุทธองค์ ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่" นั้น มีอยู่จริง เป็นอยู่จริง
+++ แต่หลังจาก 2500 ปี พ้นไปแล้ว สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นถูก "บิดเบือน" จนกลายเป็น "การทำลาย" ของจริงไป

+++ สำหรับคุณ วรณ์นิ ผมแสดงมาแค่นี้ ก็น่าจะเพียงพอ และ เป็นคำตอบอยู่ในตัวแล้ว นะครับ

 

ขอบคุณ คุณธรรมชาติครับ..ที่ ตอบคำถาม

หลังจาก2500 ปี...พุทธบริษัท4 ย่อม....ต้องหาทางออกให้กับตนเอง

 

จาก...ที่ตัวผมเอง เคยอ่านหนังสือ ...เล่มนึงมา มโนมยิทธิ เนี่ย...ไม่น่าจะไช่วิชชาที่พระพุทธเจ้าท่านสอนนะครับ...เพราะที่ท่านพูดถึง ล้วนเป็นเรื่อง อภิญญา...ไม่ไช่ มโนมยิทธิ...(ผมเข้าใจแบบนี้)...อภิญญาที่พระพุทธเจ้ากล่าว ก็ล้วน สำเร็จด้วยใจ..(ไม่น่าจะเรียกว่าฝึกด้วยจิต)

อีกเรื่องคือ...ธรรมกาย...ถ้าคำว่าธรรมกาย เอามาใช้ เรียก คนที่มีกายใจ ที่ชำระอวิชชาได้แล้ว..ไม่มีอวิชชาแล้ว....เรียกกายใจที่เหลือว่า ธรรมกาย...(อันนี้ผมก็ ไม่เชื่อ...อีกครับ) เพราะนี่คือ พุทธศาสนา....ไม่ไช่ ธรรมกายศาสนา

ส่วนสุญตา เนี่ย...พระพุทธเจ้าท่านก็ชี้ทางไปนิพพาน....ไม่ได้ชี้ทางไปสุญตา...(ผมว่า ตรงนี้ คนเขียนตำรา...น่าจะ คัดเอาเข้ามา เพิ่มเติมเอง ต่างหาก)...

 

เอามาจาก พังติ๊ป หรอ

ให้ เดบิต เขาด้วยจิ


ปล. เน้นนะว่า พูดว่า แบบว่า อะใช่ เดบิต

 

สุญญตา เปนอีกชื่อหนึ่ง ของ ปฐมฌาณ
โดยอาสัยการ ดับ/พ้น กามสัญญา ติดใน
รูป รส กลิ่น เสียง ......

จิตไม่ห่างจาก ปฐมฌาณ ระลึกเหน สภาวะ
กามสัญญาดับ ดับ ดับ ย่อม ปรากฏ ธรรมกาย
คือ เมื่อไม่มีวิปฏิสาร จิตย่อมปิติ ปัสสัมธิ ตั้งมั่น
รู้เหนตามความเปนจริง ......... พรวดเดียว ขณะ
จิตนั้นๆ ไม่มีระหว่างเว้นวรรค หรือ เกิดการประชุม
รวมตัวกันของ สรรพธรรม อันมีอัฏถังมรรค จึง
บัญญัติ มรรคที่ประชุมด้วยบาลีว่า ธรรมกาย

ทั้งหมเหยั่งลงที่ใด หากยังมีขันธ์ ครองขันธ์อยู่
ละแค่อาหารคือคำข้าว แต่ยังมี วิญญานนาหาร
ต่อให้เข้าออกสัญเวทนิตนิโรธนคล่อง ก้จะไปเกิด
เปนเทพนิกาย มโนมยิทธิ มีแต่ไส้ไม่มีปล้อง

 

หลวงพ่อสด สอนพิจารณา ดวงแก้วซ้อนกัน
แล้วท่านก้สอนว่า ให้กำหนดรู้เหนหนอด้วย

ดังนั้น ท่านกำหนดรู้ทุกข โดยอาสัยความแปร
ปรวนของนิมิต จึงเรียกว่า ไม่ได้อาสัยนิมิต
เปนสุญญตา อัปณิหิต ไม่มีที่ตั้ง เรียนกันไม่
ครบ ปลักปรำพระ นารักกะ จะเอาไปกิน

ส่วน รถดอกบัว ที่เอา รถสปอรต์มาตบแต่ง
เปนดอกบัวแสง อันนั้น ก้ต้นแบบที่น้าจร ลอก
เขามาอีกนั่นแหละ ไง

 

ภาษาบาลี เข้าใจง่าย ใช้เหอะ

เปนพยานให้แก่ ธรรม

ปัญญานิรุตติ เปน ของตถาคต เท่านั้น

 

ไม่เกี่ยวกับ พังติ๊บ...ไม่เคยเข้าไปอ่านหรอก เวปนั้น
อ่านหนังสือ คำสอนพระพุทธเจ้า..

 

สุญตาแบบนี้ แสดงว่า ยังมีจิตเหลืออยู่....ก็เปรียบเหมือนนั่งสมาธิ แล้วระงับกายใจ ....ไม่เกิดปัญญา รู้เห็นความจริงของกายใจ(อายะตนะทั้ง6)...แบบนี้ ไม่น่า สน

 

ก็เหลือจิต...วิญญาณขันธ์ อวิชชา อยู่เหมือนเดิม...ไม่เหมือนดอกบัวแสง หรอก...อย่ามามั่ว..ไอ้หนาสันตินิวรณ์เฮีย...