อยากสอบถามเรื่องการนั่งสมาธิครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย tommie, 4 มกราคม 2017.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    กลืนน้ำลาย มีหลายอย่าง

    เปนวิตกกำเริบ ก้จะสำคัญว่า เดี๋ยวสุขภาพไม่ดี
    พอ ดำริเคลื่อนแบบนั้น จึงตกจากสมาธิ

    เปนปิติ ก้จะกลืนไม่เลิก แล้วก้ งง สุขอยู่ไหน
    จริงๆ สุขมันเกิดทุกครั้งที่ กลืนน้ำลาย แต่
    ไปติด ปิติ จึงไม่เหนสุข

    ถ้าข้ามปิติได้ สุขเกิด แล้วจะเกิด กายสังขาร
    รำงับ เพราะอุเบกขา เอกัคคตา

    ถ้าติดสุข ไม่เหนอุเบกขา ก้โหลยโถ้ยอีก

    ถ้าไปเหนอุเบกขา เอกัคคตา แล้ว พอใจ สังขารรำงับ ก้โหล้ยโถ้ยสุดๆ

    ถ้าเหนความดับไปของเหตุ ของปัจจัย
    นั่นจิตพุทโธ จิตมีบริกรรม บริหารงาน
    การรู้อยู่ที่จิต

    สิ่งใดเกิดแต่เหตุ เหตุดับ จิตก้ดับ

    นอกจากทุกข ไม่อะไรเกิด ไม่มีอะไรดับ

    ข้ามฝากตาย

    ข้ามโคตร

    ไม่ใช่สัญญา ความจำ การจดจำ เพราะผู้ภาวนา
    ย่อมรู้อยู่ ว่า ตนอาสัยระลึก มีการภาวนา มีการ
    บริหาร มีการกระทำ มีเหตุ อันสมควรแก่ธรรม
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ภาวนาแบบ ทำยังไงจึงจะถูก

    เปนเรื่อง สร้างภพ เพื่อหา นิพพาน

    ภาวนาให้ทะลุจักรวาล อายุยืนแสนกัป
    รักษาได้ทุกโรค สร้างได้ทุกอาราม โง่เท่าเดิม


    ปล. บทนี้ สำหรับ นักปฏิบัติเท่านั้น เข้าใจ

    ถ้ามีติ่งมิจฉาทิฏฐิกระซิยหลอก จะ ขัดแย้ง
    ไปตาม ธาตุ สังโยชน์เจ้าของ ไม่ใช่เพราะ
    เราสายนั้น สายนี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มกราคม 2017
  3. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    เข้าสมาธิทั้งสามระดับให้เป็นวสีแต่อย่าไปติดครับนั่นเป็นภพภายในต่างๆที่ปรากฏเท่านั้น
    อุปมาดุจ เราไปท่องเที่ยวดูบ้านเรือน ภูเขา ทะเล น้ำตกเท่านั้น
    อย่าไปติดใจ
    จนถึงระดับนึงแล้วจึงค่อยเอามาเปรียบเทียบกับฌาณทั้งแปด
    เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมากไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย
    ต้องเป็นผู้ที่ผ่านการปฏิบัติมาเท่านั้น ผู้ที่มีปริยัติแต่ถ่ายเดียวจะไม่มีทางเข้าใจได้เลย
    ที่คนเหล่านั้นจะทำได้ก็มีเพียงท่องจำ นำไปคิด ฟุ้งซ่านไปเรื่อย
    นี่ยังไม่นับอาการของภวังค์ทั้งสาม
    แต่ท่านที่มีวสีในการเข้าออกสมาธิอันดับต่างๆแล้วนั้น
    จะสามารถเข้าใจได้เองจากการเทียบเคียงอาการที่เกิด
    ประมาณนี้เเหละครับ ในเบื้องต้น
    เพราะเป็นการฝึกสติที่ถูกต้องเป็นทางที่มุ่งสู่สัมมาสติแต่ยังไม่ใช่ตัวสัมมาสตินะครับ
    มันเป็นเพียงการแยกแยะสิ่งต่างๆที่จรเข้ามาว่าสิ่งใดเป็นนิวรณ์ประเภทใดเท่านั้นเองครับ
    เพื่อให้เข้าใจคำว่าเอกคตารมณ์
    เวลาวิปัสนาจะได้แยกแยะออกว่าเราสู้หรือหนี หรือเกิดอะไรขึ้นมาแทรก
    สรุปสั้นๆว่า เอกคตารมณ์ยังไม่รู้จักเลย จะรู้จักวิปัสนาได้อย่างไร ครับ
    แต่ตอนนี้
    ยังไม่เข้าสู่สมาธิเลยสัมมาสมาธิและวิปัสนาจึงยังไม่ต้องพูดถึงครับ
    ที่เพ้อมานั้นไม่มีอะไรมากครับ
    แค่แนะไว้ให้ท่านผู้อ่านนั้นได้มีกำลังใจในการปฏิบัติครับ
    ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านครับ
    สาธุ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,019
    เรื่องความกลัวเป็นอะไรที่ต้องฝืนไปก่อนครับ
    ถ้าจิตมีกำลังมากขึ้นเด่วมันจะไม่กลัวเองครับ
    คือการเข้าสู่สภาวะนั้นและฝืนๆไปก่อนครับ
    ปกติในแต่ละเรื่องฝืน ๓ ถึง ๔ ครั้ง
    จิตถึงจะมีกำลังมากพอครับ
    และในระดับฆารวาส ส่วนมากบททดสอบเรื่องกลัวตาย
    มักจะเป็นในรูปแบบนิมิตทั้งนั้นครับ..
    ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่าเราจะตายในขณะที่ฝึกสมาธิครับ
    ต่อให้จะอลังการงานสร้างฉาก ขนาดไหนก็ตาม
    ประกันได้ว่า ยังไงเราก็ไม่ตายแน่ๆครับ

    ไม่เหมือนพระสงฆ์ที่ท่านมักจะเจอบททดสอบ
    แบบจะๆ งูเป็นงู เสือเป็นเสือ ช้างเป็นช้างอย่างนี้..
    เรียกได้ว่า ถ้าเทียบกับเรา คนละเลเวลเลยครับ...
    อย่างเราบางทีจะตายก่อนที่จะเจอบททดสอบอีกครับ..

    ส่วนพวกกิริยาอะไรต่างๆ ที่สัมผัสได้ในระหว่างทางนะครับ
    ถ้าเราต้องการยกระดับพัฒนาสมาธิเราจริงๆ..
    ให้พึ่งระลึกไว้เลยว่า ไม่ว่าเราจะได้ยิน สัมผัสอะไรก็ตาม
    หรือแม้ว่าเราจะเห็นอะไรก็ตามระหว่างทาง
    ย้ำว่าเห็นแบบตาเปล่าๆก็ตาม ไม่นับรวมพวก( วงกลม
    แสง สี เสียง เส้นสาย ลมหายใจเป็นสาย ภาพโน้นนี่นั่น
    นิมิตนั่นโน่นนี้ พวกนี้ตัวขวางได้ทั้งนั้นถ้าเราไปยึด
    ไปสงสัยไปอยากรู้หรืออยากไปค้นคำตอบพวกนี้มี
    มาพอให้หลงตัวเองเล่นๆครับ
    ซึ่งมีประโยชน์ ใช้ชีวัดบางอย่างได้
    แต่ไม่ได้ส่งผลให้จิตเราไปในทางหลุดพ้นได้ครับ)
    ให้เราเฉยๆและตัดไปเลยทุกๆกรณีครับ
    เราถึงจะก้าวผ่านไปได้...
    เด่วพอถึงระดับหนึ่ง
    ตัวจิตเรามันจะมีตัวย้อนรู้ได้ด้วยตัวมันเอง
    กับทุกๆกิริยาที่เราเคยผ่านมาทั้งหมดเอง
    โดยที่ไม่ต้องไปถามใครให้เสียเวลาครับ..

    ดังนั้นค่อยๆเป็นค่อยๆไปครับ..
    เรื่องระบบลมหายใจ เร็วสุด ๒ สัปดาห์(ถือว่าเก่งมากแล้ว
    เพราะเราหายใจมาตั้งกี่สิบปีกับแบบเดิมๆครับ)
    แต่ถ้าจะให้เป็นปกติของระบบการหายใจของเราอย่างน้อย
    ๒ เดือนขึ้นไปครับ ดังนั้นค่อยๆเป็นค่อยไปครับ
    ให้ร่างกายมันปรับตัวมันเองก่อนครับ...

    ช่วงนี้มีอะไรถ้า ติดๆขัดๆหลังจากที่ได้พยายาม
    ลองโน้นนี่นั้นแล้ว..ยังไม่ผ่านสภาวะ
    ก็ค่อยมาเล่าสู่กันฟังครับ..
     
  5. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    จิตต้องฝึก เอาความคิดหยาบๆไปสั่งเค้าไม่ได้ บอกตรงๆแบบนั้นยังไม่ได้ ( ในตอนนี้) ท่านจึงสอนไว้ว่า ..ฝึกจิต สอนใจ...


    ค่อยๆทำไป ฝึกความเคยชิน ที่จะเจริญสติสัมปชัญญะต่างๆ
    ในอิริยาบถสี่แบบสบายๆ สบายระดับไหนที่เหมาะกับคุณ คุณจะต้องพิจารณาในชีวิตประจำวัน ว่า ตรงกลางตรงไหน ที่พอดีสำหรับคุณ ไม่หย่อนไม่ท้อไม่วางความเพียร และไม่เคร่ง อยากได้อยากเป็นเกินไป

    คนๆหนึ่ง เคยเป็นแบบคุณ แต่ก็ผ่อนลง ใช้การออกกำลังกาย เล่นกีฬา เล่นดนตรี วาดภาพ พอให้จิตคลายอารมณ์หยาบๆในชีวิตประจำวันได้ แล้วเพิ่มการเดินจงกรม สวดมนต์ นั่งสมาธิ
    โดยเริ่มที่ละน้อยๆ ครั้งละ15-30 นาทีในช่วงพักออกกำลังกาย ช่วงก่อนนอน ช่วงตื่นนอน ช่วงที่อารมณ์หยาบๆคลายหลังจากเล่นดนตรี วาดภาพ ปรากฏว่า... วันหนึ่งตอนรุ่งเช้าหลังจากเดินจงกรม สวดมนต์แล้ว นั่งสมาธิแล้ว ความสงบก็ระดับหนึ่ง ก็จะล้มตัวลงนอน จิตก็ดิ่งลงศูนย์เป็นสมาธิเองโดยไม่ได้บังคับหรือต้องการอะไร

    เป็นจังหวะที่ทำมาจนชิน แล้วก็ปล่อยวางความต้องการได้สมาธิ ปล่อยความต้องการได้อะไรฯลฯ รวมกับผลที่ได้เจริญความเพียรทีละน้อยแต่ต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานานหลายเดือน

    ดิ่งลงศูนย์เป็นสมาธิ ไม่ได้ดับหมดไม่รู้อะไร รู้หมดนะ แต่จิตข้างในเค้าไม่เอาไม่สนใจ

    ที่เล่ามา เพื่อให้คุณมีกำลังใจดำรงความเพียรต่อไป

    ความเพียรในองค์อริยมรรค คือสัมปทานสี่ ลองสิกขาจากตำราและคำสอนท่านผู้ปฏิบัติดี แล้วประยุกต์เข้ากับชีวิตประจำวัน

    หลังจากถอนออกจากสมาธิ ก็มาย้อนพิจารณา เช่น มีสภาพแวดล้อมอย่างไรที่เอื้ออำนวยต่อสมาธิ ก่อนหน้าจะได้สมาธิต้องวางจิตใจอย่างไร ฯลฯ เก็บข้อมูลของตนเองเป็นหลัก แล้วทำต่อไปอย่างสม่ำเสมอ


    ปฏิบัติแล้ว ทบทวนความรู้จากการพิจารณาตัวเอง และความรู้จากภายนอก เช่นการได้รับการชี้แนะจากท่านต่างๆแล้ว ก็มาเล่าต่ออีกนะครับ

    เป็นธรรมทานให้กับอีกหลายท่านด้วย


    เดินไปเรื่อยๆ มันก็ถึงเอง ถ้าเร่งเกินจะขาดใจ หรือหมดใจ ถอดใจเสียก่อน

    ขออนุโมทนาสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มกราคม 2017
  6. NAMOBUDDHAYA

    NAMOBUDDHAYA ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    21,100
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,003
    ค่าพลัง:
    +69,974
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. tommie

    tommie สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2017
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +25
    ตอนนี้ติดอยู่ตรงลมหายใจละเอียด เข้าออกพุธโธ ลมหายใจจะเข้าออกสั้นมาก แต่ลมไม่หยุด ยังหาลมเจอ พุธโธ ยังอยู่ นั่งอยู่ในอาการนี่ได้ครั้งละเกินครึ่งชัวโมง ไม่รู้สึกอึดอัดอะไร ผมควรจะฝึกคอยตามลมหายใจแผ่วๆนี้ต่อไป แล้ววันนึงจิตจะรวมไหมครับ หรือว่ามันผิดวิธี?

    ผมลองนั่งลืมตา แล้วหายใจแผ่วๆ เข้าออกดู มันก็พอทำได้นะครับ จะฝืนๆหน่อยๆ แต่ก็ทำได้ เลยยังนึกไม่ออกว่าจริงๆแล้ว ไม่ว่าลืมตาหรือหลับตาเราก็หายใจแผ่วๆท้องไม่พองยุบอยู่แล้ว แต่ก็กำลังฝึกหายใจอยู่ ตอนมีสติระลึกได้ก็จะหายใจเข้าออกสุดให้ท้องพองยุบ

    ปล. ผิดพลาดประการใดอาจารย์ทุกท่านอย่าดุผมเลยนะครับ ผมเพิ่งเริ่มก็ลองผิดลองถูกไปเรื่อย แต่ปฎิบัติทุกวันครับ
     
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    อย่าไป กลัวการถูก ดุ จิฮับ

    ถ้าไป ถามคำถามต่อหน้าพระ ที่ภาวนาเป็น ส่วนใหญ่ท่านจะอัดแรง กว่านี้อีก

    พอบอกแบบนี้ ก็อย่าหวังว่า ไปถามแล้วท่านจะอัด มันจะเกิด กามสวะ ชอบ
    ให้ท่านอัด สำคัญตนว่า ภาวนาเก่ง สุดยอด เทศนากัณฑ์นี้ของฉัน อย่างนั้นอย่างนี้

    การดุ จะเป็นการดัก

    จริงๆ มันก็แค่ " อย่าทำอย่างนี้ ให้ทำอย่างนั้น อย่าทำอย่างนั้น ให้ทำอย่างนี้ "

    อานุสาสนีย์ปาฏิหารย์ ไม่ได้อยู่ที ทำตามนั้น ตามนี้ ตามที่ถูกอัด

    แต่อยู่ที่ ผู้ภาวนา อาศัยจิตที่ปราศจาก ราคะ มีปิติ มีจิตตั้งมั่น มีการวิจัยธรรมะ
    เฉพาะตน ขณะนั้นๆ ส่วน การอัดเป็นเพียง การแสดงพยานว่า เพียรไปเถอะ

    การอัดไม่ใช่ทำให้ใคร รู้ธรรมะ

    เราอัดก็เพียงแค่ เป็น พยานว่า ถ้าบุคคลใดมีความเพียร ก็มีโอกาสตรัสรู้เองโดยชอบ

    ทีนี้ ฟังให้ดีๆ

    ระบบการหายใจของมนุษย์ ที่ถูกต้อง หายใจเข้าท้องจะยุบ ไม่ใช่ พอง

    หายใจเข้าแล้วท้องพอง นั่นแปลว่า เอาความคิดไปทับจิต จะอึดอัด นมสิการลม
    แล้ว แน่นทันที เกิดน้ำหนัก

    ทำไม หายใจเข้าแล้วท้องยุบ ทั้งนี้ ระบบ ร่างกายจริงๆ ของการหายใจ
    จะเป็น กล้ามเนื้อ กะบังลม

    เวลาหายใจเข้า กล้ามเนื้อกระบังลมจะบีบ ซีโครงให้ขยาย ซึ่งมันจะยุบเข้า
    หาปอด ลองกำหนดให้ถูก กลไกของกล้ามเนื้อ ต่อให้ จงใจหายใจเข้า
    ก็ไม่อึดอัด เพราะมันไม่ได้ สร้างความคิดท้องพองมาทับระบบกาย

    พอกำหนดรู้ถูก เวลา จะชำนาญในการเข้าสมาธิ ลมหาย มันจะไม่อึดอัด

    และ ไม่เกิดน้ำหนัก ดีไม่ดี จะรู้สึกว่า ไม่ได้หายใจ ลมหาย แต่จริงๆ
    การหายใจยังมีอยู่ เบาก็ได้ แรงก็ได้ ไม่เกี่ยวเลย กับ ลมหาย แล้วไม่หายใจ

    ถ้า ระบบกายไม่อึดอัด พึงรู้ว่า กายสังขารรำงับ

    ถ้า ใจเบา หายใจเข้ายาว สั้น หนัก ถี่ ยังไงก็ได้ แต่ใจเบา ร่อนออก นี่ จิตสังขารรำงับ

    เห็น ความรำงับของทั้งกาย ทั้งใจ เรียกว่า มีปัสสัทธิ

    มีปัสสัทธิ พึงกำหนดรู้ว่า มีโพชฌงค์7 มีปิติ ย่อมมีการเฝ้นธรรม
    ผู้ภาวนาไม่ต้องตรึก ธรรม อะไรทั้งนั้น อย่า ฉวยผลงานการภาวนาจาก จิต
    มาเป็น อามิสของตน มีตนภาวนา จะล้มละลายหมด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มกราคม 2017
  9. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ให้พุทธตามลมเข้า โธตามลมออก
    ให้สติรู้พุทธตามลมเข้า ให้สติรู้โท ตามลมออก....ไม่เผลอไปอยู่กับความคิดให้ได้
    ต้องรู้ตามลมเข้า รู้ตามลมออก อยู่อย่างนั้น...ช่วงหายใจสุด ก็คือพุทธสุด ..ช่วงเริ่มโทก็คือเริ่มหายใจออก ลมหายใจออกสุดก็คือโทสุด... เริ่มหายใจเข้าก็คือเริ่มพุทธ รู้ตามอยู่แบบนี้ อย่างต่อเนื่อง อย่าให้ สติแวบไปไหนได้ ไม่ให้ความคิดแทรกเข้ามาได้...แบบนี้ครับ จนลมเข้าออกมันชัดขึ้น ชัดขึ้น ..เหมือนท่อกระบอกสูบ..ให้ได้นั่นแหล่ะครับ..แค่นี้ก่อน...ทำแบบนี้ให้ได้ก่อน จะเข้าใจครับ
     
  10. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    หายใจเข้า ปอดจะพอง เหมือนท้องจะยุบ ..หายใจออกปอดจะยุบ เหมือนท้องจะพอง

    แต่ใคร ให้ไปสนใจที่ปอดที่ท้องกันล่ะครับ..ถ้าคุณอยากจิตรวม..
    สน สติ ที่พุทธลมเข้า..โทลมออก ..ต่อเนื่อง อย่าให้มีความคิดแทรก อย่าให้สติออกไป จากลมเข้าลมออก เป็นดีครับ
     
  11. tommie

    tommie สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2017
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +25
    เดือนกว่าๆที่ปฎิบัติมา ไม่ค่อยคืบหน้าเท่าไหร่ครับ จิตไม่เคยรวมเลยสักครั้ง ได้แต่นั่งสมาธิเพลินๆตามความรู้สึกของกายของใจไป พอดีเมื่อวานอ่านเจอกระทู้ โสตัดตะ ภิญญา เลยลองท่องดูบ้าง ปรกติใช้ พุท โธ รู้ลมหายใจที่ปลายจมูก เคยลอง สัมมา อรหัง ท่องแล้ว ปวดคิ้วมาก ต้องกลับมาท่อง พุท โธ เมื่อคืนได้ลองนั่งสมาธิและ ท่อง โสตัดตะ ภิญญา นั่งได้สัก 10 นาทีไม่ไหว ง่วงมากก็เลยนอน สักพักสะดุ้งตื่นมาพอรู้สึกตัวจิตรวมเข้าไปครับ เห็นเป็นแสงสว่างจ้าเต็มตาเหมือนอยู่กลางแดดแรงๆ แต่มองไม่เห็นเป็นภาพเป็นสถานที่อะไรนะครับเหมือนเป็นแค่เงาๆ มีปิติ ขนลุก ซู่ๆนิดหน่อย ก็เลยนอนต่อแล้วก็ตื่นมาอีกที จิตก็รวมมีอาการแบบเดิมอีกครั้งครับ ก็เลยสงสัยว่า ที่อาการเข้าสมาธิแล้วเห็นเป็นแสงจ้าๆนั้น คือของเก่าที่มากที่สุดที่เราเคยทำมาแล้ว หรือว่าจริงๆมีมากกว่านั้นถ้าเรา ท่อง โสตัดตะ ภิญญา ต่อเนื่องต่อไปสักพัก

    ปล. สักสามวันก่อนหน้าเคย นั่งแล้วเห็นแสงสีขาว วิ่งช้าๆวนเป็นวง ตามกัน แล้วค่อยๆรวมเข้าจุดศูนย์กลางสวยมากครับ เป็นครั้งแรกที่นั่งสมาธิแล้วเห็นแสงแบบนี้ เพิ่งเจอกับตัวเองว่าเป็นยังไง
     
  12. วรณ์นิ

    วรณ์นิ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2016
    โพสต์:
    6,083
    ค่าพลัง:
    +3,024
    ก็ ให้ฝึกมีสติรู้ตัว ตามไปด้วยครับว่า มีตัวเรา อยู่ด้วยในตรงนั้น เป็นผู้ดู ผู้รู้ แบบนี้ จะได้ไม่หลง ไปเป็นส่วนหนึ่ง...ของนิมิตร ครับ

    ฝึกต่อไปนะครับ
     
  13. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    เหนเปน วงๆ จำนวนมาก แล้วไม่อยุ่กับที่
    อันนั้นแจ่มกว่านะ แต่จะ แห้งแล้ง เหมือน
    ไม่ได้อะไรมา ไม่เสียอะไรไป จิตไม่แยก
    เปนสอง เหน สภาวะหนึ่ง ชัดขึ้นแต่มัก
    มองข้ามแบบหญ้าปากคอก

    พอไม่ ใส่ใจธรรมหนึ่ง ก้จะเปนเรื่อง รวมจิต

    ไม่ใช่ จิตรวม

    พอรวมจิต จากมีหลายๆดวง มันจะ คว้าเอาดวงนึง แล้วมุดเข้าไป หรือผลักดันออก แล้วแต่ว่า
    จะฉวยรวมจิต หรือรวบจิต(พูดยาก มันไม่กำ
    แค่กวาดๆกึ่งไม่ถือไว้)

    ของเก่า มีอยู่แล้ว เยอะกว่า

    พอไป รวมจิต ทิ้งของดีมหาศาลกว่าแสนล้าน
    เท่า เทียบกันไม่ได้ออกไป ไปคว้าเอามาดวง
    เดียว แล้วเอาไปเล่นกัน สำคัญว่ามีกำลังมาก
    บารมีมาก

    ทิ้งของที่เยี่ยมยอดออกไป ไปขว้าขี้แมงวัน
    มาดวงเดียว

    ทำไมมันให้รส ย้อมใจ ชุ่มชื่นใจ
    เหมือนมี พละกำลังมาก

    อันนี้ ลองพิจารณาดูใหม่

    ลองเหนแบบเยอะๆ

    กับ แบบเยอะๆไม่เอาขอหยิบมาดวงเดียว

    แล้วอย่าเสียเวลาเปรียบเทียบ

    เพราะทั้งคู่ ยังเปนของแปรปวร ถูกรู้ ถูกดู

    สิ่งที่ ถูกรู้ ถูกดู ได้ มันคือ ส่วนที่ทำหน้าที่ ดู หรือ

    มองย้อนเข้ามา หาจิตให้เจอ

    แล้วอย่าไปทำอะไรเพื่อให้มัน เปนชิ้นเปนอัน
    ติดไม้ติดมือ

    เราแค่อาสัยระลึก

    พอมั่นใจว่า ทั้งหลายทั้งปวง แค่อาสัยระลึก

    เวลาคนถาม ท่านสะกดจิตตัวเอง ย้ำคิดย้ำทำ
    หรือเปล่า

    สติ และ สัมปชัญญะ ความไม่ประมาท จะเปน
    ตัวกำกับ การตอบเปรี้ยงออกไปแค่ริมฝีปาก
    แล้วนั่งลง
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    อีกนัยหนึ่ง เคยได้ยิน " กลศึกเสียงเพลงฉู่ " ไหม

    กองทัพเมืองฉู่ รบมานานปี ฝ่ายข้าศึกเนี่ยะ จะแตกแล้วถ้าพรุ่งนี้
    ยังรบด้วยความยอดเยี่ยม คว่ำมหาจักรวาลแล้วแลอยู่ห่างๆ แบบนั้น

    ทีนี้ มีพ่อครัวคนนึง ไม่ได้เป็นแม่ทัพอะไรเลย เขาก็ทำอาหารแต่
    วันนี้ทำอาหารฉู่ ปรุงอยู่ ก็ร้องเพลงฉู่ไปด้วย

    ของเก่าเอามาล่อ ไง

    พอทหาร ฉู่ ได้ยิน ก็ดีใจคิดว่า มีของใหม่ ชุ่มชื่นใจกว่า เท่านั้น
    แหละ รุ่งขึ้น ทิ้งกลศึกเดิม ใช้กลศึกถอนทัพกลับบ้าน ทำบ่อยๆ
    จะได้ ญาณม้วนเสื่อปะขาว แทนที่จะชนะสงคราม


    ปล. แต่มี ยกเว้นนะฮับ ถ้า สมมติว่า พิจารณาแล้ว ว่าเหลืออีก
    นิดเดียวจะแตกหัก แต่ จิตขาดกำลัง อันนี้ ต้องร้องเพลงฉู่ให้
    ดังๆ เอาที่ สบายใจ ไม่ห้าม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มีนาคม 2017
  15. ผ่านมาเฉยๆ

    ผ่านมาเฉยๆ ไรเซ็นมันพูดว่าอะไรหว่า

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    964
    ค่าพลัง:
    +1,221
    ที่จับลมแล้วติดอยู่แค่นั้นเพราะไม่ได้ใช้แค่สติรู้
    แต่เป็นการตกแต่งด้วยความกลัว
    ที่มาบริกรรมโสตัตตะแล้วเห็นผลเพราะอาการที่เพ่งไปที่กายน้อยลง
    จากภพหยาบจึงเข้าสู่ภพละเอียดง่ายขึ้น
    แต่ก็ดีแล้วครับสติมีกำลังมากขึ้น เพียงแต่จิตไม่รวมเป็นสมาธิ
    พอไม่วิตกวิจารณ์ไปในทางกายหรือน้อยลงผลจึงปรากฏให้เห็น
    วิธีไปต่อ
    ก็แค่พยายามระลึกสภาวะที่ละหยาบเข้าสู่ละเอียดเท่านั้น
    หากรู้เหตุ ย่อมรู้ถึงผล
    ทำให้มาก โดย ปฏิโลม จะมี วสี เกิดขึ้นตามมาครับ
    ขอให้ก้าวหน้าโดยไว
    สวัสดี
     
  16. tommie

    tommie สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2017
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +25
    อยากถาม 3 คำถามครับ

    1. เวลานั่งสมาธิแล้วจะเห็นคน เห็นทั้งตัว ผู้ชาย ผู้หญิง ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน ที่คิดว่าเป็นคนเพราะเห็นเหมือนตอนเราลืมตาแล้วมองออกไป เห็นคนนั่งอยู่ เดินอยู่ประมาณนั้น แต่เห็นหน้าชัด เห็นเรื่อยๆครับ หน้าตาไม่เคยซ้ำกัน และไม่เคยเห็นมาก่อน อยากรู้ว่า เขาเหล่านั้นคือใครครับ
    2. บางครั้ง จะเห็นเป็นภาพสถานที่ สว่างใสมาก เป็นสถานที่ธรรมดาทั่วๆไป แต่ภาพจะใสเหมือนเรากำลังยืนดูออกไป ภาพจะไหลเข้ามาให้เห็นแวบเดียว แล้วก็หายไปครับ สถานที่ไม่เคยซ้ำกัน และก็ไม่รู้ว่าที่ไหนเหมือนกัน
    3. บางครั้วเวลานึกสงสัยเรื่องนึงแล้วอยากรู้คำตอบ สักพักจะมีคำตอบแวบเข้ามา ไม่มีภาพนะครับ เป็นแค่ความคิดที่แวบเข้ามา แต่ไม่มีทางพิสูจน์ได้ว่าคำตอบนั้นจริงหรือจิตปรุงขึ้นมาให้เรา เราควรจะเชื่อคำตอบนั้นไหมครับ

    พอจะรู้บ้างว่าหลายๆเรื่องเราไม่ควรสงสัย ก้มหน้าปฎิบัติไปแล้วจะรู้เอง หลายๆเรื่องก็มีแวบเข้ามาให้รู้เอง แต่ก็ยังสงสัยอีกนั่นแหละครับว่าที่ว่ารู้เองนั้นรู้จริงหรือเปล่า
     
  17. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    นั้งให้เห็นกิเลสเจ้าของ มันทำงานอย่างไร น่าจะดีกว่านะ
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    ก้ไม่ควรไปสงสัย

    จิตยังแล่นเข้าไป อายตนะ6 มันก้ยังปรากฏเปน
    ภาพ สี เสียง กลิ่น รส ธรรมมารมณ์

    สิ่งที่ควร ยก ว่าจิตกำลังรับรู้ คือ อนิจจสัญญา

    จิตที่ยกอนิจจสัญญาได้ ภาพ รส กลิ่น เสียง
    ธรรมารมณ์ การถามตอบ จะไหลผ่านจิต
    ไปเปนจำนวนมาก มหาศาล โดยเมื่อไหร่
    จิตตกจากการพิจารณา มันก้จะไปคว้า
    อดีตสะญญาบางเรื่อง บางตอน มาถาม
    ว่าเหนอะไร รู้อะไร

    พอทำแบบนั้น ก้โดนหลอก แทนที่จิตจะรวม

    ก้ไปรวมจิต รวบจิตขึ้นมา เกิดน้ำหนัก มึน
    ชา เบลอ

    ปล่อยไปเลย ให้เหน จิตตั้งมั่น เหมือนคน
    ยืนอยู่บนฝั่ง เหนภาพ รส กลิ่น เสียง สัมผัส
    ธรรมารมณ์ ไหลผ่านไป ผ่านไป แล้วก้ผ่านไป

    ตัณหา อุปทาน อาสัยตั้งขึ้นที่จิตไม่ได้

    ชำนาญเพียงเท่านี้ ก้ลุ้น ตอน มรณกาล

    ตอนที่จะตาย ก้ลุ้นนิพพานได้แล้ว

    จิตมันไม่เข้าหาภพ

    ตอนคนจะตาย มันจะมีภาพ รส กลิ่น
    สัมผัส ฯ ไหลผ่าน ถ้าไปฉวย ไปสงสัย
    ตัณหา ทิฏฐิ อุปทานสบช่อง ก้จะไปตาม คติ
    เหล่านั้น

    นะ

    ถ้าจะเอาแบบ คนไม่ประมาท ก้กำหนดรู้
    สภาพจิตสัมปยุตกับไตรลักษณ์ญานชื่อ
    อนิจจา เข้ามา

    แล้วภาวนาต่อ

    ยังมีต่อ

    ยังมี การเหนปฏิปทาเพื่อการพ้น ทำแล้ว
    หรือ ยังเซ่อ ไปเชื่อกิเลสมันหลอกว่า

    "งง หรือเปล่า"

    พอไปเชื่อมัน เราก้เลย ทำอาการแบบคนงง

    เที่ยวมาถาม

    เสร็จมัน
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    อีกนัยหนึ่ง

    สงสัย รำคาญใจไม่บรรลุสักที เปน สังโยชน์

    เวลาไปเหนมัน เราจะไม่กล้าสลัดมันออก

    กลัวจะไม่รู้ แบบรู้เรื่องรู้ราว

    อาการรู้เรื่องรู้ราว แบบรู้เหตุรู้ผล อันนั้น
    คือสังโยชน์ หลอกนักปฏิบัตมานักต่อนัก

    ธรรมะแท้ๆ เวลาเจอ จะเหนือเหตเหนือผล

    โลกเข้าไปปรากฏใน ธรรม นั้นไม่ได้

    พอพูดแบบนี้ เกียรถึยจะถามว่า เราเมาธรรมหรือเปล่า


    สัมปชัญญะ สติ ที่บริบูรณ์ ขณะมี
    ไตรลักษณญาณสัมปยุต จะเปนสิ่งที่
    ทำให้เรา เม้มปากแล้วนั่งลง

    เพราะ มันเหนือเหตุ เหนือผล

    เหนือโลก ปุถุชน หรือ นักปฏิบัติแม้นมีอภิญญา
    แสดงได้ในหนึ่งวินาที ก้ รู้สิ่งนี้ไม่ ตายเปล่า
     
  20. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,053
    ค่าพลัง:
    +3,465
    อีกนัยหนึ่ง

    จิตรวม กับ รวมจิต นั่นต่างกัน

    จิตรวม จะเกิดจากเหตุ เราเพียรชำระ กิเลส นิวรณ์ อุปกิเลส ออก จิตที่พ้นราคะ โทษะ
    โมหะ จิตก้จะ รวม พิอจิตรวมก้สละออก
    ทันที ไม่ค้างคา ไม่รักดี!(ไม่ติดดี ความชั่ว
    ก้ไม่ต้องไปพูดถึง)


    รวมจิต จะเปนการตั้งท่า ตั้งจิต ตั้งเจตนา
    ตั้งหลักการคิด แล้ว ก้ทำเปนพิธีไปเรื่อยๆ
    จนเกิด อาการจิตสร้างสภาวะมาหลอก ซึ่ง
    จะมี ราคะนอนลงทำเปนนิ่ง แล้ว รวมจิต
    เปนฌาณ แสดงฤทธิ์ตามกิเลสสั่งได้ด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...