อยากให้ลองอ่านกันดูค่ะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย บ้องแบ้ว, 5 ตุลาคม 2016.

  1. บ้องแบ้ว

    บ้องแบ้ว นางฟ้าผู้น่ารัก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    3,294
    กระทู้เรื่องเด่น:
    105
    ค่าพลัง:
    +5,301
    "คนที่ยังหลงกับอารมณ์ใคร่ใน รัก และ ความห่วงหาอาลัย อันเกิดจากความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกัน จะแบบเพื่อน แบบแฟน แบบคนรู้จัก หรือแบบเคารพนับถือกันก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ห้ามได้ยาก ที่จะไม่ให้อาลัยในรักนั้น เพราะหลงยึดในความดีของเขาบ้าง หลงยึดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสของเขาบ้าง เป็นสำคัญ และไม่ฝึกให้ใจยอมรับว่า เรากับเขาต้องจากกันสักวันหนึ่งแน่นอน คือตายนั่นแหละ ทั้งที่รู้ก็รู้ ไปร่วมงานศพก็บ่อย แต่ไม่เคยพิจารณาใดๆ เลยไม่มีผลกับชีวิต คำว่า "อนิจจา วต สังขาราฯ" คือสังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ จึงไม่เกิดกับจิตกับใจของเราเลย มีแต่ยึดคนนั้นคนนี้ ว่าเป็นที่รักบ้าง ว่าเป็นศัตรูบ้าง เลยทุกข์ไม่จบสิ้น ยิ่งคนเป็นแม่ยิ่งทุกข์หนักเพราะยึดมากกว่าใคร ลูกป่วยติดต่อกัน 4-5 นอนไม่หลับเลยก็มี กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรไปมากกว่านั้น ก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนหรือสัตว์โลกทั้งหลาย ไม่แปลก!

    มีนิทานเรื่องหนึ่งจะเล่าให้ฟัง หลวงพ่อฤาษีฯท่านเคยเล่าเอาใว้ เลยจะขอนำมาเล่าต่อ เผื่อจะเป็นประโยชน์บ้าง อาจจะเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ให้ปล่อยวาง เรื่องต่างๆได้บ้าง โดยเฉพาะเรื่องตัวเอง

    ครั้งหนึ่ง พระที่เรียนกรรมฐาน ได้ลาพระพุทธเจ้าเพื่อเข้าป่า...พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบว่า ถ้าพระไปลาพระสารีบุตร พระสารีบุตรจะพูดว่าอย่างไร จึงให้ไปลาพระสารีบุตรก่อน

    พอไปถึง พระก็ถามพระสารีบุตรว่า...
    "ถ้าจะปฏิบัติถึงความเป็นพระโสดาบันจะทำอย่างไรครับ?"
    พระสารีบุตร ก็บอก "ให้พิจารณาขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ก็คือร่างกาย ถ้าตัดได้อย่างหยาบ คือมีความรู้สึกว่าร่างกายนี้จะต้องตาย ก็เป็นพระโสดาบัน"

    พระก็ถามว่า "ถ้าผมเป็นพระโสดาบันแล้ว จะเป็นพระสกิทาคามีจะทำอย่างไรครับ?"
    พระสารีบุตร ก็บอกว่า "ก็พิจารณาแบบนั้นแหละ ถ้าตัดละเอียดลงไป สามารถทรงอารมณ์ใจให้จิตสะอาดพอสมควรก็เป็นพระสกิทาคามี"

    พระก็ถามว่า "ถ้าผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ต้องการจะเป็นพระอนาคามีจะทำอย่างไรครับ?"
    ท่านก็บอกว่า "ก็ตัดลงไปอีก ให้คิดว่าร่างกายเป็นของสกปรกโสโครก เป็นที่น่าเกลียด เรารังเกียจร่างกายว่าเป็นของเน่า ของสกปรก เกิด นิพพิทาญาณ ก็เป็นพระอนาคามี"

    พระก็ถามต่อไปอีกว่า "ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้ว จะเป็นพระอรหันต์จะทำอย่างไรครับ?"

    ท่านก็บอกว่า "ก็พิจารณาตัวนี้แหละจนกระทั่งจิตวางเฉย เฉยในร่างกายเรา เฉยในร่างกายของบุคคลอื่น เฉยในวัตถุธาตุทั้งหมด คือไม่ยินดียินร้าย ถือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ มีเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นของธรรมดา ถ้าร่างกายเจ็บป่วยเราก็ไม่เดือดร้อน ใครเขาด่ามาก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ตัดร่างกายได้ขนาดนี้ก็เป็นพระอรหันต์"

    พระก็เลยถามว่า "ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็เลิกทำใช่ไหมครับ?"
    พระสารีบุตร ก็บอกว่า "ไม่ใช่ พระอรหันต์ทำหนัก เพื่อความอยู่เป็นสุข"

    เคยมีครั้งหนึ่งคิดว่าตัวเองอ่านหนังสือมากแล้ว เหลือแต่ปฏิบัติ จึงเลิกอ่านหนังสือไป แต่เมื่อเลิกอ่านหนังสือแล้ว กลับไม่ได้ปฏิบัติ และยิ่งห่างไกลกว่าเดิม เรื่องนี้ช่วยเตือนสติว่า ไม่ใช่คิดว่ารู้แล้ว จึงเลิกอ่าน ไม่ใช่คิดว่าทำเป็นแล้ว จึงเลิกทำ

    นายจุลกาลมหากาล มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระศาสนา และเบื่อหน่ายการครองเรือน จึงออกบวช ได้บำเพ็ญวิปัสสนาธุระ อยู่ป่าช้าเป็นวัตร จนถึงพระอรหันตผล

    วันหนึ่งท่านไปดูเขาเผาศพเด็กรุ่นราวอายุ 18 รูปร่างสะสวย แล้วจึงพิจารณาว่า " เมื่อก่อนร่างกายนี้สวยสดงดงาม ใครเห็นก็รักใคร่ อยากได้อยากชม บัดนี้ ถึงความสิ้นความเสื่อมไปโดยครู่เดียว" และกล่าวเป็นคาถาว่า

    อนิจจา วต สังขารา อุปปาทวยธัมมิโน
    อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปสโม สุโข

    สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ เป็นความสุข

    สังขาร คือ ขันธ์ 5 รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ย่อลงแล้วเหลือรูป-นาม ซึ่งล้วนไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่ควรเข้าไปยึดมั่นถือมั่น

    ไม่ว่าเราจะได้เห็น ได้ฟัง ดมกลิ่น รู้รส สัมผัส หรือคิดอะไรก็ตาม เมื่อรับรู้แล้วก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส คิดอะไรก็สักแต่รู้ ก็ให้พิจารณาว่าไม่ใช่ตัวตน บุคคล เรา เขา แล้วถอนสัตตสัญญา สำคัญว่าเป็นสัตว์บุคคลเสีย เหลือแต่ปรมัตถสัจจะ เห็นตามความเป็นจริง และปล่อยวางลงได้.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

แชร์หน้านี้

Loading...