เรื่องเด่น อย่าประมาทว่าความชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วทำ อย่าประมาทว่าความดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย ษิตา, 4 กันยายน 2017.

  1. ษิตา

    ษิตา ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    10,174
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,230
    ค่าพลัง:
    +34,647
    หลวงพ่อเล็ก005-1 พลังจิต.jpg

    อย่าประมาทว่าความชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วทำ อย่าประมาทว่าความดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ

    ถาม : มีคนเขาบอกว่า การสวดอาการวัฏฏสูตรเป็นการเร่งเจ้ากรรมนายเวรจริงหรือเปล่าครับ ?
    ตอบ : อันนี้ไม่ทราบเหมือนกันนะ เรื่องของเจ้ากรรมนายเวรนี่ โอกาสที่คุณจะไปเร่งรัดไปอะไรไม่มีทั้งนั้น เรื่องของกรรมมันแบ่งออกเป็น ๓ หมวด ๑๒ ประเภท ให้ผลตามวาระ ให้ผลตามลักษณะ ให้ผลตามเวลา อันนี้มาอันโน้นไป เขาก็จะจัดลำดับกันตามหนักเบาของเขากันเอง คุณไม่ีมีสิทธิ์ที่จะไปนั่งเร่งเขาหรอก ยกเว้นอย่างเดียวว่าเร่งความดีเพื่อหนีกรรมให้เยอะ ๆ ถ้ามีบทสวดประเภทชุมนุมเจ้ากรรมนายเวรได้ก็ดีนะ ว่าอะไรนะ อาการวัฏฏสูตร...ใช่มั้ย ? ถ้าเป็นไปได้ก็ดี จะได้ตกลงกันไปเสียทีเดียวเลย แน่จริงก็ทวงให้ตาย ๆ ไป จะได้หมดเรื่อง ไม่ต้องเสียเวลามาทนอยู่แบบนี้

    พยายามเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าหรือของหลวงพ่อเข้าไปจับสิ ธรรมต่าง ๆ ที่อยู่ตามพระไตรปิฎกนั่นก็คือหลักเลย ทำตามหลักการนั่น แต่ว่าส่วนใหญ่พวกเราขี้เกียจค้นคว้า...ใช่ไหม ? ก็เดือดร้อนเพราะทิฏฐธรรมเวทนียกรรม ให้ผลในปัจจุบัน แบ่งออกเป็นครุกรรมฝ่ายกุศลคือฝ่ายดี กับครุกรรมฝ่ายอกุศลคือฝ่ายชั่ว อุปปัชชเวทนียกรรมให้ผลในชาติที่ ๒ อปราปรเวทนียกรรม ให้ผลในชาติที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ไล่ไปเรื่อย จนท้าย ๆ อโหสิกรรมเลิกแล้วต่อกัน

    ฉะนั้นวาระเวลาของการให้ผลนั้นมีอยู่ จะไปเร่งรัดอะไรของเขาไม่ได้ทั้งนั้น ต้องเป็นไปตามหนักเบาของการกระทำ แต่อัศจรรย์อยู่อย่างหนึ่งว่า กรรมที่เรารู้สึกว่าหนัก แต่ให้ผลแล้ว ก็แล้วกันไป แต่กรรมที่เรารู้สึกว่าเบา ให้ผลแล้วให้ไปเรื่อย ตลกดี

    แต่ว่าสมมติว่าครุกรรมฝ่ายกุศล เราได้ถวายทานกับพระที่ออกนิโรธสมาบัติ เราจะรวยวันนั้นเลย แต่ว่าได้ตอนนั้นทีเดียว ได้แล้วเลิกกันเลย ไม่มีผลต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกัน ถ้าหากว่าคุณถวายสังฆทาน บุญไม่หนักเท่านั้น แต่ว่าชาตินี้คุณรวย ชาติต่อไปคุณรวย เป็นพระเจ้ามหาจักรพรรดิ เป็นมหากษัตริย์ เป็นมหาเศรษฐี ตามหลังยาวไปเรื่อย กลายเป็นว่าของหนักกลับให้ผลเพียงครั้งเดียว

    ถ้าเปรียบเหมือนกับพวกพืชผัก ให้ผลเร็วมากแต่เก็บทีเดียวหมด แต่ขณะเดียวกันถ้าเจอผลไม้ยืนต้น ให้ผลช้า อาจจะชาติที่ ๒ ๓ ๔ ๕ แต่ถ้าให้ผลแล้วก็ให้ยาวไปเรื่อย ๆ เหมือนกับผลไม้ยืนต้น ผลของกรรมนี่ต้องศึกษายถากัมมุตาญาณให้ดี ถึงเวลาแล้วจะรู้ว่าน่ากลัวขนาดไหน ประมาทไม่ได้แม้แต่นิดเดียว เราจะไปคิดว่าความชั่วมันนิดเดียวแล้วทำ พลาดเมื่อไรก็เดี้ยงเมื่อนั้น อย่างความดีความชั่วเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรียกว่า กตัตตากรรม คือ กรรมที่ทำโดยไม่เจตนา

    ขนาดพระพุทธเจ้ายังโดนสนองเลย วาระสุดท้าย หลังจากปลงอายุสังขารแล้ว พระองค์เดินจากปาวาลเจดีย์ไปยังกุสินารา ระหว่างทางเกิดเหน็ดเหนื่อยกระหายน้ำขึ้นมา ก็บอกพระอานนท์ ให้ปูผ้าสังฆาฏิใต้ต้นไม้แล้วไปตักน้ำมา พระอานนท์เพิ่งเดินผ่านลำธารไปอยู่ก็รู้ ๆ อยู่ว่าใกล้แค่นั้นเอง ก็ย้อนกลับไปตัก ปรากฏว่าเกวียน ๕๐๐ เล่มเพิ่งจะลุยผ่านไป ขุ่นคลั่กเลย กรองอย่างไรก็ไม่ใส เดินกลับมารายงานพระพุทธเจ้าว่า ไม่มีน้ำเพราะเกวียนเพิ่งจะลุยผ่านไป พระพุทธเจ้าบอกว่า กลับไปเถอะ ตถาคตกระหายน้ น้ำนั่นมีอยู่ พระอานนท์สงสัย แต่ว่าด้วยความเชื่อมั่นก็ย้อนกลับไปอีกทีปรากฏว่าน้ำใส

    เกิดจากกรรมนิดเดียวว่า ในสมัยชาติหนึ่งท่านเกิดเป็นเด็กชาวนา ถึงเวลาปลดวัวออกจากไถก็รีบเอาไปกินน้ำ วัวหิวมาทั้งวันนี่ ถึงเวลาก็พรวดพราดไปกินน้ำ มันไม่ได้สังเกต แต่ว่าพระพุทธเจ้าชาตินั้นท่านสังเกตเห็นแล้วว่า วัวมันจะกินน้ำขุ่นก็สงสารมันว่าน้ำมันขุ่นอย่ากินเลย ก็ดึงมันมาย้ายมากินน้ำใส ใกล้กันอยู่นิดเดียวนั่น กรรมที่ทำโดยเจตนาดี แล้วก็ไม่ได้มีเจตนาจะกลั่นแกล้งอะไรแท้ ๆ วาระสุดท้ายยังตามมาสนอง ขนาดพระพุทธเจ้ายังเล่นขนาดนั้น ของเรานั่นรอดยาก

    ยิ่งศึกษาไปจะยิ่งเห็นความน่ากลัวของมัน ตราบใดที่ยังมีกรรมคือการกระทำตราบนั้นการเวียนตายเวียนเกิดยังมีอยู่ จนกว่าเราจะหยุดการกระทำนั่นลงได้อย่างสิ้นเชิง เป็นอรหันต์ถึงจะหยุดการเวียนตายเวียนเกิดได้ กรรมมันน่ากลัว พระพุทธเจ้าท่านถึงได้บอกว่า อย่าประมาทว่าเห็นความชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วทำ แล้วอย่าประมาทว่าเห็นความดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ ทุกอย่างที่ทำให้ผลทั้งนั้น ต้องการหรือไม่ต้องการ ผลนั่นก็เกิด เราลงมือเมื่อไหร่ได้เรื่องเมื่อนั้น ฉะนั้นเราก็ต้องหยุดให้ได้

    ของพระอรหันต์จะเห็นได้ว่าท่านก็มีการกระทำ แล้กระแสกรรมมันขาดอย่างไร ? ชักมึนเรื่องไกล ท่านเป็นการกระทำที่เหลือเพียงกิริยาเท่านั้น ตัวมายาไม่มี ขนาดศีลของพระ พระพุทธเจ้าท่านยังให้สติวินัยกับพระอรหันต์ว่าเป็นปาปมุึติ คือพ้นจากบาปแล้ว เจตนาที่จะล่วงศีลใหญ่ของท่านไม่มี แต่จริยาเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยความเคยชินเดิมของท่านมีอยู่ ก็เลยต้องให้สงฆ์สวดประกาศกับผู้เป็นอรหันต์ว่า ให้เป็นผู้ทรงสติวินัย จะได้ไม่ต้องให้ใครไปโจทก์ว่าท่านต้องอาบัติ ทำโดยกิริยาเฉย ๆ ตัวจิตที่จะปรุงแต่งให้เป็นทุกข์เป็นโทษเป็นบุญเป็นบาปมันไม่มีแล้ว มันเหนือบุญเหนือบาปไปแล้ว ฟังดูเหมือนเข้าใจมั้ย ? ถึงเวลาไปคลำเองหาไม่เจอหรอก

    สนทนากับพระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๔ ณ บ้านอนุสาวรีย์ฯ

    ที่มา วัดท่าขนุน
     
  2. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,396
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,628

แชร์หน้านี้

Loading...