(อรรถกถา กณเวรชาดก) ว่าด้วย หญิงหลายผัว

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย alfed, 30 กรกฎาคม 2017.

  1. alfed

    alfed สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    209
    กระทู้เรื่องเด่น:
    15
    ค่าพลัง:
    +135
    อรรถกถา กณเวรชาดก
    ว่าด้วย หญิงหลายผัว

    D7T_5180.jpg
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภการประเล้าประโลมของภรรยาเก่าของภิกษุ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า ยนฺตํ วสนฺตสมเย ดังนี้.
    เรื่องราวปัจจุบัน จักมีแจ้งใน อินฺทฺริยชาดก
    ส่วนในที่นี้ พระศาสดาตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูก่อนภิกษุ เมื่อชาติก่อน เธออาศัยหญิงนี้จึงได้รับการตัดศีรษะด้วยดาบ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้.
    ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดฤกษ์โจรในเรือนของคฤหบดีคนหนึ่งในกาสิกคาม พอเจริญวัยแล้ว กระทำโจรกรรมเลี้ยงชีวิต จนปรากฏในโลก เป็นผู้กล้าหาญ มีกำลังดุจช้างสาร ใครๆ ไม่สามารถจับพระโพธิสัตว์นั้นได้.
    วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์นั้นตัดที่ต่อเรือนในเรือนของเศรษฐีแห่งหนึ่งลักทรัพย์มาเป็นอันมาก ชาวพระนครพากันเข้าไปเฝ้าพระราชา กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ มหาโจรคนหนึ่งปล้นพระนคร ขอพระองค์โปรดให้จับโจรนั้น. พระราชาทรงสั่งเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครให้จับมหาโจรนั้น. ในตอนกลางคืน เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นได้วางผู้คนไว้เป็นพวกๆ ในที่นั้นๆ ให้จับมหาโจรนั้นได้พร้อมทั้งของกลาง แล้วกราบทูลแก่พระราชา.
    พระราชาทรงสั่งเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นนั่นแหละว่า จงตัดศีรษะมัน. เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครมัดมือไพล่หลังมหาโจรนั้นอย่างแน่นหนา แล้วคล้องพวงมาลัยดอกยี่โถแดงที่คอของมหาโจรนั้น แล้วโรยผงอิฐบนศีรษะ เฆี่ยนมหาโจรนั้นด้วยหวายครั้งละ ๔ รอย จึงนำไปยังตะแลงแกงด้วยปัณเฑาะว์อันมีเสียงแข็งกร้าว พระนครทั้งสิ้นก็ลือกระฉ่อนไปว่า ได้ยินว่าโจรผู้ทำการปล้นในนครนี้ถูกจับแล้ว.
    ครั้งนั้น ในนครพาราณสี มีหญิงคณิกาชื่อว่าสามา มีค่าตัวหนึ่งพัน เป็นผู้โปรดปรานของพระราชา มีวรรณทาสี ๕๐๐ คนเป็นบริวาร ยืนเปิดหน้าต่างอยู่ที่พื้นปราสาท เห็นโจรนั้นกำลังถูกนำไปอยู่ ก็โจรนั้นเป็นผู้มีรูปงามน่าเสน่หา ถึงความงามเลิศยิ่ง มีผิวพรรณดุจเทวดา ปรากฏเด่นกว่าคนทั้งปวง. นางสามาเห็นเข้าก็มีจิตปฏิพัทธ์รักใคร่คิดอยู่ว่า เราจะกระทำบุรุษนี้ให้เป็นสามีของเราได้ด้วยอุบายอะไรหนอ รู้ว่ามีอุบายอยู่อย่างหนึ่ง จึงมอบทรัพย์พันหนึ่งในมือหญิงคนใช้คนหนึ่งผู้กระทำตามความต้องการของตนได้ เพื่อส่งให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร โดยให้พูดว่า โจรนี้เป็นพี่ชายของนางสามา เว้นนางสามาเสีย ผู้อื่นที่จะเป็นที่อาศัยของโจรนี้ย่อมไม่มี นัยว่า ท่านรับเอาทรัพย์หนึ่งพันนี้แล้วปล่อยโจรนี้. หญิงคนใช้นั้นได้กระทำเหมือนอย่างนั้น.
    เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครกล่าวว่า โจรนี้เป็นโจรโด่งดัง เราไม่อาจปล่อยโจรนี้ได้ แต่เราได้คนอื่นแล้วอาจให้โจรนี้นั่งในยานอันมิดชิดแล้วจึงส่งไปได้. หญิงคนใช้นั้นจึงไปบอกแก่นางสามานั้น. ก็ในกาลนั้น มีบุตรของเศรษฐีคนหนึ่งมีจิตปฏิพัทธ์ผูกพันนางสามา ให้ทรัพย์พันหนึ่งทุกวัน. แม้วันนั้น เศรษฐีบุตรนั้นก็ได้เอาทรัพย์หนึ่งพันไปยังเรือนนั้น ในเวลาพระอาทิตย์อัศดงคต.
    ฝ่ายนางสามารับทรัพย์พันหนึ่งแล้ววางที่ขาอ่อน แล้วนั่งร้องไห้ เมื่อเศรษฐีบุตรนั้นกล่าวว่า นางผู้เจริญ นี่เรื่องอะไรกัน จึงกล่าวว่า ข้าแต่นาย โจรนี้เป็นพี่ชายของดิฉัน เขาไม่มายังสำนักของดิฉัน ด้วยคิดว่า เราทำกรรมต่ำช้า เมื่อดิฉันส่งข่าวแก่เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครๆ ส่งข่าวมาว่า เราได้ทรัพย์พันหนึ่งจึงจักปล่อยตัวไป บัดนี้ ดิฉันได้ทรัพย์หนึ่งพันนี้แล้ว แต่ไม่ได้โอกาสที่จะไปยังสำนักของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร. เพราะมีจิตปฏิพัทธ์ในนาง เศรษฐีบุตรนั้นจึงกล่าวว่า ฉันจักไปเอง. นางสามากล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ท่านจงถือเอาทรัพย์ที่นำมานั่นแหละไปเถิด.
    เศรษฐีบุตรนั้นถือทรัพย์พันหนึ่งนั้นไปยังเรือนของเจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนคร. เจ้าหน้าที่ผู้รักษาพระนครนั้นพักเศรษฐีบุตรนั้นไว้ในที่อันมิดชิด แล้วให้โจรนั่งในยานอันปกปิดมิดชิด แล้วส่งไปให้นางสามา แล้วทำการอ้างว่า โจรนี้เป็นโจรโด่งดังในแว่นแคว้น ต้องรอให้มึดค่ำเสียก่อน ทีนั้นพวกเราจึงจักฆ่าโจรนั้นในเวลาปลอดคน แล้วยับยั้งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อปลอดคนแล้ว จึงนำเศรษฐีบุตรไปยังตะแลงแกงด้วยการอารักขาอย่างแข็งแรง แล้วเอาดาบตัดศีรษะเสียบร่างไว้ที่หลาวแล้ว เข้าไปยังพระนคร.
    ตั้งแต่นั้นมา นางสามามิได้รับอะไรๆ จากมือของคนอื่นๆ เที่ยวอภิรมย์ชมชื่นอยู่กับโจรนั้นนั่นแหละ. โจรนั้นคิดว่า ถ้าหญิงนี้จักมีจิตปฏิพัทธ์ในชายอื่นไซร้ แม้เรา นางก็จักให้ฆ่าแล้วอภิรมย์กับชายนั้นเท่านั้น หญิงนี้เป็นผู้มักประทุษร้ายมิตรโดยส่วนเดียว เราอยู่ในที่นี้ ควรรีบหนีไปที่อื่น แต่เมื่อจะไปจะไม่ไปมือเปล่า จักถือเอาห่อเครื่องอาภรณ์ของหญิงนี้ไปด้วย.
    วันหนึ่ง จึงกล่าวกะนางสามานั้นว่า นางผู้เจริญ เราทั้งหลายอยู่เฉพาะในเรือนเป็นประจำ เหมือนไก่อยู่ในกรง พวกเราจักเล่นในสวนสักวันหนึ่ง. นางสามานั้นรับคำแล้วจัดแจงสิ่งของทั้งปวงมีของควรเคี้ยว และของควรบริโภคเป็นต้น ประดับประดาด้วยอาภรณ์ทั้งปวง นั่งในยานอันมิดชิดกับโจรนั้นแล้ว ไปยังสวนอุทยาน. โจรนั้นเล่นอยู่กับนางสามานั้นในสวนอุทยานนั้น จึงคิดว่า เราควรหนีไปเดี๋ยวนี้ จึงทำทีเหมือนต้องการจะร่วมอภิรมย์ด้วยกิเลสฤดีกับนางสามานั้น จึงพาเข้าไประหว่างพุ่มต้นยี่โถแห่งหนึ่ง ทำทีเหมือนสวมกอดนางสามานั้น แล้วจึงกดลงทำให้สลบล้มลง แล้วปลดเครื่องอาภรณ์ทั้งปวง เอาผ้าห่มของนางนั่นแหละผูกแล้ววางห่อมีภัณฑะไว้ที่คอ โดดข้ามรั้วอุทยานหลบหลีกไป.
    ฝ่ายนางสามานั้นกลับได้สัญญาความทรงจำ จึงลุกขึ้นมายังสำนักของพวกหญิงรับใช้ แล้วถามว่า ลูกเจ้าไปไหน? พวกหญิงรับใช้กล่าวว่า พวกดิฉันไม่ทราบเลย แม่เจ้า. นางสามาคิดว่า สามีของเราสำคัญเราว่าตายแล้วจึงกลัว แล้วหลบหนีไป เสียใจ จึงจากสวนอุทยานนั้นนั่นแลไปบ้าน คิดว่า ตั้งแต่เวลาที่เรายังไม่พบเห็นสามีที่รัก เราจักไม่นอนบนที่นอนที่ประดับตกแต่ง จึงนอนอยู่ที่พื้น.
    ตั้งแต่นั้นมา นางไม่นุ่งผ้าสาฎกที่ชอบใจ ไม่บริโภคภัตตาหาร ๒ หน ไม่แตะต้องของหอมและระเบียบดอกไม้เป็นต้น คิดว่า เราจักแสวงหาพ่อลูกเจ้าด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง แล้วให้เรียกกลับมา จึงให้เชิญพวกคนนักฟ้อนมาแล้วได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง. เมื่อพวกนักฟ้อนรำกล่าวว่า แม่เจ้า พวกเราจะทำอะไรให้บ้าง. นางจึงกล่าวว่า ขึ้นชื่อว่าสถานที่ที่พวกท่านยังไม่ได้ไป ย่อมไม่มี ท่านทั้งหลายเมื่อเที่ยวไปยังคามนิคมและราชธานี แสดงการเล่นพึงขับเพลงขับบทนี้ขึ้นก่อนทีเดียว ในมณฑลสำหรับแสดงการเล่น.
    เมื่อจะให้พวกฟ้อนรำศึกษาเอา จึงกล่าวคาถาที่หนึ่ง แล้วสั่งว่า เมื่อพวกท่านขับเพลงขับบทนี้ ถ้าหากพ่อลูกเจ้าจักอยู่ในภายในบริษัทนั้น เขาจักกล่าวกับพวกท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกท่านพึงบอกถึงความที่เราสบายดีแก่เขาแล้วพาเขามา ถ้าเขาไม่มา พวกท่านพึงให้เขาส่งข่าวมา ดังนี้แล้วมอบเสบียงเดินทางให้ แล้วส่งพวกนักฟ้อนรำไป. พวกนักฟ้อนเหล่านั้นออกจากนครพาราณสีกระทำการเล่นอยู่ในที่นั้นๆ ได้ไปถึงบ้านปัตจันตคามแห่งหนึ่ง. โจรแม้คนนั้นก็หนีไปอยู่ในบ้านปัตจันตคามนั้น.
    พวกนักฟ้อนเหล่านั้น เมื่อจะแสดงการเล่นในที่นั้น จึงพากันขับร้องเพลงขับบทนี้ก่อนทีเดียวว่า :-จึงทรงประกาศสัจจะ แล้วทรงประชุมชาดก. ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันถึงภรรยาเก่า ก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล.
    เศรษฐีบุตรในครั้งนั้น ได้เป็น ภิกษุรูปนี้
    นางสามาในครั้งนั้น ได้เป็น ปุราณทุติยิกาภรรยาเก่า
    ส่วนโจรในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.
    จบ อรรถกถากณเวรชาดกที่ ๘


    ขอบคุณแหล่งที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/jataka.php?i=270570
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • D7T_5180.jpg
      D7T_5180.jpg
      ขนาดไฟล์:
      456.4 KB
      เปิดดู:
      697
    • D7T_5180.jpg
      D7T_5180.jpg
      ขนาดไฟล์:
      456.4 KB
      เปิดดู:
      279
    • D7T_5180.jpg
      D7T_5180.jpg
      ขนาดไฟล์:
      456.4 KB
      เปิดดู:
      91
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...